Countdown
We've been
togerther for
ค้นหา
Latest topics
Most active topics
[Fic-AU] The Heart of The Desert [ผิงเสีย] -Intro-
+6
mage
snowdollce
meanato
Fenrir
Narakas
Snake_Blind
10 posters
หน้า 1 จาก 1
[Fic-AU] The Heart of The Desert [ผิงเสีย] -Intro-
ด้วงปงจ้า~
พึ่งทำการสมัครบอร์ดเมื่อตะกี้เลย ก่อนหน้านี้แอบส่องๆเป็นศพโลหิตในมุมมืด ฮา
แต่ช่วงนี้มีพล็อตฟิคผิงเสียที่อยากจะเขียนอยู่ในหัวมาหลายวัน เลยคิดว่าอยากจะลองเขียนดูสักตั้ง
อาจจะไม่ค่อยได้เรื่องหน่อยนะคะ เพราะตัวเราเองไม่ได้เขียนฟิคจริงจังมานานมาก สำนวนอะไรอาจจะดูงงๆเล็กน้อย
แถมความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์จีนก้ไม่ค่อยมี ในเรื่องนี้จะมโนเอาหลายเรื่อง ยังไงต้องขอโทษเพื่อนๆล่วงหน้าด้วยนะคะ
ชอบไม่ชอบยังไง รบกวนสหายด้วงทั้งหลายชี้แนะด้วยนะคะ~
-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-
The Heart of The Desert
-------- Intro --------
ที่นี่มันที่ไหนกัน!!!!!!!!!
อู๋เสียกรีดร้องในใจ เพราะบัดนี้ลำคอแห้งผากจนไม่อยากเปล่งเสียงใดๆ ดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความตระหนกกวาดตามอง รอบตัวตอนนี้มีแต่ทราย ทราย และทราย
เด็กหนุ่มกระพริบตาถี่ๆหลายทีเหมือนกับว่าจะทำให้ภาพตรงหน้าหายไป แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนรอบตัวเขาก็เป็นทิวทัศน์ของทะเลทรายสุดลูกหูลูกตาเหมือนเดิม
ขยับร่างกายพลางยันตัวขึ้นยืนอย่างยากลำบาก ร่างของเขาโดนฝังอยู่ในทราย แต่ก็ไม่ลึกมากจึงตะเกียดตะกายขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง อู๋เสียมองไปรอบๆแล้วพยายามนึกถึงสิ่งสุดท้ายที่ตัวเองจำได้
พายุทราย ใช่แล้ว!!
อู๋เสีย นายน้อยสามแห่งตระกูลอู๋ บัดนี้โดนทิ้งอยู่ในทะเลทรายเวิ้งว้างเพราะพายุทรายที่พัดถล่มคณะสำรวจของนักศึกษาคณะโบราณคดีอย่างไม่ทันตั้งตัว ตัวอู๋เสียเองนั้นที่จริงแล้วเป็นนักศึกษาคณะสถาปัตย แต่เนื่องด้วยตระกูลของเขาวนเวียนเกี่ยวข้องกับโบราณวัตถุและสุสานโบราณ ทำให้ตัวอู๋เสียเองมีความสนใจในด้านนี้ไม่น้อย วิชาโบราณคดีเลยกลายเป้นวิชารองที่เขาลงเรียน
ไม่น่าเชื่อว่าแค่ออกสำรวจครั้งแรกจะเจอดีแบบนี้ แต่ก็นับว่าโชคดีที่ยังไม่ตายกลางทะเลทราย มือเรียวควานดูใต้ทรายรอบตัว ตอนที่โดนพายุพัด เขายังสะพายกระเป๋าที่ใส่ของเล็กๆน้อยๆไว้อยู่ อย่างน้อยถ้าเจอมือถือก็อาจจะพอหาทางติดต่อขอความช่วยเหลือได้ หรือถ้าเจอขวดน้ำหรืออาหาร ก็น่าจะพอช่วยประทังชีวิตเขาไปได้จนกว่าจะหาทางอื่นๆเจอ
หลังจากลองค้นหา อู๋เสียเจอผ้าใบ1ผืน ขวดน้ำ กับสมุดโน๊ตเล่มเล็กที่เขาพกติดตัว ตรวจดูระดับน้ำมีไม่มาก จึงยกขึ้นแตะริมฝีปากเล็กน้อยให้ไม่แห้งผาก แล้วยัดขวดน้ำกับสมุดโน๊ตลงในกระเป๋าเสื้อนอก เอาผ้าใบคลุมตัวให้พ้นจากแสงอาทิตย์ แล้วอาศัยทิศทางของพระอาทิตย์ เดินไปในทางที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นโบราณสถาน อู๋เสียไม่แน่ใจว่าเขาอยู่ที่ใด ห่างไกลจากจุดเดิมที่คณะสำรวจอยู่หรือไม่ แต่อย่างน้อยการได้คิดว่าเดินไปในทางที่ถูก ก็น่าจะดีกว่าการเดินอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย
.
.
.
.
2 วันผ่านไป ตอนนี้น้ำหมดแล้ว อู๋เสียอดหลับอดนอน เดินผ่าความร้อนช่วงกลางวันและความหนาวเย็นช่วงกลางคืนอย่างไม่หยุดพัก สติเริ่มเลือนหาย ร่างกายขยับไปตามสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด ผ้าใบที่ใช้คลุมตัวหลุดหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่เขาก็ไม่ได้จำ ตะวันคล้อยต่ำ ใกล้จะถึงยามค่ำอีกครั้ง
อู๋เสียแทบหมดหวัง หากผ่านคืนนี้ไปเขายังไม่ได้รับการช่วยเหลือ คงไม่มีวันพรุ่งนี้สำหรับเขา
พลันกลับมีเสียงเซ็งแซ่ดังลอยมากับสายลม แรกเริ่มอู๋เสียนึกว่าเขาหูฝาด นึกว่าเป็นตลกร้ายของธรรมชาติ เหมือนอย่างที่เขาเจอตลอด 2 วันที่ผ่านมา แต่ยิ่งเดินไปข้างหน้า ก็ได้ยินเสียงนั้นดังขึ้น เป็นเสียงพูดคุย ผสมกับเสียงไม้และผ้าใบ เด็กหนุ่มรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้าย ปีนขึ้นเนินทรายไปตามเสียง
เมื่อขึ้นถึงจุดสูงสุดของยอดเนิน สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าทำให้อู๋เสียดีใจจนน้ำตาคลอ กองคาราวานขนาดย่อมกำลังตั้งกระโจมและก่อกองไฟ ผู้คนส่งเสียงพูดคุยและจัดเตรียมที่ทางอย่างขะมักเขม้น
ขาเพรียวขยับเดินแต่ก็หมดเรี่ยวแรงลงซะดื้นๆ ร่างทั้งร่างล้มลงกลิ้งลงจากเนินทรายลงมาใกล้จุดที่กองคาราวานตั้งแคมป์ คนในกองคาราวานเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆก็พลันตื่นตัว หยิบอาวุธเดินตรงมาหา อู๋เสียอยากบอกว่าผมมาดี อยากบอกว่าช่วยผมด้วย แต่ร่างกายเพลียเหลือเกิน สุดท้ายเด็กหนุ่มจึงไม่สามารถดึงรั้งสติไว้ได้ เปลือกตาค่อยๆหนักอึ้ง จมลงสู่ความมืด
.
.
.
.
เด็กหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสเย็นชื้นที่แตะตามใบหน้าและลำคอ เปลือกตาหนักอึ้ง แต่ถึงกระนั้นก็ฝืนลืมตาขึ้น เขากำลังนอนอยู่ในกระโจมผ้าของกองคาราวาน ตรงหน้าปรากฏร่างเด็กหญิงอายุไม่น่าเกิน11-12ขวบ ในมือเล็กๆมีเศษผ้าที่ชุบน้ำหมาดๆคอยแตะให้ความชุ่มชื่นแก่ร่างกาย อู๋เสียอ้าปากจะเอ่ย แต่ก็ไอออกมาอย่างหนักหน่วง ลำคอแห้งผาก มือเล็กยกมือห้ามอย่างตกใจ รีบหันไปหยิบชามใส่น้ำใสสะอาดมา แล้วพยุงเด็กหนุ่มขึ้นมาค่อยๆป้อนน้ำให้ อู๋เสียดื่มน้ำอย่างกระหาย ก่อนจะล้มตัวลงนอนตามเดิม
เด็กหญิงพูดกับเขา 2-3 ประโยค อู๋เสียทำหน้างงงวย ภาษาที่เด็กคนนี้ใช้ฟังดูเหมือนจะคุ้นหู แต่ก็ไม่ ส่วนนึงคล้ายภาษาจีนโบราณ แต่บางส่วนก็เหมือนภาษาของชนเผ่า ด้วยสติเลื่อนลางตอนนี้เขาไม่สามารถตั้งใจฟังแล้วแปลออกมาได้ อู๋เสียส่ายหน้าตอบอย่างอ่อนแรง เด็กหญิงมีสีหน้ากังวลใจ แต่ก็ไม่พูดอะไรเพิ่ม ยื่นมือทั้ง2ข้างมาวางบนตัวเขา เหมือนต้องการจะบอกให้พักผ่อน แต่สิ่งที่ทำให้อู๋เสียสะดุ้งสุดตัว คือตรวนเหล็กที่พันธนาการมือทั้ง2ข้างของเด็กน้อยตรงหน้า เด็กหนุ่มเบิกตากว้างอย่างตกใจ ใครกันทำเรื่องโหดร้ายกับเด็กแบบนี้ เด็กหญิงเห้นปฏิกิริยาของเขาก็ยิ้มออกมาน้อยๆราวกับปลอบใจ
ก่อนจะได้ส่งเสียงถามอะไร ประตูผ้าของกระโจมก็ถูกเลิกขึ้นอย่างรวดเร็ว ชายฉกรรจ์ 2-3 คนเดินเข้ามา ตบท้ายด้วยหญิงแก่ซึ่งดูจะได้รับความเคารพจากคนรอบข้างมาก พยาบาลจำเป็นของอู๋เสี่ย ตอนนี้นั่งหมอบ ก้มหน้าหลบสายตาทุกคนอย่างหวาดกลัว หญิงชราเดินเข้ามาใกล้เตียงของคนป่วย ใช้มือเหี่ยวย่นจับคางอู๋เสียพลิกซ้ายขวา ก่อนยิ้มอย่างพึงพอใจ นางหันไปสั่งอะไรบางอย่างกับผู้ติดตาม 2-3 คำ แล้วทั้งกลุ่มก็เดินออกจากกระโจมไป เหลือเพียงเด็กหญิงตัวน้อยกับนักศึกษาอู๋ที่ยังมึนงงกับเหตุการณ์ทั้งหลายไม่หาย
คล้อยหลังคนกลุ่มนั้น เด็กน้อยก็พุ่งตัวมาประชิด มือเล็กๆลูบเข้าที่ต้นแขนของเด็กหนุ่มเหมือนจะปลอบใจ ทั้งๆที่นัยตากลมโตนั้นคลอไปด้วยน้ำตา อู๋เสียมึนงง ทำไมเด็กคนนี้ต้องร้องไห้ด้วย แถมทำท่าเหมือนปลอบใจ หรือที่จริงแล้วตนกำลังจะถูกลากไปฆ่า? คนกลุ่มนี้คงคิดว่าตนเป็นตัวถ่วง อาจจะทิ้งไว้เพื่อไม่ให้เป็นตัวถ่วงของกองคาราวาน
“มะ...ไม่..เป็นไร….นะ”
อู๋เสียเปล่งเสียงกล่าวภาษาจีนโบราณที่เขาพอจะรู้ออกมาอย่างยากเย็น มือที่แทบไร้เรี่ยวแรงเคลื่อนไปแปะกับหลังมือของเด็กหญิงแล้วเลือกที่จะยิ้มให้ ถึงแม้ไม่ทำให้เด็กน้อยหยุดสะอื้นไห้ แต่ก็เรียกรอยยิ้มเล็กๆมาประทับบนริมฝีปากได้ คืนนั้นอู๋เสียหลับไป โดยมีพยาบาลตัวน้อยอยู่ข้างกายไม่ห่าง แม้พึ่งจะได้พอเจอกัน แต่นี่คงเป้นความสุขใจเมื่อมีใครสักคนอยู่ข้างกายในยามที่มืดแปดด้านแบบนี้
.
.
.
.
3 วันผ่านไป ตอนนี้ร่างกายของอู๋เสียค่อยๆ ฟื้นคืนมาทีละเล็กทีละน้อย “หลิ่งจี” คือชื่อของพยาบาลตัวน้อยที่คอยดูแลอู๋เสียไม่ห่างกาย การพูดคุยกับเธอทำให้อู๋เสียฟื้นภาษาจีนโบราณที่ตนร่ำเรียนมาได้บ้าง และยังคอยสอนภาษาฮากกา ซึ่งเป็นภาษาจีนโบราณประเภทหนึ่งซึ่งอู๋เสียไม่เคยร่ำเรียนมาก่อนให้อีกด้วย ทำให้อู๋เสียพอจะสื่อสารและเข้าใจภาษาที่คนในกองคาราวานแห่งนี้ได้บ้าง ตัวอู๋เสียเองก็สอนภาษาจีนปัจจุบันให้แก่หลิ่งจีเป็นการตอบแทน
คำแรกที่หลิ่งจีสอนคือคำว่า ทาส
คาราวานนี้ คือ คาราวานค้าทาส พวกเขากำลังจะเดินทางไปที่ไหน หลิ่งจีก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเธอถูกลักพาตัวมาจากพ่อแม่พร้อมกับเด็กอีกหลายๆคน ถ้าไม่นับตัวเขาเอง หลิ่งจีคือเด็กที่โตที่สุดในบรรดาทาส เจ้าพวกคนใจบาปนี้คงเน้นขายเด็ก สร้างความสงสัยว่าเหตุใดจึงเก้บตัวอู๋เสียไว้ ถึงเขาจะเป็นวัยรุ่น อายุ20ต้นๆ แต่ตัวอู๋เสียเองก็สูงตามลักษณะของชาวจีนสมัยใหม่ เมื่อเขาพยายามชี้ถามในจุดนี้กับหลิ่งจี เธอจึงนำแขนตัวเองมาวางเทียบกับแขนของเขา
นวล
น่าจะใช้เรียกสีผิวของอู๋เสียได้ ผิวเขาแม้จะไม่ขาวอมชมพูเหมือนสาวๆ ในเมืองใหญ่ แต่ถ้าเทียบกับแขนของหลิ่งจีที่เป็นชาวทะเลทรายแล้ว ผิวเขากลับนวลเนียล เป็นสีแทนสว่าง หลิ่งจีบอกว่าเป็นสิ่งหายากในแถบนี้ พวกนี้คงคิดว่าเอาอู๋เสียไปขายแล้วน่าจะได้ราคาดี ดึงขนาดว่าทาสปกตินั้นจะมีตรวนคล้องมือและเท้าไว้ แต่ของอู๋เสียกลับเป็นกำไลกระพรวนจำนวนมาก ใส่ทั้ง2แขนและ2เท้า ไม่ว่าจะขยับกายไปทางไหน ก็ส่งเสียงดัง ยากที่จะหลบหนี แถมถอดออกก็ไม่ได้ เมื่อกำไรนี้ถูกสวมใส่ให้พอดีข้อมือข้อเท้าของเขา แล้วเชื่อมล็อกรอยต่อเข้าด้วยกัน
“ไม่เป็นไรนะ”
หลิ่งจีพูดเป็นภาษาจีนปัจจุบันอย่างฉะฉาน พลางละมือจากการทำงานตรงหน้ามาแตะแขนอู๋เสียเป็นเชิงปลอบ เด็กหนุ่มถึงพึ่งรู้ตัวว่าเผลอแสดงสีหน้ากังวลออกไปให้เห็น จึงรีบเปลี่ยนสีหน้าเป้นยิ่มแย้ม แล้วลูบหัวเด็กหญิงเบาๆอย่างรักใคร่
3วันมานี้ เขากลายเป็นดั่งพี่ใหญ่ในขบวนทาส เด็กน้อยมากมายเมื่อเห็นว่ามีพี่ใหญ่ใจดีอยู่เคียงข้างก็พากันวิ่งเข้าหา บางครั้งก็เข้ามาคุดคู้อยู่ข้างๆตัวอู๋เสียด้วยความหวาดกลัวเมื่อพวกผู้คุมเดินผ่าน ภาพตรงหน้าทำให้จิตใจของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง ทำไมเด็กเล็กๆที่ใสซื่อบริสุทธิ์พวกนี้ถึงต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ด้วย
อู๋เสียเคยได้ยินมาว่า ถึงแม้โลกปัจจุบันจะพัฒนาไปแค่ไหน แต่วงการค้าทาสก็ยังคงฝังตัวแอบอยุ่ในมุมมืดของสังคมมนุษย์ การได้มาพบเจอเองกับตา ความจริงเหล่านี้ก็ยากที่จะทำใจยอมรับได้โดยง่าย เด็กพวกนี้คงจะเป็นคนในชุมชนห่างไกลความเจริญมาก ถึงยังใช้ภาษาโบราณ แถมยังมีภาษาท้องถิ่นที่ไม่คุ้นหูอีก การที่เด็กในพื้นที่ทุรกันดารจะหายไป ก็คงยากที่จะติดตามกลับมา แต่ถึงแม้จะสงสารมากแค่ไหน ในสถานการณ์แบบนี้ อู๋เสียไม่กล้าคิดทำอะไร เพราะถึงพาพวกเด็กๆหนีไปได้ ใช่ว่ากลางทะเลทรายแบบนี้จะมีทางเอาชีวิตรอด เขาจึงได้แต่เก็บความสงสัยรวมทั้งแผนหลบหนีไว้ในใจ คิดว่ารอให้เข้าใกล้เมืองเมื่อไหร่ ค่อยวางแผนทางพวกเด็กๆหนีไปหาตำรวจ และช่วยตามหาบ้านของเด็กๆ อีกที
“หลิ่งจี ให้ผมช่วยเถอะ”
เสียงอ้อนวอนดังขึ้น ตรงหน้าอู๋เสียคือพยาบาลจำเป็นของเขา ที่ตอนนี้กำลังแบกถังน้ำขึ้นด้วย2แขนเล็กๆ หลิ่งจีแย้มยิ้มเล็กน้อยให้คนเจ็บ
“พี่เจ็บ ไม่เป็นไร ข้าทำได้”
เธอพูดก่อนจะหันเดินไปทางประตูกระโจม ทุกวันนอกจากจะต้องช่วยงานกองคาราวานแล้ว หลิ่งจียังเข้ามาดูอาการของอู๋เสียอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง อู๋เสียที่เริ่มจะมีกำลังคืนกลับมาหลังจากนอนซมก็รู้สึกผิดที่ต้องให้เด็กเล็กๆมาคอยดูแลแบบนี้
โครม!! ซ่า!!
คล้อยหลังไปไม่เท่าไหร่ มีเสียงดังโหวกเหวกขึ้นจากหน้ากระโจม
“นังเด็กโง่เง่า!!!!!! บังอาจเอาน้ำสกปรกมาสาดข้าหรือ!!!!!”
“ข้าเปล่า ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าขอโทษ”
อู๋เสียจำเสียงเล็กๆนั้นได้ เสียงของหลิ่งจี เด็กหนุ่มลุกพรวดเดินไปเลิกผ้าหน้ากระโจมขึ้น ก็เจอผู้คุมคนนึงที่มารอยแผลบนหน้า กำลังใช้เท้าที่เปียกน้ำเตะเข้าที่สีข้างของหลิ่งจีซึ่งเปียกไปทั้งตัวแต่ก็คุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างแรง ข้างตัวมีถังน้ำกลิ้งอยู่ มองดูเหตุการณ์แล้วหลิ่งจีคงชนเขากับชายคนนี้ ทำให้น้ำหกใส่ อู๋เสียโกรธจัด การใช้กำลังเกินกว่าเหตุก็แย่แล้ว ยิ่งเป้นการทำร้ายเด็กตัวน้อยแบบนี้ยิ่งทนไม่ได้ใหญ่
ชั่วขณะที่ขาเพรียวกำลังจะก้าวเดินเข้าไปห้าม ผู้คุมหน้าบากก็ดึงแส้ที่เหน็บอยู่ข้างเอวขึ้นมาถือก่อนเงื้อขึ้นเหนือหัว อู๋เสียหน้าซีดหนัก รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กตัวน้อย ร่างกายเคลื่อนไหวไวเท่าความคิด แขนเพรียวพุ่งเข้าไปโอบกอดเด็กสาวที่กำลังคู้ตัวอยุ่กับพื้น ก่อนจะใช้ร่างกายของตัวเองบังแส้ที่กำลังหวดลงมา เสียงแส้แหวกอากาศก่อนฟาดลงบนหลังของตน สร้างความเจ็บปวดจนอู๋เสียเกร็งไปทั้งตัว แต่ก็กัดฟันไม่ร้องออกมา
“เจ้าขยะ!!! ถอยไป!!!!! ข้าจะสั่งสอนนังเด็กนี่ให้มันรู้สำนึก!!!!”
ชายหน้าบากตรงเข้ามาดึงคอเสื้อของเขาให้ออกห่าง แต่อู๋เสียกอดหลิ่งจีไว้แน่น เมื่อเขาโดนแรงดึงลากไปตามพื้น อ้อมกอดของเขาก็พาเด็กน้อยตามไปด้วย เด็กหนุ่มรู้สึกถึงแรงทุบตีบริเวณหัวและแขน แต่เขาก็ไม่คลายอ้อมกอดลงแม้แต่นิด เพราะเขารู้ดีว่าถ้าปล่อยมือจากเด็กคนนี้ คนที่จะโดนทุบตีแทนก็คือเธอ
แล้วอยู่ๆการทำร้ายก็หยุดลง อู๋เสียเงยหน้าขึ้นมองชายหน้าบากที่ตอนนี้ไม่ได้ยืนอยู่เพียงผู้เดียวอีกต่อไป หญิงชราผู้นำกองคาราวานกำลังจ้องมองมาที่เขา มือข้างนึงยกขึ้นน้อยๆเหมือนจะห้ามชายหน้าบากไม่ให้ลงมือต่อ นางมองเด็กหนุ่มสักพัก ก่อนเอื้อนเอ่ยคำสั่งสั้นๆ
“หลีกไป”
คำสั้นๆแต่ทรงพลัง อู๋เสียตัวสั่น เขารู้ว่านางไม่ใช่คนที่จะต่อกรด้วยได้ ณ ดินแดนรกร้างแห่งความตายนี้ นางคือผู้กุมชะตาชีวิตของทาสทุกคนในกองคาราวาน แต่ก็ไม่สามารถทนปล่อยเด็กหญิงตัวน้อยที่เปรียบเสมือนน้องสาวคนนี้ให้โดนทำร้ายได้อีก เด็กหนุ่มส่ายหน้าช้าๆ พลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นกว่าเดิม
หญิงชราทำหน้าไม่พอใจ หันหลังกลับเข้ากระโจมตัวเอง ก่อนจะผลุบหายไปหลังผืนผ้า นางชายตาหันกลับมามองคล้ายตัดสินใจบางอย่าง จากนั้นจึงกล่าวคำที่ทำให้อู๋เสียรู้สึกชาไปทั้งตัว
“โบยมัน จนกว่ามันจะปล่อยแม่เด็กนั้น”
คล้อยหลังเสียงแส้แหวกอากาสอย่างรุนแรง แรงเสียจนอู๋เสียคิดว่าหลังเขาจะแหลกเป็นเสี่ยงๆ แส้ยังแหวกอากาสลงมาไม่หยุด หลิ่งจีร้องไห้ตัวโยน พยายามดันตัวออกเพื่อให้เขาหลุดจากการโดนโบย แต่อู๋เสียก็ไม่ผ่อนแรงกอดลง สุดท้ายเธอทำได้เพียงสะอื้นไห้ กำเสื้ออู๋เสียไว้ด้วย2มือ พร่ำขอโทษที่ทำให้พี่ชายต้องมาเจอแบบนี้
การทารุณนี้ดำเนินมานานแค่ไหนอู๋เสียก็ไม่รู้ แต่หลังจากถูกโบยอยู่นาน ความเจ็บปวดเสียดแทงสติสัมปชัญญะจนอู๋เสียแทบจะดึงสติไม่อยู่ ได้แต่กอดปกป้องเด็กหญิงไว้ด้วยสัญชาตญาณ
ฉับพลันแรงฟาดบนหลังเขาก็หายไป รอบตัวมีเสียงควบม้าผสมกับเสียงอาวุธดังก้อง หลิ่งจีพยายามดันตัวเองขึ้นมาดูเหตุการณ์รอบข้าง อู๋เสียที่สิ้นเรี่ยวแรงจึงไม่คิดห้ามปรามอีกต่อไป คลายอ้อมกอดทิ้งตัวลงกับพื้น โดยที่มือยังกำรอบข้อมือเล็กของเด็กน้อยไว้ ราวกับกลัวว่าจะหนีหายไป หลิ่งจีเมื่อเห็นว่าพี่ชายล้มลง ก็รีบหันกลับมาดู พยายามเขย่าตัวเรียกอู๋เสีย พร้อมห้ามเลือดที่ไหลชโลมเต็มหลังของเขา
เสียงความวุ่นวายดังอยู่ไม่นานก็เงียบไป อู๋เสียที่ยังมีสติอยู่เล็กน้อย พยายามตั้งใจฟังเสียงรอบข้าง เขาได้ยินเสียงคนพูดคุย ก่อนจะมีเสียงเดินเท้ามากมาย มุ่งไปตามกระโจมต่างๆ และเลิกผ้าขึ้น
หรือจะเป็นพวกโจร
คนที่มุ่งจู่โจมกองคาราวานแบบนี้คงมีไม่มาก 1 ในพวกที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือกองโจรทะเลทรายที่จะคอยดักปล้นผู้ที่เดินทางไปมา คิดได้แบบนั้นอู๋เสียยิ่งใจเสีย ถ้าโดนพวกโจรจับได้ อย่างดีคงถูกฆ่าทิ้ง หรือถ้าโชคร้ายอาจจะโดนจับไปใช้งาน ตัวอู๋เสียเองเป้นผู้ชายคงไม่เท่าไหร่ แต่หลิ่งจีนี่ซิ เด็กผู้หญิงเมื่อโตขึ้นก้ต้องกลายเป้นผู้หญิง ไม่รู้จะโดนกระทำอะไรบ้าง
เด็กหนุ่มดันตัวขึ้นจากพื้น มือยังกุมข้อมือเล็กของเด็กสาวไว้แน่น พยายามออกแรงเดินเลียบหลบไปตามกระโจมและเกวียน
“พี่จะพาข้าไปไหน”
หลิ่งจีพูดขึ้นในที่สุด
“พี่หยุดก่อนเถิด เลือดพี่ออกเยอะมาก ให้ข้าดูแผลพี่ก่อน”
มือเล็กกระตุกเบาๆ เธอไม่เข้าใจว่าเหตุใดพี่ชายของเธอถึงพยายามออกเดินทั้งๆที่มีบาดแผลร้ายแรง ด้วยความเป้นห่วงจึงพูดห้ามต่างๆนาๆ
“เรา….ต้องซ่อน…”
อู๋เสียกัดฟันตอบอย่างยากเย็น ยิ่งขยับความเจ็บปวดก็ยิ่งรุนแรง ตอนนี้อู๋เสียแทบจะครองสติตัวเองไม่อยู่ คิดว่าอย่างน้อยต้องหาที่ให้หลิ่งจีซ่อนตัว พอพวกโจรผ่านไปค่อยหาทางหนีกันอีกที
“เหตุใดจึงต้องซ่อนกัน ไม่มีอะไรแล้ว พวกที่มาน่ะเป็น--”
เสียงเจื้อยแจ้วขาดห้วงกระทันหันเมื่อบัดนี้ร่างตรงหน้าทรุดฮวบลงกับพื้น อู๋เสียเจ็บปวดจนไม่อาจหยัดยืนได้อีกต่อไป แผลที่หลังร้อนราวกับไฟ การเสียเลือดส่งผลให้บัดนี้ปลายนิ้วมือนิ้วเท้าชาไปหมด หลิ่งจีกรีดร้อง ก่อนรีบพุ่งตัวเข้ามาประคองศีรษะของผู้บาดเจ็บวางบนตัก พลางส่งเสียงเรียกเด็กหนุ่มไม่ขาดสาย
อู๋เสียขมวดคิ้วดว้ยความเจ็บปวด ก่อนจะรับรู้ได้ถึงเงาดำที่พาดผ่านตนและหลิ่งจี เขาพยายามบอกให้เธอหนีไปซ่อน แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับแผ่วเบาและขาดห้วงจนฟังไม่ได้ความ สายตาค่อยๆพร่าเลือนลงทุกที
ภาพสุดท้ายก่อนสติจะหลุดลอยไป คือ น้ำตาของหลิ่งจี และ ภาพกิเลนแสนสง่างาม
พึ่งทำการสมัครบอร์ดเมื่อตะกี้เลย ก่อนหน้านี้แอบส่องๆเป็นศพโลหิตในมุมมืด ฮา
แต่ช่วงนี้มีพล็อตฟิคผิงเสียที่อยากจะเขียนอยู่ในหัวมาหลายวัน เลยคิดว่าอยากจะลองเขียนดูสักตั้ง
อาจจะไม่ค่อยได้เรื่องหน่อยนะคะ เพราะตัวเราเองไม่ได้เขียนฟิคจริงจังมานานมาก สำนวนอะไรอาจจะดูงงๆเล็กน้อย
แถมความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์จีนก้ไม่ค่อยมี ในเรื่องนี้จะมโนเอาหลายเรื่อง ยังไงต้องขอโทษเพื่อนๆล่วงหน้าด้วยนะคะ
ชอบไม่ชอบยังไง รบกวนสหายด้วงทั้งหลายชี้แนะด้วยนะคะ~
-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-
The Heart of The Desert
-------- Intro --------
ที่นี่มันที่ไหนกัน!!!!!!!!!
อู๋เสียกรีดร้องในใจ เพราะบัดนี้ลำคอแห้งผากจนไม่อยากเปล่งเสียงใดๆ ดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความตระหนกกวาดตามอง รอบตัวตอนนี้มีแต่ทราย ทราย และทราย
เด็กหนุ่มกระพริบตาถี่ๆหลายทีเหมือนกับว่าจะทำให้ภาพตรงหน้าหายไป แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนรอบตัวเขาก็เป็นทิวทัศน์ของทะเลทรายสุดลูกหูลูกตาเหมือนเดิม
ขยับร่างกายพลางยันตัวขึ้นยืนอย่างยากลำบาก ร่างของเขาโดนฝังอยู่ในทราย แต่ก็ไม่ลึกมากจึงตะเกียดตะกายขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง อู๋เสียมองไปรอบๆแล้วพยายามนึกถึงสิ่งสุดท้ายที่ตัวเองจำได้
พายุทราย ใช่แล้ว!!
อู๋เสีย นายน้อยสามแห่งตระกูลอู๋ บัดนี้โดนทิ้งอยู่ในทะเลทรายเวิ้งว้างเพราะพายุทรายที่พัดถล่มคณะสำรวจของนักศึกษาคณะโบราณคดีอย่างไม่ทันตั้งตัว ตัวอู๋เสียเองนั้นที่จริงแล้วเป็นนักศึกษาคณะสถาปัตย แต่เนื่องด้วยตระกูลของเขาวนเวียนเกี่ยวข้องกับโบราณวัตถุและสุสานโบราณ ทำให้ตัวอู๋เสียเองมีความสนใจในด้านนี้ไม่น้อย วิชาโบราณคดีเลยกลายเป้นวิชารองที่เขาลงเรียน
ไม่น่าเชื่อว่าแค่ออกสำรวจครั้งแรกจะเจอดีแบบนี้ แต่ก็นับว่าโชคดีที่ยังไม่ตายกลางทะเลทราย มือเรียวควานดูใต้ทรายรอบตัว ตอนที่โดนพายุพัด เขายังสะพายกระเป๋าที่ใส่ของเล็กๆน้อยๆไว้อยู่ อย่างน้อยถ้าเจอมือถือก็อาจจะพอหาทางติดต่อขอความช่วยเหลือได้ หรือถ้าเจอขวดน้ำหรืออาหาร ก็น่าจะพอช่วยประทังชีวิตเขาไปได้จนกว่าจะหาทางอื่นๆเจอ
หลังจากลองค้นหา อู๋เสียเจอผ้าใบ1ผืน ขวดน้ำ กับสมุดโน๊ตเล่มเล็กที่เขาพกติดตัว ตรวจดูระดับน้ำมีไม่มาก จึงยกขึ้นแตะริมฝีปากเล็กน้อยให้ไม่แห้งผาก แล้วยัดขวดน้ำกับสมุดโน๊ตลงในกระเป๋าเสื้อนอก เอาผ้าใบคลุมตัวให้พ้นจากแสงอาทิตย์ แล้วอาศัยทิศทางของพระอาทิตย์ เดินไปในทางที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นโบราณสถาน อู๋เสียไม่แน่ใจว่าเขาอยู่ที่ใด ห่างไกลจากจุดเดิมที่คณะสำรวจอยู่หรือไม่ แต่อย่างน้อยการได้คิดว่าเดินไปในทางที่ถูก ก็น่าจะดีกว่าการเดินอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย
.
.
.
.
2 วันผ่านไป ตอนนี้น้ำหมดแล้ว อู๋เสียอดหลับอดนอน เดินผ่าความร้อนช่วงกลางวันและความหนาวเย็นช่วงกลางคืนอย่างไม่หยุดพัก สติเริ่มเลือนหาย ร่างกายขยับไปตามสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด ผ้าใบที่ใช้คลุมตัวหลุดหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่เขาก็ไม่ได้จำ ตะวันคล้อยต่ำ ใกล้จะถึงยามค่ำอีกครั้ง
อู๋เสียแทบหมดหวัง หากผ่านคืนนี้ไปเขายังไม่ได้รับการช่วยเหลือ คงไม่มีวันพรุ่งนี้สำหรับเขา
พลันกลับมีเสียงเซ็งแซ่ดังลอยมากับสายลม แรกเริ่มอู๋เสียนึกว่าเขาหูฝาด นึกว่าเป็นตลกร้ายของธรรมชาติ เหมือนอย่างที่เขาเจอตลอด 2 วันที่ผ่านมา แต่ยิ่งเดินไปข้างหน้า ก็ได้ยินเสียงนั้นดังขึ้น เป็นเสียงพูดคุย ผสมกับเสียงไม้และผ้าใบ เด็กหนุ่มรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้าย ปีนขึ้นเนินทรายไปตามเสียง
เมื่อขึ้นถึงจุดสูงสุดของยอดเนิน สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าทำให้อู๋เสียดีใจจนน้ำตาคลอ กองคาราวานขนาดย่อมกำลังตั้งกระโจมและก่อกองไฟ ผู้คนส่งเสียงพูดคุยและจัดเตรียมที่ทางอย่างขะมักเขม้น
ขาเพรียวขยับเดินแต่ก็หมดเรี่ยวแรงลงซะดื้นๆ ร่างทั้งร่างล้มลงกลิ้งลงจากเนินทรายลงมาใกล้จุดที่กองคาราวานตั้งแคมป์ คนในกองคาราวานเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆก็พลันตื่นตัว หยิบอาวุธเดินตรงมาหา อู๋เสียอยากบอกว่าผมมาดี อยากบอกว่าช่วยผมด้วย แต่ร่างกายเพลียเหลือเกิน สุดท้ายเด็กหนุ่มจึงไม่สามารถดึงรั้งสติไว้ได้ เปลือกตาค่อยๆหนักอึ้ง จมลงสู่ความมืด
.
.
.
.
เด็กหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสเย็นชื้นที่แตะตามใบหน้าและลำคอ เปลือกตาหนักอึ้ง แต่ถึงกระนั้นก็ฝืนลืมตาขึ้น เขากำลังนอนอยู่ในกระโจมผ้าของกองคาราวาน ตรงหน้าปรากฏร่างเด็กหญิงอายุไม่น่าเกิน11-12ขวบ ในมือเล็กๆมีเศษผ้าที่ชุบน้ำหมาดๆคอยแตะให้ความชุ่มชื่นแก่ร่างกาย อู๋เสียอ้าปากจะเอ่ย แต่ก็ไอออกมาอย่างหนักหน่วง ลำคอแห้งผาก มือเล็กยกมือห้ามอย่างตกใจ รีบหันไปหยิบชามใส่น้ำใสสะอาดมา แล้วพยุงเด็กหนุ่มขึ้นมาค่อยๆป้อนน้ำให้ อู๋เสียดื่มน้ำอย่างกระหาย ก่อนจะล้มตัวลงนอนตามเดิม
เด็กหญิงพูดกับเขา 2-3 ประโยค อู๋เสียทำหน้างงงวย ภาษาที่เด็กคนนี้ใช้ฟังดูเหมือนจะคุ้นหู แต่ก็ไม่ ส่วนนึงคล้ายภาษาจีนโบราณ แต่บางส่วนก็เหมือนภาษาของชนเผ่า ด้วยสติเลื่อนลางตอนนี้เขาไม่สามารถตั้งใจฟังแล้วแปลออกมาได้ อู๋เสียส่ายหน้าตอบอย่างอ่อนแรง เด็กหญิงมีสีหน้ากังวลใจ แต่ก็ไม่พูดอะไรเพิ่ม ยื่นมือทั้ง2ข้างมาวางบนตัวเขา เหมือนต้องการจะบอกให้พักผ่อน แต่สิ่งที่ทำให้อู๋เสียสะดุ้งสุดตัว คือตรวนเหล็กที่พันธนาการมือทั้ง2ข้างของเด็กน้อยตรงหน้า เด็กหนุ่มเบิกตากว้างอย่างตกใจ ใครกันทำเรื่องโหดร้ายกับเด็กแบบนี้ เด็กหญิงเห้นปฏิกิริยาของเขาก็ยิ้มออกมาน้อยๆราวกับปลอบใจ
ก่อนจะได้ส่งเสียงถามอะไร ประตูผ้าของกระโจมก็ถูกเลิกขึ้นอย่างรวดเร็ว ชายฉกรรจ์ 2-3 คนเดินเข้ามา ตบท้ายด้วยหญิงแก่ซึ่งดูจะได้รับความเคารพจากคนรอบข้างมาก พยาบาลจำเป็นของอู๋เสี่ย ตอนนี้นั่งหมอบ ก้มหน้าหลบสายตาทุกคนอย่างหวาดกลัว หญิงชราเดินเข้ามาใกล้เตียงของคนป่วย ใช้มือเหี่ยวย่นจับคางอู๋เสียพลิกซ้ายขวา ก่อนยิ้มอย่างพึงพอใจ นางหันไปสั่งอะไรบางอย่างกับผู้ติดตาม 2-3 คำ แล้วทั้งกลุ่มก็เดินออกจากกระโจมไป เหลือเพียงเด็กหญิงตัวน้อยกับนักศึกษาอู๋ที่ยังมึนงงกับเหตุการณ์ทั้งหลายไม่หาย
คล้อยหลังคนกลุ่มนั้น เด็กน้อยก็พุ่งตัวมาประชิด มือเล็กๆลูบเข้าที่ต้นแขนของเด็กหนุ่มเหมือนจะปลอบใจ ทั้งๆที่นัยตากลมโตนั้นคลอไปด้วยน้ำตา อู๋เสียมึนงง ทำไมเด็กคนนี้ต้องร้องไห้ด้วย แถมทำท่าเหมือนปลอบใจ หรือที่จริงแล้วตนกำลังจะถูกลากไปฆ่า? คนกลุ่มนี้คงคิดว่าตนเป็นตัวถ่วง อาจจะทิ้งไว้เพื่อไม่ให้เป็นตัวถ่วงของกองคาราวาน
“มะ...ไม่..เป็นไร….นะ”
อู๋เสียเปล่งเสียงกล่าวภาษาจีนโบราณที่เขาพอจะรู้ออกมาอย่างยากเย็น มือที่แทบไร้เรี่ยวแรงเคลื่อนไปแปะกับหลังมือของเด็กหญิงแล้วเลือกที่จะยิ้มให้ ถึงแม้ไม่ทำให้เด็กน้อยหยุดสะอื้นไห้ แต่ก็เรียกรอยยิ้มเล็กๆมาประทับบนริมฝีปากได้ คืนนั้นอู๋เสียหลับไป โดยมีพยาบาลตัวน้อยอยู่ข้างกายไม่ห่าง แม้พึ่งจะได้พอเจอกัน แต่นี่คงเป้นความสุขใจเมื่อมีใครสักคนอยู่ข้างกายในยามที่มืดแปดด้านแบบนี้
.
.
.
.
3 วันผ่านไป ตอนนี้ร่างกายของอู๋เสียค่อยๆ ฟื้นคืนมาทีละเล็กทีละน้อย “หลิ่งจี” คือชื่อของพยาบาลตัวน้อยที่คอยดูแลอู๋เสียไม่ห่างกาย การพูดคุยกับเธอทำให้อู๋เสียฟื้นภาษาจีนโบราณที่ตนร่ำเรียนมาได้บ้าง และยังคอยสอนภาษาฮากกา ซึ่งเป็นภาษาจีนโบราณประเภทหนึ่งซึ่งอู๋เสียไม่เคยร่ำเรียนมาก่อนให้อีกด้วย ทำให้อู๋เสียพอจะสื่อสารและเข้าใจภาษาที่คนในกองคาราวานแห่งนี้ได้บ้าง ตัวอู๋เสียเองก็สอนภาษาจีนปัจจุบันให้แก่หลิ่งจีเป็นการตอบแทน
คำแรกที่หลิ่งจีสอนคือคำว่า ทาส
คาราวานนี้ คือ คาราวานค้าทาส พวกเขากำลังจะเดินทางไปที่ไหน หลิ่งจีก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเธอถูกลักพาตัวมาจากพ่อแม่พร้อมกับเด็กอีกหลายๆคน ถ้าไม่นับตัวเขาเอง หลิ่งจีคือเด็กที่โตที่สุดในบรรดาทาส เจ้าพวกคนใจบาปนี้คงเน้นขายเด็ก สร้างความสงสัยว่าเหตุใดจึงเก้บตัวอู๋เสียไว้ ถึงเขาจะเป็นวัยรุ่น อายุ20ต้นๆ แต่ตัวอู๋เสียเองก็สูงตามลักษณะของชาวจีนสมัยใหม่ เมื่อเขาพยายามชี้ถามในจุดนี้กับหลิ่งจี เธอจึงนำแขนตัวเองมาวางเทียบกับแขนของเขา
นวล
น่าจะใช้เรียกสีผิวของอู๋เสียได้ ผิวเขาแม้จะไม่ขาวอมชมพูเหมือนสาวๆ ในเมืองใหญ่ แต่ถ้าเทียบกับแขนของหลิ่งจีที่เป็นชาวทะเลทรายแล้ว ผิวเขากลับนวลเนียล เป็นสีแทนสว่าง หลิ่งจีบอกว่าเป็นสิ่งหายากในแถบนี้ พวกนี้คงคิดว่าเอาอู๋เสียไปขายแล้วน่าจะได้ราคาดี ดึงขนาดว่าทาสปกตินั้นจะมีตรวนคล้องมือและเท้าไว้ แต่ของอู๋เสียกลับเป็นกำไลกระพรวนจำนวนมาก ใส่ทั้ง2แขนและ2เท้า ไม่ว่าจะขยับกายไปทางไหน ก็ส่งเสียงดัง ยากที่จะหลบหนี แถมถอดออกก็ไม่ได้ เมื่อกำไรนี้ถูกสวมใส่ให้พอดีข้อมือข้อเท้าของเขา แล้วเชื่อมล็อกรอยต่อเข้าด้วยกัน
“ไม่เป็นไรนะ”
หลิ่งจีพูดเป็นภาษาจีนปัจจุบันอย่างฉะฉาน พลางละมือจากการทำงานตรงหน้ามาแตะแขนอู๋เสียเป็นเชิงปลอบ เด็กหนุ่มถึงพึ่งรู้ตัวว่าเผลอแสดงสีหน้ากังวลออกไปให้เห็น จึงรีบเปลี่ยนสีหน้าเป้นยิ่มแย้ม แล้วลูบหัวเด็กหญิงเบาๆอย่างรักใคร่
3วันมานี้ เขากลายเป็นดั่งพี่ใหญ่ในขบวนทาส เด็กน้อยมากมายเมื่อเห็นว่ามีพี่ใหญ่ใจดีอยู่เคียงข้างก็พากันวิ่งเข้าหา บางครั้งก็เข้ามาคุดคู้อยู่ข้างๆตัวอู๋เสียด้วยความหวาดกลัวเมื่อพวกผู้คุมเดินผ่าน ภาพตรงหน้าทำให้จิตใจของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง ทำไมเด็กเล็กๆที่ใสซื่อบริสุทธิ์พวกนี้ถึงต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ด้วย
อู๋เสียเคยได้ยินมาว่า ถึงแม้โลกปัจจุบันจะพัฒนาไปแค่ไหน แต่วงการค้าทาสก็ยังคงฝังตัวแอบอยุ่ในมุมมืดของสังคมมนุษย์ การได้มาพบเจอเองกับตา ความจริงเหล่านี้ก็ยากที่จะทำใจยอมรับได้โดยง่าย เด็กพวกนี้คงจะเป็นคนในชุมชนห่างไกลความเจริญมาก ถึงยังใช้ภาษาโบราณ แถมยังมีภาษาท้องถิ่นที่ไม่คุ้นหูอีก การที่เด็กในพื้นที่ทุรกันดารจะหายไป ก็คงยากที่จะติดตามกลับมา แต่ถึงแม้จะสงสารมากแค่ไหน ในสถานการณ์แบบนี้ อู๋เสียไม่กล้าคิดทำอะไร เพราะถึงพาพวกเด็กๆหนีไปได้ ใช่ว่ากลางทะเลทรายแบบนี้จะมีทางเอาชีวิตรอด เขาจึงได้แต่เก็บความสงสัยรวมทั้งแผนหลบหนีไว้ในใจ คิดว่ารอให้เข้าใกล้เมืองเมื่อไหร่ ค่อยวางแผนทางพวกเด็กๆหนีไปหาตำรวจ และช่วยตามหาบ้านของเด็กๆ อีกที
“หลิ่งจี ให้ผมช่วยเถอะ”
เสียงอ้อนวอนดังขึ้น ตรงหน้าอู๋เสียคือพยาบาลจำเป็นของเขา ที่ตอนนี้กำลังแบกถังน้ำขึ้นด้วย2แขนเล็กๆ หลิ่งจีแย้มยิ้มเล็กน้อยให้คนเจ็บ
“พี่เจ็บ ไม่เป็นไร ข้าทำได้”
เธอพูดก่อนจะหันเดินไปทางประตูกระโจม ทุกวันนอกจากจะต้องช่วยงานกองคาราวานแล้ว หลิ่งจียังเข้ามาดูอาการของอู๋เสียอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง อู๋เสียที่เริ่มจะมีกำลังคืนกลับมาหลังจากนอนซมก็รู้สึกผิดที่ต้องให้เด็กเล็กๆมาคอยดูแลแบบนี้
โครม!! ซ่า!!
คล้อยหลังไปไม่เท่าไหร่ มีเสียงดังโหวกเหวกขึ้นจากหน้ากระโจม
“นังเด็กโง่เง่า!!!!!! บังอาจเอาน้ำสกปรกมาสาดข้าหรือ!!!!!”
“ข้าเปล่า ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าขอโทษ”
อู๋เสียจำเสียงเล็กๆนั้นได้ เสียงของหลิ่งจี เด็กหนุ่มลุกพรวดเดินไปเลิกผ้าหน้ากระโจมขึ้น ก็เจอผู้คุมคนนึงที่มารอยแผลบนหน้า กำลังใช้เท้าที่เปียกน้ำเตะเข้าที่สีข้างของหลิ่งจีซึ่งเปียกไปทั้งตัวแต่ก็คุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างแรง ข้างตัวมีถังน้ำกลิ้งอยู่ มองดูเหตุการณ์แล้วหลิ่งจีคงชนเขากับชายคนนี้ ทำให้น้ำหกใส่ อู๋เสียโกรธจัด การใช้กำลังเกินกว่าเหตุก็แย่แล้ว ยิ่งเป้นการทำร้ายเด็กตัวน้อยแบบนี้ยิ่งทนไม่ได้ใหญ่
ชั่วขณะที่ขาเพรียวกำลังจะก้าวเดินเข้าไปห้าม ผู้คุมหน้าบากก็ดึงแส้ที่เหน็บอยู่ข้างเอวขึ้นมาถือก่อนเงื้อขึ้นเหนือหัว อู๋เสียหน้าซีดหนัก รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กตัวน้อย ร่างกายเคลื่อนไหวไวเท่าความคิด แขนเพรียวพุ่งเข้าไปโอบกอดเด็กสาวที่กำลังคู้ตัวอยุ่กับพื้น ก่อนจะใช้ร่างกายของตัวเองบังแส้ที่กำลังหวดลงมา เสียงแส้แหวกอากาศก่อนฟาดลงบนหลังของตน สร้างความเจ็บปวดจนอู๋เสียเกร็งไปทั้งตัว แต่ก็กัดฟันไม่ร้องออกมา
“เจ้าขยะ!!! ถอยไป!!!!! ข้าจะสั่งสอนนังเด็กนี่ให้มันรู้สำนึก!!!!”
ชายหน้าบากตรงเข้ามาดึงคอเสื้อของเขาให้ออกห่าง แต่อู๋เสียกอดหลิ่งจีไว้แน่น เมื่อเขาโดนแรงดึงลากไปตามพื้น อ้อมกอดของเขาก็พาเด็กน้อยตามไปด้วย เด็กหนุ่มรู้สึกถึงแรงทุบตีบริเวณหัวและแขน แต่เขาก็ไม่คลายอ้อมกอดลงแม้แต่นิด เพราะเขารู้ดีว่าถ้าปล่อยมือจากเด็กคนนี้ คนที่จะโดนทุบตีแทนก็คือเธอ
แล้วอยู่ๆการทำร้ายก็หยุดลง อู๋เสียเงยหน้าขึ้นมองชายหน้าบากที่ตอนนี้ไม่ได้ยืนอยู่เพียงผู้เดียวอีกต่อไป หญิงชราผู้นำกองคาราวานกำลังจ้องมองมาที่เขา มือข้างนึงยกขึ้นน้อยๆเหมือนจะห้ามชายหน้าบากไม่ให้ลงมือต่อ นางมองเด็กหนุ่มสักพัก ก่อนเอื้อนเอ่ยคำสั่งสั้นๆ
“หลีกไป”
คำสั้นๆแต่ทรงพลัง อู๋เสียตัวสั่น เขารู้ว่านางไม่ใช่คนที่จะต่อกรด้วยได้ ณ ดินแดนรกร้างแห่งความตายนี้ นางคือผู้กุมชะตาชีวิตของทาสทุกคนในกองคาราวาน แต่ก็ไม่สามารถทนปล่อยเด็กหญิงตัวน้อยที่เปรียบเสมือนน้องสาวคนนี้ให้โดนทำร้ายได้อีก เด็กหนุ่มส่ายหน้าช้าๆ พลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นกว่าเดิม
หญิงชราทำหน้าไม่พอใจ หันหลังกลับเข้ากระโจมตัวเอง ก่อนจะผลุบหายไปหลังผืนผ้า นางชายตาหันกลับมามองคล้ายตัดสินใจบางอย่าง จากนั้นจึงกล่าวคำที่ทำให้อู๋เสียรู้สึกชาไปทั้งตัว
“โบยมัน จนกว่ามันจะปล่อยแม่เด็กนั้น”
คล้อยหลังเสียงแส้แหวกอากาสอย่างรุนแรง แรงเสียจนอู๋เสียคิดว่าหลังเขาจะแหลกเป็นเสี่ยงๆ แส้ยังแหวกอากาสลงมาไม่หยุด หลิ่งจีร้องไห้ตัวโยน พยายามดันตัวออกเพื่อให้เขาหลุดจากการโดนโบย แต่อู๋เสียก็ไม่ผ่อนแรงกอดลง สุดท้ายเธอทำได้เพียงสะอื้นไห้ กำเสื้ออู๋เสียไว้ด้วย2มือ พร่ำขอโทษที่ทำให้พี่ชายต้องมาเจอแบบนี้
การทารุณนี้ดำเนินมานานแค่ไหนอู๋เสียก็ไม่รู้ แต่หลังจากถูกโบยอยู่นาน ความเจ็บปวดเสียดแทงสติสัมปชัญญะจนอู๋เสียแทบจะดึงสติไม่อยู่ ได้แต่กอดปกป้องเด็กหญิงไว้ด้วยสัญชาตญาณ
ฉับพลันแรงฟาดบนหลังเขาก็หายไป รอบตัวมีเสียงควบม้าผสมกับเสียงอาวุธดังก้อง หลิ่งจีพยายามดันตัวเองขึ้นมาดูเหตุการณ์รอบข้าง อู๋เสียที่สิ้นเรี่ยวแรงจึงไม่คิดห้ามปรามอีกต่อไป คลายอ้อมกอดทิ้งตัวลงกับพื้น โดยที่มือยังกำรอบข้อมือเล็กของเด็กน้อยไว้ ราวกับกลัวว่าจะหนีหายไป หลิ่งจีเมื่อเห็นว่าพี่ชายล้มลง ก็รีบหันกลับมาดู พยายามเขย่าตัวเรียกอู๋เสีย พร้อมห้ามเลือดที่ไหลชโลมเต็มหลังของเขา
เสียงความวุ่นวายดังอยู่ไม่นานก็เงียบไป อู๋เสียที่ยังมีสติอยู่เล็กน้อย พยายามตั้งใจฟังเสียงรอบข้าง เขาได้ยินเสียงคนพูดคุย ก่อนจะมีเสียงเดินเท้ามากมาย มุ่งไปตามกระโจมต่างๆ และเลิกผ้าขึ้น
หรือจะเป็นพวกโจร
คนที่มุ่งจู่โจมกองคาราวานแบบนี้คงมีไม่มาก 1 ในพวกที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือกองโจรทะเลทรายที่จะคอยดักปล้นผู้ที่เดินทางไปมา คิดได้แบบนั้นอู๋เสียยิ่งใจเสีย ถ้าโดนพวกโจรจับได้ อย่างดีคงถูกฆ่าทิ้ง หรือถ้าโชคร้ายอาจจะโดนจับไปใช้งาน ตัวอู๋เสียเองเป้นผู้ชายคงไม่เท่าไหร่ แต่หลิ่งจีนี่ซิ เด็กผู้หญิงเมื่อโตขึ้นก้ต้องกลายเป้นผู้หญิง ไม่รู้จะโดนกระทำอะไรบ้าง
เด็กหนุ่มดันตัวขึ้นจากพื้น มือยังกุมข้อมือเล็กของเด็กสาวไว้แน่น พยายามออกแรงเดินเลียบหลบไปตามกระโจมและเกวียน
“พี่จะพาข้าไปไหน”
หลิ่งจีพูดขึ้นในที่สุด
“พี่หยุดก่อนเถิด เลือดพี่ออกเยอะมาก ให้ข้าดูแผลพี่ก่อน”
มือเล็กกระตุกเบาๆ เธอไม่เข้าใจว่าเหตุใดพี่ชายของเธอถึงพยายามออกเดินทั้งๆที่มีบาดแผลร้ายแรง ด้วยความเป้นห่วงจึงพูดห้ามต่างๆนาๆ
“เรา….ต้องซ่อน…”
อู๋เสียกัดฟันตอบอย่างยากเย็น ยิ่งขยับความเจ็บปวดก็ยิ่งรุนแรง ตอนนี้อู๋เสียแทบจะครองสติตัวเองไม่อยู่ คิดว่าอย่างน้อยต้องหาที่ให้หลิ่งจีซ่อนตัว พอพวกโจรผ่านไปค่อยหาทางหนีกันอีกที
“เหตุใดจึงต้องซ่อนกัน ไม่มีอะไรแล้ว พวกที่มาน่ะเป็น--”
เสียงเจื้อยแจ้วขาดห้วงกระทันหันเมื่อบัดนี้ร่างตรงหน้าทรุดฮวบลงกับพื้น อู๋เสียเจ็บปวดจนไม่อาจหยัดยืนได้อีกต่อไป แผลที่หลังร้อนราวกับไฟ การเสียเลือดส่งผลให้บัดนี้ปลายนิ้วมือนิ้วเท้าชาไปหมด หลิ่งจีกรีดร้อง ก่อนรีบพุ่งตัวเข้ามาประคองศีรษะของผู้บาดเจ็บวางบนตัก พลางส่งเสียงเรียกเด็กหนุ่มไม่ขาดสาย
อู๋เสียขมวดคิ้วดว้ยความเจ็บปวด ก่อนจะรับรู้ได้ถึงเงาดำที่พาดผ่านตนและหลิ่งจี เขาพยายามบอกให้เธอหนีไปซ่อน แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับแผ่วเบาและขาดห้วงจนฟังไม่ได้ความ สายตาค่อยๆพร่าเลือนลงทุกที
ภาพสุดท้ายก่อนสติจะหลุดลอยไป คือ น้ำตาของหลิ่งจี และ ภาพกิเลนแสนสง่างาม
แก้ไขล่าสุดโดย Snake_Blind เมื่อ Sat 06 Dec 2014, 10:59, ทั้งหมด 1 ครั้ง
Snake_Blind- ด้วง
- จำนวนข้อความ : 41
Points : 3506
Join date : 06/12/2014
Age : 33
Re: [Fic-AU] The Heart of The Desert [ผิงเสีย] -Intro-
ชอบค่าาาาาา ติดตามมมมมม
ฟิค AU เรื่องยาวนี่หายาก มาต่อไวๆนะคะ แฮ่ก แฮ่ก แฮ่กกกก
ฟิค AU เรื่องยาวนี่หายาก มาต่อไวๆนะคะ แฮ่ก แฮ่ก แฮ่กกกก
Narakas- ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
- จำนวนข้อความ : 263
Points : 3853
Join date : 27/10/2014
ที่อยู่ : ทิเบต
Re: [Fic-AU] The Heart of The Desert [ผิงเสีย] -Intro-
เสี่ยเกอมากับเกอมากับกิเลนนนนนนน
meanato- ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
- จำนวนข้อความ : 487
Points : 3973
Join date : 27/10/2014
Age : 26
ที่อยู่ : หลังประตูสัมฤทธิ์
Re: [Fic-AU] The Heart of The Desert [ผิงเสีย] -Intro-
อยากตามฆ่าคนที่ฟาดแส้บนหลังนายน้อย!
กิเลนกระทืบมันเลย!!
กิเลนกระทืบมันเลย!!
snowdollce- ด้วงฝึกหัด
- จำนวนข้อความ : 8
Points : 3452
Join date : 06/12/2014
Re: [Fic-AU] The Heart of The Desert [ผิงเสีย] -Intro-
กรี๊ดดดด พี่งูววว เขียนสุสานจริงๆด้วย แอบลุ้นอยู่ตอนเห็นว่าเขียนฟิค > <
อู๋เสียพระเอกคนดีมาก /ซับน้ำตา ไม่เป็นไรนะ กิเลนมาช่วยแล้ว
รอตอนต่อไปค่า~
อู๋เสียพระเอกคนดีมาก /ซับน้ำตา ไม่เป็นไรนะ กิเลนมาช่วยแล้ว
รอตอนต่อไปค่า~
mage- ด้วงตำหนักหลู่หวังเจ็ดดารา
- จำนวนข้อความ : 60
Points : 3539
Join date : 15/11/2014
Age : 30
ที่อยู่ : บ่อปลาบ้านเซี่ย
Re: [Fic-AU] The Heart of The Desert [ผิงเสีย] -Intro-
กิเลนน มาช่วยแล้ววว
นายน้อยนี่รับบทหนักตลอดดด
นายน้อยนี่รับบทหนักตลอดดด
kame_kazuha- ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
- จำนวนข้อความ : 274
Points : 3757
Join date : 27/10/2014
ที่อยู่ : สุสานสักที่
Re: [Fic-AU] The Heart of The Desert [ผิงเสีย] -Intro-
กล้าดียังไงเอาแส้มาฟาดผิวสวยๆของนายน้อยกันคะ!! แบบนี้ต้องเอาให้ตาย
นายน้อยขา ไม่เป็นไรแล้วนะคะว่าที่สา-- แฮ่ม กิเลนมาช่วยแล้วนะคะ
นายน้อยขา ไม่เป็นไรแล้วนะคะว่าที่สา-- แฮ่ม กิเลนมาช่วยแล้วนะคะ
SilverCloud- ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
- จำนวนข้อความ : 433
Points : 3952
Join date : 27/10/2014
ที่อยู่ : ตู้เสื้อผ้าของอารอง
Re: [Fic-AU] The Heart of The Desert [ผิงเสีย] -Intro-
ตัดตอนได้โหดร้ายมาก นายน้อยกำลังแย่ แล้วพระเอกก็ขี่ม้าขาว เอ๊ยกิเลนมาช่วยพอดี
ต่อเถอะนะคะ นะคะ นะคะ พลีส
ต่อเถอะนะคะ นะคะ นะคะ พลีส
Duke_of_Florence- ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา
- จำนวนข้อความ : 113
Points : 3591
Join date : 31/10/2014
Re: [Fic-AU] The Heart of The Desert [ผิงเสีย] -Intro-
AU FIC !!!!!!!!!!!! ของแรร์ๆๆๆๆๆๆ
ชอบครับบบ เจอเสี่ยวเกอแล้วด้วยยยย เย่!
ชอบครับบบ เจอเสี่ยวเกอแล้วด้วยยยย เย่!
Rozenkreuz- ด้วงอาณาจักรเจ้าแม่ซีหวังหมู่
- จำนวนข้อความ : 625
Points : 3860
Join date : 01/07/2015
Age : 31
ที่อยู่ : กองทัพผีเก็บเห็ดแห่งประตูสำริด
Similar topics
» [Fic-AU] The Heart of The Desert [ผิงเสีย] -Part 1-
» [Fic-AU] The Heart of The Desert [ผิงเสีย] -Part 2-
» [OS] แสงสว่างและความมืด [ผิงเสีย]
» [SF] First Date that MELT Your Heart! [นายอ้วน x อู๋เสีย]
» [OS] #dmbjdaily '520' (ผิงเสีย :: เหม่งจาง,ผิงเสีย)
» [Fic-AU] The Heart of The Desert [ผิงเสีย] -Part 2-
» [OS] แสงสว่างและความมืด [ผิงเสีย]
» [SF] First Date that MELT Your Heart! [นายอ้วน x อู๋เสีย]
» [OS] #dmbjdaily '520' (ผิงเสีย :: เหม่งจาง,ผิงเสีย)
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|
Fri 24 Jul 2020, 01:39 by gustoon
» [คู่มือด้วง] Keyword จีนสำหรับการขุด(แฟนดอม)สุสาน
Thu 21 Jun 2018, 00:29 by miskizfullmoon
» มังฮวาและภาคทิเบต
Thu 21 Jun 2018, 00:23 by miskizfullmoon
» [OS] Father is the best (ผิงเสีย)
Thu 03 Aug 2017, 16:12 by schneewittchen
» [Fic] สิ่งเล็กๆที่เชื่อมโลก5 [เมินโหยวผิง+อู่เสีย+เสี่ยอ้วน]+OC
Tue 01 Aug 2017, 12:30 by natsume
» [OS] #dmbjdaily (จูปาจุ๊บ) Bittersweet [ผิงเสีย AU]
Thu 06 Apr 2017, 15:58 by Zeth
» [OS] #dmbjdaily "โทรศัพท์มือถือ" - no Pairing [All]
Tue 04 Apr 2017, 22:27 by Zeth
» [OS] #DMBJDaily (แว่น): ระยะที่มองไม่เห็น [ฮัวเสีย]
Sat 01 Apr 2017, 16:55 by Zeth
» [OS] #DMBJdaily (5.20) ท่านยอดฝีมือ [หวังเหมิง (+เหมิงเสีย)(+ผิงเสีย)]
Thu 30 Mar 2017, 17:24 by Zeth