Countdown
We've been
togerther for

ค้นหา
 
 

Display results as :
 


Rechercher Advanced Search


(FIC) 日月 (Sun Moon) ตอนที่ 3

3 posters

Go down

(FIC) 日月 (Sun Moon) ตอนที่ 3 Empty (FIC) 日月 (Sun Moon) ตอนที่ 3

ตั้งหัวข้อ by winterautumnsummerrain Mon 10 Nov 2014, 11:35

ในยามไฮ่ (3 ทุ่ม) เจ้าอ้วนและหวังเหมิงเดินมาหาข้าที่เรือนพัก ทั้งสองคนเดินตามมาชวนข้าไปร่วมวงเฮอาด้วยด้วยหวังว่าข้าจะเปลี่ยนใจ โดยปกติข้าเพียงแต่นั่งฟังบทสนทนาที่มีเจ้าอ้วนเป็นคนนำเท่านั้น ข้ารู้สึกว่าคนอื่นๆจะต้องรู้สึกเบื่อข้าเป็นแน่ เพราะข้าไม่ดื่มสุราและสรวลเสเฮฮาไม่เป็น แต่กระนั้นเจ้าอ้วนและหวังเหมิงก็ยังมีไมตรีมาชวนข้าเสมอๆ หากแต่วันนี้ ข้ากระวนกระวายใจที่จะเจอศิษย์พี่เพื่อที่จะบอกลา จึงได้บอกปฏิเสธสองคนนั้นไป เจ้าอ้วนถอนหายใจก่อนจะเดินกอดคอหวังเหมิงจากไป
หลังยามไฮ่เพียงเล็กน้อย ศิษย์พี่ก็เดินมาหาข้าที่เรือนพัก ไม่ต้องบอกว่าใจของข้ายินดีมากเพียงใดกับการที่ศิษย์พี่ยังให้ความสนิทสนมเหมือนเก่าก่อน

“อู๋เสีย เราไปคุยกันที่หลังป่าไผ่นั้นดีไหม ข้ามีของกินเล็กๆน้อยๆมาฝากเจ้าด้วย” ศิษย์พี่พูดพร้อมกับยิ้มเฉิดฉันท์ให้แก่ข้า
ข้าพยักหน้า ก่อนจะเดินตามศิษย์พี่ไปที่หลังป่าไผ่หลังเรือนพัก ซึ่งเป็นที่ๆเรามักมานั่งคุยกันเสมอๆ ศิษย์พี่ก่อกองไฟให้ความอบอุ่น ก่อนจะหยิบน่องไก่และเหล้าชุนฮวาออกมาแบ่งข้า แม้ว่าข้าจะไม่ดื่มสุรา แต่เหล้าชุนฮวามีรสหวาน เป็นเหล้าชนิดเดียวที่ข้าดื่มได้.........ศิษย์พี่ยังคงจำได้เสมอ

“ศิษย์พี่เทียนชิงวันนี้ข้ามีเรื่องจะปรึกษากับท่านครับ”

ศิษย์พี่เลิกคิ้วด้วยความสงสัย ท่านยื่นน่องไก่ที่ย่างแล้วให้ข้า ข้ารับมาถือไว้
“มีเรื่องอะไรรึ แต่ก่อนอื่น ให้ข้าบอกข่าวดีแก่เจ้าก่อนได้ไหม” ศิษย์พี่ขยับตัวนั่ง สายตามองข้าอย่างยิ้มแย้ม

“ถ้าอย่างนั้น เชิญศิษย์พี่พูดก่อน”

“เมื่อเย็น ท่านอาจารย์เรียกข้าเข้าไปคุยเรื่องที่พรรคตะวันจันทราส่งเทียบท้าประลองมาให้เรา ท่านจึงอยากให้ข้าเป็นตัวแทนสำนักหัวซานไปคุยกับอีกสี่สำนักใหญ่เพื่อหารือกันเรื่องที่จะรับมือกับพรรคมาร ข้าจึงเสนอให้เจ้าออกเดินทางไปกับข้าด้วย" เมื่อพูดจบ ศิษย์พี่ก็ฉีกยิ้มกว้าง ราวกับคาดว่าข้าจะต้องยินดีที่ได้ฟังข่าวนี้
แน่นอน เมื่อได้ฟังหัวใจข้าพองโตก่อนรอยยิ้มจะค่อยๆหุบลง ก่อนจะเอ่ยปากถามว่า “ไม่ทราบว่ามีผู้ใดไปด้วยขอรับ”

“มีเจ้าอ้วน หวังเหมิง ต้าขุย ........อ้อ แล้วก็หนิงเอ๋อร์และหวังจิ่น พวกนางว่าอยากจะลองออกท่องยุทธภพดูบ้าง”

“อ้อ...............” ข้ารับคำเพียงเงียบๆ หัวใจราวกับพุ่งขึ้นบนฟ้าแล้วถูกกระชากลงมายังหุบเหว

“อู๋สีย เจ้าไม่ดีใจรึที่จะได้ออกท่องยุทธภพ ตอนที่อาจารย์บอกให้ข้าพาศิษย์คนอื่นๆไปด้วย ข้านึกถึงเจ้าเป็นคนแรก”
รอยยิ้มและคำพูดของศิษย์พี่ควรทำให้ข้าดีใจอย่างยิ่ง หากแต่ในบางครั้งคำพูดของท่านก็ทำร้ายจิตใจข้ายิ่งกว่าคมมีดเสียอีก ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวโง่งมอะไรตัวหนึ่งที่ดีใจกับคำพูดเพียงเล็กน้อยของศิษย์พี่ แม้ว่าคำพูดนั้น อาจไม่มีความหมายอะไรกับตัวศิษย์พี่เลยก็ตาม

“ขอบคุณศิษย์พี่ที่อุ้มชูสนับสนุนข้า” ข้าพูดด้วยเสียงแผ่วเบา

“ทำไมพูดจาห่างเหินเยี่ยงนั้น เจ้าก็รู้ ข้าเอ็นดูเจ้ายิ่งกว่าน้องชายแท้ๆของตัวเองเสียอีก ไม่รู้ว่าทำไม แต่ข้าถูกชะตากับเจ้ามากนะอู๋เสีย หากเป็นไปได้ วันหนึ่งข้างหน้าหากข้าเติบโตขึ้น ก็อยากจะให้เจ้าคอยช่วยเหลือข้า”
คำว่า น้องชาย นั้นทิ่มตำหัวใจของข้าให้ไหลอาบเลือด ยิ่งเมื่อนึกว่า ในระหว่างเดินทาง ข้าต้องทนดูศิษย์พี่ใกล้ชิดสนิทสนมกับหนิงเอ๋อ ข้ารู้สึกว่าหัวใจตัวเองเจ็บจนชาไปแล้ว
แต่ข้าจะว่ากระไรได้ นอกจากพูดว่า “ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง หากศิษย์พี่คิดว่าข้ามีความสามารถข้าก็ยินดี”
เมื่อได้ยินคำพูดข้า ศิษย์พี่ก็ยิ้มกว้าง ก่อนจะมองข้านิ่งนาน แล้วพูดว่า “อู๋เสีย เจ้าคือน้องที่ข้ารักที่สุด”
ข้าได้แต่ยิ้มฝืนๆรับคำพูดนั้น

“มาๆ มากินไก่กันเถอะ เดี๋ยวจะเย็นเสียหมด น่องไก่นี้ข้าขอมาจากพ่อครัวหวังเป็นพิเศษเพื่อเจ้าเชียวนะ ข้ารู้เจ้าชอบน่องไก่อบน้ำผึ้งและเหล้าชุนฮวา มาดื่มเป็นเพื่อนข้าหน่อย ประเดี๋ยวเราคงไม่มีเวลามาดื่มด้วยกันอย่างนี้อีกแน่หลังจากนี้”

“ขอรับศิษย์พี่”

“เออ ว่าแต่ เจ้ามีเรื่องอะไรจะปรึกษาข้ารึ”

ข้าส่ายหน้าก่อนจะตอบ “ไม่มีใด ข้าลืมไปแล้ว”

“หากมีอะไรเจ้าไปหาข้าได้ตลอดเวลา อย่าลืมนะ”

ข้าพยักหน้า ในใจจมจ่อมอยู่กับความคิดของตนเอง เสียงไม้ไผ่เสียดสีกันฟังเดียวดายในความมืดสลับกับเสียงกองฟืนปะทุขึ้นเป็นระยะๆ เมื่อข้าเงยหน้าขึ้นจากการจิบเหล้า มักเห็นสายตาศิษย์พี่จ้องหน้าข้าอยู่แล้วเสมอ แต่ท่านก็จะเบือนหน้ากลับไป แล้วพูดเล่าเรื่องราวต่างๆในสำนัก รวมถึงการฝึกวิทยายุทธ์ให้ข้าฟัง

ในบางครั้ง ข้าเองก็ใคร่จะถามศิษย์พี่ว่าท่านคิดอย่างไรกับข้ากันแน่ หากแต่ข้ารู้ดีว่า สิ่งที่ข้าคิดกับสิ่งที่ศิษย์พี่คิดไม่มีวันเหมือนกันแน่นอน ด้วยความคิดเช่นนี้ ข้าจึงไม่เคยเอ่ยถาม และไม่เคยแสดงอาการอื่นใดที่นอกเหนือจากว่าเราเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน ...........เพราะความจริง ในบางครั้งไม่รู้ก็ยังจะดีเสียกว่า

ณ พรรคตะวันจันทรา
เหล่าลูกพรรคสำนักมารชุมนุมกันที่ห้องโถงใหญ่ ทูตซ้ายและทูตขวาต่างกระวนกระวายรอประมุขน้อยของพรรคที่ไปส่งเทียบเชิญให้ห้าสำนักใหญ่ สักพัก เฮยเสียจื่อในชุดผ้าแพรสีม่วงก็เดินโบกพัดสีขาวเข้ามา ใบหน้าเย่อหยิ่งแต่หล่อเหลาคมสันต์ด้วยถือดีว่าเป็นมือขวาของประมุขน้อยทำความขุ่นเคืองใจให้แก่ศิษย์ร่วมสำนักไม่น้อย

ทูตซ้ายเฮยเป้ยเหล่าลิ่วปราดเข้าไปหาเฮยเสียจื่อ “เป็นอย่างไรบ้าง เหตุการณ์เรียบร้อยดีหรือไม่”

เฮยเสียจื่อยกมือคารวะ “เรียนท่านพ่อ ทุกสิ่งไร้เภทภัย ด้วยบารมีของประมุขน้อยเราส่งเทียบเชิญถึงห้าสำนักอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง”

ทูตซ้ายปั้นหน้าเครียด “ได้ยินว่าเจ้าประมือกับจางเทียนชิง ศิษย์หัวซานรึ ผลเป็นยังไง”

เฮยเสียจื่อยิ้มสบายๆ “ข้าได้ยินแต่กิตติศัพท์ของมันมานานว่าเป็นบุรุษหนุ่มผู้กล้ามากฝีมือ แต่อันที่จริงก็ไม่ได้วิเศษไปกว่าคำประโคมโอ่ไปแต่อย่างใด”

เฮยเป้ยเหล่าลิ่วหัวเราะชอบใจ “ดีๆๆ สมกับเป็นบุตรชายของข้าเฮยเป้ยเหล่าลิ่ว มีเจ้าเป็นเรี่ยวแรงสำคัญให้พรรค การยึดครองยุทธภพคงไม่ยากเกินกำลังพวกเรา”

“เฮอะ อาศัยเจ้าสองพ่อลูกแค่นี้ พรรคของเราจะยึดยุทธภพได้คงเป็นเรื่องเพ้อฝัน” ทูตขวาป้านเจียหลี่พูดขัดขึ้นทันใด

เฮยเป้ยเหล่าลิ่วหันขวับไปทันที “ป้านเจียหลี่ระวังคำพูดเจ้าด้วย ระยะหลังมานี้เจ้าไร้ผลงาน ทำได้เพียงแต่อิจฉาพวกข้าไปวันๆ ระวังเถอะจะได้รับยาเม็ดสลายวิญญาณเข้าสักวัน”

“สามหาว! คนอย่างข้าจงรักภักดีต่อพรรค เจ้าต่างหากเฮยเป้ยเหล่าลิ่วที่คิดทรยศพรรคของเรา อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าแอบยักยอกเอาเงินของพรรคไปทำอะไรบ้าง”

“เจ้า!” เฮยเป้ยเหล่าลิ่วโกรธจนลมออกหู ใบหน้าแดงก่ำ เฮยเป้ยเหล่าลิ่วปราดเข้าไปฟาดฝ่ามือ แต่เฮยเสียจื่อบุตรชายกลับใช้พัดสกัดบิดาของตนไว้

“ท่านพ่อโปรดใจเย็น ต่อหน้าท่านประมุขและประมุขน้อยไม่อาจเสียมารยาท” เฮยเสียจื่อเตือนให้บิดาของตนรู้ว่าบัดนี้ท่านประมุขและประมุขน้อยได้ออกมานั่งที่เก้าอี้เจ้าสำนักหัวหน้าพรรคตะวันจันทราแล้ว

เฮยเป้ยเหล่าลิ่วจึงได้แต่หยุด ศิษย์พรรคตะวันจันทราทั้งหมดนั่งคุกเข้าลงคารวะประมุขพรรคตะวันจันทรา เฉินผีอาซื่อ และประมุขน้อย
“ขอท่านประมุขจงเจริญหมื่นปี หมื่นๆปี พรรคตะวันจันทรายิ่งใหญ่เกรียงไกร อันดับหนึ่งในยุทธภพ บูรพาประจิมทักษิณอุดรล้วนสยบใต้เท้าเฉินผีอาซื่อ” เสียงแซซ้องสรรเสริญหัวหน้าพรรคตะวันจันทราดังกระหึ่มไปทั่วผาไม้ดำ

“ลุกขึ้นยืน” เฉินผีอาซื่อใช้พลังลมปราณเปล่งเสียงทำให้ได้ยินก้องกังวานไปทั่ว คนผู้นี้ไม่เพียงสืบต่อวิทยายุทธ์วิชามหาเวทย์ดูดดาว แต่ยังสำเร็จเคล็ดวิชาพสุธากัมปนาท จึงนับว่าพลังยุทธ์แทบจะเป็นอันดับหนึ่งในแผ่นดิน

“พวกเจ้าเอะอะวุ่นวายอะไรกัน .....เฮยเป้ยเหล่าลิ่ว ป้านเจียหลี่ วันที่เราจะยึดครองยุทธภพใกล้เข้ามาทุกที พวกเจ้าอย่าได้แตกความสามัคคี ไม่เช่นนั้นข้าไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น” สายตาคมกริบของเฉินผีอาซื่อกวาดมองทูตซ้ายและทูตขวา ทั้งสองคนรู้ดีว่าหัวหน้าพรรคคนปัจจุบันยังโหดเหี้ยมยิ่งกว่าตงฟางปุ๊ป้ายเสียอีก จึงได้แต่สงบคำน้อมรับบัญชา

“ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาในวันนี้เพื่อที่จะบอกว่า ลูกชายของข้าจะปลอมตัวออกท่องยุทธภพ เพื่อสืบหาคัมภีร์มังกรนพคุณ” เฉินผีอาซื่อหันไปมองบุตรชายของตนในชุดดำที่คลุมหน้าตาเอาไว้ ไม่เคยมีใครได้เห็น แม้แต่คนในสำนักเอง “เฮยเสียจื่อ”

เฮยเสียจื่อก้าวเท้าออกมา “ครับ ท่านประมุข”

“ในฐานะที่เจ้าเป็นเพื่อนสนิทของประมุขน้อย ข้าจะให้เจ้าติดตามประมุขน้อยไปด้วย”

“ข้าน้อยรับบัญชา”

“ข้าได้ข่าวว่าคัมภีร์มังกรนพคุณถูกขโมยไปจากเส้าหลิน พวกเจ้าจงรีบไปหาคัมภีร์ให้ข้าเพื่อให้แผนยึดครองยุทธภพสำเร็จโดยง่าย และข้าได้ข่าวว่า เจ้าเจอศิษย์หัวซานที่ใช้พลังลมปราณมหาเวทย์ดูดดาวรึ” เฉินผีอาซื่อหันไปถามประมุขน้อย

“ขอรับท่านพ่อ ไม่เพียงเท่านั้นมันยังซัดเข็มพิษของพรรคเราอีกด้วย”

“เจ้าจงใช้โอกาสนี้ไปสืบดูว่ามันร่ำเรียนมาจากที่ใด คนที่จะฝึกให้มันได้ไม่ใช่คนธรรมดา จงหาเงื่อนงำของเรื่องนี้ให้ได้ ส่วนหน้าที่อื่นๆข้าจะบอกต่อเจ้าผ่านทางพิราบสื่อสาร”

“ขอรับท่านพ่อ”

“จำเอาไว้ เจ้าศิษย์หัวซานคนนั้นอาจเป็นภัยต่อพรรคเรา เพราะคนที่จะใช้เข็มพิษด้วยพลังจากคัมภีร์ทานตะวันและวิชามหาเวทย์ดูดดาวได้มีเพียงประมุขพรรคเท่านั้น หากกำจัดได้เจ้าจงกำจัดทิ้งซะ!”

“ลูกรับบัญชา”
ประมุขน้อยทำความเคารพลาบิดาของตน สายตาหันไปสบกับเฮยเสียจื่อ ก่อนที่ทั้งคู่จะพุ่งออกไปจากห้องโถงพร้อมกัน

ณ สำนักหัวซาน
“อู๋เสีย เจ้ารู้ไหม บางครั้งชีวิตมนุษย์ก็เหมือนต้นไผ่” ท่านอาจารย์ตงฟางเคยกล่าวกับข้า

“ยังไงหรือครับท่านอาจารย์”

“ดอกไผ่จะชูช่องามได้ก็ต่อเมื่อต้นไผ่ตายลง เช่นเดียวกับชีวิตมนุษย์ บางครั้งเราต้องผ่านความทุกข์มากมาย จึงจะได้เห็นสิ่งสวยงามที่อยู่รอบตัว”
เมื่อหวนนึกถึงคำพูดของท่านอาจารย์ ข้าได้แต่สงสัยว่า นี่ข้าอยู่ในช่วงที่ทุกข์ทรมานที่สุดหรือยัง และความสวยงามแบบไหนที่รอข้าอยู่ ดูเหมือนสิ่งนั้นจะไม่มีวันมาถึง
ศิษย์พี่ชวนข้าคุยอย่างสนุกสนาน ดูท่านเบิกบานใจยิ่งกว่าตอนปกติที่อยู่ต่อหน้าทุกคน ข้าเองก็ยินดีที่ศิษย์พี่ให้ความสำคัญ....................

นี่ข้าจะต้องทนหลอกตัวเองไปอีกนานเท่าใด

จบตอน

winterautumnsummerrain
ด้วงฝึกหัด
ด้วงฝึกหัด

จำนวนข้อความ : 6
Points : 3489
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

(FIC) 日月 (Sun Moon) ตอนที่ 3 Empty Re: (FIC) 日月 (Sun Moon) ตอนที่ 3

ตั้งหัวข้อ by pim-lovedmbj Mon 10 Nov 2014, 12:39

ศิษย์น้องอู๋เสียผู้น่าสงสาร มาๆ มาซบอกป้านะลูก อิอิ

pim-lovedmbj
ด้วงฝึกหัด
ด้วงฝึกหัด

จำนวนข้อความ : 7
Points : 3472
Join date : 06/11/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

(FIC) 日月 (Sun Moon) ตอนที่ 3 Empty Re: (FIC) 日月 (Sun Moon) ตอนที่ 3

ตั้งหัวข้อ by leralalita Mon 10 Nov 2014, 15:43

ตอนสามมม

อ่านไปเฮิร์ทไป ศิษย์พี่จะรู้มั้ยนะว่าความใจดีของพี่เปรียบเหมือนดาบสองคม ._. ) ยิ่งทำให้ใจเต้นมากเท่าไร ยิ่งเหมือนคมมีดบาดลึกใจศิษย์น้อง เจ็บจะตาย สุดท้ายอู๋เสียน้อยก็ไม่ได้พูดอีกต่างหากแน่ะ โฮ

แถมเห็นว่าอู๋เสียน้อยจะถูกตามสืบเรื่องราวอีก แง ทำไมเด็กน้อยคนนี้จะต้องเจออะไรอีกมากมายนะ ; - ; ) *ลูบหัวเอ็นดู* เข้าใจเลยว่ามันหนึบๆที่อก ก็ใครอยากจะไปเห็นภาพเขาอยู่ด้วยกันล่ะจริงมั้ยฮือ ,__,) อยากให้มีใครสักคนมาปลอบน้องจังค่ะ /ดีดศิษย์พี่ทิ้-- /โดนต่อย

*งอแง* เอ็นดูอู๋เสียฟิคนี้มากเลยค่ะแฮ่ ขอบคุณสำหรับฟิคเช่นเคยนะค้า >_< รอตอนต่อไปน้า
leralalita
leralalita
ด้วง
ด้วง

จำนวนข้อความ : 34
Points : 3509
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน

- Similar topics

 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ