Countdown
We've been
togerther for
ค้นหา
Latest topics
Most active topics
[SF] ความทรงจำของหิมะ [ผิงเสีย/เฮยฮัว] [1/3]
+2
Duke_of_Florence
faliona01
6 posters
หน้า 1 จาก 1
[SF] ความทรงจำของหิมะ [ผิงเสีย/เฮยฮัว] [1/3]
Title: ความทรงจำของหิมะ 1/3
Fandom : Daomu Biji , บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน
Pairing : [ผิงเสีย/เฮยฮัว]
Rate : Ra/te (แหกเรทออกมา เพราะไม่รู้จะให้เรทอะไรดี)
หมายเหตุ : ใคร!!! ใครบอกจะอ่านอู๋เสียกับเมินโหยวผิง วิ่งข้ามเขาหิมะบอกรักกันมีประตูสำริดสอดส่อง ไม่มี๊!!! นี้ไม่ใช่หนังอินเดียไม่ต้องวิ่งข้ามเขา
แต่เรามาวิ่งเข้าหอนางโลมกันดีกว่า (โดนตบ)
ใครหวังจะอ่านอะไรเกี่ยวกับนวลนางหอนางโลมก็ขอให้ซึมเศร้าไปนิดๆ เรื่องนี้เพนตากล้องไปที่การใช้ชีวิตของอู๋เสีย
3 ช่วงวัยแห่ง ฤดูหนาวคะ (ตบมือแปะๆ)
ขอบคุณที่หลงเข้ามาอ่านคะ กราบ.........
=======================================================
หนาวที่ 1
เมืองหลวงย่านราตรีมีสถานที่อโคจรมากมาย สถานที่นี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะดีเลว งดงามหรือต่ำช้า สถานที่นี้ก็เหมือนเป็นฉากส่วนหนึ่งของเมืองทั่วๆไป นี้! คุณอยากฟังไหม? ผมจะเล่านิทานเรื่องสั้นให้คุณฟังเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าคุณจะชอบไหม แต่ผมคิดว่ามันสนุกดีและผมก็พอใจในเรื่องนี้ไม่เลวเหมือนกัน ถ้าชอบละก็ พอฟังจบแล้ว คุณลองบอกผมหน่อยสิว่า ในนิทานเรื่องนี้คุณคิดว่ามันเป็นอย่างไร…
วันนั้นเป็นหิมะตกคืนแรกของปี อากาศหนาวจนควันลอยล่องตามการหายใจ เด็กน้อยคนหนึ่งในชุดสีชมพูกระโปรงบาน อายุประมาณ 8 ปี ชายเสื้อยาวลากพื้นเหมือนเพิ่งกลับมาจากการฝึกรำจากสถานที่สักแห่ง ที่เอวน้อยๆห้อยพวกหยกขาวรูปบุปผาของหอนางโลมแห่งหนึ่ง สลักอักษรขึ้นชื่อถึงหอเริงรมย์ที่ใหญ่ที่สุดในเมือง
เด็กสาวตัวน้อยยิ้มด้วยสีหน้าแปลกประหลาดยามมองเห็นเด็กชายคนหนึ่งยืนเฝ้าอยู่ตรงประตูท่ามกลางหิมะตกหนักโดยไม่มีร่มกางกั้นเพื่อไม่ให้หิมะทับถมบนศีรษะ มือคู่โตกำลังยกขึ้นแนบริมฝีปากเป่าลมหายใจใส่และถูมือไปมาท่ามกลางอากาศหนาวเย็น เอนกายแนบกำแพงคล้ายรอใครอยู่ ตาคู่โตมองดูแข็งกร้าวไม่ยอมใคร ร่างกำยำไม่น้อยของเด็กชายสั่นเทาก่อนจะลิงโลดเมื่อเห็นเด็กสาวในชุดชมพูเดินมาถึง
“เสี่ยวฮัว!! ทำไมพึ่งกลับมา แม่ใหญ่โกรธมากที่นายหายไปตอนส่งคนไปรับ ว่าแต่… นายหอบอะไรมาด้วย” เด็กชายอายุ 12 ปี ใบหน้ามีรอยแผลเป็นที่ข้างแก้มยืนเป่าปากมองดูเด็กสาวตัวเล็กที่กางร่มกระดาษ เดินมาด้วยท่าทางเอนเอียง คล้ายกับกลัวของในมือหล่นตกพื้นแตกหักเสียหาย
เด็กชายรีบเข้ามาถือร่มให้ ก้มหน้ามองดูของในอ้อมแขนของเด็กสาวที่ถูกห่อไว้ด้วยผ้านวมสีขาวผืนโตแน่นหนา มือค่อยๆยกมาเขี่ยๆผ้าออก ก่อนจะพบดวงหน้าขาวนวลอีกหน้าหนึ่งในอ้อมแขนเด็กสาว กำลังหลับสนิทไม่ร้องไห้โวยวายก็แหกปากลั่น
“ชิบหาย! เสี่ยวฮัว นายเก็บเด็กมาทำไม!!! รีบเอาไปวางไว้ที่เดิมเลย แม่ใหญ่เจอเข้า นางเอานายตายแน่!”
เด็กสาวมองคนตรงหน้าที่สูงกว่าตนไม่น้อยกำลังทำหน้าตื่นตระหนกก็ไม่พูดอะไร สีหน้านิ่งเรียบแต่กล่าวตอบอย่างยิ้มแย้มว่า
“พานจื่อ นายช่วยตามพี่สาวแซ่อู๋ให้ที ข้ามีเรื่องรบกวนนางแล้ว”
ยามค่ำคืนของย่านเริงรมย์เป็นเวลาทำงานของเหล่าผู้ใช้ชีวิตในกลางคืน หอบุปผาฮัวม่านโหลวจัดเป็นหนึ่งในสถานเริงรมย์ที่ขึ้นอยู่เกือบใจกลางเมือง นอกจากจะใหญ่ที่สุดแล้ว ยังเต็มไปด้วยสาวงามหลากหลายที่หากบุรุษใดย่างเท้าเข้ามายังแดนบุบผาแห่งนี้แล้วต้องอดใจไม่ไหวหวนกลับมาอีกรอบ
วันนั้นหิมะตกหนักที่สุดในรอบปี เด็กน้อยทารกตัวขาวเหมือนก้อนแป้งถูกนำเข้ามายังที่แห่งนี้ท่ามกลางความวุ่นวายของเหล่าหญิงสาวที่พากันลุมล้อมจ้องมองพูดคุยปรึกษากันไม่หยุด เจ้าตัวน้อยนอนหลับสนิทในอ้อมแขนของหญิงสาวนางหนึ่งอายุประมาณ 20 ปี โดยไม่มีท่าทีจะตื่นขึ้นมาร้องไห้ท่ามกลางความเสียงดังของสถานที่
เสียงขับกล่อมโห่เอ่ดังประโลม ดรุณีน้อยในชุดฟ้ากอดเจ้าก้อนแป้งในมือยิ้มบางเบาและอ่อนโยนถอดสายตาอบอุ่นมองลงมา มือเรียวดั่งลำเทียนสวมใส่แหวนหยกและเครื่องประดับมากมายกำลังตบมือโยกตัวเบาๆกล่อมเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนให้หลับอย่างสุขสงบ ห้องสีแดงตกแต่งเครื่องเรือนทองคำภายในนี้อากาศอุ่นกว่าข้างนอกมากนัก
“เสี่ยวฮัว! นายบอกมาเดี๋ยวนี้ว่าไปเอาเด็กทารกนี้มาจากไหน”
เหล่าหญิงสาวในชุดเสื้อผ้าหลากสีสันลุมล้อมเด็กสาวตัวน้อยในชุดชมพูซึ่งกำลังกัดขนมไหว้พระจันทร์บนโต๊ะกลางห้องอย่างเอาเรื่อง มีสตรีบางคนตั้งท่าจะเดินเข้าไปหยอกล้อเจ้าก้อนแป้งขาว แต่ถูกสตรีสาวเสื้อฟ้าขมวดคิ้วมอง หันกายหนีส่ายหน้ายิ้มๆเป็นการปฎิเสธ
“ข้าเก็บมา” เด็กสาวกลืนลงไปอีกคำ “จากรังหมาข้างบ้านคนขายเต้าหู้ ข้าตั้งใจจะเดินกลับเพราะรำคาญยัยแกที่คอยตามจิกเหลือเกิน เห็นเจ้าเด็กนี้ร้องอ้อแอ้อยู่กับไอ้ดำตัวโตก็เลยสงสาร อุ้มกลับมาด้วย”
พอจบคำเด็กสาวตัวน้อยก็โดนก่นด่าด้วยคำพรุสวาทมากมาย รวมถึงการให้นำเด็กกลับไปคืนใส่ในรังหมาเหมือนเดิม
ไม่ทันที่จะวุ่นวายมากกว่านี้ ประตูห้องแดงก็ถูกเปิดออก เด็กชายในชุดดำชุนชายขอบเสื้อด้วยขนจิ้งจอกก็ก้าวเข้ามา วัยอายุประมาณ 11 ปี ดวงตาร่าเริงสดใสหากแต่แก้วตานั้นกลับมีสีเทาขาว คล้ายมืดบอด
“เพ้ย! เสียวฮัวคนสวย ได้ข่าวนายคลอดลูกมาคนนึงหรอ” เด็กชายวิ่งเข้าห้องมาพร้อมซาลาเปาในมือส่งควันหอมฉุย ก่อนจะถูกจับตัวขึ้นอุ้มโดยเหล่าหญิงสาวในห้องที่ส่งเสียงหัวเราะโวยวายหลังฟังคำกล่าว
“แม่เจ้าสิคลอด! เจ้าบอดเฮยเสียจื่อ!! ข้าเป็นผู้ชายจะไปคลอดได้ยังไงกัน!!” เด็กสาวตวาดใส่ ใบหน้าฉุนเฉียว ต่างจากเจ้าเด็กน้อยผมดำตัดสอยที่ยิ้มระรื่น แสร้งทำท่าเสียใจ
“หวา…!! พี่สาว เสี่ยวฮัวตวาดข้า” เด็กน้อยหดตัวแต่ทำหน้าทะเล้นคล้ายพอใจที่ได้แกล้ง ยกมือปิดตาแต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากเจ้าตัว “ตาข้าไม่ได้บอดเสียหน่อย แค่มองไม่ชัดแค่นั้นเอง”
เฮยเสียจื่อเป็นคุณชายอายุเยาว์ผู้หนึ่ง แต่เนื่องด้วยเกิดมามีดวงตาคล้ายมืดบอด คนในตระกูลจึงทอดทิ้งมีชีวิตเหมือนตาย แต่กลับไม่ยอมแพ้ชะตาก้าวเข้ามายังสถานที่อโคจรแห่งนี้ แอบรับจ้างเช็ดเครื่องเรือนและซื้อของเล็กๆน้อยๆให้หญิงสาวในหอแห่งนี้แลกกับเงินทองไม่กี่ตำลึง
ก่อนที่ทุกอย่างจะวุ่นวายไปมากกว่านี้ หญิงสาววัยกลางคนผู้หนึ่งก็ก้าวเข้ามา เหล่าสตรีเมื่อเห็นนางเข้ามาก็ถอยกายหลบไปยืนห่างๆ เสี่ยวฮัวที่เห็นคนตรงหน้าก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ปัดมือไล่เศษขนมยิ้มแผล่ ต่างจากหญิงสาวที่หน้าบึ้ง พัดในมือหุบเข้าหุบออกท่าทางไม่พอใจ
“บอกข้ามาสิว่าเกิดอะไร สารภาพมาสิ” หญิงสาวเอ่ยราบเรียบแต่แฝงแววกดดัน มองเสี่ยวฮัวที่คล้ายทำตัวไม่ทุกข์ร้อนอะไร
“ก็แค่เด็กคนหนึ่ง”
“แล้วเจ้ากล้าดียังไงถึงได้เอาเด็กมาโดยไม่ขออนุญาตจากข้า!!” หญิงสาวตวาดเกรี้ยวกราด วาดมือจับแขนขาวๆของเสี่ยวฮัวและฟาดฝ่ามืออีกข้างตบหน้าเสี่ยวฮัวจนขึ้นรอยแดง 5 นิ้วมือ เสียงดังลั่นห้อง
“หรือท่านจะปล่อยให้เจ้าหนูนี้นอนตายอยู่ข้างถนนกัน!!” เด็กชายในชุดหญิงสาวตะโกนลั่นไม่ยอมแพ้จึงถูกตบหน้าไปอีกรอบ ก่อนที่เสียงกราดเกรี้ยวของสตรีวัยกลางคนจะเอ่ยบอกให้หน้าชากว่าเก่า
“แล้วเจ้าที่เอาเขามาเลี้ยงโดยไม่มีหลักประกันอะไรเลย พาเขามายังสถานที่แห่งนี้ บอกข้าสิเสี่ยวฮัว ว่าชีวิตของเจ้าเด็กนี้ต่อไปในอนาคตไม่เท่ากับตายทั้งเป็นเหมือนกัน”
ความเงียบปกคลุมไปชั่วอึดใจ หญิงสาวมากมายฟังจบก็ก้มหน้าเศร้าสลดไม่พูดจา เฮยเสี่ยจื่อถูกหญิงนางหนึ่งอุ้มพาออกไปนอกห้องท่ามกลางเจ้าตัวที่โวยวายดิ้นรนจะไปหาเสี่ยวฮัวที่ยืนกุมแก้มพูดไม่ออก
ทั้งห้องนิ่งเงียบ น้ำตาค่อยๆหยดลงบนพื้นที่ละหยด ก่อนเสียงร้องไห้จะตามมา พูดเสียงเครือ
“เราเลี้ยงเขาไว้ไม่ได้จริงๆหรือแม่ใหญ่……”
หญิงสาวมองเด็กน้อยที่ก้มหน้าร้องไห้เช็ดน้ำตาก็ถอนหายใจ นางโบกมือเรียกชายร่างกำยำเข้ามาคนหนึ่งสั่งให้พาเด็กกลับไปวางที่เดิม ในรังหมาข้างถนน ข้างร้านคนขายเต้าหู้
เจ้าก้อนแป้งเหมือนจะถูกเสียงดังและบรรยากาศแปลกๆลุมล้อมก็ทนไม่ไหวร้องไห้จ้าออกมาฟังบาดหูเหลือเกิน เสี่ยวฮัววิ่งไปกำชายเสื้อชายร่างยักษ์กรีดร้องทั้งน้ำตาว่าอย่าเอาไปแต่กลับไม่ได้รับการเหลียวแลแม้แต่นิด
เด็กน้อยถูกกึ่งกระชากกึ่งอุ้มออกจากอ้อมอกของหญิงสาวเสื้อฟ้าที่หน้าซีดทำอะไรไม่ถูกค่อยๆมองเจ้าก้อนแป้งในมือนางถูกพรากไปท่ามกลางเสียงร้องไห้ของเด็กทารก และเสียงกรีดร้องคร่ำครวญของเสี่ยวฮัวที่ร้องไห้อ้อนวอนอยู่ในอ้อมกอดของหญิงสาวนางโลม
ขณะที่ชายร่างสูงกำลังเดินไปถึงประตูห้องใกล้จะจากไป คล้ายนางตัดสินใจได้ ลุกขึ้นยืนตวาดเสียงดัง
“ส่งเด็กคืนมาให้ข้า!!!”
เหล่าหญิงสาวอ้าปากตะลึงงันมองอย่างตกใจ ขณะที่สตรีเสื้อฟ้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปอุ้มเด็กน้อยที่ร้องไห้เสียงแสบหูมาไว้ในอ้อมกอด ขับกล่อมโอ้เห่บอกว่าไม่เป็นไรๆซ้ำไปมา คล้ายว่าเจ้าก้อนแป้งจะรู้ว่าใครอุ้มมัน เสียงร้องไห้งอแงจึงหยุดลง หญิงสาวยิ้มบางเบาเดินมายืนถึงกลางห้อง จ้องหน้ากับแม่เล้าแห่งหอฮัวม่านโหลว
“แม่นางอู๋ เจ้าจะทำอย่างนี้ไม่ได้ เชื่อข้าเถอะปล่อยเด็กไป” นางเริ่มโอ้โลมบอกกล่าว มองหญิงสาวชุดฟ้าที่ไม่สนใจไยดี ตบหลังทารกน้อยให้หลับลึกกว่าเดิม
“พี่สาวเห็นแก่ข้าได้ไหม หอบุปผาของเรามั่งมีพอแล้ว ไยจะเลี้ยงเด็กสักคนหนึ่งไม่ได้”
“แม่นางอู๋… ไม่ใช่ว่าข้าใจดำ แต่เจ้าทำแบบนี้ไม่ควรอย่างยิ่ง”
“งั้นท่านลองบอกข้าทีว่าอันใดที่ไม่ควร เงินทองหรือชื่อเสียง”
หญิงวัยกลางคนทำหน้าเหนื่อยหน่ายเริ่มเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก จ้องมองสตรีชุดฟ้าแซ่อู๋ สตรีตรงหน้าเป็นนางโลมอันดับ 1 ของหอฮัวม่านโหลว กับนางที่เป็นแม่เล้าของหอ หากกระทบกระเทียบกันก็คงค้าขายกันไม่ขึ้น
นัยน์ตาหงส์ตวัดวาบใบหน้าคล้ายเทพเซียนสตรีมองอย่างคาดคั้น เงินทองเฉพาะของนางเองก็มีพอไถ่ตัวไม่รู้ว่าเท่าใดแล้ว กับแค่เด็กคนหนึ่งมันคงไม่กระเทือนเท่าใด
“หากว่าท่านเห็นแก่ข้า พี่สาว… เจ้าหนูนี้ให้เลี้ยงเอาไว้เถอะ อย่างน้อยมันโตขึ้นก็ยังพอใช้งานได้ หากมันโตมาสูงใหญ่กำยำก็ยังนับว่าเป็นมือเป็นเท้าให้หอเรา คุ้มกันพวกเรา แต่หากมันโตมางดงามเช่นเสี่ยวฮัวก็ให้มันไปฝึกดีดพิณร้องเพลงและร่ายรำเหมือนพวกหญิงสาวในหอเราแบบนี้ก็นับว่าไม่เสียอะไรแม้แต่นิด หรือท่านว่าไม่จริง?”
อ้อมแขนกอดกระชับเหมือนนางได้ตัดสินใจแล้ว เสี่ยวฮัวที่ได้ฟังนางกล่าวก็ยิ้มหน้าบานกล่าวประสมโรงลงไป สตรีในห้องทั้งหลายคล้ายกลั้นมโนธรรมไม่ไหวกล่าวช่วยอีกแรง
“ให้พวกเราผลัดกันเลี้ยงก็ได้แม่ใหญ่ เขาตัวนิดเดียวคงไม่เป็นปัญหา”
“เจ้าหนูนี้เลี้ยงง่ายไม่งอแง แม่ใหญ่ได้โปรดเถอะเห็นแก่เด็กคนหนึ่ง ปีนี้หนาวหนัก ท่านจะทำใจดำ ทอดทิ้งเขาได้หลงเชียวหรือ?”
คล้ายกับโชคชะตาได้ขีดเส้นกำหนดเอาไว้แล้ว แม่เล้าที่มองเหล่าสตรีโวยวายอ้อนวอนก็กุมหัวโบกมือลง กล่าวเสียงฮึดฮัด ใจจริงนางเองก็ไม่อยากทำเหมือนกันยามมองเจ้าตัวน้อยในหอผ้า แต่กลัวว่าจะทำให้คนทั้งหอเดือดร้อน เอาเถอะ! ตามเวรตามกรรมก็แล้วกัน
“เอ้า! เลี้ยงก็เลี้ยง! แต่อย่าให้ไปรบกวนถึงหูแขกเข้าละ ไม่งั้นอย่าหาว่าข้าใจดำ!! แม่นางอู๋ ทีนี้ก็ตามใจเจ้า ตั้งชื่อเขามาสักชื่อเลี้ยงเอาไว้ ข้ายอมแล้ว ข้ายอมแล้ว เห้อ!”
หญิงสาวกุมหน้าโบกพัดคล้ายเหนื่อยหน่ายใจท่ามกลางเสียงยินดีของเหล่านางโลมในห้องแดง และคำขอบคุณแผ่วเบาของหญิงสาวเสื้อฟ้า
ค่ำนั้นเด็กน้อย ‘อู๋เสีย’ ได้ถูกตั้งชื่อและผลัดกันเลี้ยงดูเรื่อยมาท่ามกลางความรักของเหล่านางโลมที่ทุ่มเทให้ เหมือนปลอบโยนจิตใจอันอ้างว้างกลางสถานที่แห่งนี้
หลายปีผ่านไปเด็กน้อยโตขึ้นมาก สตรีแซ่อู๋ถูกมันให้การคำนับเป็นทั้งเพื่อนเป็นทั้งอาจารย์และเป็นทั้งแม่ของตัวเอง เด็กน้อยโตมาด้วยใบหน้าละม้ายคล้ายหญิงสาวที่เลี้ยงดูมากนักเพียงแต่ว่าคนละเพศกันเท่านั้น
อู๋เสียถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรักจากทุกคน ความสามารถเริ่มฉายชัดเพียงอายุได้ 6 ปี ก็สามารถดีดกู่เจิงและเล่นดนตรีได้มากมายหลากหลาย ด้วยวัยเพียง 6 ขวบเท่านั้น
ดนตรีและการอ่านหนังสือได้แม่นางอันดับ 1 แห่งหอฮัวม่านโหลวเป็นผู้สอน การร่ายรำและขับร้องได้เซี่ยอวี้ฮัวนักขับร้องและนักแสดงอันดับ 1 ของเมืองมาดูแล บอกได้เพียงว่าคงไม่มีใครจะตามทัน
ยิ่งได้เฮยเสียจื่อที่กลายเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นช่วยสอนเรื่องต่างๆแล้วคงพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ยามใดโตขึ้นมาคงไม่มีใครเทียมทันมันอีกต่อไป
หลังจากนั้นพอมันอายุได้ 16 ปี ชื่อเสียงของมันก็คงไม่ต้องพูดถึง แค่นับเงินค่าตัวการแสดงของมันคืนหนึ่งก็แทบจะชดใช้เงินในการเลี้ยงดูตั้งแต่ทารกได้จนสิ้นในทีเดียว
“อู๋เสีย ดีดเพลงให้ข้าฟังหน่อยสิ” เสียงเบื่อหน่ายเอ่ยขึ้นมา พบเพียงชายคนหนึ่งในชุดสีชมพูที่เจ้าตัวชมชอบใส่หนักหนากำลังนอนหมอบกลิ้งไปมาคล้ายวิญญาณหลุดออกจากร่างด้วยความเบื่อหน่ายและร้อนเร้ากลางบรรยากาศฤดูร้อนนี้
“เดี๋ยวเถอะ เสี่ยวฮัว ใครใช้ให้นายลงไปนอนกลิ้งกับพื้นแบบนั้น ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย” ชายหนุ่มในชุดสีฟ้าเดินเข้ามากึ่งดึงกึ่งกระชากหากแต่คนที่นอนอยู่คล้ายได้ใจ ทิ้งน้ำหนักลงไปกว่าเดิม ดึงขึ้นมาลำบากมาก
คล้ายพี่น้องต่างวัยกำลังเล่นกันเสียงหัวเราะดังยาวไปทั่วทางเดิน เสี่ยวฮัวกระชากอู๋เสียลงมากอดและกลิ้งไปด้วยกันบนพื้นร้องโวยวายกันอย่างสนุกสนาน ก่อนประตูห้องจะถูกเปิดและหญิงสาวในชุดสีฟ้าที่ยามนี้ยังคงสดสวยงดงามเหมือนกาลก่อน บัดนี้ไถ่ถอนตัวเองออกจากการเป็นนางโลมกลายมาเป็นอาจารย์สอนศิลปะต่างๆให้กับเหล่าหญิงสาวที่ถูกโชคชะตาเล่นตลกกลายมาเป็นนางโลมในหอแห่งนี้
“เอ้า! 2 คนนี้ ลงไปเล่นอะไรกันบนพื้น เปื้อนฝุ่นหมดแล้ว ลุก ลุก!”
“แม่!/พี่สาว!”
ยิ่งกว่าดีใจ อู๋เสียและเสี่ยวฮัวนับเป็นลูกศิษย์ที่ถูกเลี้ยงมาโดยมือคู่นั้น ยามเห็นคนตรงหน้ายิ่งให้การเคารพมากกว่าเทพเจ้า พุ่งไปคำนับและสวมกอดประจบเอาใจ
“ท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน นี้ยังไม่ใช่เวลาที่นัดกันไว้เลย” อู๋เสียกอดแน่นกล่าวอย่างยิ้มแย้มต่างจากเสี่ยวฮัวที่ยกมือเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเอง
“แม่จะมาหาลูกชายตัวเองมันต้องมากันเฉพาะตอนเรียนหรือยังไง” มือหยกคู่นั้นยกขึ้นหยิกแก้มลูกชายตัวดีของนางอย่างหมันเขี้ยว ผ้าเช็ดหน้าถูกยกขึ้นมาลูบหน้าลูบตาเจ้าตัวที่ได้แต่อ้อนอย่างอารมณ์ดี “ไหน เช็ดหน้าเช็ดตาหน่อยสิ เดี๋ยวใครมาเห็นว่าสุดยอดนักแสดงของหอเราหน้าเปื้อนฝุ่นเพราะไปกลิ้งกับพื้น เขาจะหาว่าที่นี้ไม่ได้ปัดกวาดเช็ดถูกันพอดี”
“พี่สาววันนี้อากาศร้อน แท่นที่จะมาฟังอู๋เสียเล่นดนตรี สู้ออกไปเดินดูของให้หายเหนื่อยไม่ดีกว่าหรอ” เสี่ยวฮัวว่า ต่างจากอู๋เสียที่ขมวดคิ้วเหมือนนึกขึ้นได้
“ว่าแต่วันนี้เฮยเสียจื่อมีแข่งร่างแผนสงครามไม่ใช่หรอ นายไม่ไปเชียร์จะดีหรือไง เดี๋ยวเจ้าตัวก็บ่นว่าถูกนายเมินอีกหรอ”
“ไม่ต้องไปก็รู้ผลอยู่แล้ว ไอ้คนที่สอบเข้าตำแหน่งบุ๋นเพื่อก้าวไปตำแหน่งบู้โดยที่ไม่อยากผ่านการร่วมสงครามเพื่อเป็นแม่ทัพแบบนั้น คนเจ้าเล่ห์พรรณนั้นเสียเวลาไปดูเปล่าๆ”
“ไม่ใช่ว่าทำของกินฝากพวกหน้าประตูไปส่งให้แล้วหรือไง เสี่ยวฮัว” หญิงสาวแอบหยอกถึงเรื่องที่นางรู้มา
เสี่ยวฮัวหน้าตึงเล็กน้อย ความจริงอู๋เสียรู้มาตั้งนานแล้วว่าเสี่ยวฮัวถูกเฮยเสียจื่อบังคับไถ่ตัวออกมาจากหอนานแล้ว เพียงแต่ที่เจ้าตัวยังทำตัวติดแหงกไม่ยอมไปไหนก็คงเป็นเพราะเขาที่ถูกจองจำอยู่ในหอนี้ เพียงเพราะคำว่า บุญคุณที่เลี้ยงดูมา ไม่ใช่ว่ากลัวเขาเหงา แต่เป็นห่วงว่าเขาจะถูกแขกลากเข้าห้องต่างหาก
อันที่จริง พี่พานจื่อ สอนเขาในด้านการต่อสู้มากมายรวมทั้งวรยุทธต่างๆ ส่วนไอ้เรื่องแขกลากเขาเข้าห้องก็ใช่ว่าจะไม่เคยมี แต่แขกคนนั้นถูกเขาใช้วรยุทธที่เรียนมาจากพานจื่อซัดกระเด็นตกชั้น 2 ตกลงมาเกือบตายต่างหาก นับแต่นั้นก็ไม่มีใครกล้าล้วงเกินเขาอีกเลย
“ไปเชียร์ด้วยตัวเองกับไปเอาของไปส่งให้แต่ไม่เห็นหน้า แบบนั้นไม่เรียกว่าเชียร์หรอกนะ” ท่านแม่พูดหยอกเย้า เขาเลยร่วมผสมโรง
“น่าสงสารเฮยเสี่ยจื่อ แค่ตอนนี้ถูกที่บ้านกดดันเพราะเห็นว่าทำประโยชน์ได้ก็ลำบากแล้ว ยิ่งไม่มีใครให้กำลังใจยิ่งน่าสงสารใหญ่” ผมว่าเอ่ยเปรยๆ ต่างกับท่านแม่ที่เล่นท่าทางคล้ายร่ำไห่ บอกว่าเสียจื่อน่าสงสารเหลือเกิน เสียจื่อช่างน่าสงสารจริงๆ
“แล้วทำไมเหมือนฉันผิดอยู่คนเดียว” เสียงโอดครวญของเสี่ยวฮัวดังเบาๆ
สุดท้ายเรา 3 คนก็พร้อมใจกันโดดร่มหนีการซ้อมมุ่งเข้าวังไปหาเฮยเสียจื่อแทน
Fandom : Daomu Biji , บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน
Pairing : [ผิงเสีย/เฮยฮัว]
Rate : Ra/te (แหกเรทออกมา เพราะไม่รู้จะให้เรทอะไรดี)
หมายเหตุ : ใคร!!! ใครบอกจะอ่านอู๋เสียกับเมินโหยวผิง วิ่งข้ามเขาหิมะบอกรักกันมีประตูสำริดสอดส่อง ไม่มี๊!!! นี้ไม่ใช่หนังอินเดียไม่ต้องวิ่งข้ามเขา
แต่เรามาวิ่งเข้าหอนางโลมกันดีกว่า (โดนตบ)
ใครหวังจะอ่านอะไรเกี่ยวกับนวลนางหอนางโลมก็ขอให้ซึมเศร้าไปนิดๆ เรื่องนี้เพนตากล้องไปที่การใช้ชีวิตของอู๋เสีย
3 ช่วงวัยแห่ง ฤดูหนาวคะ (ตบมือแปะๆ)
ขอบคุณที่หลงเข้ามาอ่านคะ กราบ.........
=======================================================
หนาวที่ 1
เมืองหลวงย่านราตรีมีสถานที่อโคจรมากมาย สถานที่นี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะดีเลว งดงามหรือต่ำช้า สถานที่นี้ก็เหมือนเป็นฉากส่วนหนึ่งของเมืองทั่วๆไป นี้! คุณอยากฟังไหม? ผมจะเล่านิทานเรื่องสั้นให้คุณฟังเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าคุณจะชอบไหม แต่ผมคิดว่ามันสนุกดีและผมก็พอใจในเรื่องนี้ไม่เลวเหมือนกัน ถ้าชอบละก็ พอฟังจบแล้ว คุณลองบอกผมหน่อยสิว่า ในนิทานเรื่องนี้คุณคิดว่ามันเป็นอย่างไร…
วันนั้นเป็นหิมะตกคืนแรกของปี อากาศหนาวจนควันลอยล่องตามการหายใจ เด็กน้อยคนหนึ่งในชุดสีชมพูกระโปรงบาน อายุประมาณ 8 ปี ชายเสื้อยาวลากพื้นเหมือนเพิ่งกลับมาจากการฝึกรำจากสถานที่สักแห่ง ที่เอวน้อยๆห้อยพวกหยกขาวรูปบุปผาของหอนางโลมแห่งหนึ่ง สลักอักษรขึ้นชื่อถึงหอเริงรมย์ที่ใหญ่ที่สุดในเมือง
เด็กสาวตัวน้อยยิ้มด้วยสีหน้าแปลกประหลาดยามมองเห็นเด็กชายคนหนึ่งยืนเฝ้าอยู่ตรงประตูท่ามกลางหิมะตกหนักโดยไม่มีร่มกางกั้นเพื่อไม่ให้หิมะทับถมบนศีรษะ มือคู่โตกำลังยกขึ้นแนบริมฝีปากเป่าลมหายใจใส่และถูมือไปมาท่ามกลางอากาศหนาวเย็น เอนกายแนบกำแพงคล้ายรอใครอยู่ ตาคู่โตมองดูแข็งกร้าวไม่ยอมใคร ร่างกำยำไม่น้อยของเด็กชายสั่นเทาก่อนจะลิงโลดเมื่อเห็นเด็กสาวในชุดชมพูเดินมาถึง
“เสี่ยวฮัว!! ทำไมพึ่งกลับมา แม่ใหญ่โกรธมากที่นายหายไปตอนส่งคนไปรับ ว่าแต่… นายหอบอะไรมาด้วย” เด็กชายอายุ 12 ปี ใบหน้ามีรอยแผลเป็นที่ข้างแก้มยืนเป่าปากมองดูเด็กสาวตัวเล็กที่กางร่มกระดาษ เดินมาด้วยท่าทางเอนเอียง คล้ายกับกลัวของในมือหล่นตกพื้นแตกหักเสียหาย
เด็กชายรีบเข้ามาถือร่มให้ ก้มหน้ามองดูของในอ้อมแขนของเด็กสาวที่ถูกห่อไว้ด้วยผ้านวมสีขาวผืนโตแน่นหนา มือค่อยๆยกมาเขี่ยๆผ้าออก ก่อนจะพบดวงหน้าขาวนวลอีกหน้าหนึ่งในอ้อมแขนเด็กสาว กำลังหลับสนิทไม่ร้องไห้โวยวายก็แหกปากลั่น
“ชิบหาย! เสี่ยวฮัว นายเก็บเด็กมาทำไม!!! รีบเอาไปวางไว้ที่เดิมเลย แม่ใหญ่เจอเข้า นางเอานายตายแน่!”
เด็กสาวมองคนตรงหน้าที่สูงกว่าตนไม่น้อยกำลังทำหน้าตื่นตระหนกก็ไม่พูดอะไร สีหน้านิ่งเรียบแต่กล่าวตอบอย่างยิ้มแย้มว่า
“พานจื่อ นายช่วยตามพี่สาวแซ่อู๋ให้ที ข้ามีเรื่องรบกวนนางแล้ว”
ยามค่ำคืนของย่านเริงรมย์เป็นเวลาทำงานของเหล่าผู้ใช้ชีวิตในกลางคืน หอบุปผาฮัวม่านโหลวจัดเป็นหนึ่งในสถานเริงรมย์ที่ขึ้นอยู่เกือบใจกลางเมือง นอกจากจะใหญ่ที่สุดแล้ว ยังเต็มไปด้วยสาวงามหลากหลายที่หากบุรุษใดย่างเท้าเข้ามายังแดนบุบผาแห่งนี้แล้วต้องอดใจไม่ไหวหวนกลับมาอีกรอบ
วันนั้นหิมะตกหนักที่สุดในรอบปี เด็กน้อยทารกตัวขาวเหมือนก้อนแป้งถูกนำเข้ามายังที่แห่งนี้ท่ามกลางความวุ่นวายของเหล่าหญิงสาวที่พากันลุมล้อมจ้องมองพูดคุยปรึกษากันไม่หยุด เจ้าตัวน้อยนอนหลับสนิทในอ้อมแขนของหญิงสาวนางหนึ่งอายุประมาณ 20 ปี โดยไม่มีท่าทีจะตื่นขึ้นมาร้องไห้ท่ามกลางความเสียงดังของสถานที่
เสียงขับกล่อมโห่เอ่ดังประโลม ดรุณีน้อยในชุดฟ้ากอดเจ้าก้อนแป้งในมือยิ้มบางเบาและอ่อนโยนถอดสายตาอบอุ่นมองลงมา มือเรียวดั่งลำเทียนสวมใส่แหวนหยกและเครื่องประดับมากมายกำลังตบมือโยกตัวเบาๆกล่อมเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนให้หลับอย่างสุขสงบ ห้องสีแดงตกแต่งเครื่องเรือนทองคำภายในนี้อากาศอุ่นกว่าข้างนอกมากนัก
“เสี่ยวฮัว! นายบอกมาเดี๋ยวนี้ว่าไปเอาเด็กทารกนี้มาจากไหน”
เหล่าหญิงสาวในชุดเสื้อผ้าหลากสีสันลุมล้อมเด็กสาวตัวน้อยในชุดชมพูซึ่งกำลังกัดขนมไหว้พระจันทร์บนโต๊ะกลางห้องอย่างเอาเรื่อง มีสตรีบางคนตั้งท่าจะเดินเข้าไปหยอกล้อเจ้าก้อนแป้งขาว แต่ถูกสตรีสาวเสื้อฟ้าขมวดคิ้วมอง หันกายหนีส่ายหน้ายิ้มๆเป็นการปฎิเสธ
“ข้าเก็บมา” เด็กสาวกลืนลงไปอีกคำ “จากรังหมาข้างบ้านคนขายเต้าหู้ ข้าตั้งใจจะเดินกลับเพราะรำคาญยัยแกที่คอยตามจิกเหลือเกิน เห็นเจ้าเด็กนี้ร้องอ้อแอ้อยู่กับไอ้ดำตัวโตก็เลยสงสาร อุ้มกลับมาด้วย”
พอจบคำเด็กสาวตัวน้อยก็โดนก่นด่าด้วยคำพรุสวาทมากมาย รวมถึงการให้นำเด็กกลับไปคืนใส่ในรังหมาเหมือนเดิม
ไม่ทันที่จะวุ่นวายมากกว่านี้ ประตูห้องแดงก็ถูกเปิดออก เด็กชายในชุดดำชุนชายขอบเสื้อด้วยขนจิ้งจอกก็ก้าวเข้ามา วัยอายุประมาณ 11 ปี ดวงตาร่าเริงสดใสหากแต่แก้วตานั้นกลับมีสีเทาขาว คล้ายมืดบอด
“เพ้ย! เสียวฮัวคนสวย ได้ข่าวนายคลอดลูกมาคนนึงหรอ” เด็กชายวิ่งเข้าห้องมาพร้อมซาลาเปาในมือส่งควันหอมฉุย ก่อนจะถูกจับตัวขึ้นอุ้มโดยเหล่าหญิงสาวในห้องที่ส่งเสียงหัวเราะโวยวายหลังฟังคำกล่าว
“แม่เจ้าสิคลอด! เจ้าบอดเฮยเสียจื่อ!! ข้าเป็นผู้ชายจะไปคลอดได้ยังไงกัน!!” เด็กสาวตวาดใส่ ใบหน้าฉุนเฉียว ต่างจากเจ้าเด็กน้อยผมดำตัดสอยที่ยิ้มระรื่น แสร้งทำท่าเสียใจ
“หวา…!! พี่สาว เสี่ยวฮัวตวาดข้า” เด็กน้อยหดตัวแต่ทำหน้าทะเล้นคล้ายพอใจที่ได้แกล้ง ยกมือปิดตาแต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากเจ้าตัว “ตาข้าไม่ได้บอดเสียหน่อย แค่มองไม่ชัดแค่นั้นเอง”
เฮยเสียจื่อเป็นคุณชายอายุเยาว์ผู้หนึ่ง แต่เนื่องด้วยเกิดมามีดวงตาคล้ายมืดบอด คนในตระกูลจึงทอดทิ้งมีชีวิตเหมือนตาย แต่กลับไม่ยอมแพ้ชะตาก้าวเข้ามายังสถานที่อโคจรแห่งนี้ แอบรับจ้างเช็ดเครื่องเรือนและซื้อของเล็กๆน้อยๆให้หญิงสาวในหอแห่งนี้แลกกับเงินทองไม่กี่ตำลึง
ก่อนที่ทุกอย่างจะวุ่นวายไปมากกว่านี้ หญิงสาววัยกลางคนผู้หนึ่งก็ก้าวเข้ามา เหล่าสตรีเมื่อเห็นนางเข้ามาก็ถอยกายหลบไปยืนห่างๆ เสี่ยวฮัวที่เห็นคนตรงหน้าก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ปัดมือไล่เศษขนมยิ้มแผล่ ต่างจากหญิงสาวที่หน้าบึ้ง พัดในมือหุบเข้าหุบออกท่าทางไม่พอใจ
“บอกข้ามาสิว่าเกิดอะไร สารภาพมาสิ” หญิงสาวเอ่ยราบเรียบแต่แฝงแววกดดัน มองเสี่ยวฮัวที่คล้ายทำตัวไม่ทุกข์ร้อนอะไร
“ก็แค่เด็กคนหนึ่ง”
“แล้วเจ้ากล้าดียังไงถึงได้เอาเด็กมาโดยไม่ขออนุญาตจากข้า!!” หญิงสาวตวาดเกรี้ยวกราด วาดมือจับแขนขาวๆของเสี่ยวฮัวและฟาดฝ่ามืออีกข้างตบหน้าเสี่ยวฮัวจนขึ้นรอยแดง 5 นิ้วมือ เสียงดังลั่นห้อง
“หรือท่านจะปล่อยให้เจ้าหนูนี้นอนตายอยู่ข้างถนนกัน!!” เด็กชายในชุดหญิงสาวตะโกนลั่นไม่ยอมแพ้จึงถูกตบหน้าไปอีกรอบ ก่อนที่เสียงกราดเกรี้ยวของสตรีวัยกลางคนจะเอ่ยบอกให้หน้าชากว่าเก่า
“แล้วเจ้าที่เอาเขามาเลี้ยงโดยไม่มีหลักประกันอะไรเลย พาเขามายังสถานที่แห่งนี้ บอกข้าสิเสี่ยวฮัว ว่าชีวิตของเจ้าเด็กนี้ต่อไปในอนาคตไม่เท่ากับตายทั้งเป็นเหมือนกัน”
ความเงียบปกคลุมไปชั่วอึดใจ หญิงสาวมากมายฟังจบก็ก้มหน้าเศร้าสลดไม่พูดจา เฮยเสี่ยจื่อถูกหญิงนางหนึ่งอุ้มพาออกไปนอกห้องท่ามกลางเจ้าตัวที่โวยวายดิ้นรนจะไปหาเสี่ยวฮัวที่ยืนกุมแก้มพูดไม่ออก
ทั้งห้องนิ่งเงียบ น้ำตาค่อยๆหยดลงบนพื้นที่ละหยด ก่อนเสียงร้องไห้จะตามมา พูดเสียงเครือ
“เราเลี้ยงเขาไว้ไม่ได้จริงๆหรือแม่ใหญ่……”
หญิงสาวมองเด็กน้อยที่ก้มหน้าร้องไห้เช็ดน้ำตาก็ถอนหายใจ นางโบกมือเรียกชายร่างกำยำเข้ามาคนหนึ่งสั่งให้พาเด็กกลับไปวางที่เดิม ในรังหมาข้างถนน ข้างร้านคนขายเต้าหู้
เจ้าก้อนแป้งเหมือนจะถูกเสียงดังและบรรยากาศแปลกๆลุมล้อมก็ทนไม่ไหวร้องไห้จ้าออกมาฟังบาดหูเหลือเกิน เสี่ยวฮัววิ่งไปกำชายเสื้อชายร่างยักษ์กรีดร้องทั้งน้ำตาว่าอย่าเอาไปแต่กลับไม่ได้รับการเหลียวแลแม้แต่นิด
เด็กน้อยถูกกึ่งกระชากกึ่งอุ้มออกจากอ้อมอกของหญิงสาวเสื้อฟ้าที่หน้าซีดทำอะไรไม่ถูกค่อยๆมองเจ้าก้อนแป้งในมือนางถูกพรากไปท่ามกลางเสียงร้องไห้ของเด็กทารก และเสียงกรีดร้องคร่ำครวญของเสี่ยวฮัวที่ร้องไห้อ้อนวอนอยู่ในอ้อมกอดของหญิงสาวนางโลม
ขณะที่ชายร่างสูงกำลังเดินไปถึงประตูห้องใกล้จะจากไป คล้ายนางตัดสินใจได้ ลุกขึ้นยืนตวาดเสียงดัง
“ส่งเด็กคืนมาให้ข้า!!!”
เหล่าหญิงสาวอ้าปากตะลึงงันมองอย่างตกใจ ขณะที่สตรีเสื้อฟ้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปอุ้มเด็กน้อยที่ร้องไห้เสียงแสบหูมาไว้ในอ้อมกอด ขับกล่อมโอ้เห่บอกว่าไม่เป็นไรๆซ้ำไปมา คล้ายว่าเจ้าก้อนแป้งจะรู้ว่าใครอุ้มมัน เสียงร้องไห้งอแงจึงหยุดลง หญิงสาวยิ้มบางเบาเดินมายืนถึงกลางห้อง จ้องหน้ากับแม่เล้าแห่งหอฮัวม่านโหลว
“แม่นางอู๋ เจ้าจะทำอย่างนี้ไม่ได้ เชื่อข้าเถอะปล่อยเด็กไป” นางเริ่มโอ้โลมบอกกล่าว มองหญิงสาวชุดฟ้าที่ไม่สนใจไยดี ตบหลังทารกน้อยให้หลับลึกกว่าเดิม
“พี่สาวเห็นแก่ข้าได้ไหม หอบุปผาของเรามั่งมีพอแล้ว ไยจะเลี้ยงเด็กสักคนหนึ่งไม่ได้”
“แม่นางอู๋… ไม่ใช่ว่าข้าใจดำ แต่เจ้าทำแบบนี้ไม่ควรอย่างยิ่ง”
“งั้นท่านลองบอกข้าทีว่าอันใดที่ไม่ควร เงินทองหรือชื่อเสียง”
หญิงวัยกลางคนทำหน้าเหนื่อยหน่ายเริ่มเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก จ้องมองสตรีชุดฟ้าแซ่อู๋ สตรีตรงหน้าเป็นนางโลมอันดับ 1 ของหอฮัวม่านโหลว กับนางที่เป็นแม่เล้าของหอ หากกระทบกระเทียบกันก็คงค้าขายกันไม่ขึ้น
นัยน์ตาหงส์ตวัดวาบใบหน้าคล้ายเทพเซียนสตรีมองอย่างคาดคั้น เงินทองเฉพาะของนางเองก็มีพอไถ่ตัวไม่รู้ว่าเท่าใดแล้ว กับแค่เด็กคนหนึ่งมันคงไม่กระเทือนเท่าใด
“หากว่าท่านเห็นแก่ข้า พี่สาว… เจ้าหนูนี้ให้เลี้ยงเอาไว้เถอะ อย่างน้อยมันโตขึ้นก็ยังพอใช้งานได้ หากมันโตมาสูงใหญ่กำยำก็ยังนับว่าเป็นมือเป็นเท้าให้หอเรา คุ้มกันพวกเรา แต่หากมันโตมางดงามเช่นเสี่ยวฮัวก็ให้มันไปฝึกดีดพิณร้องเพลงและร่ายรำเหมือนพวกหญิงสาวในหอเราแบบนี้ก็นับว่าไม่เสียอะไรแม้แต่นิด หรือท่านว่าไม่จริง?”
อ้อมแขนกอดกระชับเหมือนนางได้ตัดสินใจแล้ว เสี่ยวฮัวที่ได้ฟังนางกล่าวก็ยิ้มหน้าบานกล่าวประสมโรงลงไป สตรีในห้องทั้งหลายคล้ายกลั้นมโนธรรมไม่ไหวกล่าวช่วยอีกแรง
“ให้พวกเราผลัดกันเลี้ยงก็ได้แม่ใหญ่ เขาตัวนิดเดียวคงไม่เป็นปัญหา”
“เจ้าหนูนี้เลี้ยงง่ายไม่งอแง แม่ใหญ่ได้โปรดเถอะเห็นแก่เด็กคนหนึ่ง ปีนี้หนาวหนัก ท่านจะทำใจดำ ทอดทิ้งเขาได้หลงเชียวหรือ?”
คล้ายกับโชคชะตาได้ขีดเส้นกำหนดเอาไว้แล้ว แม่เล้าที่มองเหล่าสตรีโวยวายอ้อนวอนก็กุมหัวโบกมือลง กล่าวเสียงฮึดฮัด ใจจริงนางเองก็ไม่อยากทำเหมือนกันยามมองเจ้าตัวน้อยในหอผ้า แต่กลัวว่าจะทำให้คนทั้งหอเดือดร้อน เอาเถอะ! ตามเวรตามกรรมก็แล้วกัน
“เอ้า! เลี้ยงก็เลี้ยง! แต่อย่าให้ไปรบกวนถึงหูแขกเข้าละ ไม่งั้นอย่าหาว่าข้าใจดำ!! แม่นางอู๋ ทีนี้ก็ตามใจเจ้า ตั้งชื่อเขามาสักชื่อเลี้ยงเอาไว้ ข้ายอมแล้ว ข้ายอมแล้ว เห้อ!”
หญิงสาวกุมหน้าโบกพัดคล้ายเหนื่อยหน่ายใจท่ามกลางเสียงยินดีของเหล่านางโลมในห้องแดง และคำขอบคุณแผ่วเบาของหญิงสาวเสื้อฟ้า
ค่ำนั้นเด็กน้อย ‘อู๋เสีย’ ได้ถูกตั้งชื่อและผลัดกันเลี้ยงดูเรื่อยมาท่ามกลางความรักของเหล่านางโลมที่ทุ่มเทให้ เหมือนปลอบโยนจิตใจอันอ้างว้างกลางสถานที่แห่งนี้
หลายปีผ่านไปเด็กน้อยโตขึ้นมาก สตรีแซ่อู๋ถูกมันให้การคำนับเป็นทั้งเพื่อนเป็นทั้งอาจารย์และเป็นทั้งแม่ของตัวเอง เด็กน้อยโตมาด้วยใบหน้าละม้ายคล้ายหญิงสาวที่เลี้ยงดูมากนักเพียงแต่ว่าคนละเพศกันเท่านั้น
อู๋เสียถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรักจากทุกคน ความสามารถเริ่มฉายชัดเพียงอายุได้ 6 ปี ก็สามารถดีดกู่เจิงและเล่นดนตรีได้มากมายหลากหลาย ด้วยวัยเพียง 6 ขวบเท่านั้น
ดนตรีและการอ่านหนังสือได้แม่นางอันดับ 1 แห่งหอฮัวม่านโหลวเป็นผู้สอน การร่ายรำและขับร้องได้เซี่ยอวี้ฮัวนักขับร้องและนักแสดงอันดับ 1 ของเมืองมาดูแล บอกได้เพียงว่าคงไม่มีใครจะตามทัน
ยิ่งได้เฮยเสียจื่อที่กลายเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นช่วยสอนเรื่องต่างๆแล้วคงพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ยามใดโตขึ้นมาคงไม่มีใครเทียมทันมันอีกต่อไป
หลังจากนั้นพอมันอายุได้ 16 ปี ชื่อเสียงของมันก็คงไม่ต้องพูดถึง แค่นับเงินค่าตัวการแสดงของมันคืนหนึ่งก็แทบจะชดใช้เงินในการเลี้ยงดูตั้งแต่ทารกได้จนสิ้นในทีเดียว
“อู๋เสีย ดีดเพลงให้ข้าฟังหน่อยสิ” เสียงเบื่อหน่ายเอ่ยขึ้นมา พบเพียงชายคนหนึ่งในชุดสีชมพูที่เจ้าตัวชมชอบใส่หนักหนากำลังนอนหมอบกลิ้งไปมาคล้ายวิญญาณหลุดออกจากร่างด้วยความเบื่อหน่ายและร้อนเร้ากลางบรรยากาศฤดูร้อนนี้
“เดี๋ยวเถอะ เสี่ยวฮัว ใครใช้ให้นายลงไปนอนกลิ้งกับพื้นแบบนั้น ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย” ชายหนุ่มในชุดสีฟ้าเดินเข้ามากึ่งดึงกึ่งกระชากหากแต่คนที่นอนอยู่คล้ายได้ใจ ทิ้งน้ำหนักลงไปกว่าเดิม ดึงขึ้นมาลำบากมาก
คล้ายพี่น้องต่างวัยกำลังเล่นกันเสียงหัวเราะดังยาวไปทั่วทางเดิน เสี่ยวฮัวกระชากอู๋เสียลงมากอดและกลิ้งไปด้วยกันบนพื้นร้องโวยวายกันอย่างสนุกสนาน ก่อนประตูห้องจะถูกเปิดและหญิงสาวในชุดสีฟ้าที่ยามนี้ยังคงสดสวยงดงามเหมือนกาลก่อน บัดนี้ไถ่ถอนตัวเองออกจากการเป็นนางโลมกลายมาเป็นอาจารย์สอนศิลปะต่างๆให้กับเหล่าหญิงสาวที่ถูกโชคชะตาเล่นตลกกลายมาเป็นนางโลมในหอแห่งนี้
“เอ้า! 2 คนนี้ ลงไปเล่นอะไรกันบนพื้น เปื้อนฝุ่นหมดแล้ว ลุก ลุก!”
“แม่!/พี่สาว!”
ยิ่งกว่าดีใจ อู๋เสียและเสี่ยวฮัวนับเป็นลูกศิษย์ที่ถูกเลี้ยงมาโดยมือคู่นั้น ยามเห็นคนตรงหน้ายิ่งให้การเคารพมากกว่าเทพเจ้า พุ่งไปคำนับและสวมกอดประจบเอาใจ
“ท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน นี้ยังไม่ใช่เวลาที่นัดกันไว้เลย” อู๋เสียกอดแน่นกล่าวอย่างยิ้มแย้มต่างจากเสี่ยวฮัวที่ยกมือเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเอง
“แม่จะมาหาลูกชายตัวเองมันต้องมากันเฉพาะตอนเรียนหรือยังไง” มือหยกคู่นั้นยกขึ้นหยิกแก้มลูกชายตัวดีของนางอย่างหมันเขี้ยว ผ้าเช็ดหน้าถูกยกขึ้นมาลูบหน้าลูบตาเจ้าตัวที่ได้แต่อ้อนอย่างอารมณ์ดี “ไหน เช็ดหน้าเช็ดตาหน่อยสิ เดี๋ยวใครมาเห็นว่าสุดยอดนักแสดงของหอเราหน้าเปื้อนฝุ่นเพราะไปกลิ้งกับพื้น เขาจะหาว่าที่นี้ไม่ได้ปัดกวาดเช็ดถูกันพอดี”
“พี่สาววันนี้อากาศร้อน แท่นที่จะมาฟังอู๋เสียเล่นดนตรี สู้ออกไปเดินดูของให้หายเหนื่อยไม่ดีกว่าหรอ” เสี่ยวฮัวว่า ต่างจากอู๋เสียที่ขมวดคิ้วเหมือนนึกขึ้นได้
“ว่าแต่วันนี้เฮยเสียจื่อมีแข่งร่างแผนสงครามไม่ใช่หรอ นายไม่ไปเชียร์จะดีหรือไง เดี๋ยวเจ้าตัวก็บ่นว่าถูกนายเมินอีกหรอ”
“ไม่ต้องไปก็รู้ผลอยู่แล้ว ไอ้คนที่สอบเข้าตำแหน่งบุ๋นเพื่อก้าวไปตำแหน่งบู้โดยที่ไม่อยากผ่านการร่วมสงครามเพื่อเป็นแม่ทัพแบบนั้น คนเจ้าเล่ห์พรรณนั้นเสียเวลาไปดูเปล่าๆ”
“ไม่ใช่ว่าทำของกินฝากพวกหน้าประตูไปส่งให้แล้วหรือไง เสี่ยวฮัว” หญิงสาวแอบหยอกถึงเรื่องที่นางรู้มา
เสี่ยวฮัวหน้าตึงเล็กน้อย ความจริงอู๋เสียรู้มาตั้งนานแล้วว่าเสี่ยวฮัวถูกเฮยเสียจื่อบังคับไถ่ตัวออกมาจากหอนานแล้ว เพียงแต่ที่เจ้าตัวยังทำตัวติดแหงกไม่ยอมไปไหนก็คงเป็นเพราะเขาที่ถูกจองจำอยู่ในหอนี้ เพียงเพราะคำว่า บุญคุณที่เลี้ยงดูมา ไม่ใช่ว่ากลัวเขาเหงา แต่เป็นห่วงว่าเขาจะถูกแขกลากเข้าห้องต่างหาก
อันที่จริง พี่พานจื่อ สอนเขาในด้านการต่อสู้มากมายรวมทั้งวรยุทธต่างๆ ส่วนไอ้เรื่องแขกลากเขาเข้าห้องก็ใช่ว่าจะไม่เคยมี แต่แขกคนนั้นถูกเขาใช้วรยุทธที่เรียนมาจากพานจื่อซัดกระเด็นตกชั้น 2 ตกลงมาเกือบตายต่างหาก นับแต่นั้นก็ไม่มีใครกล้าล้วงเกินเขาอีกเลย
“ไปเชียร์ด้วยตัวเองกับไปเอาของไปส่งให้แต่ไม่เห็นหน้า แบบนั้นไม่เรียกว่าเชียร์หรอกนะ” ท่านแม่พูดหยอกเย้า เขาเลยร่วมผสมโรง
“น่าสงสารเฮยเสี่ยจื่อ แค่ตอนนี้ถูกที่บ้านกดดันเพราะเห็นว่าทำประโยชน์ได้ก็ลำบากแล้ว ยิ่งไม่มีใครให้กำลังใจยิ่งน่าสงสารใหญ่” ผมว่าเอ่ยเปรยๆ ต่างกับท่านแม่ที่เล่นท่าทางคล้ายร่ำไห่ บอกว่าเสียจื่อน่าสงสารเหลือเกิน เสียจื่อช่างน่าสงสารจริงๆ
“แล้วทำไมเหมือนฉันผิดอยู่คนเดียว” เสียงโอดครวญของเสี่ยวฮัวดังเบาๆ
สุดท้ายเรา 3 คนก็พร้อมใจกันโดดร่มหนีการซ้อมมุ่งเข้าวังไปหาเฮยเสียจื่อแทน
faliona01- ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
- จำนวนข้อความ : 261
Points : 3761
Join date : 02/11/2014
ที่อยู่ : เตียงหยกเย็นในถ้ำสุสานโบราณ
Re: [SF] ความทรงจำของหิมะ [ผิงเสีย/เฮยฮัว] [1/3]
รอตอนต่อไป คุณพระเอกยังไม่โผล่
อยากอ่าน au บันทึกจอมโจรฯ เวอร์ชั่นหอนางโลมมานานแล้ว ขอบคุณมากค่า
อยากอ่าน au บันทึกจอมโจรฯ เวอร์ชั่นหอนางโลมมานานแล้ว ขอบคุณมากค่า
Duke_of_Florence- ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา
- จำนวนข้อความ : 113
Points : 3593
Join date : 31/10/2014
Re: [SF] ความทรงจำของหิมะ [ผิงเสีย/เฮยฮัว] [1/3]
นายน้อยน่ารักน่าหม่ำแต่เด็ก เปรียบว่าเจ้าก้อนแป้งนี่อยากหยิกๆจิ้มๆขึ้นมากะทันหันเลยล่ะค่ะ XDDDD
งานนี้รอดูเสี่ยวเกอค่ะ จะโผล่มาแบบไหนกันหนอ....แล้วเฮยเสีอจื่อจะทำอะไรเสื่อมๆให้เราเห็นกันรึเปล่านะ แต่คงไม่หรอกมั้ง.....มั้ง..........มั้ง............? (ไม่มั่นใจสุดชีวิต)
งานนี้รอดูเสี่ยวเกอค่ะ จะโผล่มาแบบไหนกันหนอ....แล้วเฮยเสีอจื่อจะทำอะไรเสื่อมๆให้เราเห็นกันรึเปล่านะ แต่คงไม่หรอกมั้ง.....มั้ง..........มั้ง............? (ไม่มั่นใจสุดชีวิต)
Re: [SF] ความทรงจำของหิมะ [ผิงเสีย/เฮยฮัว] [1/3]
โอ๊ยยยยยยยยยยยย มาต่อไวๆนะคะ >A <
linpingz- ด้วง
- จำนวนข้อความ : 36
Points : 3532
Join date : 06/11/2014
Re: [SF] ความทรงจำของหิมะ [ผิงเสีย/เฮยฮัว] [1/3]
พากันโดดซ้อมหนีเข้าวังแบบนี้ รึตอนต่อไปจะได้เห็นฉากแรกพบของพระนางกันหนอ ว่าแต่ใครช่างใจร้ายเอาอู๋เสียน้อยมาทิ้งไว้ได้ลงคอ
SilverCloud- ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
- จำนวนข้อความ : 433
Points : 3954
Join date : 27/10/2014
ที่อยู่ : ตู้เสื้อผ้าของอารอง
Re: [SF] ความทรงจำของหิมะ [ผิงเสีย/เฮยฮัว] [1/3]
เง้ออออ AUววววววววววววว
มาต่อเถ้ออออ หายากมากมายนะคร้าบบบบบ อยากอ่านๆๆ *ดิ้นๆๆๆ*
มาต่อเถ้ออออ หายากมากมายนะคร้าบบบบบ อยากอ่านๆๆ *ดิ้นๆๆๆ*
Rozenkreuz- ด้วงอาณาจักรเจ้าแม่ซีหวังหมู่
- จำนวนข้อความ : 625
Points : 3862
Join date : 01/07/2015
Age : 31
ที่อยู่ : กองทัพผีเก็บเห็ดแห่งประตูสำริด
Similar topics
» [OS] สามเหลี่ยมเหล็กกับการหายตัวไปอย่างปริศนาของคุณชายเซี่ย (ผิงเสีย,เฮยฮัว)
» [Drabble]~ครอบครัวสุขสันต์หลังเราพบกันที่ฉางไป๋ซาน~[บันทึกของเสี่ยวหลิง/ผิงเสีย/เฮยฮัว]
» [OS] #dmbjdaily (มัธยม) มัธยมวุ่น ชุลมุนรัก [ผิงเสีย/เฮยฮัว]
» [drabble] #dmbjdaily จักรยาน AU 'สะพานดาว' x2 (ผิงเสีย/เฮยฮัว)
» [Drabble] #dmbjdaily (อนุบาล) อนุบาลเต้ามู่ [ผิงเสีย/เฮยฮัว]
» [Drabble]~ครอบครัวสุขสันต์หลังเราพบกันที่ฉางไป๋ซาน~[บันทึกของเสี่ยวหลิง/ผิงเสีย/เฮยฮัว]
» [OS] #dmbjdaily (มัธยม) มัธยมวุ่น ชุลมุนรัก [ผิงเสีย/เฮยฮัว]
» [drabble] #dmbjdaily จักรยาน AU 'สะพานดาว' x2 (ผิงเสีย/เฮยฮัว)
» [Drabble] #dmbjdaily (อนุบาล) อนุบาลเต้ามู่ [ผิงเสีย/เฮยฮัว]
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|
Fri 24 Jul 2020, 01:39 by gustoon
» [คู่มือด้วง] Keyword จีนสำหรับการขุด(แฟนดอม)สุสาน
Thu 21 Jun 2018, 00:29 by miskizfullmoon
» มังฮวาและภาคทิเบต
Thu 21 Jun 2018, 00:23 by miskizfullmoon
» [OS] Father is the best (ผิงเสีย)
Thu 03 Aug 2017, 16:12 by schneewittchen
» [Fic] สิ่งเล็กๆที่เชื่อมโลก5 [เมินโหยวผิง+อู่เสีย+เสี่ยอ้วน]+OC
Tue 01 Aug 2017, 12:30 by natsume
» [OS] #dmbjdaily (จูปาจุ๊บ) Bittersweet [ผิงเสีย AU]
Thu 06 Apr 2017, 15:58 by Zeth
» [OS] #dmbjdaily "โทรศัพท์มือถือ" - no Pairing [All]
Tue 04 Apr 2017, 22:27 by Zeth
» [OS] #DMBJDaily (แว่น): ระยะที่มองไม่เห็น [ฮัวเสีย]
Sat 01 Apr 2017, 16:55 by Zeth
» [OS] #DMBJdaily (5.20) ท่านยอดฝีมือ [หวังเหมิง (+เหมิงเสีย)(+ผิงเสีย)]
Thu 30 Mar 2017, 17:24 by Zeth