Countdown
We've been
togerther for
ค้นหา
Latest topics
Most active topics
[Fic] My Snowflake (2)
หน้า 1 จาก 1
[Fic] My Snowflake (2)
วันนี้มานั่งอ่านลำดับเวลาของบันทึกฯ..............
ช่างแม่ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
- พาร์ทแรกค่ะ -
เสวี่ยจิงมาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านสกุลจางได้สามวันแล้ว
จางฉี่ซาน...ไม่สิ...เตี่ยสอนอะไรให้เธอหลายอย่างทีเดียว ทั้งคำศัพท์ คัดอักษร บางครั้งก็สอนให้อ่านผ้าไหมจารึก บ้างก็เอาหนังสือพิมพ์มาให้อ่านทีละข่าว ฝึกให้อ่านและพูดคล่องไปในตัว แต่เขาไม่ใช่คนที่ว่างงาน ในทางกลับกันเขาเป็นคนที่งานยุ่งที่สุดเท่าที่เสี่ยวจิงรู้จัก สามวันที่เขาหายไปจะกลับมาเสียหนหนึ่ง อยู่ได้เพียงไม่นานก็ต้องกลับออกไปอีก
ถึงจะมีคนรับใช้อยู่เป็นเพื่อน บ้างก็คอยสอนในเรื่องต่างๆที่ควรรู้ในชีวิตประจำวัน...แต่เสี่ยวจิงก็ยังรู้สึกเหงาอยู่ดี
คิดถึงเตี่ยจัง...
“โอ๊ะ นี่น่ะเหรอคุณหนูจางที่เขาร่ำลือกัน”
เสียงทุ้มห้าวที่ไม่คุ้นเคยปลุกสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดของเสวี่ยจิงขึ้นมา เด็กหญิงหันไปข้างหลังพร้อมดึงมีดเหล็กดำที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อออกมาจากฝัก ทว่ายังช้าไปสำหรับคนที่มีประสบการณ์มากกว่าและได้เปรียบทางด้านร่างกาย
เรียกว่าเสียเปรียบแทบทุกด้านทีเดียว
ยังไม่ทันจะได้จ้วงโจรบุกรุกบ้านสักที คอเสื้อด้านหลังของเสวี่ยจิงก็ถูกจับยกขึ้นสูงด้วยมือของใครบางคน
โจรบุกรุกบ้านคนแรกเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบกว่า
ใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยของแผลเป็น ดวงตาประกายฉายแววแข็งกร้าว ชวนให้นึกถึงพวกนักเลงริมถนนที่เตี่ยเคยบอกว่าอย่าไปยุ่ง ส่วนอีกคนนั้นเป็นชายอายุมากกว่า ท่าทางบอบบางอ้อนแอ้น แต่การเคลื่อนไหวกลับคล่องแคล่วและหนักแน่นเหมือนพวกที่ได้รับการฝึกวิทยายุทธ์
“แววตาใช้ได้เลยนี่” ชายที่จับคอเสื้อเธอแค่นยิ้ม
แววตา...?
“เป็นเด็กดีไปกินขนมกับพวกข้าที่บ้านเหล่าอู๋กันนะ^^”
เมื่อเฉินผีอาซื่อส่งข่าวไปยังคนที่เหลือก็เกิดการรวมตัวของเก้าสกุลที่บ้านหมาแก่ห้าทันที
เด็กน้อยผิวขาวจัดจนซีดนั่งอยู่บนตักของฮั่วเชียนกู เทพธิดาสกุลเจ็ดซึ่งเป็นหญิงหนึ่งเดียวในเก้าสกุล ดวงตาสีเขียวกระจ่างเหลือบซ้ายแลขวา มองดูผู้ใหญ่รอบตัวนั่งถกเถียงเรื่องบางอย่างกันอย่างเคร่งเครียดไม่น้อย
พวกเขาแนะนำตัวแล้ว แต่คนที่เธอชอบมากที่สุดในกลุ่มเก้าสกุลก็คืออู๋เหล่าโก่ว เจ้าของบ้านหลังนี้ เขาเป็นผู้ชายที่มีสัมผัสบริสุทธิ์ต่างจากคนอื่นๆ แม้จะมีกลิ่นอายของคนขุดสุสานอยู่บ้างแต่กลับไม่น่าอันตรายเท่าไร
“ทำแบบนี้พ่อพระจะไม่พังประตูบ้านเจ้ารึ...อาซื่อ” นางพญาสกุลเจ็ดถอนหายใจ
ครั้งแรกที่นางได้เห็นแววตาที่ฉาบอยู่ในสีเขียวกระจ่างคู่นั้น...ฮั่วเชียนกูนึกถึงจางฉี่ซาน
ช่างคล้ายกันจริงๆ เหมือนพ่อพระใหญ่ในร่างของเด็กหญิงตัวน้อย แววตาราบเรียบที่ไม่แสดงสิ่งใดนอกจากความใสกระจ่าง....ใสเสียจนมองไม่เห็นสิ่งใด
“...ถ้าจะพังประตู ข้าว่าบ้านเหล่าโก่วจะโดนก่อน”
“ไอ้ลูกหมา! แกล่อพ่อพระมาพังบ้านข้าเรอะ!!!”
ระหว่างนั้นเอง เสวี่ยจิงที่นั่งนิ่งในอ้อมแขนของเจ้าบ้านสกุลเจ็ดมาตลอดก็พลันเงยหน้าขึ้น สายตามองไปยังทางเข้าด้วยแววตาพราวระยับ พร้อมเอ่ยคำๆเดียวที่ทำให้ทุกคนในห้องโดยเฉพาะเฉินผีอาซื่อขนลุกเกรียว
“เตี่ย...”
งานงอกแล้วไง!!!!!!!
“อธิบายมาเดี๋ยวนี้”
เสียงของจางฉี่ซานเย็นเยียบ แต่สายตานั้นเย็นยิ่งกว่า ทุกคนในเก้าสกุลที่ได้ชื่อว่าโด่งดังที่สุดในฉางซาก้มหน้านิ่ง ไม่มีใครกล้าสู้สายตาโหดร้ายนั่นแม้แต่คนเดียว กระทั่งเอ้อร์เยว่หงผู้อาวุโสที่สุดยังไม่กล้าพูดสิ่งใด
“เตี่ย...ง่วง”
แล้วก็มีเสียงสวรรค์จากเทพธิดานามว่าจางเสวี่ยจิงดังขึ้น เด็กน้อยมุดเข้าไปซุกอกผู้เป็นพ่ออย่างน่านักน่าชังที่สุด จางฉี่ซานผ่อนลมหายใจพลางลุกขึ้นยืน สายตามองเหล่าคนต้นคิดลักพาตัวลูกสาวเขาอย่างคาดโทษก่อนจะเดินออกจากบ้านสกุลอู๋ไป
เมื่อพ้นสายตาพ่อพระแล้ว เอ้อร์เยว่หงก็ลงมะเหงกใส่ลูกศิษย์ของเขาทันที
“ไอ้เด็กบ้า! เกือบทำพวกข้าตายแล้วไหมเล่า!!!”
“ท่านอาจารย์ เจ็บ!!!”
หลังจากนั้น เรื่องราวของคุณหนูจางก็เป็นที่เลื่องลือไปทั่วฉางซาในเวลาอันสั้น
ทุกคนที่ยินล้วนสงสัย เด็กน้อยที่มีใบหน้าและแววตาราบเรียบคล้ายผู้เป็นบิดาคือใครกัน แล้วมารดาของเด็กคนนี้เล่า? เพราะรู้ทั้งรู้ว่าพ่อพระใหญ่จางไม่ได้แต่งงาน ตามนิสัยของเขาก็ไม่ใช่ชายที่จะไปมีเรื่องพรรค์นี้ได้
เวลาผ่านไปหลายปี เด็กน้อยที่เคยเห็นพ่อพระอุ้มไปไหนมาไหนก็เติบโตเป็นเด็กหญิงวัยสิบขวบ ด้วยว่าตอนที่จางฉี่ซานพบเธอในสุสานนั้น เก้าสกุลใหญ่เพิ่งโด่งดังได้ไม่กี่เดือน นับว่าเป็นของขวัญในความพยายามหลายปีของพวกเขาจริงๆ
จางเสวี่ยจิงเป็นเด็กฉลาด ฉลาดจนเรียกได้ว่าอัจฉริยะของเด็กในวัยเดียวกันเลยทีเดียว ความรู้เรื่องฮวงจุ้ย ชี้จุดถ้ำมังกรล้วนไม่เป็นสองรองใคร อีกทั้งยังสามารถอ่านภาษาโบราณในจารึกได้คล่องแคล่วราวกับเป็นภาษาของตน สายตาแหลมคมประหนึ่งเหยี่ยวมองเห็นจุดกลไกของสุสานได้แม่นยำราวจับวาง สองนิ้วที่ยาวเรียวกว่าคนปกติจิ้มนู่น ดันนี่ เท่านั้นการลงกรวยของพวกเขาก็จะปลอดอุปสรรค เลือดยังสามารถไล่แมลงร้ายในกรวยและสะกดผีดิบได้
แต่น้อยครั้งนักที่จางฉี่ซานจะให้บุตรสาวไปลงกรวยด้วย
เสี่ยวจิงอยู่กับสุสานมาทั้งชีวิตแล้ว เขาพาเธอออกมาจากที่นั่นก็เพื่อให้เธอเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่เครื่องมือในการขุดสุสาน
แต่ครั้งนี้...
จางฉี่ซานอาศัยไหล่ของลูกน้องคนสนิทพยุงร่างกลับมาถึงบ้านกลางดึก เขาเกรงจะมีข่าวเกี่ยวกับตนหากกลับมาตอนกลางวันจึงเลือกที่จะอาศัยช่วงเวลาที่ผู้คนหลับนอนกลับมาถึงบ้าน
เสวี่ยจิงยืนอยู่หน้าประตู ครั้นเห็นบิดาตนถูกพยุงกลับมาด้วยสภาพไม่สู้ดีนักก็เบิกตากว้าง แต่ไม่กล้าส่งเสียงร้องเพราะกลัวผู้อื่นแตกตื่น เด็กหญิงหันไปออกคำสั่งกับคนรับใช้ในบ้านให้เตรียมกะละมัง ผ้าพันแผลและยาสมานแผลเอาไว้ ก่อนจะปรี่เข้ามากอดร่างสูงเอาไว้
“ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร...” เขากล่าวเมื่อร่างเล็กที่กอดเอวเขาไว้สั่นน้อยๆ
เมื่อมาถึงห้องพัก เสี่ยวจิงก็ไล่คนรับใช้ทั้งหมดออกไป ในเวลาเดียวกับที่เขาปลดเครื่องแบบออก เผยให้เห็นรอยแผลนับไม่ถ้วนบนหน้าท้องและแผ่นหลังกำยำ รวมถึงรอยบาดลึกที่หน้าขาซึ่งเป็นเหตุที่เขาไม่สามารถประคองร่างตนเองได้
ผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนล้างคราบเลือดแห้งกรังที่ติดอยู่รอบๆแผลออก เด็กหญิงทำเช่นนั้นจนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าไม่มีเกล็ดเลือดแห้งติดอยู่ที่ไหนอีก จากนั้นจึงในผ้าสะอาดมาซับน้ำออก แล้วค่อยใส่ยาตามลำดับ
ยาของท่านเอ้อร์เป็นยาดี แต่ก็แสบมากเช่นกัน เสี่ยวจิงเคยใส่ครั้งหนึ่งตอนหกล้มเข่าถลอก แผลเล็กเพียงนั้นยังแสบจนน้ำตาไหลแล้ว แผลใหญ่ของเตี่ยไม่เจ็บเสียจนช็อกตายเลยหรือ
ร่างกายของพ่อพระใหญ่สั่นน้อยๆเมื่อยาขนานแสบนั้นซึมเข้าไป เสวี่ยจิงรู้จึงรีบทำแผลให้รวดเร็วแล้วนำผ้ายาวมาพันทับ มือน้อยที่เคยใช้ชี้จุดสุสานคล่องแคล่วนักยามทำแผลให้กับบิดา ไม่นานทั่วร่างของจางฉี่ซานก็เต็มไปด้วยผ้าพันแผลแต้มเลือดซึม
ระหว่างนั้น คนรับใช้ก็ยกสำรับข้าวต้มร้อนกรุ่นเข้ามา ต่างคนต่างก้มหน้างุด ไม่กล้ามองสองพ่อลูกแม้แต่แวบเดียวและรีบถอยกลับออกไปนอกห้องเมื่อทำหน้าที่ของตนเสร็จ
“กินนี่เถอะค่ะท่านพ่อ” เสี่ยวจิงเอ่ยเสียงราบเรียบ ทว่าทุกความรู้สึกกลับฉายชัดผ่านดวงตาสีเขียวประหลาด จางฉี่ซานไม่ได้ตอบรับ เพียงแต่อ้าปากกินข้าวต้มที่บุตรสาวป้อนให้ทีละคำๆจนกระทั่งหมดชาม ไม่นานพิษบาดแผลก็ทำให้เขาต้องหลับตาลง
ก่อนสติจะดับลง เขาได้ยินเสียงเล็กๆของเสี่ยวจิงเอ่ยกับคนใช้ให้เตรียมผ้าพันแผลและยาสมานแผลเอาไว้อีกชุดพร้อมเสื้อคลุมสำหรับออกไปข้างนอก
นางจะไปที่ใดกัน?
------------------------------------------------------------------------------------
ลำดับอายุของเก้าสกุลไม่ถูกจริงๆค่ะ รู้แค่ว่าปู่เอ้อร์อายุมากที่สุด(ใช่รึเปล่า)
ช่างแม่ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
- พาร์ทแรกค่ะ -
เสวี่ยจิงมาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านสกุลจางได้สามวันแล้ว
จางฉี่ซาน...ไม่สิ...เตี่ยสอนอะไรให้เธอหลายอย่างทีเดียว ทั้งคำศัพท์ คัดอักษร บางครั้งก็สอนให้อ่านผ้าไหมจารึก บ้างก็เอาหนังสือพิมพ์มาให้อ่านทีละข่าว ฝึกให้อ่านและพูดคล่องไปในตัว แต่เขาไม่ใช่คนที่ว่างงาน ในทางกลับกันเขาเป็นคนที่งานยุ่งที่สุดเท่าที่เสี่ยวจิงรู้จัก สามวันที่เขาหายไปจะกลับมาเสียหนหนึ่ง อยู่ได้เพียงไม่นานก็ต้องกลับออกไปอีก
ถึงจะมีคนรับใช้อยู่เป็นเพื่อน บ้างก็คอยสอนในเรื่องต่างๆที่ควรรู้ในชีวิตประจำวัน...แต่เสี่ยวจิงก็ยังรู้สึกเหงาอยู่ดี
คิดถึงเตี่ยจัง...
“โอ๊ะ นี่น่ะเหรอคุณหนูจางที่เขาร่ำลือกัน”
เสียงทุ้มห้าวที่ไม่คุ้นเคยปลุกสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดของเสวี่ยจิงขึ้นมา เด็กหญิงหันไปข้างหลังพร้อมดึงมีดเหล็กดำที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อออกมาจากฝัก ทว่ายังช้าไปสำหรับคนที่มีประสบการณ์มากกว่าและได้เปรียบทางด้านร่างกาย
เรียกว่าเสียเปรียบแทบทุกด้านทีเดียว
ยังไม่ทันจะได้จ้วงโจรบุกรุกบ้านสักที คอเสื้อด้านหลังของเสวี่ยจิงก็ถูกจับยกขึ้นสูงด้วยมือของใครบางคน
โจรบุกรุกบ้านคนแรกเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบกว่า
ใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยของแผลเป็น ดวงตาประกายฉายแววแข็งกร้าว ชวนให้นึกถึงพวกนักเลงริมถนนที่เตี่ยเคยบอกว่าอย่าไปยุ่ง ส่วนอีกคนนั้นเป็นชายอายุมากกว่า ท่าทางบอบบางอ้อนแอ้น แต่การเคลื่อนไหวกลับคล่องแคล่วและหนักแน่นเหมือนพวกที่ได้รับการฝึกวิทยายุทธ์
“แววตาใช้ได้เลยนี่” ชายที่จับคอเสื้อเธอแค่นยิ้ม
แววตา...?
“เป็นเด็กดีไปกินขนมกับพวกข้าที่บ้านเหล่าอู๋กันนะ^^”
เมื่อเฉินผีอาซื่อส่งข่าวไปยังคนที่เหลือก็เกิดการรวมตัวของเก้าสกุลที่บ้านหมาแก่ห้าทันที
เด็กน้อยผิวขาวจัดจนซีดนั่งอยู่บนตักของฮั่วเชียนกู เทพธิดาสกุลเจ็ดซึ่งเป็นหญิงหนึ่งเดียวในเก้าสกุล ดวงตาสีเขียวกระจ่างเหลือบซ้ายแลขวา มองดูผู้ใหญ่รอบตัวนั่งถกเถียงเรื่องบางอย่างกันอย่างเคร่งเครียดไม่น้อย
พวกเขาแนะนำตัวแล้ว แต่คนที่เธอชอบมากที่สุดในกลุ่มเก้าสกุลก็คืออู๋เหล่าโก่ว เจ้าของบ้านหลังนี้ เขาเป็นผู้ชายที่มีสัมผัสบริสุทธิ์ต่างจากคนอื่นๆ แม้จะมีกลิ่นอายของคนขุดสุสานอยู่บ้างแต่กลับไม่น่าอันตรายเท่าไร
“ทำแบบนี้พ่อพระจะไม่พังประตูบ้านเจ้ารึ...อาซื่อ” นางพญาสกุลเจ็ดถอนหายใจ
ครั้งแรกที่นางได้เห็นแววตาที่ฉาบอยู่ในสีเขียวกระจ่างคู่นั้น...ฮั่วเชียนกูนึกถึงจางฉี่ซาน
ช่างคล้ายกันจริงๆ เหมือนพ่อพระใหญ่ในร่างของเด็กหญิงตัวน้อย แววตาราบเรียบที่ไม่แสดงสิ่งใดนอกจากความใสกระจ่าง....ใสเสียจนมองไม่เห็นสิ่งใด
“...ถ้าจะพังประตู ข้าว่าบ้านเหล่าโก่วจะโดนก่อน”
“ไอ้ลูกหมา! แกล่อพ่อพระมาพังบ้านข้าเรอะ!!!”
ระหว่างนั้นเอง เสวี่ยจิงที่นั่งนิ่งในอ้อมแขนของเจ้าบ้านสกุลเจ็ดมาตลอดก็พลันเงยหน้าขึ้น สายตามองไปยังทางเข้าด้วยแววตาพราวระยับ พร้อมเอ่ยคำๆเดียวที่ทำให้ทุกคนในห้องโดยเฉพาะเฉินผีอาซื่อขนลุกเกรียว
“เตี่ย...”
งานงอกแล้วไง!!!!!!!
“อธิบายมาเดี๋ยวนี้”
เสียงของจางฉี่ซานเย็นเยียบ แต่สายตานั้นเย็นยิ่งกว่า ทุกคนในเก้าสกุลที่ได้ชื่อว่าโด่งดังที่สุดในฉางซาก้มหน้านิ่ง ไม่มีใครกล้าสู้สายตาโหดร้ายนั่นแม้แต่คนเดียว กระทั่งเอ้อร์เยว่หงผู้อาวุโสที่สุดยังไม่กล้าพูดสิ่งใด
“เตี่ย...ง่วง”
แล้วก็มีเสียงสวรรค์จากเทพธิดานามว่าจางเสวี่ยจิงดังขึ้น เด็กน้อยมุดเข้าไปซุกอกผู้เป็นพ่ออย่างน่านักน่าชังที่สุด จางฉี่ซานผ่อนลมหายใจพลางลุกขึ้นยืน สายตามองเหล่าคนต้นคิดลักพาตัวลูกสาวเขาอย่างคาดโทษก่อนจะเดินออกจากบ้านสกุลอู๋ไป
เมื่อพ้นสายตาพ่อพระแล้ว เอ้อร์เยว่หงก็ลงมะเหงกใส่ลูกศิษย์ของเขาทันที
“ไอ้เด็กบ้า! เกือบทำพวกข้าตายแล้วไหมเล่า!!!”
“ท่านอาจารย์ เจ็บ!!!”
หลังจากนั้น เรื่องราวของคุณหนูจางก็เป็นที่เลื่องลือไปทั่วฉางซาในเวลาอันสั้น
ทุกคนที่ยินล้วนสงสัย เด็กน้อยที่มีใบหน้าและแววตาราบเรียบคล้ายผู้เป็นบิดาคือใครกัน แล้วมารดาของเด็กคนนี้เล่า? เพราะรู้ทั้งรู้ว่าพ่อพระใหญ่จางไม่ได้แต่งงาน ตามนิสัยของเขาก็ไม่ใช่ชายที่จะไปมีเรื่องพรรค์นี้ได้
เวลาผ่านไปหลายปี เด็กน้อยที่เคยเห็นพ่อพระอุ้มไปไหนมาไหนก็เติบโตเป็นเด็กหญิงวัยสิบขวบ ด้วยว่าตอนที่จางฉี่ซานพบเธอในสุสานนั้น เก้าสกุลใหญ่เพิ่งโด่งดังได้ไม่กี่เดือน นับว่าเป็นของขวัญในความพยายามหลายปีของพวกเขาจริงๆ
จางเสวี่ยจิงเป็นเด็กฉลาด ฉลาดจนเรียกได้ว่าอัจฉริยะของเด็กในวัยเดียวกันเลยทีเดียว ความรู้เรื่องฮวงจุ้ย ชี้จุดถ้ำมังกรล้วนไม่เป็นสองรองใคร อีกทั้งยังสามารถอ่านภาษาโบราณในจารึกได้คล่องแคล่วราวกับเป็นภาษาของตน สายตาแหลมคมประหนึ่งเหยี่ยวมองเห็นจุดกลไกของสุสานได้แม่นยำราวจับวาง สองนิ้วที่ยาวเรียวกว่าคนปกติจิ้มนู่น ดันนี่ เท่านั้นการลงกรวยของพวกเขาก็จะปลอดอุปสรรค เลือดยังสามารถไล่แมลงร้ายในกรวยและสะกดผีดิบได้
แต่น้อยครั้งนักที่จางฉี่ซานจะให้บุตรสาวไปลงกรวยด้วย
เสี่ยวจิงอยู่กับสุสานมาทั้งชีวิตแล้ว เขาพาเธอออกมาจากที่นั่นก็เพื่อให้เธอเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่เครื่องมือในการขุดสุสาน
แต่ครั้งนี้...
จางฉี่ซานอาศัยไหล่ของลูกน้องคนสนิทพยุงร่างกลับมาถึงบ้านกลางดึก เขาเกรงจะมีข่าวเกี่ยวกับตนหากกลับมาตอนกลางวันจึงเลือกที่จะอาศัยช่วงเวลาที่ผู้คนหลับนอนกลับมาถึงบ้าน
เสวี่ยจิงยืนอยู่หน้าประตู ครั้นเห็นบิดาตนถูกพยุงกลับมาด้วยสภาพไม่สู้ดีนักก็เบิกตากว้าง แต่ไม่กล้าส่งเสียงร้องเพราะกลัวผู้อื่นแตกตื่น เด็กหญิงหันไปออกคำสั่งกับคนรับใช้ในบ้านให้เตรียมกะละมัง ผ้าพันแผลและยาสมานแผลเอาไว้ ก่อนจะปรี่เข้ามากอดร่างสูงเอาไว้
“ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร...” เขากล่าวเมื่อร่างเล็กที่กอดเอวเขาไว้สั่นน้อยๆ
เมื่อมาถึงห้องพัก เสี่ยวจิงก็ไล่คนรับใช้ทั้งหมดออกไป ในเวลาเดียวกับที่เขาปลดเครื่องแบบออก เผยให้เห็นรอยแผลนับไม่ถ้วนบนหน้าท้องและแผ่นหลังกำยำ รวมถึงรอยบาดลึกที่หน้าขาซึ่งเป็นเหตุที่เขาไม่สามารถประคองร่างตนเองได้
ผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนล้างคราบเลือดแห้งกรังที่ติดอยู่รอบๆแผลออก เด็กหญิงทำเช่นนั้นจนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าไม่มีเกล็ดเลือดแห้งติดอยู่ที่ไหนอีก จากนั้นจึงในผ้าสะอาดมาซับน้ำออก แล้วค่อยใส่ยาตามลำดับ
ยาของท่านเอ้อร์เป็นยาดี แต่ก็แสบมากเช่นกัน เสี่ยวจิงเคยใส่ครั้งหนึ่งตอนหกล้มเข่าถลอก แผลเล็กเพียงนั้นยังแสบจนน้ำตาไหลแล้ว แผลใหญ่ของเตี่ยไม่เจ็บเสียจนช็อกตายเลยหรือ
ร่างกายของพ่อพระใหญ่สั่นน้อยๆเมื่อยาขนานแสบนั้นซึมเข้าไป เสวี่ยจิงรู้จึงรีบทำแผลให้รวดเร็วแล้วนำผ้ายาวมาพันทับ มือน้อยที่เคยใช้ชี้จุดสุสานคล่องแคล่วนักยามทำแผลให้กับบิดา ไม่นานทั่วร่างของจางฉี่ซานก็เต็มไปด้วยผ้าพันแผลแต้มเลือดซึม
ระหว่างนั้น คนรับใช้ก็ยกสำรับข้าวต้มร้อนกรุ่นเข้ามา ต่างคนต่างก้มหน้างุด ไม่กล้ามองสองพ่อลูกแม้แต่แวบเดียวและรีบถอยกลับออกไปนอกห้องเมื่อทำหน้าที่ของตนเสร็จ
“กินนี่เถอะค่ะท่านพ่อ” เสี่ยวจิงเอ่ยเสียงราบเรียบ ทว่าทุกความรู้สึกกลับฉายชัดผ่านดวงตาสีเขียวประหลาด จางฉี่ซานไม่ได้ตอบรับ เพียงแต่อ้าปากกินข้าวต้มที่บุตรสาวป้อนให้ทีละคำๆจนกระทั่งหมดชาม ไม่นานพิษบาดแผลก็ทำให้เขาต้องหลับตาลง
ก่อนสติจะดับลง เขาได้ยินเสียงเล็กๆของเสี่ยวจิงเอ่ยกับคนใช้ให้เตรียมผ้าพันแผลและยาสมานแผลเอาไว้อีกชุดพร้อมเสื้อคลุมสำหรับออกไปข้างนอก
นางจะไปที่ใดกัน?
------------------------------------------------------------------------------------
ลำดับอายุของเก้าสกุลไม่ถูกจริงๆค่ะ รู้แค่ว่าปู่เอ้อร์อายุมากที่สุด(ใช่รึเปล่า)
Similar topics
» [Fic] My Snowflake (4)
» [Fic] My Snowflake (5)
» [Fic] My Snowflake (3)
» [Fic] My Snowflake -บทส่งท้าย-
» [SF] My Snowflake [จางฉี่ซาน+OC]
» [Fic] My Snowflake (5)
» [Fic] My Snowflake (3)
» [Fic] My Snowflake -บทส่งท้าย-
» [SF] My Snowflake [จางฉี่ซาน+OC]
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|
Fri 24 Jul 2020, 01:39 by gustoon
» [คู่มือด้วง] Keyword จีนสำหรับการขุด(แฟนดอม)สุสาน
Thu 21 Jun 2018, 00:29 by miskizfullmoon
» มังฮวาและภาคทิเบต
Thu 21 Jun 2018, 00:23 by miskizfullmoon
» [OS] Father is the best (ผิงเสีย)
Thu 03 Aug 2017, 16:12 by schneewittchen
» [Fic] สิ่งเล็กๆที่เชื่อมโลก5 [เมินโหยวผิง+อู่เสีย+เสี่ยอ้วน]+OC
Tue 01 Aug 2017, 12:30 by natsume
» [OS] #dmbjdaily (จูปาจุ๊บ) Bittersweet [ผิงเสีย AU]
Thu 06 Apr 2017, 15:58 by Zeth
» [OS] #dmbjdaily "โทรศัพท์มือถือ" - no Pairing [All]
Tue 04 Apr 2017, 22:27 by Zeth
» [OS] #DMBJDaily (แว่น): ระยะที่มองไม่เห็น [ฮัวเสีย]
Sat 01 Apr 2017, 16:55 by Zeth
» [OS] #DMBJdaily (5.20) ท่านยอดฝีมือ [หวังเหมิง (+เหมิงเสีย)(+ผิงเสีย)]
Thu 30 Mar 2017, 17:24 by Zeth