Countdown
We've been
togerther for
ค้นหา
Latest topics
Most active topics
[Fic-AU] The Heart of The Desert [ผิงเสีย] -Part 2-
+3
Duke_of_Florence
Narakas
Snake_Blind
7 posters
หน้า 1 จาก 1
[Fic-AU] The Heart of The Desert [ผิงเสีย] -Part 2-
[AU] The Heart of The Desert [ผิงเสีย]
Part Intro
Part 1
-------- Part 2 --------
บรรยากาศยามบ่ายที่ร้อนแรง ถึงกระนั้นความร้อนก็ไม่สามารถทะลุเข้าสู่สวนลอยฟ้าสีเขียวขจีได้ ภายในสวนมีแต่ร่มไม้และความชุ่มชื่น
แต่ความร่มรื่นกลับไม่ทำให้อารมณ์ของเด็กหนุ่มที่นั่งหน้ามุ่ยดีขึ้นได้ อู๋เสียเอื้อมมือไปหยิบผลไม้สีชมพูสวยขึ้นมางับแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ
ทุกการขยับแขนจะมีเสียงกระพรวนดังสอดแทรกตลอด ทำให้นึกถึงคนที่สวมใส่ให้ตนแล้วก็พาลหน้าบึ้งขึ้นมาอีก
เป็นเวลากว่า 2 สัปดาห์แล้วที่อู๋เสียมาอยู่ที่สถานที่แปลกประหลาดแห่งนี้ ตลอดเวลา 14 วันอู๋เสียพยายามหลบหนีออกไปหลายครั้ง
แต่ก็เหมือนมีนกรู้ แถมนกตัวนั้นดันมีสีดำสนิทเหมือนอีกาซะด้วย จางฉี่หลิง ชายหนุ่มที่อู๋เสียเจอในวันแรกที่ตื่นขึ้น มักจะโผล่มาในจังหวะที่
เขากำลังแอบวิ่งลงบันได หรือ มักจะเป็นผู้ที่หาตัวเขาซึ่งซ่อนอยู่ตามสถานที่ต่างๆเจอเสมอ
ส่วนกำไลกระพรวนนี้ เป็นบทลงโทษจากราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่เขาไม่เคยพบหน้า ทุกครั้งที่หนี เขาจะมีกำไลส่งเสียงน่ารำคาญเพิ่มที่ข้อมือและข้อเท้า
อย่างละ 1 ชิ้น ซึ่งดูจากจำนวนตอนนี้แล้ว บอกได้เลยว่าเด็กหนุ่มพยายามมากจริงๆ และถึงแม้ตัวกำไลจะเป็นแบบสวมธรรมดา
ไม่ใช่แบบเชื่อมเหล็กเหมือนของคณะทาส แต่เมื่อนึกย้อนไปถึงสายตาของชายหนุ่มหน้านิ่งที่จับได้ว่าเขาแอบถอดกำไลแล้วหนี
ก็พลันหวาดกลัวจนไม่กล้าจะถอดออกอีกต่อไป การหลบหนีจึงดำเนินไปพร้อมเสียงกระพรวนใสกังวาล และจบลงที่ได้ของประดับเพิ่มตลอด
ความหงุดหงิดที่ถูกกักขังอยู่แค่ในห้องนอน ถึงที่ห้องแห่งนี้จะครบครันไปด้วยห้องอาบน้ำ ห้องน้ำ มีหนังสือให้อ่าน มีสวนระเบียงให้ออกไปนั่งเล่น
ข้าวปลาอาหารก็ไม่เคยขาด ถึงคนเสริฟอาหารจะหน้านิ่งไม่ชวนให้เจริญอาหารก็ตาม แต่การไม่สามารถออกไปไหนได้ ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเบื่อหน่าย
อย่างน้อยถ้าได้ออกไปเดินดูส่วนต่างๆของอาคารได้ก็ยังดี ก่อนหน้านี้ตอนที่กำลังหลบหนี อู๋เสียพบว่าที่นี้มีความวิจิตรสวยงามมาก
สถาปัตยกรรมต่างๆล้วนปราณีตและมีนต์ขลัง แต่เพราะกำลังหนีจากสายตาพญาเหยี่ยวของจางฉี่หลิงอยู่ ทำให้ไม่สามารถทัศนาได้อย่างตั้งใจ
แกร๊ก...
อู๋เสียที่นั่งทารุณกรรมผลไม้อยู่นาน รีบลุกพรวดเมื่อได้ยินเสียงประตูห้องเปิด
มาได้จังหวะพอดี วันนี้แหละ!! จะต้องจับมานั่งเครียร์ให้ได้เลย!!!!!
เด็กหนุ่มหมายมั่นปั้นมือว่าวันนี้ยังไงๆจะต้องจับพ่อหนุ่มหน้านิ่งมานั่งคุยกันให้ได้ว่าต้องการอะไรจากตัวเขา ถึงไม่ยอมให้ออกไปไหนแบบนี้
ความไม่รู้จุกแน่นเต็มอก ถ้าวันนี้เขาไม่รู้เหตุผล ต่อให้โดนตีจนขาหักก็จะหนีออกไปจากที่นี้ให้ได้แน่ๆ
ขาเพรียวในชุดกางเกงผ้าโปร่งก้าวฉับๆเข้าไปในตัวห้อง อ้าปากกว้างเตรียมตะโกนเรียกชื่อจางฉี่หลิงให้ดังสนั่น กะว่าอย่างน้อยคนหน้านิ่ง
ถ้าโดนตะโกนเรียกด้วยเสียงแปดหลอดของเขา ยังไงก็ต้องหันมาสนใจกันบ้าง แต่ความตั้งใจดันถูกตีกลับกระทันหัน ปากที่กำลังจะเอื้อนเอ่ย
เรียกชื่อคนคนเดียวที่เห็นมาตลอด 14 วัน ชะงักค้างกลางอากาศ ก่อนจะหุบฉับ เมื่อร่างที่คุ้นเคย บัดนี้อยู่ในเครื่องแต่งกายที่ผิดแปลกไป
จากเดิมที่ชายหนุ่มมักจะใส่เพียงเสื้อตัวยาวสีน้ำเงินเข้ม คู่กับกางเกงแบบชาวทะเลทรายอย่างง่ายๆ ตอนนี้กลับสวมเสื้อสีขาวเนื้อแพรชั้นดี
สาบเสื้อแหวกออกเผยให้เห็นแผ่นอกแกร่ง คลุมด้วยเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มปักลายกิเลนสีทอง ผ้าคาดเอวสีดำคาดทับกลางลำตัวช่วยเก็บชายผ้า
ที่ดูรุ่มร่ามให้เข้าที่ เครื่องประดับมากมายถูกประโคมใส่ตามตัว ทั้งสายสร้อยเส้นยาว กำไลข้อมือทอง และ ผ้าโพกหัวที่ดูเข้ากับใบหน้าเรียบเฉย
อย่างน่าประหลาด
เสียงจานอาหารกระทบกับโต๊ะกลางห้องเรียกสติของเด็กหนุ่มกลับมาอีกครั้ง อู๋เสียกอดอกเตรียมตั้งท่าหาเรื่องเต็มที่
วันนี้ถึงนายจะใส่ชุดหล่อมาก็ไม่ยอมให้หรอกนะ!!!
“ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน!!”
พูดจบดวงตาสีดำก็หันมามองอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีดำที่อู๋เสียมองกี่ครั้งก็ยังเดาไม่ออกว่าคนตรงหน้าคิดอะไรหรือรู้สึกอย่างไร คล้ายว่าทุกสิ่ง
ถูกสีดำอันเป้นอนันต์นั้นดูดกลืนเข้าไปจนหมดสิ้น เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าเต็มปอด พลางพูดปลุกใจตัวเอง
เอาละนะอู๋เสีย!! จะพูดแล้วนะเว้ย!! อู๋เสียสู้ๆ อู๋เสียสู้ตาย อู๋เสียไว้ลาย สู้ตายกับกิเลน
“เจ้านายท่านกักตัวข้าไว้ในนี้ทำไม มีเหตุผลอะไรกันถึงทำแบบนี้ แถมยังไม่เคยมาเจอหน้า ไม่เคยบอกอะไร ไม่ให้ข้าไปไหน ไม่ให้ทำอะไร
ทำเหมือนคนอื่นเป็นนกในกรงแบบนี้ รู้ไหมว่ามันแย่ขนาดไหน ข้าเป็นคนเหมือนกันนะ ข้าเบื่อจะตายอยู่แล้ว ข้าอยากออกไปข้างนอก
อยากเจอผู้คน อยากกลับบ้านไปหาครอบครัวของข้า”
สิ้นสุดคำพรั่งพรูยาวเหยียด อู๋เสียหอบน้อยๆ จ้องมองคนตรงหน้าที่จ้องกลับมานิ่งๆ ท่าทีนิ่งเฉยซะจนเด็กหนุ่มอยากจะเข้าไปกระชากคอมาเขย่าๆๆๆๆๆ
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างหงุดหงิด แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรออกไปอีกครั้ง ชายหนุ่มในเครื่องทรงหรูหรา กลับเดินไปเปิดประตูห้อง อู๋เสียสะดุ้งเฮือก
รีบพุ่งไปคว้าแขนแกร่งไว้แน่น นัยต์ตาสีนิลเปรยมองมือทั้ง 2 ของร่างบาง ก่อนจะหันหน้าไปทางประตูตามเดิม
“พังจื่อ”
สิ้นเสียงทุ้มสังวาล ที่ทางเดินด้านนอกปรากฏชายร่างอ้วนหนึ่งนายแต่งกายคล้ายทหาร ยืนฉีกยิ้มแป้นแล้น ชายนามพังจื่อเลิกคิ้วประหลาดใจ
เมื่อเห็นมือที่เกาะแขนของชายหนุ่มที่เรียกขานตน
“ดูท่าบุปผาน้อยจะไม่อยากให้เจ้าไปทำงานเท่าไหร่นะเสี่ยวเกอ”
สิ้นคำแก้มนวลพลันเห่อร้อน อู๋เสียนึกด่าทอคนที่เรียกตนว่าดอกไม้น้อยในใจ แต่ก็ยังไม่กล้าปริปากพูดอะไร แถมยังไม่กล้าปล่อยมือแม้จะอายหนักหนา
เนื่องด้วยกลัวว่าคนตรงหน้าจะหนีตนไปโดยไม่ได้พูดคุยกันให้เข้าใจอย่างที่ตั้งใจไว้
“เจ้าพาอู๋เสียเดินเล่น ไปไหนก็ได้ยกเว้นโถงตะวันออก"
คนรับคำสั่งเลิกคิ้วแทบชนเพดาน ส่วนอู๋เสียนั้นยิ้มกว้างดีใจที่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกแม้มีผู้ติดตาม ก่อนจะรีบทำหน้าขึงขังอีกรอบเมื่อคนผมดำ
ทำท่าจะเดินอกจากห้องทั้งๆที่ยังไม่ทันได้คุยกันให้รู้เรื่อง
"ท่านยังไม่บอกข้าเลยว่าเจ้านายท่านต้องการอะไรจากข้ากันแน่"
ฉี่หลิงเปรยตามอง ก่อนเคลื่อนมือมาแกะมือสีน้ำผึ้งออกง่ายๆ เหมือนมือที่จับต้นแขนตนอยู่ไม่ได้ออกแรงอะไรมากมาย อู๋เสียตกใจกับแรงมหาศาล
ของคนตรงหน้า แต่ก่อนจะตั้งสติคว้าแขนแกร่งไว้อีกรอบ อีกคนดันผลุบหายไปหลังประตู พอจะพุ่งตัวตามไปก็ถูกฝ่ามืออวบๆคว้าต้นแขนรั้งไว้อย่าง
กระทันหันจนเกือบหงายหลัง
"ปล่อยยยย ข้าต้องตามไปคุยให้รู้เรื่อง"
"เอาล่ะบุปผาน้อย อยู่นิ่งๆก่อน"
"บุปผาบ้านท่านสิ ข้าชื่ออู๋เสีย!!!"
เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกด้วยฉายาสาวแตกดิ้นพร่าน พยายามแกะมือที่จับต้นแขนตนไว้อยู่ เกิดเสียงกระพรวนดังสนั่นลั่นทางเดิน
"เสี่ยวเกอไม่ว่างมาเล่นด้วยหรอก เพราะงั้นเสี่ยอ้วนจะพาไปเดินเล่นเอง"
พูดจบก็ออกเดินโดยมีมือของอีกคนโดนลากตามไปด้วย อู๋เสียทั้งดิ้นทั้งโวยวาย เรียกความสนใจจากเหล่านางกำนัลและนายทหารที่รีบวิ่งมาดู
อย่างตื่นตกใจ แต่เมื่อเห็น่วาเป็นหัวหน้าองค์รักษ์กับคู่เล่นวิ่งไล่จับขาประจำขององค์ราชา ก็ได้แต่ขยับยิ้มอย่างเอ็นดู ก่อนจะผละกลับไปทำงานต่อ
เด็กหนุ่มดิ้นจนเหนื่อยก็ยังไม่สามารถแกะมืออ้วนๆออกจากข้อมือตนได้ เลยได้แต่หน้ามุ่ยเดินตามไปแบบไม่ใคร่จะเต็มใจนัก
หลังจากเดินไปตามทางสักพัก ความขุ่นเคืองก็หายจนหมดสิ้นเพราะความงามของภาพประดับประดาและสถาปัตยกรรมได้ดึงความสนใจของ
เด็กหนุ่มไปจนหมด อู๋เสียได้แต่ทำตาโตแล้วเงยหน้าชื่นชมความงามเหล่านั้น จนเมื่อดึงสติตัวเองกลับมาได้ จึงเอ่ยถามคนที่ยังเดินจูงมือตน
เหมือนเด็ก2ขวบ
“ท่านจะพาข้าไปที่ใด?”
พังจื่อหันกลับมายิ้มกว้างแบบเจ้าเล่ห์ จนอู๋เสียรู้สึกไม่ไว้ใจ ฝืนแรงจะหยุดเดิน ร้อนถึงคนลากตัวต้องรีบกล่อมเด็กในโอวาท
“อ๊ะๆ อย่าพึ่งหยุดเดิน เสี่ยอ้วนจะพาเจ้าไปเที่ยวในเมืองอย่างไรเล่า”
“เอ๊ะ แต่ท่านฉี่หลิงกล่าวว่า..”
“เสี่ยวเกอห้ามมิให้พาเจ้าไปโถงตะวันออก แต่มิได้กล่าวว่าห้ามพาออกไปข้างนอกมิใช่หรือ”
เมื่อฟังจบประโยค อู๋เสียก็ยิ้มกว้างดั่งเด็กได้ของเล่น เสี่ยอ้วนยิ้มตอบก่อนละมือมาขยี้ผมเด็กหนุ่มอย่างเอ็นดูแล้วเดินนำไปโดยไม่จับแขน
เพราะเสียงกระพรวนกังวาลที่ไล่ตามหลังมาทำให้แน่ใจว่าไม่ต้องออกแรงอีกฝ่ายก็ตามมาอย่างง่ายดาย
.
.
.
.
.
.
“ท่านยาย นี่คืออะไรหรือ”
อู๋เสียที่ตอนนี้มีผ้าคลุมหัวป้องกันแสงแดดก้มลงมองผลไม้หน้าตาแปลกตา หญิงชราท่าทางใจดีรีบตรงเข้ามาต้อนรับลูกค้า อธิบายชื่อเรียกแปลกๆ
แล้วเชิญชวนให้ลองชิมอยู่หลายคำ จนอู๋เสียเกรงใจที่ได้กินของฟรี แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธน้ำใจ ครั้นจะหันไปขอเสี่ยอ้วนให้อุดหนุนแทน กลับกลายเป็นว่า
คนที่เสนอตัวเป็นไกด์ดันหายตัวไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
เด็กหนุ่มยืนหันรีหันขวางอยู่นานก็ยังไม่เห็นร่างอวบๆของนายหวัง ทางฝ่ายหญิงชราแม้จะรู้ว่าคนตรงหน้าคงไม่ซื้อของตนเป็นแน่ ก็ยังต้อนรับขับสู่อย่างดี
“มาจากไหนหรือพ่อหนุ่ม หน้าตาไม่คุ้นเลย”
“อา….มาจากเมืองทางใต้จ๊ะท่านยาย”
ได้ยินแบบนั้นหญิงชราก็เลิกคิ้วสูง เมื่อไม่ได้เห็นนักเดินทางจากทางใต้มานานแล้ว เนื่องด้วยตัวเมืองอยู่ในเขตทะเลทราย และ ส่วนใหญ่คนทางใต้
มักจะติดต่อค้าขายทางทะเลมากกว่าทางคาราวาน
“เดินทางมาเสียไกลเชียว แล้วตอนนี้พักอยู่ที่ไหนหรือ”
เจอคำถามนี้เข้าไปอู๋เสียถึงกับกระอักกระอ่วน ไม่กล้าตอบว่าตอนนี้ตนนั้นพักอาศัยอยู่ในวังหลวง เพราะหากโดนถามต่อไปว่าทำไมถึงได้ไปพักอยู่ที่นั้น
ก็คงจะตอบว่าเป็นแขกของราชาได้อย่างไม่เต็มปากนัก
“พี่อู๋!!!”
เหมือนระฆังช่วยชีวิต เสียงเล็กๆแสนคุ้นหูเรียกความสนใจจากเจ้าของชื่อ รวมถึงอีกหลายคนที่อยู่รอบๆตัว รู้ตัวอีกทีอู๋เสียก็รู้สึกถึงแรงกระแทกน้อยๆ
พร้อมกับร่างของเด็กสาวนามหลิงจี่ที่พุ่งเข้ามากอดเอว เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
“หลิงจี่!! ดีใจจังนึกว่าจะไม่ได้พบกันแล้ว”
“ข้าซิต้องพูดเช่นนั้น!! ตั้งแต่พี่เข้าไปอยู่ในวังข้าก็ไม่ได้ข่าวอีกเลย พี่เป็นอย่างไรบ้าง บาดแผลหายดีหรือยัง”
“ดีขึ้นแล้ว ยาในวังดีมาก ข้าแทบไม่เหลือแผลบนหลังเลยล่ะ”
อู๋เสียคุกเข่ากับพื้นให้อยู่ในระดับเดียวกับเด็กหญิง ทั้ง 2 กอดกันอีกหลายครั้ง ถามสารทุกข์สุขดิบกันและกันโดยไม่ได้สนใจคนรอบข้าง
กว่าอู๋เสียจะรู้ตัวว่าพลาดไปแล้ว ก็ตอนที่หญิงชราเอ่ยถามหลิงจี่
“หลิงจี่!! นี่คือบุปผาของท่านจางฉี่หลิงหรือ??!!”
อู๋เสียเงยหน้าขึ้นทำตาโตกับสรรพนามเรียก ก่อนจะสังเกตว่าตอนนี้ผู้คนที่เดินตลาดกำลังล้อมวงจ้องมองมาทางตนแต่เพียงผู้เดียว
รู้สึกเคอะเขินขึ้นมาทันทีที่เป็นจุดสนใจของผู้คน ก่อนที่จะทันอ้าปากปฏิเสธ เด็กหญิงตัวน้อยกับตอบเสียงดังฉะฉาน
“ใช่จ๊ะท่านยาย!!!”
สิ้นคำเกิดเสียงอื้ออึงดังไปทั่ว เด็กหนุ่มที่ไม่รู้เรื่องราวพลินหน้าซีดด้วยความตกใจเมื่อชาวบ้านหลายคนกรูเข้ามาจับมือ แตะแขน บางคนถึงกับร้องห่มร้องไห้
“บุปฝาบานแล้ว คำทำนายเป็นจริงจริงๆด้วย”
“ท่านจางฉี่หลิงปลอดภัยแล้ว”
“ขอบคุณท่านบุปผา”
และอีกหลายหลากเสียงดังแทรกกันจนจับใจความไม่ได้ อู๋เสียรู้เพียงแต่ว่าตนต้องมีความเกี่ยวข้องอะไรสักอย่างกับคำทำนายประจำเมือง และ
ตัวจางฉี่หลิง บุรุษหน้านิ่งช่างเป็นที่รักของชาวเมืองมากๆ
‘นายนี่มีตำแหน่งอะไรกันแน่ ชาวเมืองถึงให้ความสำคัญขนาดนี้’
เด็กหนุ่มได้เพียงแต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ เมื่อกลุ่มคนข้างหน้าแหวกออกเป็นทาง เผยให้เห็นร่างอวบอ้วนคุ้นตาของนายหวังที่หายหน้าไปกลางคัน
“เอาล่ะท่านยาย ไม่ต้องร่ำไห้ ไอ้หนูนี่มันตกใจหมดแล้ว”
นายหวังเดินเข้ามาลูบหลังหญิงชราเบาๆ ก่อนจะแกะมืออู๋เสียออกจากอุ้งมือเหี่ยวย่น ก่อนจะคว้าตัวเด็กหนุ่มแล้วดันหลังให้เดินออกจากฝูงชน
ซึ่งเหล่าชาวบ้านก็ยอมแหวกทางหลบให้แต่โดยดี
“เดี๋ยว!! ข้ายังไม่..หลิงจี่!!”
อู๋เสียพยายามฝืนตัวหันกลับไปหาเด็กหญิง ตัวเขานั้นยังไม่ทันได้ถามกลับเลยว่าร่างเล็กหลังจากกลับมาที่เมืองนี้มีชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง
จึงปรารถนาอยากจะอยู่พูดคุยต่ออีกสักหน่อย แต่ก็ไม่สามารถฝืนสู้แรงของมือหยาบได้ นายอ้วนหวังรีบกระซิบบอกให้เดินต่อไป
“ชาวบ้านแตกตื่นจนคนในวังรู้ตัวแล้ว แม่เด็กนั้นไม่เป็นอะไรหรอก ไว้ข้าจะพาเจ้ามาอีก ตอนนี้รีบกลับวังเถอะ”
ได้ยินแบบนั้นอู๋เสียจึงยอมให้มืออวบๆลากตัวกลับวังแต่โดยดี มือเรียวรีบโบกมือลาเด็กหญิงที่โบกมือตอบอย่างร่าเริง และได้แต่หวังว่า
จะได้มาพบกันอีกในเร็ววัน
.
.
.
.
.
.
สภาพหัวหน้าองค์รักษ์ที่กำลังนั่งคุกเข่าสำนึกผิดคู่กับเด็กหนุ่มต่างเมือง สร้างความขบขันให้เหล่าทหารและนางกำนัลเป็นอย่างมาก
แต่สำหรับตัวทั้ง 2 คนที่โดนสายตาเย็บเยียบจับจ้องมาอย่าคาดโทษ กลับรู้สึกเหมือนอยู่บนยอดเขาหนาวเหน็บ
จนสุดท้ายคนเจ้าแผนการก็ทนไม่ไหว นายอ้วนหวังที่ขยับตัวยุกยิกๆอยู่นาน ตัดสินใจเปิดปากพูดในที่สุด
“เอ่อ…..ทานอาหารเย็นกันเลยดีไหม”
สิ้นคำอู๋เสียอยากจะหันไปเบิ้ดกะโหลกให้สักที 2ที ในสถานการณ์แบบนี้ยังจะพูดเรื่องของกินอีก เจ้าบ้าเอ๊ย!!
“....ทำไมถึงพาออกไปข้างนอก”
ทั้งอู๋เสียและนายอ้วนสะดุ้งสุดตัวเมื่อในที่สุดคนที่สร้างความกดดันก็ยอมเปิดปากพูดเสียที เด็กหนุ่มรีบส่งสายตากดดันให้อีกคนรีบสารภาพบาปไปซะ
“ก็เจ้าบอกว่าห้ามพาไปที่โถงตะวันออก แต่มิห้ามให้พาออกไปข้างนอกเสียหน่อย”
ตอบแบบนี้เด็กหนุ่มขอไว้อาลัยให้ความแถของคนที่นั่งข้างๆ ในใจวางแผนว่าจะแอบเข้าโรงครัวไปขโมยของกินมาเซ่นสักอย่าง 2 อย่างแทน
คำขอบคุณที่ทำให้ได้ออกไปข้างนอก
แต่ทุกอย่างกลับผิดคาดเมื่อชายหนุ่มที่มีตำแหน่งสูงกว่ากลับเงียบอีกครั้งคล้ายอับจนด้วยคำพูด ก่อนจะถอนหายใจเบาบางแล้วพูดทิ้งท้าย
ก่อนจะก้าวเดินไปทางห้องอักษร
“ครั้งหน้าห้ามพาออกไปโดยไม่บอกข้าอีก”
อู๋เสียนั่งกระพริบตาปริบๆ ตามร่างสูงที่เดินหายไป ตอนแรกนึกว่าจะต้องโดนทำโทษอะไรมากกว่านี้ แต่ชายหนุ่มกลับเดินจากไปดื้อๆ
แถมพูดเหมือนยอมให้เขาออกไปนอกวังได้อีก เรียกรอยยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงน้องสาวตัวน้อย
“เอาล่ะ รีบพาเจ้ากลับห้องดีกว่า ก่อนที่ข้าจะโดนบั่นคอทิ้งจริงๆ”
นายอ้วนหวังยิ้มกว้างทำให้เด็กหนุ่มมองไม่ออกว่าสรุปที่พูดนั้นเป็นแค่มุขล้อเล่นหรือว่าจริงจังกันแน่ แต่ไม่พิสูจน์คงจะดีกว่า
ร่างเพรียวจึงเดินตามคนแก่กว่าไปอย่างว่าง่าย
“นี่ท่านหวัง ข้าขอถามอะไรหน่อยได้หรือเปล่า”
เสียงเด็กหนุ่มดังก้องสอดประสานไปกับเสียงก้าวเดิน ผู้ถูกร้องขอเพียงเลิกคิ้วขึ้น เป็นนัยว่าฟังอยู่ เมื่อไม่ได้ถูกห้ามปรามจึงเอ่ยถามสิ่งที่ตนสงสัยอยู่
“เหตุใดท่านจางถึงเป็นที่รักของชาวเมืองกัน”
นายอ้วนหวังยกยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยตอบด้วยเสียงฉะฉาน ทุกคนพูดล้วนแฝงไปด้วยความชื่นชม
“ก็เพราะความเก่งกาจของเสี่ยวเกอ เมืองนี้ถึงอยู่รอดมาได้ ก่อนหน้านี้เราเคยถูกรุกรานจากเมืองอื่นๆ เพราะว่าพื้นที่อุดมสมบูรณ์แถบนี้นั้น
ตั้งอยู่บนเส้นทางของขบวนคาราวานต่างๆ เวลาจักเดินทางไปไหนก็ต้องผ่านเมืองนี้ทั้งนั้น หลายเมืองจึงต้องการยึดครองเป็นของตน
เพราะว่านอกจากจะเป็นแหล่งเสบียงแล้ว ยังสามารถเอาไว้เรียกเก็บค่าผ่านทางได้อีกด้วย แต่หลังจากเสี่ยวเกอขึ้นมาเป็นผู้นำทัพ
ก็ปราบกองทัพต่างๆเสียอยู่หมัด และยังเปิดการเจรจาเพื่อให้เมืองนี้สามารถอยู่ได้อย่างสงบสุขอีกด้วย ชาวเมืองที่ลำบากมานาน
จึงเปรียบว่าเขาเป็นดั่งเทพผู้มาปลดปล่อยเชียวล่ะ”
“เห~ คนเงียบๆ แบบนั้นเนี่ยนะ”
“เจ้าอย่าดูถูกเสี่ยวเกอไป ถึงจะพูดน้อยแต่ก็ใช่ว่าจะใช้วาจาไม่เป็น ภายนอกอาจจะดูเย็นชา แต่ที่จริงแล้วเสี่ยวเกอรักเมืองนี้มากกว่าใคร
เขาเป็นผู้ที่ทำงานหนักมากที่สุด มักจะตื่นก่อนนางสนมทุกคน และเข้านอนหลังพวกทหารยามเสียอีก”
อู๋เสียที่กำลังจะผลักประตูเข้าห้องของตน เลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ
“โหมงานเช่นนั้นสุขภาพจะไม่แย่เอาหรือ ราชาของเมืองนี้ก็ช่างโชคดีเสียจริงที่มีบริวารที่ขยันขันแข็งเช่นนี้”
สิ้นคำ เสียงหัวเราะกลับดังลั่นทางเดิน เด็กหนุ่มที่ถูกหัวเราะใส่ก็ตกใจลนลานว่าตนพูดอะไรผิดไปหรือ
“ทะ ท่านหัวเราะอะไรกัน ข้าพูดอะไรน่าขันตรงไหนหรือ”
“ข้าก็คิดนะว่าเจ้านั้นช่างใสซื่อ แต่ไม่คิดว่าจะซื่อถึงเพียงนี้”
“อะ อะไรกันเล่า!! ก็ทำงานหนักเช่นนั้นมันไม่ดีจริงๆนี่”
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ใบหน้าที่มักจะแต้มไปด้วยความสดใสกลับมุ้ยลง อู๋เสียแสร้งทำเป็นหงุดหงิดใจปกปิดอาการเคอะเขินของตน
โดยที่ไม่รู้ว่าตนกำลังเข้าใจคำพูของฝั่งตรงข้ามผิดเพี้ยนไปแม้แต่น้อย
“เอาเถอะ เรื่องนั้นข้าก็คิดเช่นเจ้า แต่ก็มิเคยมีใครบังคับเขาได้หรอกนะ ถ้ามีคนทำได้จริงๆ ข้าจักยอมวิ่งรอบเมืองถวายเทพกิเลนเลย”
พูดจบก็หัวเราะอีกเล็กน้อย ก่อนที่อู๋เสียจะดึงประตูให้ปิดลง นายอ้วนหวังก็พูดทิ้งท้าย
“ที่ไม่ให้เจ้าออกไปไหน ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าเองล่ะนะบุปผาน้อย”
“เอ๊ะ?”
ไม่ทันจะได้ถามอะไรต่อ นายอ้วนหวังก็เดินพริ้วหายไปอย่างไวขัดกับรูปร่างภายนอก ทิ้งให้อู๋เสียคิ้วขมวด ขบคิดเรื่องต่างๆอยู่คนเดียว
เด็กหนุ่มงับประตูปิดอย่างแผ่วเบา เดินมาทิ้งตัวนอนแผ่บนเตียงกว้าง นอนมองรูปสลักกิเลนบนเพดาน ก่อนจะปล่อยความคิดให้่ล่องลอย
ไปถึงใครอีกคนที่ตอนนี้คงนั่งทำงานหลังขดหลังแข็งตามที่หัวหน้าองค์รักษ์บอก
สำหรับตัวอู๋เสียนั้น ยังไม่สามารถระบุความสัมพันธ์ของตนกับบุรุษที่ชื่อ จางฉี่หลิง นี้ได้ อู๋เสียรู้ว่าเขาเป็นผู้ช่วยเด็กๆจากกองคาราวานทาส
แถมพาตนเองมารักษาตัวในวัง ถึงแม้จะไม่ยอมปล่อยออกไปไหน แต่จากคำบอกเล่าก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเอง
แปลว่าสิ่งที่จางฉี่หลิงคนนี้ทำ คือกำลังพยายามปกป้องตนใช่หรือไม่ ทั้งๆที่ตนก็เป็นเพียงคนแปลกหน้า เหตุใดจึงต้องทำแบบนี้
กว่าจะรู้ตัว ขายาวๆของตนก็พาเดินมาถึงโถงทางเดินแห่งหนึ่ง ซึ่งอู๋เสียจำได้ว่าเป็นทางที่บุรุษผมดำเดินมา สายตากวาดสอดส่องไปตามห้องต่างๆ
เพื่อมองหาคนที่อยู่ในห้วงความคิด ก่อนจะเจอชายหนุ่มนั่งอยู่ในห้องอักษรแห่งหนึ่ง รอบตัวเต็มไปด้วยม้วนกระดาษและหนังสือมากมาย
พอเห็นภาพตรงหน้าเด็กหนุ่มคล้ายกลับเรียกสติกลับเข้าร่าง รีบเบี่ยงตัวยืนหลบอยู่ข้างประตู ไม่รู้ว่าทำไมตนถึงเดินมาหาอีกคนแบบนี้
“ข้าบอกว่าไม่ให้มาที่โถงตะวันออกมิใช่หรือ”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นข้างตัวอย่างกระทันหัน ส่งผลให้เด็กหนุ่มตกใจร้องเสียงหลง
“เฮ้ย ทะ ท่านรู้ได้ยังไงว่าข้าอยู่ตรงนี้”
“...ข้าได้ยินเสียงกระพรวน”
พอได้ยินคำตอบก็อยากจะเอาหัวโขกกำแพงสักที 2ที ด้วยความเคยชินทำให้ตนเองนั้นลืมนึกถึงกำไลกระพรวนที่ข้อมือและข้อเท้าของตน
เพียงขยับนิดเดียวเสียงก็ดังกังวาลไปทั่วทางเดินแล้ว ฉี่หลิงนั้นรับรู้ถึงตัวตนของเด็กหนุ่มตั้งนานแล้ว เมื่อเสียงกระพรวนหยุดลงที่หน้าห้อง
เลยตัดสินใจเดินออกมาดูในที่สุด
“ทำไมเจ้าไม่อยู่ที่ห้อง…”
เด็กหนุ่มมีท่าทางเก้อเขินเมื่อได้ยินคำถามนั้น ยืนขยับตัวยุกยิกไปมาอยู่นาน ฝ่ายคนถามก็ยืนรอคำตอบนิ่งๆ ไม่พูดหรือขยับตัวไปไหนอีก
อู๋เสียงียบอยู่นานก่อนตัดสินใจยอมเปิดปากตอบในที่สุด
“ท่านหวังบอกว่าท่านทำงานหนัก ข้าก็เลย….อืม...เป็นห่วง….เลยเดินมาดู….”
พูดไประดับสายตาก็ต่ำลงเรื่อยๆ อู๋เสียก้มหน้างุดๆหนีสายตาของผู้มีพระคุณของตน มือไม้ก็รู้สึกเงอะงะ ไม่รู้จะวางไว้ที่ไหนดี
“.........เมื่อเจ้าเห็นแล้วก็จงกลับห้องไปเสีย”
ดวงตาสีน้ำตาลช้อนมองเล็กน้อย เมื่อเห็นน้ำเสียงและสายตากดดันจากคนข้างหน้า จึงทำอะไรไม่ได้นอกจากรีบเดินเร็วๆกลับห้องของตน
โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าสายตากดดันนั้น มองตามจนร่างเพรียวลับสายตาไป
-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-
มาต่อแล้วในที่สุด กริ๊ด ขออภัยที่มาต่อช้านะคะ สารภาพบาปว่าเพราะมัวแต่ไปติดฉี่หลิงเกอเกอกับlittle boy ของเขา (ฮา)
ช่วงนี้งานยุ่งมากเลยค่ะ ก็เลยอยากแต่งฟิคอะไรที่มันเบาสมอง ผลเลยไปตกที่ My little boy ตลอดเลย
เพราะเป็นแบบจบในตอน แถมเนื้อหาสาระไม่ค่อยมีอะไรมาก แค่ผิงเสียสวีทกันเท่านั้น 5555555555555
สำหรับฟิคเรื่องนี้ ด้วยความที่พล็อตยังไม่ค่อยแน่นนัก จึงทำให้ต้องค่อยๆคิดค่อยๆเขียนไป
อาจจะช้าไปสักหน่อย หวังว่าเพื่อนๆจะยังไม่ทิ้งกันไปนะคะ ยังไงเราจะพยายามมาต่อบ่อยๆน้า~
สุขสันต์วันคริสต์มาสค่า~
Part Intro
Part 1
-------- Part 2 --------
บรรยากาศยามบ่ายที่ร้อนแรง ถึงกระนั้นความร้อนก็ไม่สามารถทะลุเข้าสู่สวนลอยฟ้าสีเขียวขจีได้ ภายในสวนมีแต่ร่มไม้และความชุ่มชื่น
แต่ความร่มรื่นกลับไม่ทำให้อารมณ์ของเด็กหนุ่มที่นั่งหน้ามุ่ยดีขึ้นได้ อู๋เสียเอื้อมมือไปหยิบผลไม้สีชมพูสวยขึ้นมางับแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ
ทุกการขยับแขนจะมีเสียงกระพรวนดังสอดแทรกตลอด ทำให้นึกถึงคนที่สวมใส่ให้ตนแล้วก็พาลหน้าบึ้งขึ้นมาอีก
เป็นเวลากว่า 2 สัปดาห์แล้วที่อู๋เสียมาอยู่ที่สถานที่แปลกประหลาดแห่งนี้ ตลอดเวลา 14 วันอู๋เสียพยายามหลบหนีออกไปหลายครั้ง
แต่ก็เหมือนมีนกรู้ แถมนกตัวนั้นดันมีสีดำสนิทเหมือนอีกาซะด้วย จางฉี่หลิง ชายหนุ่มที่อู๋เสียเจอในวันแรกที่ตื่นขึ้น มักจะโผล่มาในจังหวะที่
เขากำลังแอบวิ่งลงบันได หรือ มักจะเป็นผู้ที่หาตัวเขาซึ่งซ่อนอยู่ตามสถานที่ต่างๆเจอเสมอ
ส่วนกำไลกระพรวนนี้ เป็นบทลงโทษจากราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่เขาไม่เคยพบหน้า ทุกครั้งที่หนี เขาจะมีกำไลส่งเสียงน่ารำคาญเพิ่มที่ข้อมือและข้อเท้า
อย่างละ 1 ชิ้น ซึ่งดูจากจำนวนตอนนี้แล้ว บอกได้เลยว่าเด็กหนุ่มพยายามมากจริงๆ และถึงแม้ตัวกำไลจะเป็นแบบสวมธรรมดา
ไม่ใช่แบบเชื่อมเหล็กเหมือนของคณะทาส แต่เมื่อนึกย้อนไปถึงสายตาของชายหนุ่มหน้านิ่งที่จับได้ว่าเขาแอบถอดกำไลแล้วหนี
ก็พลันหวาดกลัวจนไม่กล้าจะถอดออกอีกต่อไป การหลบหนีจึงดำเนินไปพร้อมเสียงกระพรวนใสกังวาล และจบลงที่ได้ของประดับเพิ่มตลอด
ความหงุดหงิดที่ถูกกักขังอยู่แค่ในห้องนอน ถึงที่ห้องแห่งนี้จะครบครันไปด้วยห้องอาบน้ำ ห้องน้ำ มีหนังสือให้อ่าน มีสวนระเบียงให้ออกไปนั่งเล่น
ข้าวปลาอาหารก็ไม่เคยขาด ถึงคนเสริฟอาหารจะหน้านิ่งไม่ชวนให้เจริญอาหารก็ตาม แต่การไม่สามารถออกไปไหนได้ ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเบื่อหน่าย
อย่างน้อยถ้าได้ออกไปเดินดูส่วนต่างๆของอาคารได้ก็ยังดี ก่อนหน้านี้ตอนที่กำลังหลบหนี อู๋เสียพบว่าที่นี้มีความวิจิตรสวยงามมาก
สถาปัตยกรรมต่างๆล้วนปราณีตและมีนต์ขลัง แต่เพราะกำลังหนีจากสายตาพญาเหยี่ยวของจางฉี่หลิงอยู่ ทำให้ไม่สามารถทัศนาได้อย่างตั้งใจ
แกร๊ก...
อู๋เสียที่นั่งทารุณกรรมผลไม้อยู่นาน รีบลุกพรวดเมื่อได้ยินเสียงประตูห้องเปิด
มาได้จังหวะพอดี วันนี้แหละ!! จะต้องจับมานั่งเครียร์ให้ได้เลย!!!!!
เด็กหนุ่มหมายมั่นปั้นมือว่าวันนี้ยังไงๆจะต้องจับพ่อหนุ่มหน้านิ่งมานั่งคุยกันให้ได้ว่าต้องการอะไรจากตัวเขา ถึงไม่ยอมให้ออกไปไหนแบบนี้
ความไม่รู้จุกแน่นเต็มอก ถ้าวันนี้เขาไม่รู้เหตุผล ต่อให้โดนตีจนขาหักก็จะหนีออกไปจากที่นี้ให้ได้แน่ๆ
ขาเพรียวในชุดกางเกงผ้าโปร่งก้าวฉับๆเข้าไปในตัวห้อง อ้าปากกว้างเตรียมตะโกนเรียกชื่อจางฉี่หลิงให้ดังสนั่น กะว่าอย่างน้อยคนหน้านิ่ง
ถ้าโดนตะโกนเรียกด้วยเสียงแปดหลอดของเขา ยังไงก็ต้องหันมาสนใจกันบ้าง แต่ความตั้งใจดันถูกตีกลับกระทันหัน ปากที่กำลังจะเอื้อนเอ่ย
เรียกชื่อคนคนเดียวที่เห็นมาตลอด 14 วัน ชะงักค้างกลางอากาศ ก่อนจะหุบฉับ เมื่อร่างที่คุ้นเคย บัดนี้อยู่ในเครื่องแต่งกายที่ผิดแปลกไป
จากเดิมที่ชายหนุ่มมักจะใส่เพียงเสื้อตัวยาวสีน้ำเงินเข้ม คู่กับกางเกงแบบชาวทะเลทรายอย่างง่ายๆ ตอนนี้กลับสวมเสื้อสีขาวเนื้อแพรชั้นดี
สาบเสื้อแหวกออกเผยให้เห็นแผ่นอกแกร่ง คลุมด้วยเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มปักลายกิเลนสีทอง ผ้าคาดเอวสีดำคาดทับกลางลำตัวช่วยเก็บชายผ้า
ที่ดูรุ่มร่ามให้เข้าที่ เครื่องประดับมากมายถูกประโคมใส่ตามตัว ทั้งสายสร้อยเส้นยาว กำไลข้อมือทอง และ ผ้าโพกหัวที่ดูเข้ากับใบหน้าเรียบเฉย
อย่างน่าประหลาด
เสียงจานอาหารกระทบกับโต๊ะกลางห้องเรียกสติของเด็กหนุ่มกลับมาอีกครั้ง อู๋เสียกอดอกเตรียมตั้งท่าหาเรื่องเต็มที่
วันนี้ถึงนายจะใส่ชุดหล่อมาก็ไม่ยอมให้หรอกนะ!!!
“ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน!!”
พูดจบดวงตาสีดำก็หันมามองอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีดำที่อู๋เสียมองกี่ครั้งก็ยังเดาไม่ออกว่าคนตรงหน้าคิดอะไรหรือรู้สึกอย่างไร คล้ายว่าทุกสิ่ง
ถูกสีดำอันเป้นอนันต์นั้นดูดกลืนเข้าไปจนหมดสิ้น เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าเต็มปอด พลางพูดปลุกใจตัวเอง
เอาละนะอู๋เสีย!! จะพูดแล้วนะเว้ย!! อู๋เสียสู้ๆ อู๋เสียสู้ตาย อู๋เสียไว้ลาย สู้ตายกับกิเลน
“เจ้านายท่านกักตัวข้าไว้ในนี้ทำไม มีเหตุผลอะไรกันถึงทำแบบนี้ แถมยังไม่เคยมาเจอหน้า ไม่เคยบอกอะไร ไม่ให้ข้าไปไหน ไม่ให้ทำอะไร
ทำเหมือนคนอื่นเป็นนกในกรงแบบนี้ รู้ไหมว่ามันแย่ขนาดไหน ข้าเป็นคนเหมือนกันนะ ข้าเบื่อจะตายอยู่แล้ว ข้าอยากออกไปข้างนอก
อยากเจอผู้คน อยากกลับบ้านไปหาครอบครัวของข้า”
สิ้นสุดคำพรั่งพรูยาวเหยียด อู๋เสียหอบน้อยๆ จ้องมองคนตรงหน้าที่จ้องกลับมานิ่งๆ ท่าทีนิ่งเฉยซะจนเด็กหนุ่มอยากจะเข้าไปกระชากคอมาเขย่าๆๆๆๆๆ
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างหงุดหงิด แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรออกไปอีกครั้ง ชายหนุ่มในเครื่องทรงหรูหรา กลับเดินไปเปิดประตูห้อง อู๋เสียสะดุ้งเฮือก
รีบพุ่งไปคว้าแขนแกร่งไว้แน่น นัยต์ตาสีนิลเปรยมองมือทั้ง 2 ของร่างบาง ก่อนจะหันหน้าไปทางประตูตามเดิม
“พังจื่อ”
สิ้นเสียงทุ้มสังวาล ที่ทางเดินด้านนอกปรากฏชายร่างอ้วนหนึ่งนายแต่งกายคล้ายทหาร ยืนฉีกยิ้มแป้นแล้น ชายนามพังจื่อเลิกคิ้วประหลาดใจ
เมื่อเห็นมือที่เกาะแขนของชายหนุ่มที่เรียกขานตน
“ดูท่าบุปผาน้อยจะไม่อยากให้เจ้าไปทำงานเท่าไหร่นะเสี่ยวเกอ”
สิ้นคำแก้มนวลพลันเห่อร้อน อู๋เสียนึกด่าทอคนที่เรียกตนว่าดอกไม้น้อยในใจ แต่ก็ยังไม่กล้าปริปากพูดอะไร แถมยังไม่กล้าปล่อยมือแม้จะอายหนักหนา
เนื่องด้วยกลัวว่าคนตรงหน้าจะหนีตนไปโดยไม่ได้พูดคุยกันให้เข้าใจอย่างที่ตั้งใจไว้
“เจ้าพาอู๋เสียเดินเล่น ไปไหนก็ได้ยกเว้นโถงตะวันออก"
คนรับคำสั่งเลิกคิ้วแทบชนเพดาน ส่วนอู๋เสียนั้นยิ้มกว้างดีใจที่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกแม้มีผู้ติดตาม ก่อนจะรีบทำหน้าขึงขังอีกรอบเมื่อคนผมดำ
ทำท่าจะเดินอกจากห้องทั้งๆที่ยังไม่ทันได้คุยกันให้รู้เรื่อง
"ท่านยังไม่บอกข้าเลยว่าเจ้านายท่านต้องการอะไรจากข้ากันแน่"
ฉี่หลิงเปรยตามอง ก่อนเคลื่อนมือมาแกะมือสีน้ำผึ้งออกง่ายๆ เหมือนมือที่จับต้นแขนตนอยู่ไม่ได้ออกแรงอะไรมากมาย อู๋เสียตกใจกับแรงมหาศาล
ของคนตรงหน้า แต่ก่อนจะตั้งสติคว้าแขนแกร่งไว้อีกรอบ อีกคนดันผลุบหายไปหลังประตู พอจะพุ่งตัวตามไปก็ถูกฝ่ามืออวบๆคว้าต้นแขนรั้งไว้อย่าง
กระทันหันจนเกือบหงายหลัง
"ปล่อยยยย ข้าต้องตามไปคุยให้รู้เรื่อง"
"เอาล่ะบุปผาน้อย อยู่นิ่งๆก่อน"
"บุปผาบ้านท่านสิ ข้าชื่ออู๋เสีย!!!"
เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกด้วยฉายาสาวแตกดิ้นพร่าน พยายามแกะมือที่จับต้นแขนตนไว้อยู่ เกิดเสียงกระพรวนดังสนั่นลั่นทางเดิน
"เสี่ยวเกอไม่ว่างมาเล่นด้วยหรอก เพราะงั้นเสี่ยอ้วนจะพาไปเดินเล่นเอง"
พูดจบก็ออกเดินโดยมีมือของอีกคนโดนลากตามไปด้วย อู๋เสียทั้งดิ้นทั้งโวยวาย เรียกความสนใจจากเหล่านางกำนัลและนายทหารที่รีบวิ่งมาดู
อย่างตื่นตกใจ แต่เมื่อเห็น่วาเป็นหัวหน้าองค์รักษ์กับคู่เล่นวิ่งไล่จับขาประจำขององค์ราชา ก็ได้แต่ขยับยิ้มอย่างเอ็นดู ก่อนจะผละกลับไปทำงานต่อ
เด็กหนุ่มดิ้นจนเหนื่อยก็ยังไม่สามารถแกะมืออ้วนๆออกจากข้อมือตนได้ เลยได้แต่หน้ามุ่ยเดินตามไปแบบไม่ใคร่จะเต็มใจนัก
หลังจากเดินไปตามทางสักพัก ความขุ่นเคืองก็หายจนหมดสิ้นเพราะความงามของภาพประดับประดาและสถาปัตยกรรมได้ดึงความสนใจของ
เด็กหนุ่มไปจนหมด อู๋เสียได้แต่ทำตาโตแล้วเงยหน้าชื่นชมความงามเหล่านั้น จนเมื่อดึงสติตัวเองกลับมาได้ จึงเอ่ยถามคนที่ยังเดินจูงมือตน
เหมือนเด็ก2ขวบ
“ท่านจะพาข้าไปที่ใด?”
พังจื่อหันกลับมายิ้มกว้างแบบเจ้าเล่ห์ จนอู๋เสียรู้สึกไม่ไว้ใจ ฝืนแรงจะหยุดเดิน ร้อนถึงคนลากตัวต้องรีบกล่อมเด็กในโอวาท
“อ๊ะๆ อย่าพึ่งหยุดเดิน เสี่ยอ้วนจะพาเจ้าไปเที่ยวในเมืองอย่างไรเล่า”
“เอ๊ะ แต่ท่านฉี่หลิงกล่าวว่า..”
“เสี่ยวเกอห้ามมิให้พาเจ้าไปโถงตะวันออก แต่มิได้กล่าวว่าห้ามพาออกไปข้างนอกมิใช่หรือ”
เมื่อฟังจบประโยค อู๋เสียก็ยิ้มกว้างดั่งเด็กได้ของเล่น เสี่ยอ้วนยิ้มตอบก่อนละมือมาขยี้ผมเด็กหนุ่มอย่างเอ็นดูแล้วเดินนำไปโดยไม่จับแขน
เพราะเสียงกระพรวนกังวาลที่ไล่ตามหลังมาทำให้แน่ใจว่าไม่ต้องออกแรงอีกฝ่ายก็ตามมาอย่างง่ายดาย
.
.
.
.
.
.
“ท่านยาย นี่คืออะไรหรือ”
อู๋เสียที่ตอนนี้มีผ้าคลุมหัวป้องกันแสงแดดก้มลงมองผลไม้หน้าตาแปลกตา หญิงชราท่าทางใจดีรีบตรงเข้ามาต้อนรับลูกค้า อธิบายชื่อเรียกแปลกๆ
แล้วเชิญชวนให้ลองชิมอยู่หลายคำ จนอู๋เสียเกรงใจที่ได้กินของฟรี แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธน้ำใจ ครั้นจะหันไปขอเสี่ยอ้วนให้อุดหนุนแทน กลับกลายเป็นว่า
คนที่เสนอตัวเป็นไกด์ดันหายตัวไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
เด็กหนุ่มยืนหันรีหันขวางอยู่นานก็ยังไม่เห็นร่างอวบๆของนายหวัง ทางฝ่ายหญิงชราแม้จะรู้ว่าคนตรงหน้าคงไม่ซื้อของตนเป็นแน่ ก็ยังต้อนรับขับสู่อย่างดี
“มาจากไหนหรือพ่อหนุ่ม หน้าตาไม่คุ้นเลย”
“อา….มาจากเมืองทางใต้จ๊ะท่านยาย”
ได้ยินแบบนั้นหญิงชราก็เลิกคิ้วสูง เมื่อไม่ได้เห็นนักเดินทางจากทางใต้มานานแล้ว เนื่องด้วยตัวเมืองอยู่ในเขตทะเลทราย และ ส่วนใหญ่คนทางใต้
มักจะติดต่อค้าขายทางทะเลมากกว่าทางคาราวาน
“เดินทางมาเสียไกลเชียว แล้วตอนนี้พักอยู่ที่ไหนหรือ”
เจอคำถามนี้เข้าไปอู๋เสียถึงกับกระอักกระอ่วน ไม่กล้าตอบว่าตอนนี้ตนนั้นพักอาศัยอยู่ในวังหลวง เพราะหากโดนถามต่อไปว่าทำไมถึงได้ไปพักอยู่ที่นั้น
ก็คงจะตอบว่าเป็นแขกของราชาได้อย่างไม่เต็มปากนัก
“พี่อู๋!!!”
เหมือนระฆังช่วยชีวิต เสียงเล็กๆแสนคุ้นหูเรียกความสนใจจากเจ้าของชื่อ รวมถึงอีกหลายคนที่อยู่รอบๆตัว รู้ตัวอีกทีอู๋เสียก็รู้สึกถึงแรงกระแทกน้อยๆ
พร้อมกับร่างของเด็กสาวนามหลิงจี่ที่พุ่งเข้ามากอดเอว เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
“หลิงจี่!! ดีใจจังนึกว่าจะไม่ได้พบกันแล้ว”
“ข้าซิต้องพูดเช่นนั้น!! ตั้งแต่พี่เข้าไปอยู่ในวังข้าก็ไม่ได้ข่าวอีกเลย พี่เป็นอย่างไรบ้าง บาดแผลหายดีหรือยัง”
“ดีขึ้นแล้ว ยาในวังดีมาก ข้าแทบไม่เหลือแผลบนหลังเลยล่ะ”
อู๋เสียคุกเข่ากับพื้นให้อยู่ในระดับเดียวกับเด็กหญิง ทั้ง 2 กอดกันอีกหลายครั้ง ถามสารทุกข์สุขดิบกันและกันโดยไม่ได้สนใจคนรอบข้าง
กว่าอู๋เสียจะรู้ตัวว่าพลาดไปแล้ว ก็ตอนที่หญิงชราเอ่ยถามหลิงจี่
“หลิงจี่!! นี่คือบุปผาของท่านจางฉี่หลิงหรือ??!!”
อู๋เสียเงยหน้าขึ้นทำตาโตกับสรรพนามเรียก ก่อนจะสังเกตว่าตอนนี้ผู้คนที่เดินตลาดกำลังล้อมวงจ้องมองมาทางตนแต่เพียงผู้เดียว
รู้สึกเคอะเขินขึ้นมาทันทีที่เป็นจุดสนใจของผู้คน ก่อนที่จะทันอ้าปากปฏิเสธ เด็กหญิงตัวน้อยกับตอบเสียงดังฉะฉาน
“ใช่จ๊ะท่านยาย!!!”
สิ้นคำเกิดเสียงอื้ออึงดังไปทั่ว เด็กหนุ่มที่ไม่รู้เรื่องราวพลินหน้าซีดด้วยความตกใจเมื่อชาวบ้านหลายคนกรูเข้ามาจับมือ แตะแขน บางคนถึงกับร้องห่มร้องไห้
“บุปฝาบานแล้ว คำทำนายเป็นจริงจริงๆด้วย”
“ท่านจางฉี่หลิงปลอดภัยแล้ว”
“ขอบคุณท่านบุปผา”
และอีกหลายหลากเสียงดังแทรกกันจนจับใจความไม่ได้ อู๋เสียรู้เพียงแต่ว่าตนต้องมีความเกี่ยวข้องอะไรสักอย่างกับคำทำนายประจำเมือง และ
ตัวจางฉี่หลิง บุรุษหน้านิ่งช่างเป็นที่รักของชาวเมืองมากๆ
‘นายนี่มีตำแหน่งอะไรกันแน่ ชาวเมืองถึงให้ความสำคัญขนาดนี้’
เด็กหนุ่มได้เพียงแต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ เมื่อกลุ่มคนข้างหน้าแหวกออกเป็นทาง เผยให้เห็นร่างอวบอ้วนคุ้นตาของนายหวังที่หายหน้าไปกลางคัน
“เอาล่ะท่านยาย ไม่ต้องร่ำไห้ ไอ้หนูนี่มันตกใจหมดแล้ว”
นายหวังเดินเข้ามาลูบหลังหญิงชราเบาๆ ก่อนจะแกะมืออู๋เสียออกจากอุ้งมือเหี่ยวย่น ก่อนจะคว้าตัวเด็กหนุ่มแล้วดันหลังให้เดินออกจากฝูงชน
ซึ่งเหล่าชาวบ้านก็ยอมแหวกทางหลบให้แต่โดยดี
“เดี๋ยว!! ข้ายังไม่..หลิงจี่!!”
อู๋เสียพยายามฝืนตัวหันกลับไปหาเด็กหญิง ตัวเขานั้นยังไม่ทันได้ถามกลับเลยว่าร่างเล็กหลังจากกลับมาที่เมืองนี้มีชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง
จึงปรารถนาอยากจะอยู่พูดคุยต่ออีกสักหน่อย แต่ก็ไม่สามารถฝืนสู้แรงของมือหยาบได้ นายอ้วนหวังรีบกระซิบบอกให้เดินต่อไป
“ชาวบ้านแตกตื่นจนคนในวังรู้ตัวแล้ว แม่เด็กนั้นไม่เป็นอะไรหรอก ไว้ข้าจะพาเจ้ามาอีก ตอนนี้รีบกลับวังเถอะ”
ได้ยินแบบนั้นอู๋เสียจึงยอมให้มืออวบๆลากตัวกลับวังแต่โดยดี มือเรียวรีบโบกมือลาเด็กหญิงที่โบกมือตอบอย่างร่าเริง และได้แต่หวังว่า
จะได้มาพบกันอีกในเร็ววัน
.
.
.
.
.
.
สภาพหัวหน้าองค์รักษ์ที่กำลังนั่งคุกเข่าสำนึกผิดคู่กับเด็กหนุ่มต่างเมือง สร้างความขบขันให้เหล่าทหารและนางกำนัลเป็นอย่างมาก
แต่สำหรับตัวทั้ง 2 คนที่โดนสายตาเย็บเยียบจับจ้องมาอย่าคาดโทษ กลับรู้สึกเหมือนอยู่บนยอดเขาหนาวเหน็บ
จนสุดท้ายคนเจ้าแผนการก็ทนไม่ไหว นายอ้วนหวังที่ขยับตัวยุกยิกๆอยู่นาน ตัดสินใจเปิดปากพูดในที่สุด
“เอ่อ…..ทานอาหารเย็นกันเลยดีไหม”
สิ้นคำอู๋เสียอยากจะหันไปเบิ้ดกะโหลกให้สักที 2ที ในสถานการณ์แบบนี้ยังจะพูดเรื่องของกินอีก เจ้าบ้าเอ๊ย!!
“....ทำไมถึงพาออกไปข้างนอก”
ทั้งอู๋เสียและนายอ้วนสะดุ้งสุดตัวเมื่อในที่สุดคนที่สร้างความกดดันก็ยอมเปิดปากพูดเสียที เด็กหนุ่มรีบส่งสายตากดดันให้อีกคนรีบสารภาพบาปไปซะ
“ก็เจ้าบอกว่าห้ามพาไปที่โถงตะวันออก แต่มิห้ามให้พาออกไปข้างนอกเสียหน่อย”
ตอบแบบนี้เด็กหนุ่มขอไว้อาลัยให้ความแถของคนที่นั่งข้างๆ ในใจวางแผนว่าจะแอบเข้าโรงครัวไปขโมยของกินมาเซ่นสักอย่าง 2 อย่างแทน
คำขอบคุณที่ทำให้ได้ออกไปข้างนอก
แต่ทุกอย่างกลับผิดคาดเมื่อชายหนุ่มที่มีตำแหน่งสูงกว่ากลับเงียบอีกครั้งคล้ายอับจนด้วยคำพูด ก่อนจะถอนหายใจเบาบางแล้วพูดทิ้งท้าย
ก่อนจะก้าวเดินไปทางห้องอักษร
“ครั้งหน้าห้ามพาออกไปโดยไม่บอกข้าอีก”
อู๋เสียนั่งกระพริบตาปริบๆ ตามร่างสูงที่เดินหายไป ตอนแรกนึกว่าจะต้องโดนทำโทษอะไรมากกว่านี้ แต่ชายหนุ่มกลับเดินจากไปดื้อๆ
แถมพูดเหมือนยอมให้เขาออกไปนอกวังได้อีก เรียกรอยยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงน้องสาวตัวน้อย
“เอาล่ะ รีบพาเจ้ากลับห้องดีกว่า ก่อนที่ข้าจะโดนบั่นคอทิ้งจริงๆ”
นายอ้วนหวังยิ้มกว้างทำให้เด็กหนุ่มมองไม่ออกว่าสรุปที่พูดนั้นเป็นแค่มุขล้อเล่นหรือว่าจริงจังกันแน่ แต่ไม่พิสูจน์คงจะดีกว่า
ร่างเพรียวจึงเดินตามคนแก่กว่าไปอย่างว่าง่าย
“นี่ท่านหวัง ข้าขอถามอะไรหน่อยได้หรือเปล่า”
เสียงเด็กหนุ่มดังก้องสอดประสานไปกับเสียงก้าวเดิน ผู้ถูกร้องขอเพียงเลิกคิ้วขึ้น เป็นนัยว่าฟังอยู่ เมื่อไม่ได้ถูกห้ามปรามจึงเอ่ยถามสิ่งที่ตนสงสัยอยู่
“เหตุใดท่านจางถึงเป็นที่รักของชาวเมืองกัน”
นายอ้วนหวังยกยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยตอบด้วยเสียงฉะฉาน ทุกคนพูดล้วนแฝงไปด้วยความชื่นชม
“ก็เพราะความเก่งกาจของเสี่ยวเกอ เมืองนี้ถึงอยู่รอดมาได้ ก่อนหน้านี้เราเคยถูกรุกรานจากเมืองอื่นๆ เพราะว่าพื้นที่อุดมสมบูรณ์แถบนี้นั้น
ตั้งอยู่บนเส้นทางของขบวนคาราวานต่างๆ เวลาจักเดินทางไปไหนก็ต้องผ่านเมืองนี้ทั้งนั้น หลายเมืองจึงต้องการยึดครองเป็นของตน
เพราะว่านอกจากจะเป็นแหล่งเสบียงแล้ว ยังสามารถเอาไว้เรียกเก็บค่าผ่านทางได้อีกด้วย แต่หลังจากเสี่ยวเกอขึ้นมาเป็นผู้นำทัพ
ก็ปราบกองทัพต่างๆเสียอยู่หมัด และยังเปิดการเจรจาเพื่อให้เมืองนี้สามารถอยู่ได้อย่างสงบสุขอีกด้วย ชาวเมืองที่ลำบากมานาน
จึงเปรียบว่าเขาเป็นดั่งเทพผู้มาปลดปล่อยเชียวล่ะ”
“เห~ คนเงียบๆ แบบนั้นเนี่ยนะ”
“เจ้าอย่าดูถูกเสี่ยวเกอไป ถึงจะพูดน้อยแต่ก็ใช่ว่าจะใช้วาจาไม่เป็น ภายนอกอาจจะดูเย็นชา แต่ที่จริงแล้วเสี่ยวเกอรักเมืองนี้มากกว่าใคร
เขาเป็นผู้ที่ทำงานหนักมากที่สุด มักจะตื่นก่อนนางสนมทุกคน และเข้านอนหลังพวกทหารยามเสียอีก”
อู๋เสียที่กำลังจะผลักประตูเข้าห้องของตน เลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ
“โหมงานเช่นนั้นสุขภาพจะไม่แย่เอาหรือ ราชาของเมืองนี้ก็ช่างโชคดีเสียจริงที่มีบริวารที่ขยันขันแข็งเช่นนี้”
สิ้นคำ เสียงหัวเราะกลับดังลั่นทางเดิน เด็กหนุ่มที่ถูกหัวเราะใส่ก็ตกใจลนลานว่าตนพูดอะไรผิดไปหรือ
“ทะ ท่านหัวเราะอะไรกัน ข้าพูดอะไรน่าขันตรงไหนหรือ”
“ข้าก็คิดนะว่าเจ้านั้นช่างใสซื่อ แต่ไม่คิดว่าจะซื่อถึงเพียงนี้”
“อะ อะไรกันเล่า!! ก็ทำงานหนักเช่นนั้นมันไม่ดีจริงๆนี่”
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ใบหน้าที่มักจะแต้มไปด้วยความสดใสกลับมุ้ยลง อู๋เสียแสร้งทำเป็นหงุดหงิดใจปกปิดอาการเคอะเขินของตน
โดยที่ไม่รู้ว่าตนกำลังเข้าใจคำพูของฝั่งตรงข้ามผิดเพี้ยนไปแม้แต่น้อย
“เอาเถอะ เรื่องนั้นข้าก็คิดเช่นเจ้า แต่ก็มิเคยมีใครบังคับเขาได้หรอกนะ ถ้ามีคนทำได้จริงๆ ข้าจักยอมวิ่งรอบเมืองถวายเทพกิเลนเลย”
พูดจบก็หัวเราะอีกเล็กน้อย ก่อนที่อู๋เสียจะดึงประตูให้ปิดลง นายอ้วนหวังก็พูดทิ้งท้าย
“ที่ไม่ให้เจ้าออกไปไหน ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าเองล่ะนะบุปผาน้อย”
“เอ๊ะ?”
ไม่ทันจะได้ถามอะไรต่อ นายอ้วนหวังก็เดินพริ้วหายไปอย่างไวขัดกับรูปร่างภายนอก ทิ้งให้อู๋เสียคิ้วขมวด ขบคิดเรื่องต่างๆอยู่คนเดียว
เด็กหนุ่มงับประตูปิดอย่างแผ่วเบา เดินมาทิ้งตัวนอนแผ่บนเตียงกว้าง นอนมองรูปสลักกิเลนบนเพดาน ก่อนจะปล่อยความคิดให้่ล่องลอย
ไปถึงใครอีกคนที่ตอนนี้คงนั่งทำงานหลังขดหลังแข็งตามที่หัวหน้าองค์รักษ์บอก
สำหรับตัวอู๋เสียนั้น ยังไม่สามารถระบุความสัมพันธ์ของตนกับบุรุษที่ชื่อ จางฉี่หลิง นี้ได้ อู๋เสียรู้ว่าเขาเป็นผู้ช่วยเด็กๆจากกองคาราวานทาส
แถมพาตนเองมารักษาตัวในวัง ถึงแม้จะไม่ยอมปล่อยออกไปไหน แต่จากคำบอกเล่าก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเอง
แปลว่าสิ่งที่จางฉี่หลิงคนนี้ทำ คือกำลังพยายามปกป้องตนใช่หรือไม่ ทั้งๆที่ตนก็เป็นเพียงคนแปลกหน้า เหตุใดจึงต้องทำแบบนี้
กว่าจะรู้ตัว ขายาวๆของตนก็พาเดินมาถึงโถงทางเดินแห่งหนึ่ง ซึ่งอู๋เสียจำได้ว่าเป็นทางที่บุรุษผมดำเดินมา สายตากวาดสอดส่องไปตามห้องต่างๆ
เพื่อมองหาคนที่อยู่ในห้วงความคิด ก่อนจะเจอชายหนุ่มนั่งอยู่ในห้องอักษรแห่งหนึ่ง รอบตัวเต็มไปด้วยม้วนกระดาษและหนังสือมากมาย
พอเห็นภาพตรงหน้าเด็กหนุ่มคล้ายกลับเรียกสติกลับเข้าร่าง รีบเบี่ยงตัวยืนหลบอยู่ข้างประตู ไม่รู้ว่าทำไมตนถึงเดินมาหาอีกคนแบบนี้
“ข้าบอกว่าไม่ให้มาที่โถงตะวันออกมิใช่หรือ”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นข้างตัวอย่างกระทันหัน ส่งผลให้เด็กหนุ่มตกใจร้องเสียงหลง
“เฮ้ย ทะ ท่านรู้ได้ยังไงว่าข้าอยู่ตรงนี้”
“...ข้าได้ยินเสียงกระพรวน”
พอได้ยินคำตอบก็อยากจะเอาหัวโขกกำแพงสักที 2ที ด้วยความเคยชินทำให้ตนเองนั้นลืมนึกถึงกำไลกระพรวนที่ข้อมือและข้อเท้าของตน
เพียงขยับนิดเดียวเสียงก็ดังกังวาลไปทั่วทางเดินแล้ว ฉี่หลิงนั้นรับรู้ถึงตัวตนของเด็กหนุ่มตั้งนานแล้ว เมื่อเสียงกระพรวนหยุดลงที่หน้าห้อง
เลยตัดสินใจเดินออกมาดูในที่สุด
“ทำไมเจ้าไม่อยู่ที่ห้อง…”
เด็กหนุ่มมีท่าทางเก้อเขินเมื่อได้ยินคำถามนั้น ยืนขยับตัวยุกยิกไปมาอยู่นาน ฝ่ายคนถามก็ยืนรอคำตอบนิ่งๆ ไม่พูดหรือขยับตัวไปไหนอีก
อู๋เสียงียบอยู่นานก่อนตัดสินใจยอมเปิดปากตอบในที่สุด
“ท่านหวังบอกว่าท่านทำงานหนัก ข้าก็เลย….อืม...เป็นห่วง….เลยเดินมาดู….”
พูดไประดับสายตาก็ต่ำลงเรื่อยๆ อู๋เสียก้มหน้างุดๆหนีสายตาของผู้มีพระคุณของตน มือไม้ก็รู้สึกเงอะงะ ไม่รู้จะวางไว้ที่ไหนดี
“.........เมื่อเจ้าเห็นแล้วก็จงกลับห้องไปเสีย”
ดวงตาสีน้ำตาลช้อนมองเล็กน้อย เมื่อเห็นน้ำเสียงและสายตากดดันจากคนข้างหน้า จึงทำอะไรไม่ได้นอกจากรีบเดินเร็วๆกลับห้องของตน
โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าสายตากดดันนั้น มองตามจนร่างเพรียวลับสายตาไป
-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-
มาต่อแล้วในที่สุด กริ๊ด ขออภัยที่มาต่อช้านะคะ สารภาพบาปว่าเพราะมัวแต่ไปติดฉี่หลิงเกอเกอกับlittle boy ของเขา (ฮา)
ช่วงนี้งานยุ่งมากเลยค่ะ ก็เลยอยากแต่งฟิคอะไรที่มันเบาสมอง ผลเลยไปตกที่ My little boy ตลอดเลย
เพราะเป็นแบบจบในตอน แถมเนื้อหาสาระไม่ค่อยมีอะไรมาก แค่ผิงเสียสวีทกันเท่านั้น 5555555555555
สำหรับฟิคเรื่องนี้ ด้วยความที่พล็อตยังไม่ค่อยแน่นนัก จึงทำให้ต้องค่อยๆคิดค่อยๆเขียนไป
อาจจะช้าไปสักหน่อย หวังว่าเพื่อนๆจะยังไม่ทิ้งกันไปนะคะ ยังไงเราจะพยายามมาต่อบ่อยๆน้า~
สุขสันต์วันคริสต์มาสค่า~
Snake_Blind- ด้วง
- จำนวนข้อความ : 41
Points : 3494
Join date : 06/12/2014
Age : 33
Re: [Fic-AU] The Heart of The Desert [ผิงเสีย] -Part 2-
แอร๊ยยยยยย มาแล้ววววววว
สนุกค่ะ ติดตามอยู่นะคะ
ปมเรื่องเริ่มมาแล้ววว
คำทำนายอะไรกันนน
สนุกค่ะ ติดตามอยู่นะคะ
ปมเรื่องเริ่มมาแล้ววว
คำทำนายอะไรกันนน
Narakas- ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
- จำนวนข้อความ : 263
Points : 3841
Join date : 27/10/2014
ที่อยู่ : ทิเบต
Re: [Fic-AU] The Heart of The Desert [ผิงเสีย] -Part 2-
งืม เสี่ยวเกอเป็นอะไรเหรอ บุปผาของจางฉี่หลิง นายน้อยโดนเรียกบุปผาๆคงอายน่าดู 555
ตอนนี้เสี่ยอ้วนใจดี พาอู๋เสียเที่ยวเล่นในเมืองด้วย
รอติดตามตอนต่อนะคะ เริ่มมีอะไรคืบหน้าขึ้นเรื่อยๆแล้ว
ตอนนี้เสี่ยอ้วนใจดี พาอู๋เสียเที่ยวเล่นในเมืองด้วย
รอติดตามตอนต่อนะคะ เริ่มมีอะไรคืบหน้าขึ้นเรื่อยๆแล้ว
Duke_of_Florence- ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา
- จำนวนข้อความ : 113
Points : 3579
Join date : 31/10/2014
Re: [Fic-AU] The Heart of The Desert [ผิงเสีย] -Part 2-
ชอบAUเรื่องนี้ค่า มาต่อเร็วๆน้าาา
นายน้อยโดนเรียกบุปผาด้วย ดูเทียนเจินและเป็นสา---
เสี่ยวเกอก็นะ....เอาเขามาอยู่ด้วย แต่ไม่พูดอะไรซักคำ(ค่าตัวแพงอีกต่างหาก5555)
นายน้อยโดนเรียกบุปผาด้วย ดูเทียนเจินและเป็นสา---
เสี่ยวเกอก็นะ....เอาเขามาอยู่ด้วย แต่ไม่พูดอะไรซักคำ(ค่าตัวแพงอีกต่างหาก5555)
Black_forest15- ด้วง
- จำนวนข้อความ : 30
Points : 3454
Join date : 22/12/2014
ที่อยู่ : ร้านน้ำชาของอารอง
Re: [Fic-AU] The Heart of The Desert [ผิงเสีย] -Part 2-
บุปผาาา น่าทะนุถนอมที่สุดเลย เหมาะกับเทียนเจินจริงๆ 555
kame_kazuha- ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
- จำนวนข้อความ : 274
Points : 3745
Join date : 27/10/2014
ที่อยู่ : สุสานสักที่
Re: [Fic-AU] The Heart of The Desert [ผิงเสีย] -Part 2-
กลับมาอ่านใหม่อีกครั้ง สนุกดีอยากอ่านต่ออีกจ้า
yakusoku- ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
- จำนวนข้อความ : 369
Points : 3830
Join date : 05/11/2014
ที่อยู่ : โลงในสุสานโบราณ
Re: [Fic-AU] The Heart of The Desert [ผิงเสีย] -Part 2-
“เจ้าอย่าดูถูกเสี่ยวเกอไป ถึงจะพูดน้อยแต่ก็ใช่ว่าจะใช้วาจาไม่เป็น ภายนอกอาจจะดูเย็นชา แต่ที่จริงแล้วเสี่ยวเกอรักเมืองนี้มากกว่าใคร
เขาเป็นผู้ที่ทำงานหนักมากที่สุด มักจะตื่นก่อนนางสนมทุกคน และเข้านอนหลังพวกทหารยามเสียอีก”
นางสนม!!??? จะใช้คำว่านางกำนัลหรือเปล่าครับ
ถ้านางสนมจริงโกรธนะเฟ้ยยยยยยยยยยยยย แต่จากนิสัยเสี่ยวเกอไม่น่าจะมีนะ เป็นไปไม่ด้ายยยยยยย
นางกำนัลสินะครับ! //เขย่าๆๆ
เขาเป็นผู้ที่ทำงานหนักมากที่สุด มักจะตื่นก่อนนางสนมทุกคน และเข้านอนหลังพวกทหารยามเสียอีก”
นางสนม!!??? จะใช้คำว่านางกำนัลหรือเปล่าครับ
ถ้านางสนมจริงโกรธนะเฟ้ยยยยยยยยยยยยย แต่จากนิสัยเสี่ยวเกอไม่น่าจะมีนะ เป็นไปไม่ด้ายยยยยยย
นางกำนัลสินะครับ! //เขย่าๆๆ
Rozenkreuz- ด้วงอาณาจักรเจ้าแม่ซีหวังหมู่
- จำนวนข้อความ : 625
Points : 3848
Join date : 01/07/2015
Age : 31
ที่อยู่ : กองทัพผีเก็บเห็ดแห่งประตูสำริด
Similar topics
» [Fic-AU] The Heart of The Desert [ผิงเสีย] -Part 1-
» [Fic-AU] The Heart of The Desert [ผิงเสีย] -Intro-
» [FIC] ซีรี่สวรรค์องค์ที่ 3 [ผิงเสีย] part 2/2
» [OS]We will never part again. (ผิงเสีย)
» [FIC] ซีรี่สวรรค์องค์ที่ 3 [ผิงเสีย] part 1/2 (มันไม่สั้นเลย)
» [Fic-AU] The Heart of The Desert [ผิงเสีย] -Intro-
» [FIC] ซีรี่สวรรค์องค์ที่ 3 [ผิงเสีย] part 2/2
» [OS]We will never part again. (ผิงเสีย)
» [FIC] ซีรี่สวรรค์องค์ที่ 3 [ผิงเสีย] part 1/2 (มันไม่สั้นเลย)
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|
Fri 24 Jul 2020, 01:39 by gustoon
» [คู่มือด้วง] Keyword จีนสำหรับการขุด(แฟนดอม)สุสาน
Thu 21 Jun 2018, 00:29 by miskizfullmoon
» มังฮวาและภาคทิเบต
Thu 21 Jun 2018, 00:23 by miskizfullmoon
» [OS] Father is the best (ผิงเสีย)
Thu 03 Aug 2017, 16:12 by schneewittchen
» [Fic] สิ่งเล็กๆที่เชื่อมโลก5 [เมินโหยวผิง+อู่เสีย+เสี่ยอ้วน]+OC
Tue 01 Aug 2017, 12:30 by natsume
» [OS] #dmbjdaily (จูปาจุ๊บ) Bittersweet [ผิงเสีย AU]
Thu 06 Apr 2017, 15:58 by Zeth
» [OS] #dmbjdaily "โทรศัพท์มือถือ" - no Pairing [All]
Tue 04 Apr 2017, 22:27 by Zeth
» [OS] #DMBJDaily (แว่น): ระยะที่มองไม่เห็น [ฮัวเสีย]
Sat 01 Apr 2017, 16:55 by Zeth
» [OS] #DMBJdaily (5.20) ท่านยอดฝีมือ [หวังเหมิง (+เหมิงเสีย)(+ผิงเสีย)]
Thu 30 Mar 2017, 17:24 by Zeth