Countdown
We've been
togerther for

ค้นหา
 
 

Display results as :
 


Rechercher Advanced Search


[OS] Happy Ending [ผิงเสีย]

5 posters

Go down

[OS] Happy Ending [ผิงเสีย] Empty [OS] Happy Ending [ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by MinMin Sun 30 Aug 2015, 02:08







Happy Ending




ผมมุดตัวเข้าถุงนอน ในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด ไม่สามารถข่มตาให้หลับได้ หลังจากนอนมองเพดานเต็นท์สิบกว่านาที เมินโหยวผิงก็เดินเข้ามา เขาหยุดมองผมครู่หนึ่งจึงพูดว่า

“ลาก่อน”

“เป็นเพื่อนกันทั้งที พรุ่งนี้ค่อยไปเถอะนะ” ผมรีบพูดขึ้นเมื่อเห็นเขาจะเดินออกไป “ฉันจะไม่ตามนายต่อแล้ว”

เมินโหยวผิงพยักหน้า หยิบอุปกรณ์สำหรับเฝ้ายามแล้วเดินออกไป

...สุดท้าย  ผมก็ห้ามเขาไม่ได้…

แต่ผมควรจะถามตัวเองตั้งแต่แรก...ผมมีสิทธิ์อะไรไปห้ามเขา สิทธิ์ในฐานะเพื่อนหรือ...เขานับผมเป็นเพื่อนหรือเปล่า ผมยังไม่แน่ใจเท่าไรนัก มีเพื่อนที่ไหนรู้เรื่องของเพื่อนน้อยขนาดนี้บ้าง ถึงพวกเราจะผ่านอะไรมาด้วยกันหลายอย่าง แต่รอบตัวของเมินโหยวผิงยังมีกำแพงที่ขวางกั้นไม่ให้ใครเข้าไปแตะต้องตัวเขาได้ ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาคือปริศนาที่ดำมืดยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

ผมหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า

ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ผมพยายามพูดคุยกับเขา พยายามทำลายกำแพงนั้นเข้าไปหาเขา แต่ที่เขาทำคือการสร้างกำแพงขึ้นมาอีกชั้น และอีกชั้น...ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่อาจผ่านไปถึงตัวเขาได้

ยิ่งไล่ตาม...เขายิ่งหนีห่างออกไป

...ถ้าผมลุกขึ้นไปหาเขาตอนนี้ พยายามรั้งเขาไว้อีกรอบ เขาจะเปลี่ยนใจหรือเปล่า…



ผมรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ สายตาของเขาไม่เหมือนทุกครั้ง...แววตาของเขาตอนนี้สงบนิ่งราวกับตัดขาดจากทุกสิ่ง ไม่ว่าอะไรในโลกนี้ก็ไม่สามารถหยุดยั้งเขาได้อีกต่อไป

“ฉันทบทวนดูความเกี่ยวโยงของฉันกับโลกใบนี้ ดูเหมือนเท่าที่เจอ ก็มีแต่นาย”

...ทั้งๆ ที่พูดแบบนั้น…

แต่เขาก็ยังเดินไป...ตัดขาดความเกี่ยวโยงทุกอย่างกับโลกใบนี้

คำว่า “ลาก่อน” ของเมินโหยวผิง คือสิ่งที่ผมไม่อยากได้ยินที่สุด เพราะมันไม่ใช่คำลาเพื่อจะพบกันใหม่...แต่เป็นคำลาเพื่อไม่พบกันอีก

ทว่า ผมก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงเพื่อให้เขาไม่ไป

ช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวระหว่างวันนี้กับพรุ่งนี้...วันที่มีเมินโหยวผิง กับวันที่ไม่มีเมินโหยวผิง หากตอนนี้ผมหลับไปก็จะเข้าสู่วันพรุ่งนี้ แล้วผมก็จะไม่เจอเขาอีก

ผมตัดสินใจมุดออกจากถุงนอน เดินออกไปข้างนอกเต็นท์ แต่ก็พบว่าไม่มีใครนั่งอยู่ข้างนอก มีเพียงหิมะขาวโพลนกับกองไฟที่จุดทิ้งไว้เท่านั้น

...เมินโหยวผิงหายตัวไปแล้ว…

ห่าเอ๊ย ทั้งที่อุตส่าห์บอกให้ไปพรุ่งนี้แล้วแท้ๆ เขาไม่เคยฟังผมเลย

ผมตะโกนเรียกเขา แต่ลมที่แรงจนแทบถอนเต็นท์ได้ทำให้ผมหยุด เงยหน้ามองฟ้าก็รู้ว่าอีกไม่นานพายุจะมาถึง และถ้าผมยังยืนอยู่ตรงนี้ ก็มีแต่ตายสถานเดียว ผมเก็บของทั้งหมดด้วยความสิ้นหวัง ตอนนั้นเอง ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่าง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นกองหิมะถล่มลงมา ย้อมทัศนียภาพของผมให้กลายเป็นสีขาวโพลน

แล้วทั้งหมดก็เหลือเพียงสีขาว…


_________________________________


ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเก้าอี้ตัวประจำที่อายุยืนยาวมากกว่าสิบปี กะพริบตาเรียกสติหลายนาทีกว่าจะรู้ว่าทั้งหมดคือความฝัน...เรื่องราวเมื่อสิบปีก่อนที่ยังหลอกหลอนผมอยู่

น่าแปลก...ผมเลิกฝันมานานแล้ว ตั้งแต่ผ่านพ้นช่วงสิบปีที่เมินโหยวผิงบอกให้รอ ผมก็ไม่ฝันอีกเลย ซึ่งต้องขอบคุณภาระหน้าที่ทั้งหลายในการดูแลร้านและหน้าด่านที่ทำให้ผมยุ่งหัวหมุนทั้งวัน กว่าจะถึงเวลานอน ผมก็หมดสภาพ เหนื่อยจนไม่อาจฝันมั่วซั่วได้อีก

หรือเป็นเพราะตอนนี้ชีวิตของผมสบายขึ้น...จากการมีผู้ช่วยพิเศษ เลยมีเวลามานอนฝันอะไรเรื่อยเปื่อยอย่างนี้

ผมขยับตัวลุกขึ้น หนังสือที่อยู่บนตักจึงเลื่อนหล่นลงไปอยู่ที่พื้นแทน เมื่อก้มลงไปเก็บก็พบว่ามันคือสมุดบันทึกที่ผมเขียนเรื่องราวต่างๆ ในช่วงที่เมินโหยวผิงยังอยู่หลังประตูสำริด วันนี้ผมคงว่างมากถึงขนาดหยิบสมุดเก่าๆ มาอ่านเล่น เพราะแบบนี้ล่ะมั้ง จึงฝันถึงเหตุการณ์นั้น

แต่ฝันก็คือฝัน ไม่ใช่ความเป็นจริง ส่วนเรื่องราวที่ผ่านไปแล้วก็คืออดีต เมื่อก้าวผ่าน ก็ไม่ควรหันกลับไปมอง...หากหันกลับไปมอง...ผมอาจจะเห็นตัวเองที่ทำเรื่องเลวร้ายในอดีต



ผมสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระ เดินไปรินชาใส่ถ้วย ยกดื่มขณะเก็บสมุดบันทึกเล่มเก่าเข้าที่ และหยิบสมุดบันทึกเล่มล่าสุดออกมาแทน ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าข้างนอกสดใส ถือเป็นวันที่อากาศดีมากๆ วันหนึ่ง ผมควรไปเดินเล่นมากกว่านั่งอุดอู้อยู่ในร้านที่ยังไงก็คงไม่มีลูกค้า

ผมฝากหวังเหมิงเฝ้าร้าน ตั้งใจว่าจะไปเดินเล่นแถวทะเลสาบซีหูสักรอบ ผมไม่ได้ไปที่นั่นนานแล้ว...หรือผมควรจะรอเมินโหยวผิงกลับมา แล้วค่อยชวนเขาไปเดินเล่นด้วยกัน แต่เขากลับมาเหนื่อยๆ น่าจะอยากพักมากกว่า เหมือนนายแว่นดำที่แวะมาร้านของผมทีไร ก็จะมาแย่งเก้าอี้ตัวประจำของผมทุกครั้ง ไม่รู้ติดใจอะไรหนักหนา ผมบอกว่าจะซื้อตัวใหม่ให้ เขาก็ไม่เอา ทำตัวเหมือนคนแก่ยึดติดที่ไปได้

...แต่จะว่าไป ผมก็ไม่รู้อายุจริงๆ ของเขา เท่าที่ฟังจากเสี่ยวฮัว เขาอาจจะแก่แล้ว เพียงแต่เป็นพวกมนุษย์หน้าเด็กหน้าละอ่อนเหมือนเมินโหยวผิง ตอนที่ผมอยู่กับเขา ถูกลูกน้องทักว่าเขาเป็นน้องชายของผม ผมอยากเอาป้ายเขียนแปะหลังเขาเหลือเกินว่า “จางอากง”

แต่แปะไปก็ไม่ช่วยอะไร หนังหน้าเด็กยังไงก็หลอกคนได้ดีกว่ากระดาษแปะหลัง อีกอย่าง กว่าผมจะเอากระดาษแปะหลังเขาได้ ผมอาจโดนเตะกระเด็นอัดกำแพงเสียก่อน

เมินโหยวผิงวันนั้นกับเมินโหยวผิงวันนี้...สิบปีผ่านไป เขาก็ยังเหมือนเดิม

หลังจากเขากลับออกมาจากประตูสำริด จัดการเรื่องราวที่เหลืออยู่จนเสร็จสิ้น ผมคิดว่าเขาจะไม่เหลืองานอะไรให้ทำแล้ว น่าจะได้พักเสียที แต่เมินโหยวผิงกลับบอกว่าเขายังเป็นจางฉี่หลิง มีหน้าที่อื่นต้องทำอีก

ผมจำได้ว่าสบถด่าสกุลจางเป็นชุด ไอ้พวกใช้แรงงานทาส สวัสดิการไม่มี เบี้ยเลี้ยงไม่ให้ วันเกษียณก็ไม่กำหนด นี่มันโหดร้ายยิ่งกว่าลูกจ้างหกร้อยหยวนของผมอีก  

เมินโหยวผิงยืนนิ่งฟังผมด่าบรรพบุรุษด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่คิดจะปกป้องบรรพบุรุษตัวเองเลย เขารอให้ผมด่าจบ จึงพูดว่า

“ฉันจะกลับมาหานาย”

“เมื่อไหร่ อีกนานมั้ย” ผมถามทันที “ฉันไปด้วยได้หรือเปล่า”

“เส้นทางของฉันอันตรายเกินไป นายอย่าตามฉันมาเลย”

คิดว่าที่ผ่านมาผมปลอดภัยนักหรือไง บ้าบอที่สุด

ผมยกเหตุผลโน่นนี่ร้อยแปดร่ายให้เขาฟัง แม้ในใจจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเขาเป็นยังไง...ผมเข้าใจเขา แต่ผมยอมรับไม่ได้ที่จะปล่อยเขาไปอีก ผมรอเขามาสิบปี จะให้รอต่อไปอีกนานเท่าไร ผมไม่ได้ต้องการให้เขาอยู่ข้างผมไปตลอดชีวิต เพียงแค่อยากได้อะไรสักอย่างยืนยันว่าเขาจะไม่หายหัวไปอีกสิบปี

สิบปีที่ผ่านมา ชีวิตของผมมีแต่การไล่ตามเขา ตอนนี้เจอกันแล้ว ถ้าเขายังหายตัวไปอีก ผมไม่อยากคิดเลยว่าจะต้องใช้ชีวิตอีกกี่ปี เพื่อรอเขากลับมา

...เขาเข้าใจความทรมานจากการรอคอยหรือเปล่า…

ผมอยากใช้มือฟาดหน้านิ่งๆ ของเขาสักสองสามที แต่เขาคงหลบได้แน่นอน สุดท้ายเมื่อพยายามจนเหนื่อย ผมก็ได้แต่ทำใจ ยืนมองเขาสะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่ เดินจากไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้

วันนั้นผมกลับบ้าน ดื่มเหล้าหนักจนเมาเสียสติไม่ต่างจากตอนที่ถอดหน้ากากอาสามเมื่อสิบปีก่อน วันรุ่งขึ้นที่ตื่นขึ้นมาถึงกับจำไม่ได้ว่าไปนอนอยู่บนเตียงได้ยังไง

นั่นเป็นเรื่องแปลกเรื่องที่หนึ่ง แต่ผมในตอนนั้นยังปวดหัวและมึนเมาจากฤทธิ์เหล้า จึงไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ หลังจากนั้นอีกหลายวัน ระหว่างที่ผมเดินตรวจหน้าด่าน ถูกลอบทำร้าย ยังไม่ทันสั่งลูกน้องก็พบว่ามีคนจับตัวไอ้พวกหมาลอบกัดมาส่งให้ถึงหน้าสำนักงาน ผมถามลูกน้องแต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกนั้นถูกจับมาได้ยังไง

ผมเริ่มสงสัยในอะไรบางอย่าง แต่ก็ยังไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเอง จนกระทั่งเกิดเรื่องแปลกๆ เช่น วันดีคืนดีก็มีของเก่าไม่ก็แผ่นลอกลายส่งมาให้ที่ร้านของผม แต่ไม่ระบุชื่อคนส่ง ผมมองแล้วรู้ทันทีว่าเป็นของดีมีราคาไม่น้อย แถมลักษณะการส่งยังเป็นแบบเอามาวางไว้ในร้าน เหมือนเจ้าของเอามาวางด้วยตัวเอง แล้วก็จากไป แต่ช่วงเวลาการเอาของมาส่งนั้นไม่แน่ไม่นอน ไม่มีอะไรตายตัว ผมไม่สามารถจับได้คาหนังคาเขา

ผมจึงวางแผนกับเสี่ยวฮัว แกล้งทำเป็นบาดเจ็บหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล แล้วก็ได้ผลจริงๆ...ในที่สุดไอ้คนที่หายหัวไปหลายเดือนก็โผล่หัวออกมาให้ผมจับตัว ผมอาศัยคนเยอะเข้าว่า หาจังหวะชุลมุนวุ่นวายกระโดดเข้าไปกอดเอวเมินโหยวผิง เขาถึงกับใช้วิชาหดกระดูกเพื่อจะหนีผม แต่เสี่ยวฮัวรู้ทัน พุ่งเข้ามาตะลุมบอนด้วย กว่าจะจับเขาได้ ผม เสี่ยวฮัว และลูกน้องของพวกเราเกือบต้องนอนโรงพยาบาลจริงๆ

“นายแม่ง! ทำไมต้องทำอะไรลับๆ ล่อๆ แบบนี้”

ผมว่าเขาทันทีที่เสี่ยวฮัวเอาผ้ามัดข้อมือของผมกับเมินโหยวผิงไว้ด้วยกัน ทีนี้ถ้าเขาจะหนีก็ต้องเอาผมไปด้วย ผมจะทำตัวเป็นตัวถ่วงให้เขาไปไหนไม่ได้เลย สมน้ำหน้า!
เมินโหยวผิงหันหน้าไปอีกทาง ส่วนเสี่ยวฮัวจับคอตัวเอง ไอค่อกแค่ก เขายังบาดเจ็บจากการถูกเมินโหยวผิงน็อกไปหนึ่งยก ไม่อาจช่วยผมคาดคั้นได้

“ถ้านายจะช่วยฉัน ทำไมนายไม่ปรากฏตัวออกมา หรือนายเป็นพวกโรคจิต ทำอะไรด้วยจุดประสงค์แอบแฝงที่เปิดเผยตัวไม่ได้”

“นายไม่เข้าใจ”

“ถ้านายไม่พูดไม่อธิบาย ฉันจะเข้าใจได้ยังไง” ผมลุกขึ้น แต่เมินโหยวผิงไม่ลุกตาม เขานั่งนิ่งเป็นก้อนหินถ่วงดึงผมกลับลงไปนั่งที่เดิม “นายบอกความจริง พูดออกมาให้ฉันฟัง มันยากนักหรือไง”

เมินโหยวผิงไม่ตอบ ผมรู้สึกเหนื่อยใจจะพูด...นี่มันเหมือนตอนที่อยู่บนฉางไป๋ซานไม่มีผิด ผมพูดอะไรไปก็ไม่เข้าหัวเขาสักนิด ผมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของเขาได้ เรื่องอะไรที่เขาไม่บอก...ต่อให้ผมพยายามแค่ไหน เขาก็ไม่บอกผม

ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเมื่อสิบปีก่อนเลย…

ผมเคยคิดว่าเมื่อเขาออกมา เขาจะเห็นใจในความพยายามของผมบ้าง ผมอยากให้เขารู้ว่าสิบปีที่เขาเสียสละเข้าไปอยู่ข้างหลังประตูสำริดแทนผม ผมที่อยู่ข้างนอกก็ใช้สิบปีของตัวเองเพื่อปริศนาของเขา เรื่องที่ผมไม่เคยทำ สิ่งที่ผมไม่กล้าทำ ผมทำมาหมดแล้ว...ทั้งหมดก็เพื่อเขา

...แต่ผลลัพธ์เป็นแบบนี้…

ผมถอนหายใจ ก้มหน้าซบมือข้างที่ถูกมัดติดกับเขา พูดอย่างอ่อนล้า “ถ้านายไม่อยากให้ฉันยุ่งกับนาย นายบอกฉันมาตรงๆ ฉันจะไม่ตามนายแล้ว”

“ฉันมีหน้าที่ต้องทำ”

“ฉันไม่เคยห้ามไม่ให้นายทำหน้าที่ ฉันรู้ว่านายมีงานต้องทำ ฉันก็มีงานต้องทำ นายไม่ต้องอยู่กับฉันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ได้ ฉันแค่อยากให้นายกลับมาหาฉันบ้าง มาให้ฉันเห็นหน้าเห็นตา ให้รู้ว่านายยังมีชีวิตอยู่จริงๆ แต่ถ้านายคิดว่าฉันเข้ามายุ่งกับนายมากเกินไป นายก็ควรบอกฉัน เหมือนที่นายเคยบอก ฉันจะได้รู้ว่าตัวเองน่ารำคาญแค่ไหนและเลิกยุ่งกับนายสักที”

เมินโหยวผิงเงียบไปอีกครั้ง เหลือแค่เสียงไอของเสี่ยวฮัว ผมเงยหน้าขึ้น กำลังจะถามอาการของเขา เมินโหยวผิงก็พูดขึ้นว่า

“เพราะเป็นนาย ฉันถึงไม่อยากกลับไปหา”

ผมชะงักกึก เปลี่ยนความคิดที่จะถามเสี่ยวฮัวเป็นหันไปถามเขา

“นายเกลียดฉัน?”

เมินโหยวผิงส่ายหน้า “ถ้าฉันกลับไปหานาย ฉันจะไม่อยากไปไหนอีก”

ผมนิ่งอึ้ง คิดว่าเขาอาจจะล้อเล่น เขาเคยพูดติดตลกให้ผมฟัง บางทีนี่ก็อาจจะเป็นมุกตลกของเขาเหมือนตอนที่บอกให้ผมอยู่ห่างจากเขาเกินร้อยเมตร ไม่อย่างนั้นจะปาหินใส่ผม แล้วแบกผมไปในที่ปลอดภัย

ผมเค้นสมองคิดว่าควรจะรับมุกของเขาอย่างไร เสี่ยวฮัวก็ไอเสียงดังขึ้นมา ผมจึงนึกได้ว่าควรเป็นห่วงเสี่ยวฮัวด้วย

“นายไปให้หมอดูอาการดีกว่ามั้ย” ผมเสนอ แต่เสี่ยวฮัวส่ายหน้า กระแอมอีกสามที แล้วเดินเข้ามาแก้เชือกที่ผูกผมกับเมินโหยวผิงไว้

“คนใบ้จาง นายอยากไปไหนก็ไป ฉันดูแลอู๋เสียได้” เขายิ้มให้เมินโหยวผิงกับผม

“นายแกะผ้าทำไม เดี๋ยวเมินโหยวผิงก็หนีไปอีกหรอก” ผมโวยวาย และก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ เมื่อปราศจากผ้าผูก  เมินโหยวผิงลุกเดินหนีไปทันที แต่ก่อนจะออกจากห้อง เขาหันกลับมาบอกวันเวลา และทิ้งท้ายว่า

“ฉันจะไปหานายที่ร้าน”

วินาทีนั้น ผมอึ้งยิ่งกว่าเดิม...อึ้งจนคิดอะไรไม่ออก ไม่คาดฝันว่าคนอย่างเมินโหยวผิงจะนัดวันเวลาเพื่อมาเจอผม ผมควรรีบหากระดาษจนบันทึกวินาทีประวัติศาสตร์เอาไว้ เรื่องนี้ต้องเก็บไปเล่าให้นายอ้วนฟัง เขียนโน้ตแปะข้างฝาผนังเอาไว้ให้ลูกหลานดู

นับจากวันนั้น ผมขีดกาปฏิทินนับวันรอ เสี่ยวฮัวบอกว่าผมเหมือนสาวน้อยรอคอยวันที่แฟนหนุ่มจะมาขอแต่งงาน ผมบอกเขาว่าผมนับพอเป็นพิธี เพราะตอนนี้ ถึงเขาจะไม่อยู่ แต่เขาคงแอบช่วยงานของผมอย่างลับๆ พวกหน้าด่านที่เคยกระด้างกระเดื่อง อยู่ๆ ก็ทำตัวสงบเสงี่ยม ไม่มีการปลอมบัญชี ไม่มีการลักลอบค้าของเถื่อนกันเอง ผมตรวจงานได้ราบรื่นจนมีเวลาเหลือพอสำหรับการนอนหลับทำตัวเกียจคร้านในร้าน มีเวลาเหลือเฟือจนสามารถนั่งเขียนสมุดบันทึกได้เหมือนสมัยก่อน

ผมจดเรื่องราวที่เกิดขึ้นลงสมุด และเขียนเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ลงไปด้วย...ผมวางแผนว่าหลังจากเมินโหยวผิงกลับมา พวกเราจะทำอะไรบ้าง

...และวันนี้เป็นวันที่เขาบอกว่าจะมาหาผมที่ร้าน แต่กว่าจะถึงเวลาที่เขาบอก ผมสามารถเดินเล่นได้อีกนาน

ผมถือสมุดบันทึกติดมือออกมาด้วย ไล่อ่านดูสิ่งที่เขียนไว้ขณะเดินไปตามถนน อย่างแรกที่ผมอยากทำคือพาเขาไปฉางซาให้คนอื่นเห็นตัว นี่เป็นสิ่งที่ผมเคยคิดเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่เขาความจำเสื่อมออกมาจากอุกกาบาต ผมอยากพาเขาไปหาเตี่ยกับอารอง แนะนำให้ทุกคนรู้จักอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นก็จะถามเขาว่าอยากอยู่ที่ไหน เงินของผมตอนนี้มากพอให้เขายืมไปซื้อบ้านที่หังโจวได้โดยไม่มีปัญหา หากเขาคิดจะตั้งหลักที่ไหน ผมยินดีสนับสนุน ผมอยากให้เขามีอะไรสักอย่างเป็นหลักเป็นฐานของตัวเอง อย่างน้อยก็เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าเขามีตัวตนอยู่ที่นี่จริงๆ มีบ้าน มีคนที่รู้จักเขา

เมื่อทุกอย่างลงตัว ผมวางแผนชวนเขาไปหานายอ้วน ไม่รู้ว่าเขาได้ติดต่อกับนายอ้วนบ้างหรือเปล่า แต่นายอ้วนเฝ้ารอวันที่พวกเราจะได้มารวมตัวอีกครั้ง บางทีเราอาจจะไปฉลองกันที่ปาหน่าย หรืออาจจะเป็นฉางไป๋ซาน ไปที่ไหนก็ได้ที่พวกเราสามคนรวมตัวสนุกด้วยกันได้เหมือนเมื่อก่อน

ผมนึกถึงเสียงหัวเราะของนายอ้วน นึกถึงมุกตลกของเขาก็อดยิ้มไม่ได้

...ผมอยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ…วันที่เราสามคนได้มารวมตัวกันอีกครั้ง แต่เขาก็รู้ว่าวันนี้เมินโหยวผิงจะกลับมาหาผม ผมโทรไปเล่าให้เขาฟังหลายรอบจนเขาถึงกับบอกว่าถ้าผมไม่หยุดพูดเรื่องนี้ จะเลิกคุยกับผม

ผมมองสิ่งที่ตัวเองเขียนในสมุดบันทึก มีแผนการมากมายที่เตรียมไว้สำหรับเมินโหยวผิง เรื่องราวในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะเกิดขึ้น แต่เพียงแค่คิดถึงมัน ผมกลับรู้สึกมีความสุข…

ความรู้สึกนี้...ผมเคยคิดว่าสูญเสียมันไปนานแล้ว

...ความสุข…

...

ผมยิ้มกับตัวเอง...จริงๆ แล้วต่อให้อนาคตเป็นยังไง ผมก็ไม่คิดว่าจะต้องกังวล ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่วางแผนหรือไม่...ไม่สำคัญเลย

ผมไม่รู้...ผมไม่เข้าใจ อนาคตที่มีความสุขคืออะไร

ผมรู้แค่การมีเขาอยู่เคียงข้างในปัจจุบัน คือความสุขของผม

...เมื่อเมินโหยวผิงกลับมา เรื่องราวทั้งหมดน่าจะเรียกได้ว่า Happy Ending

ผมพลิกเปิดหน้ากระดาษต่อไป จังหวะเดียวกับที่ได้ยินเสียงบางอย่างพุ่งตรงมาหา เสียงครูดของล้อรถกับพื้นถนน ผมละสายตาจากสมุดบันทึกหันไปมองทางต้นเสียง เงาขนาดใหญ่พุ่งมาด้วยความเร็วสูง แต่ชั่วขณะนั้นผมเห็นทุกอย่างเป็นภาพช้า สมองสั่งการให้ขาทั้งสองข้างขยับตามสัญชาตญาณ แต่ความเร็วของรถนั้นมากกว่าวานรสมุทรหรือผีแม่ย่า ขนาดก็ใหญ่กว่ามาก...ผมหลบไม่พ้น

หนึ่งวินาทีสำหรับการมองเห็น

หนึ่งวินาทีสำหรับการได้ยิน

และอีกหนึ่งวินาที...สำหรับความคิดที่เหลืออยู่

...Happy Ending…



แล้วทั้งหมดก็เหลือเพียงสีแดง


_______________________________


ผมได้ยินเสียงฮัมเพลงที่ห่วยบาดหู จำได้ทันทีว่าเป็นเสียงของนายอ้วน...คนที่ร้องเพลงได้ห่วยขนาดนี้มีเขาคนเดียว เสียงเพลงนั้นปลุกให้ผมตื่น ผมดันตัวขึ้นนั่ง หันไปมองเห็นนายอ้วนอยู่ข้างๆ เขาเบิกตากว้างเมื่อเห็นผมตื่น

“นายตื่นแล้ว! เสี่ยวเกอ! อู๋เสียตื่นแล้ว!” นายอ้วนร้องพร้อมกวักมือเรียก พริบตาเดียวเมินโหยวผิงก็เดินมาอยู่อีกข้าง เขาก้มตัวมองผม ขณะที่นายอ้วนหยิบพัดมาพัดให้ผม

“นายแม่งคุณชายเกินไปแล้ว ตากแดดนิดหน่อยถึงกับเป็นลมแดด ฉันนึกว่าตัวเองจะทำบาปแทนทำบุญเสียแล้ว”

ผมยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เมื่อไม่มีอาการปวดหัว ไม่มีอาการบาดเจ็บตรงไหน ผมก็โบกมือให้นายอ้วนหยุดพัด ลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสาย หันมองรอบๆ จึงรู้ว่าพวกเราอยู่ท่ามกลางหาดทรายสีขาว ไกลออกไปเป็นทะเลสีครามตัดกับท้องฟ้าที่เริ่มเป็นสีเหลืองทองจากพระอาทิตย์ตกดิน ทิวทัศน์สวยงามเหมือนในภาพวาดทำให้ผมจ้องมองอย่างไม่อาจละสายตาได้

“อย่างน้อยนายก็ตื่นขึ้นมาทันดูพระอาทิตย์ตกดิน” นายอ้วนเดินมาตบหลังผม ยิ้มร่าเริง “เป็นไง ทะเลสวยหาดทรายขาวที่เสี่ยอ้วนแนะนำ ไม่ผิดหวังเลยใช่มั้ยล่ะ”

“พวกเรามาเที่ยว?” ผมถามอย่างไม่แน่ใจ นายอ้วนพยักหน้า

“นายยังไม่แก่เท่าไหร่ก็ความจำเสื่อมแล้วเหรอ นายเป็นคนบอกเองว่าอยากพาเสี่ยวเกอมาเที่ยวทะเล เพราะไปฉางไป๋ซานช่วงนี้ที่พักเต็ม จะไปปาหน่าย พวกอากุ้ยก็ไม่ว่าง เลยเปลี่ยนแผนมาทะเลก่อน ฉันอุตส่าห์ใช้เส้นสายจองบ้านพักส่วนตัวให้นายแบบด่วนๆ แทนที่จะสำนึกบุญคุณกลับทำลืม”

ผมเอออาขอโทษเขาไปตามเรื่องราว นายอ้วนไม่ติดใจอะไร กอดคอผมเดินไปริมทะเล เมินโหยวผิงเดินตามมาด้วย พวกเราถอดรองเท้า เดินลงไปในน้ำทะเล มองพระอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนตัวลง แสงของมันสะท้อนอาบท้องฟ้าให้เป็นสีทองที่อ่อนโยน ความงามนี้เหนือเกินกว่าที่ผมจะบรรยายออกมาได้ ผมยืนนิ่งราวกับถูกความงามของธรรมชาติสะกดให้เคลื่อนไหวไม่ได้

ตอนนั้นเอง น้ำทะเลสาดกระเซ็นใส่ผมคลายมนต์สะกดของธรรมชาติ หันไปเห็นนายอ้วนใช้เท้าเตะน้ำทะเลใส่ผมอย่างจงใจ ผมที่ตัวเปียกคนเดียวคิดว่าไม่ยุติธรรม จึงวักน้ำสาดกลับ แต่นายอ้วนกระโดดหลบได้ แม่ง อ้วนขนาดนั้นทำไมพลิ้วนักวะ

นายอ้วนหัวเราะ ผมยอมไม่ได้ จึงลุยน้ำวิ่งไล่จับเขา นายอ้วนวิ่งหนีไปหลบหลังเมินโหยวผิง ทำให้น้ำที่ผมตั้งใจจะสาดเขา สาดโดนเมินโหยวผิงด้วย ผมชะงักกึกทันที ส่วนนายอ้วนร้องไอ้หยา

“เสี่ยวเกอ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะสาดนาย เป็นเพราะนายอ้วน!” ผมรีบโบ้ยความผิด

“ถ้านายไม่สาดฉัน เสี่ยวเกอก็ไม่เปียก!” นายอ้วนเถียงกลับ “เพราะฉะนั้นนายผิด แกล้งน้องเสี่ยวเกอทำไม”

พวกเราเถียงกันโดยมีเมินโหยวผิงคั่นกลาง ผมเห็นเขาปาดน้ำออกจากหน้าด้วยความนิ่ง แล้ววินาทีต่อมา เขาก็ก้มลง วักน้ำทะเลสาดใส่ผม

“เสี่ยวเกอ!” ผมโวยวาย ในขณะที่นายอ้วนหัวเราะลั่น แล้วพวกเราก็วิ่งเล่นสาดน้ำทะเลกันท่ามกลางพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน พวกเราเล่นกันจนเหนื่อย ในที่สุดก็พักรบ เดินมานอนแผ่ที่ชายหาด มองดูท้องฟ้าเริ่มมีดวงดาวปรากฏให้เห็น ช่วงเวลานั้น ผมหันไปมองสองคนข้างๆ เห็นรอยยิ้มของนายอ้วน และถ้าผมไม่ได้ตาฝาด ผมคิดว่าเห็นรอยยิ้มที่หาได้ยากของเมินโหยวผิงด้วย

...หากเป็นไปได้...ผมอยากจะหยุดเวลาเอาไว้อย่างนี้…

ช่วงเวลาที่มีความสุขของพวกเรา…

...

ผมหลับตาลง

แล้วทั้งหมดก็เหลือเพียงสีดำ

















TBC

















เชิญตอนต่อไปที่ "Never Ending" ค่ะ
https://dmbjth.thai-forum.net/t1841-topic#13799






แก้ไขล่าสุดโดย MinMin เมื่อ Sun 30 Aug 2015, 02:50, ทั้งหมด 1 ครั้ง
MinMin
MinMin
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า

จำนวนข้อความ : 222
Points : 3843
Join date : 28/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[OS] Happy Ending [ผิงเสีย] Empty Re: [OS] Happy Ending [ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by Amzinas Sun 30 Aug 2015, 02:22

เฮ้ยยยยยยยยย เดี๋ยวๆ หักมุมจบแบบนี้ช็อค 
กำลังคิดว่าชีวิตแบบนี้ก็โอเค ไม่ต้องเจอเสี่ยวเกอทุกวันก็สมเหตุผมอยู่ แล้วก็จบโดนรถชน...
หรือทะเลตอนท้ายจะเป็นช่วงเข้าICU? แบบฝันไปแล้วอะไรแบบนี้?

Amzinas
ด้วง
ด้วง

จำนวนข้อความ : 28
Points : 3498
Join date : 02/11/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[OS] Happy Ending [ผิงเสีย] Empty Re: [OS] Happy Ending [ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by The_Dark_Lady Sun 30 Aug 2015, 12:04

ตามมาร่ำไห้ให้กับความดริฟต์อีกครั้งในบอร์ด
อ่านในดอคส์มาแล้ว แต่มาอ่านอีกก็ยัง โฮรวววววววววววววว
ความคิดคำนึงห้วงสุดท้าย Happy Ending ...
เพราะห่วงอย่างงี้ก็เลยเก็บไปฝันในห้วงสุดท้ายสินะ แงงงงง
The_Dark_Lady
The_Dark_Lady
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ

จำนวนข้อความ : 301
Points : 3634
Join date : 21/06/2015
Age : 29
ที่อยู่ : On the Land, Below the sky

ขึ้นไปข้างบน Go down

[OS] Happy Ending [ผิงเสีย] Empty Re: [OS] Happy Ending [ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by sudarat689 Sun 30 Aug 2015, 13:12

"ผมจำได้ว่าสบถด่าสกุลจางเป็นชุด ไอ้พวกใช้แรงงานทาส สวัสดิการไม่มี เบี้ยเลี้ยงไม่ให้ วันเกษียณก็ไม่กำหนด นี่มันโหดร้ายยิ่งกว่าลูกจ้างหกร้อยหยวนของผมอีก " // พออ่านถึงตรงนี้ลั่นแบบไม่รู้จะลั่นยังไง5555555555555555555555 แถวบ้านเรียกโรงงานนรกฮะ
sudarat689
sudarat689
ด้วงตำหนักหลู่หวังเจ็ดดารา
ด้วงตำหนักหลู่หวังเจ็ดดารา

จำนวนข้อความ : 64
Points : 3312
Join date : 18/07/2015
Age : 29
ที่อยู่ : บริเวณแอร์ตก

http://dmbjsfiction.blogspot.com/

ขึ้นไปข้างบน Go down

[OS] Happy Ending [ผิงเสีย] Empty Re: [OS] Happy Ending [ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by Rozenkreuz Sun 30 Aug 2015, 17:12

บ้านสกุลจางวันเกษียณไม่กำหนด 5555
ประโยคนี้อ่านแล้วกั้นขำกึกๆ

แล้วทำไมมันดริฟเปลี่ยนโค้งไปเรื่อยๆ ย้ากกก นี่มันแฮปปี้เอนด์รึแบดเอนด์ ตอนหลังนั้นฝันใช่มั้ยยย เสี่ยวเกอหายไปไหน แง
Rozenkreuz
Rozenkreuz
ด้วงอาณาจักรเจ้าแม่ซีหวังหมู่
ด้วงอาณาจักรเจ้าแม่ซีหวังหมู่

จำนวนข้อความ : 625
Points : 3848
Join date : 01/07/2015
Age : 31
ที่อยู่ : กองทัพผีเก็บเห็ดแห่งประตูสำริด

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน

- Similar topics

 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ