Countdown
We've been
togerther for

ค้นหา
 
 

Display results as :
 


Rechercher Advanced Search


[fic]บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน [ผิงเสีย]

3 posters

Go down

[fic]บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน [ผิงเสีย] Empty [fic]บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน [ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by kuramajoy Thu 06 Nov 2014, 20:48

Ficบันทึกจอมโจรแห่งสุสสาน
Warnning -Spoil 1-6

NC สดใสกิ้งเหมือนจิตใจอันใสซื่อบริสุทธิ์ของคนแต่ง

บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน...
(สาบานว่านี่ชื่อเรื่องมึง...)


ผมไม่เคยรู้สึกตัวมาก่อนว่าชีวิตนี้จะมีอะไรสำคัญไปกว่า อาหารการกินสามมื้อ ที่นอนนิ่มๆ และครอบครัวแสนอบอุ่น เมื่อก่อนผมไม่เคยคิดว่าจะพรากจากสิ่งเหล่านั้นได้ แต่ในเวลานี้ ผมกลับละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมชื่นชอบมายืนอยู่ใต้ดินที่ห่างไกลผืนแผ่นที่ครอบครัวผมอาศัยอยู่ ห่างไกลจากเมืองของผมเป็นพันๆไมล์

ผมมองไปรอบด้านด้วยความตื่นตระหนกก่อนที่จะผ่อนลมหายใจ ขาของผมเหยียบลงบนแอ่งน้ำขนาดใหญ่ การมาที่นี่ ผมเป็นคนตัดสินใจเอาไว้แล้วไม่ใช่หรือ ...
ทั้งที่ทุกคนห้ามผมยังดื้อดึงมา นี่คือผลลัพธ์ ผมถอนหายใจกับอาหารตึงกล้ามเนื้อ รู้สึกได้ถึงความอ่อนแอของตัวเอง ในยามวิ่ง ผมกลับเป็นคนรั้งท้ายให้พวกเขาต้องวิ่งกลับมาเพื่อลากผม ในยามต่อสู้ ผมคือคนที่ถูกพวกเขาปกป้อง

ผมแหงนหน้าขึ้นไปมองนายอ้วนที่กำลังกรนอยู่บนกิ่งไม้ ที่นี่คือป่างูที่แสนน่าสะพรึงกลัวมันคือ สุสานอันยิ่งใหญ่ของเจ้าแม่ซีหวังหมู่ บรรยากาศรอบตัวร้อนชื้นพาให้คนเมืองเช่นผมนอนไม่ค่อยจะหลับ ทว่าอย่างไรเสียผมก็เป็นเพียงคนเดียวที่ได้นอนจนเต็มอิ่ม ผมเงยหน้าขึ้นไปมองหาหนิงที่อยู่ไม่ห่างกันนัก เธอกำลังหลับอยู่บนกิ่งไม้ เธอเองก็ได้สิทธิไม่ต้องเฝ้ายามเช่นเดียวกับผม แต่เดี๋ยวนะ ผมกำลังถูกจัดให้เป็นระดับสตรี ?

ความรู้สึกที่ถูกปฎิบัตินั้นพาให้ผมหงุดหงิด แต่ผมก็ไม่สามารถต่อเถียงอะไรได้ นายอ้วนกับพานจื่อปฎิเสธจะให้ผมเฝ้ายาม ขนาดนายอ้วนที่เห็นการเอาแต่ได้ยังเป็นแบบนี้ ผมปีนลงยังจากนอนของผมอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้นายอ้วนกับพานจื่อตื่น พวกเขาเพิ่งจะเสร็จสิ้นการเฝ้ายาม ตอนนี้คนที่เฝ้ายามเป็นคนที่ผมไม่จำเปนต้องสน หรืออดทนความรู้สึกต่อหน้าเขาต่อให้ผมอยู่ๆตะโกนขึ้นมาว่า “ผมยังเป็นลูกผู้ชายอกสามศอกอยู่นะ” เชื่อได้ว่า ร้อยทั้งร้อย นายเมินโหยวผิง ก็คง เมิน เสียงนั้นไปราวกับว่ามันคือลมผ่านหู

สมชื่อ นายหน้ามึน จอมเมิน เรือพ่วงท้ายแสนน่าเบื่อ

เขาเป็นคนที่ผมเจอแล้วต้องเบ้ปากทุกครั้ง ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบเขา อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนที่ช่วยชีวิตจนผมไม่อาจจะชดใช้ให้ได้

ผมนอนไม่หลับจึงปีนลงมาข้างล่าง เห็นนายเรือพ่วงแสนน่าเบื่อหมิงโหยงผิงใช้มีดจิ้มไปยังคราบงูที่เลื้อยพันตามต้นไม้

ตราบใดที่มีเขาอยู่ผมจะปลอดภัย ไม่รู้ว่าความคิดนี้ผุดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร ผมเดินลากขาจนมาถึงหน้าของเขา แน่นอนว่าหมอนี่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ราวกับทั้งโลกนี้มีเพียงเขาคนเดียว เขาเสมือนตัวตนที่ไม่มีส่วนใดยึดเหนี่ยวกับโลกใบนี้ หากจะหายหรือสลายตัวไปก็ราวกับไม่มีคนรู้

ผมถอนหายใจยามที่มองเสี้ยวหน้าหล่อเหลานั้น ความจริงเขาเป็นคนหน้าตาดีแต่เพราะนิสัยแบบนี้ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

“นอนไม่หลับ”

คำถามแผ่วเบาดังขึ้น ผมถึงกับอ้าปากค้าง พระเจ้าช่วยกล้วยทอดไม่สุก นายเมินโหยงผิง ที่สมชื่อว่า “เมิน” ทุกสรรพสิ่งรอบข้าง พูดกับผม
“อืม ฉันนอนจนพอแล้ว นายก็รู้ ฉันสลบไปตั้งเท่าไรแถมยังให้สิทธินอนขนาดนี้เดี๋ยวก็เป็นแบบนายอ้วนพอดี” ผมหัวเราะ ก่อนที่จะมองเขา พบว่าเขาไม่ได้มองไปยังซากงูอีกแล้ว นัยน์ตาที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าคิดอะไรอยู่นั้นเงยหน้าขึ้นมองยังท้องฟ้า ผมเงยขึ้นตาม ท่ามกลางป่าดงดิบที่ไร้ตึกรามที่บดบัง ไม่มีควันพิษของท่อไอเสียรถยนต์ เป็นครั้งแรกที่ผมเหยียดยิ้มท่ามกลางความอันตราย ต้นไม้รอบด้านราวกับเป็นเครื่องประดับ ให้แก่ท้องฟ้าผู้ประดับด้วยหมื่นเพชร

ตรงกลางของผืนฟ้าสีนิลคือไข่มุกสีเหลืองนวลแสนล้ำค่า ผมเป็นคนประเมินวัตถุโบราณยังอดคิดไม่ได้ว่า ถึงแม้ว่ามนุษย์เราจะพยายามสร้างสรรของให้แสงสว่างแก่โลกมากสักเท่าไรก็ไม่อาจเอื้อมถึงแสงสว่างที่แท้จริง ความงดงามตามธรรมชาติ คือที่สุดของศิลปะมันอยู่มาช้านานก่อนที่โลกจะก่อกำเนิด งดงามจากภายใน ไม่ต้องเติมแต่งหรือเจียระไนแม้แต่นิดเดียว

ผมหันไปมองชายหนุ่มผู้นั่งมองดวงดาว ใบหน้าด้านข้างที่ถูกย้อมด้วยแสงของดวงดาวนั้นดูดีราวกับรูปสลัก โดยไม่รู้ตัวผมก็เผลอยิ้มออกมา เป็นจังหวะเดียวกับที่นัยน์ตาที่สงบนิ่งหันมามอง

เราประสานสายตากันอยู่ร่วมนาที นัยน์ตาสีดำขลับที่ราบเรียบนั้นสะท้อนภาพร่างของผม มันทำให้ผมต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าไปจากเขา

เป็นไรไป อู๋เสีย นายนี่ก็แค่มองนกมองไม้ มองอะไรก็ตาม แต่ผมรู้ดีว่า ถึงแม้เขาจะมองผมเขาก็ไม่เคยมองยังตัวตนของผมจริงๆ

ทุกครั้งสายตานั้นจะมองผ่านทุกคน ไปยังจุดใจกลางปริศนาที่เขาต้องการ เขาไล่ตามยังทุกสิ่งทุกอย่างที่จะนำพาความจริงมาหาเขาได้

“มีอะไร?” เมื่อกี้ผมใจลอยไปหน่อยพอหันกลับมาเขาก็ยังคงมองผมอยู่ ผมรีบตะปบใบหน้าตัวเอง เวลาที่เมินโหยวผิงทำอะไรสักอย่างมักหมายถึงอันตราย หรือว่าหน้าของผมมีตัวอะไรเกาะอยู่ พอลูบไปผมก็พบเข้ากับใบหน้าเกลี้ยงเกลาของตัวเอง

“มีอะไรนายพูดมา ฉันรับได้” หรือว่าผมจะโดนกาฝาดอะไรเข้าไปสิงบนใบหน้า ตอนนี้หน้าของผมมันคงแย่มากจนนายเมินโหยวผิงขมวดคิ้ว มือใหญ่ของเขาแตะลงบนใบหน้าของผมลูบไล้บนพวงแก้ม นิ้วเรียวยาวที่เคยคีบไส้ของด้วงศพเกลี่ยลงบนผิวของผมอย่างอ่อนโยน

ราวกับเวลารอบตัวเราถูกหยุดลง ท่ามกลางผืนฟ้าที่ประดับไปด้วยดารา เรานั่งชิดใกล้จนได้เสียงลมหายใจของกันและกัน หน้าอกแข็งแกร่งของเมินโหยงผิงกระเพื่มบ่งบอกถึงความเป็นมนุษยืของเขา ร่างที่อบอวนไปด้วยกลิ่นสมุนไพรจนมึนหัวเข้ามาชิดใกล้ จมูกของผมได้กลิ่นที่ซุกซ่อนอยู่ใต้สมุนไพรของเขา มันคือกลิ่นของศพคนตาย
แม้จะรู้ถึงกลิ่นนั้นแต่ใบหน้าที่ราวกับประติมากรรมตรงหน้าตรึงผมให้อยุดอยู่กับที่ นิ้วของเขาเกลี่ยไล้พวงแก้มของผมอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาที่ไม่รู้คิดอะไรมองตรงมาที่ผม กลับเป็นผมเองที่ก้มหลบเขาอีกรอบ วินานี้ผมรู้สึกว่าตัวเองขยับตัวไม่ได้

ไม่ใช่ว่าไม่อยากขยับ เพียงแต่เสียงในใจกำลังเต้นราวกับไปวิ่งมาธาราธอน ร่างกายของผมเกร็ง ราวกับไม่ใช่ร่างกายของเอง

ราวกับต้องมนต์สะกด....
ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เมินโหยงผิงดึงมือออกจากพวงแก้มผม ใช้สองมือกอดรัดผม ก่อนที่จะซุกศีรษะลงกับอกของผม หูของเขาแนบกับหน้าอกราบเรียบของผม ฟังเสียงหัวใจที่กำลังจะระเบิดออกมาจากตัวของผม
“นาย” ผมพูดไม่ออก เมินโหยงผิงที่ไม่สนอะไรในโลกใบนี้กำลังซุกอยู่กับหน้าอกของผม มือของเขารวบรอบเอวผมไว้อย่างหลวมๆ ผมรู้ดีว่าคนอย่างเขาแค่ออกแรงนิดเดียวผมก็ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้ ผมนั่งนิ่งปล่อยให้ศรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นไหมสีดำแนบลงมา
“อุ่น”
ผมสะท้อนใจกับคำพูดของเขา ใบหน้าหล่อเหลานั้นซุกไซร้ลงกับอกของผม ราวกับโหยหา เมินโหยงผิงนายไม่ได้สัมผัสกับคนเป็นมานานเท่าใดกัน ผมจับมือของเขามันเย็น เย็นราวกับซากศพ มันทำให้ผมเกือบร้องไห้เมื่อมองมือแข็งแกร่งที่สามารถหักคอคนได้

“อุ่นใช่ไหมละ” ผมเอื้อมมือไปกอดรัดศีรษะของเขาไว้ โอบรัดยังตัวตนของชายหนุ่มที่แท้จริงแก่กว่าผมมากนัก “นี่คืออุณหภูมิของมนุษย์ นายเองก็มี”

ผมเลื่อนมือสอดเข้ากับนิ้วัท้งห้าของเขา เขามือใหญ่กว่าผม มันทั้งหยาบทั้งกร้าน มือของคุณปู่ผมเองก็เป็นเช่นนี้ มันคือมือของคนคว่ำกรวยมาทั้งชีวิต

“ดูสิ มือของนายอุ่นแล้ว” นายคนนี้ตามหาความทรงจำของตัวเอง ร่างกายของเขาผิดแผกกว่าคนะรรมดาทั่วไป ถึงแม้เขาจะแกร่งเกินคนแต่เขาก็ยังเป็นมนุษย์
เขาบีบมือของผมที่สอดประสานราวกับจะย้ำเตือนถึงอุณหภูมิ ร่างกายของเขาเย็นมาก เย็นราวกับไม่ใช่คน แต่เพราะผมกอดเขาเอาไว้ ถ่ายทอดความบอุ่นให้ทีละเล็กทีละน้อย เพียงไม่นาน ร่างกายที่ราวกับน้ำแข็งก็พลันอบอุ่นเขา ผมประคองใบหน้าของเขาขึ้นมาเป็นฝ่ายลงไปซบแปงอกแน่นแกร่ง ผมลูบมันก่อนที่จะยิ้มให้เขา

“นายอุ่นเหมือนกันนะ”

ความอบอุ่นของมนุษยื ผมรู้ว่าหัวใจของเขาต้องยังคงอบอุ่น

“อืม” เสียงตอบรับของเขาพร้อมกับแขนแกร่งที่รัดตัวผมให้แนบไปกับแผงอกแน่นของเขา ให้ตาย นายเมินโหยงผิงนี่ต้องไปเล่นกล้ามมาแน่ ขนาดผมแอบฟิตร่างกายเตรียมความพร้อมคว่ำกรวยมาจนภูมิใจกับรูปร่างของตนเองยังไม่อาจทัดเทียมกับเขา ว่าแล้วผมก็หัวเราะ

เทียบอะไรไม่เทียบ เทียบกับตานี่ ให้ผมไปเทียบกับนายอ้วนยังดีเสียกว่า

“เอ๋” ชั่วเวลาที่ผมคิดอะไรไร้สาระอ้อมกอดใหย่ที่ตวัดรอบร่างกายก็หายไปแล้ว พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เห็นเรือนร่างของเมินโหยงผิง นายเรือพ่วงน่าเบื่อ กำลังมองผมอย่างเงียบงัน ผมเกาแก้มตัวเอง ก่อนที่จะเอียงคอเมื่อเห็นเขายื่นมือมา

ผมหัวเราะก่อนที่จะวางลงบนมือนั้นร่างของผมถูกเขาฉุดให้ยืนขึ้นไม่ยากนัก เมื่อลุกขึ้นพวกเราก็กำลังยืนข้างกันมองดูดวงดาวผืนเดียวกัน พอคิดได้ว่าผมกับเขาอยู่กันตามลำพังแถมยังก่ายกอดไปชั่วครุ่ความร้อนก็แผดเผาใบหน้าของผม

ตอนที่กอดอาหนิงผมยังใจเต้นไม่เท่ากอดนายเมินโหยงผิง ..หรือเพราะตอนนั้นผมเหนื่อยเกินไปกว่าจะคิดอะไรเช่นนี้ การมีสาวงามในอ้อมกอดไม่ตื่นเต้นเร้าใจเท่ากับมีชายงามในอ้อมกอดเชียวหรืออู๋เสีย นายเป็นบ้าอะไรไป

ผมหยิกแก้มตัวเองเรียกสติหนึ่งทีก่อนที่จะหันไปยิ้มแห้งให้เขา ดวงตาของนายเมินโหยงผิงยังคงอยู่บนเรือนร่างของผม จะมาไม้ไหนอีกละ ผมเผลอถอยหลังโดยอัตโนมัติ พอผมทำแบบนั้นผมกลับรู้สึกเสียใจตัวเองเพราะอีกไม่กี่นาทีเขาก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียที่คล้ายกับพร่ามัวไปด้วยเสียงร่ำไห้

“นายไม่ควรมาที่นี่”

ผมขมวดคิ้วใส่เขา อะไรกันถึงผมจะรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ดันไปโมโหกับคำพูดของเขาจนมาถึงนี่ แต่ตอนนี้คนก็มาแล้วยังจะพูดอะไรอีก

“นายมีเวลาชั่วชีวิต แต่ฉันไม่ได้มีเวลาเท่านาย”

เขามักพูดอะไรที่ผมคิดไม่ออกอยู่เสมอ ผมคิดไปคิดมาคิดจนปวดสมอง จึงเดินเข้าไปหมายจะเขย่าคอไอ้นายเมิน แสนมึนนี่สักหน่อยให้เขาคายความลับออกมาสักสองสามเอะ แต่เพียงแค่ผมยกมือกลับถูกเขาจับเอาไว้ ข้อมือของผมถูกรวบไป ไม่ถึงชั่ววินาทีผมก็ถูกเขาล็อกเอาไว้จากด้านหลัง

ให้ตายเถอะอู๋เสีย มันเวลาเพีนงแค่กระพริบตา แค่นี้นายก็ดิ้นไมไ่ด้แล้วจะไปเขย่าตัวเขาเพื่อสอบถาม แทบจะเป็นไปไม่ได้

ผมกัดฟัน แรงที่รวบตัวผมไม่ได้ออกแรงมาก ผมจึงไม่เจ็บมากนักแต่นั่นก็ทำให้ผมไม่สามารถขยับตัวได้ ลมหายใจอุ่นๆของเขาหายใจรดต้นคอของผม แผงอกแน่นตึงของเขาประทะเข้ากับหลังของผม เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงหัวใจของเขา

“ไอ้บ้าเอ้ย” ผมแหกปากใส่เขาเพียงพริบตาก็ถูกเขาปิดปาก เมินโหยงผิงใช้มือข้างเดียวรวบข้อมือทั้งสองของผม อีกข้างปิดปากผมแน่นราวงกับไม่ต้องการให้ผมไปทำลายนินทราริมณ์ของใครสักคน ไม่ก็เรียกงูให้ตื่นตัว

“อย่าส่งเสียง” เขากระซิบข้างหูของผม ลมหายใจหนักๆพ่นลงใบหูของผมพาให้ผมรู้สึกจั้กจี้ หนอยนายมายั่วโมโหแล้วไม่ให้พูดนี่โครตจะเอาแต่ใจตัวเอง
ผมถลึงตาใส่เขา ดูเหมือนนายเมินโหยงผิงจะรับรู้ถึงความแค้นของผม เขาจึงกระซิบข้างหูผมอีกรอบ

“นายไม่สมควรเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ ถอนตัวไปซะ นายยังมีชีวิตข้างหน้าให้ก้าวต่อไป แต่อาสามของนายและฉันไม่มีอีกแล้ว”

ผมดิ้นสุดตัวแต่ก็ไม่อาจจะหลุดจากกำมือของเขาไปได้ หนอยไอ้บ้า นึกว่าอยากจะพูดอะไรฝ่ายเดียวก็ได้หรอ

“ฉันไม่มีทั้งอดีตและอนาคตแตกต่างจากนาย ราวกับไม่อยู่บนโลกแต่แรก ฉันเกิดจากความไม่มีอะไร ยามที่สูญสลายไปอาจไม่มีแม้แต่คนรับรู้ ฉันเหมือนสิ่งแปลกปลอมที่โลกใบนี้ไม่ยอมรับ แตกต่างกับนาย คนอย่างฉันจะตายเมื่อไรก็ได้ แต่นายไมได้”

กับผีมึงนะสิ! ผมดิ้นอยู่ในมือของเขาแต่เมินโหยงผิงแรงเยอะขนาดหักคองูเหลือมยักษ์มาแล้ว อย่างผมมีหรือจะคณามือของเขา
ผมอยากจะร้องไห้ ไอ้บ้าเอ้ย เอาแต่สักแต่พูดฝ่ายเดียว ถามคนอื่นบ้างไหม

“อู๋เสีย ทางข้างหน้านายไม่ควรลงไปต่อ”

คำพูดของเขาคืออยากให้ผมรอ รอพวกเขา ...ไม่เอานะ ความรู้สึกที่ต้องรอมันน่ากลัวกว่าไปตายด้วยกันเสียอีก ผมทวนคำพูดของเขา แล้วก็พลันอยากร้องไห้
เมินโหยงผิง นายไม่เห็นชีวิตของตนเองสำคัญ

ดูเหมือนตั้งแต่เขาได้ความทรงจำกลับคืนมาบางส่วนที่สุสานใต้ทะเล เขาก็รีบร้อน รีบร้อนจนทำผิดพลาดไปหมด ผมสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดจากเขา
ทำไมนายต้องรีบขนาดนี้...

ริมฝีปากผมไม่อาจพูดได้ ได้แต่ตำเป้นจำเลยให้เขาพูดอยู่ฝ่ายเดียว

“นายเป็นคนดี “ ศีรษะของเขาซบอยู่กับไหล่ของผม สัมผัสได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดคอ มันร้อนจนอยากจะร้องไห้ “เป็นคนแรกที่อบอุ่นถึงขนาดนี้ เป็นคนแรกที่บอกกับฉันว่า หากฉันหายไปนายจะรับรู้”

คนที่โลกปฎิเสธอย่างเขากลับได้รับการตอบรับจากผม ตอนแรกผมไม่คิดว่าเขาจะจดจำมันไว้ในใจด้วยซ้ำ แรงที่จับผมคลายลงแล้ว ผมดิ้นสุดตัวผละออกมาจากเขา ประจันกับเขาแสงจันทร์ที่สาดส่องบนใบหน้านั้นคือรอยยิ้มแสนเศร้า เขาพยายามยิ้มให้กับผม แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมน้ำตาซึม

“นาย” ผมอ้าปากไอ้เพียงแค่ครึ่งประโยคแรงประทะหนักก็กระแทกเข้าที่ท้องน้อย สติพร่ามัว ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือมือแข็งแกร่งที่รองรับร่างของผม และริมฝีปากหนาที่แตะเข้าที่หน้าผากของผมอย่างแผ่วเบา...

รอยจูบประทับอย่างเชื่องช้า แต่ทว่าเนิ่นนาน..

................................................................................
“นายน้อย นายน้อย ตื่นได้แล้ว” ท่ามกลางสติที่รางเลือนเสียงของพานจื่อดังชัด ผมรับรู้ถึงแรงของคนที่เขย่าตัว ในหัวตีกันจนเสียงดัง ผมลุกขึ้นมาลืมตาพบว่าที่นี่คือที่นอนของผม ผมสะดุ้งในยามที่เรื่องราวก่อนที่จะสลบฉายเข้ามาในศีรษะ เมื่อคืนนี้ผมคุยกับนายเมินโหยงผิง

พอคิดถึงผี ผีก็โผล่ขึ้นตรงหน้า เมื่อผมหันไปทางซ้ายผมก็เกือบสะดุ้งหล่นจากกิ่งไม้ นายเมินโหยงผิงพิงอยู่บนกิ่งไม้เดียวกับผม นัยบน์ตาลึกลับนั้นปิดสนิท
ผมห้ามตัวเองไม่ใปห้วิ่งไปเขย่าเขาแบบเมื่อคืน เพราะมันจะต้องเป็นจุบจบแบบเดิม ในเวลาที่ผมกำลังมึนงงนายอ้วนก็แซวขึ้น

“นอนหลับสบายดีไหมนายน้อย นายมันคนเมืองสบายตัวจนเคยตัว เอาอย่างน้องเสี่ยวเกอของเราสิ นอกจากจะเป็นเวรยามให้แล้วเขาจะล่าเอาหลักฐานมาได้เพียบ นายอ้วนหยิบเอาซากงูและแมลงขึ้นมา มันทำให้ผมรู้สึกมึน เมื่อวานเจ้านี่กำลังคุยกับผมไม่ใช่หรือ

“เมื่อคืน ผมตื่นขึ้นมา” ผมอ้าปากพูดได้ไม่กี่ประโยงอาหนิงก็แตะบ่าของผม

“นายกับฉันอนใกล้กันถ้านายตื่นด้วยฝีมือของฉันจะไม่รู้เลยหรือ”

“ใช่ คุณหนูอย่างนายขืนเดินเพ่นพ่านคนเดียวก็ตายพอดี เมื่อคืนน้องเสี่ยวเกอก็แอบเถลไถลพอดี ข้างล่างอันตรายจะตาย”

ผมหุบปาดตัวเองนวดขมับ เรื่องเมื่อคืนผมฝันไปงั้นหรือ มือของผมแตะใบหน้าของตัวเองหันไปมองเมิงโหยงผิงที่นอนพิงกิ่งไม้อยู่เคียงข้าง พอกับที่เขาลืมตาขึ้นมา นัยน์ตาเย็นชาที่ราวกับไม่ได้มองอะไรอยู่ทำให้ผมรู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ

อะไรกัน ... ผมฝันไป ?

“มีอะไรหรือนายน้อย” พานจื่นเห็นผมนิ่งไปจึงเดินเข้ามา

“ฝันอะไรลามกละสิ ไม่ก็ไม่สบายหรือเปล่า” นายอ้วนเดินเข้ามาหาผมอีกคน ยกมือหมายจะแตะที่หน้าผากของผม
เพียะ...

วินาทีที่เสียงนี้ขึ้นทุกคนกลับหยุดนิ่ง แม้แต่ผมก็ยังต้องตกตะลึง เมิงโหยงผิงที่นอนอยู่อย่างเฉยเมยลุกขึ้นมาปัดมือนายอ้วน เสียงตีมือดังลั่นทั้งป่า แม้มันจะไม่รุนแรงมาก แต่ก็ทำให้หนังมือนายอ้วนแดง..

เฮ้ย!

หน้าผากของผมมีอะไร นายเรือพ่วงแสนน่าเบื่อถึงห้ามนายอ้วนจับ ผมรีบคลำหน้าผากตัวเองราวกับจะหาหนอนแมลงปรสิธ แต่มันกลับเป็นเนื้อเรียบเนียน ไม่มีอะไรทั้งนั้น พานจื่อก็ชะโงกมาหา มีแค่นายอ้วนที่ใบ้กินไปชั่วครู่

“เฮ้ น้องเสี่ยวเกอ อยากเล่นตบแปะกับเสี่ยอ้วนก็ไม่บอก หรือว่า เกิดหลงรักไขมันของเสี่ยอ้วน ตื่นยังเต็มตาหรือไง”

นายอ้วนระเบิดอารมณ์ใส่เมิงโหยงผิง แต่แน่นอนว่าเมินโหยงผิงนั้นมีความสามารถพิเศษ ที่จะไม่ตอบ ไม่สนใจ และเมินต่อทุกสรรพสิ่งของโลกอยู่แล้ว หากคุณต้องการจะได้คำตอบอะไรจากนายนี่ คุณมีแต่จะอกแตกตายเท่านั้นดูเหมือนนายอ้วนที่ร่วมผจญภัยกันมาระยะหนึ่งเองก็ยังจดจำคุณสมบัตินี้ของคนตรงนี้ นายอ้วนสบถโครตตระกุลเมินโหยงผิงสองสามทีแล้วเลิกลาไปเอง

ผมแตะหน้าผากตัวเองมันไม่มีอะไร พานจื่นมาดูก็ไม่เห้นมีอะไรเช่นกัน ทุกคนเลยปลงตกว่าเสี่ยวเกอคงจะละเมอ ...

ทุกคนเก็บของเตรียมออกเดินทาง ผมยิ้มเจื่อนเมื่อนายอ้วนกับพานจื่อแบ่งสัมภาระในเป้ของผมไปแบกให้ ผมลุกขึ้นเมื่อจัดกระเป๋าเสร็จแล้วพลันสายตาสบเข้ากับนายเมินโหยงผิงเข้าพอดี เขากำลังมองผมอยู่จากมุมด้านขวา ร่างของนักคว่ำกรวยยืนผิงต้นไม้ นัยน์ตาคู่นั้นไม่สะท้อนสิ่งใด ราวกับไม่ได้มองผมอยู่

ผมสะดุ้งเมื่อนึกถึงคู่นี้ในความฝัน แตะยังหน้าผากตัวเอง ...ท่ามกลางความฝันนั้นจุดนี้คือจุดที่เขาจูบผม...

หรือว่า... หรือว่า...

อกของผมเต้นสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่...มันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อเกินไป ผมอ้าปากหมายจะถามเขาแต่ร่างของเมินโหยงผิงกลับเดินไปด้านหน้าคณะ เขาคือผู้นำกลุ่ม พานจื่อคอยรั้งท้าย

“นายน้อยเป็นอะไรไป” มือของพานจื่อวางบนบ่าของผม ผมส่ายหน้าสะบัดความหวั่นไหวที่เป็นระลอกคลื่นในอกไป กัดฟันเก็บความสงสัยเพราะทางข้างหน้ามีความอันตรายไม่เหลือที่ให้ผมคิดมากกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

ผมจ้องนายเมินโหยงผิงที่เดินนำหน้า ....หมายมาดในใจว่าจบงานนี้เมื่อไรจะจับมาต่อย เขย่ารีดเร้นคำพูดสักที

ไอ้บ้า นึกอยากพูดอะไรก็พูด ไม่ให้ชาวบ้านชาวช่องเขาพูดตอบสนทนาอีกต่างหาก พ่อแม่สอนนายมายังไง ถึงนายจะความจำเสื่อมแต่ไม่น่าจะนิสัยแย่ลงได้ขนาดนี้
ที่สำคัญ ...บ้าที่สุด นึกอยากจะจูบใครก็จูบงั้นหรือ

คนบ้า....
ผมแตะยังหน้าผากตัวเอง รับรู้ได้ถึงความร้อนที่แผ่ลานไปทั่วร่างกายบางทีมันอาจจะเป็นความร้อนที่มาจากอากาศของป่าดงดิบก็ได้

“เมินโหยงผิง” ผมเดินนำหน้าแซงเดินตามเขาข้างหลัง แม้จะเป็นเสียงกระซิบแต่ผมเชื่อว่าคนหูดีอย่างหมอนี่ต้องได้ยิน “จบเรื่องนี้นายต้องมากับฉัน”

“หือ?” เมินโหยงผิงเลิกคิ้ว แม้เขาจะไม่ได้หันกลับมา แต่ผมได้ยินเสียงของเขาชัดเจน

“จบเรื่องแล้วคุยกับฉัน” ผมยังยืนยันคำเดิม เขานิ่งไปนานมากจนผมนึกว่าเขาไม่สนใจคำพูดของผมแล้ว ก่อนที่เสี้ยวหน้าหล่อเหลานั้นจะหันกลับมา
“ถ้ายังอยู่”

เขาตอบแค่นั้นแล้วก็เป็นฝ่ายนำไปข้างหน้า เขาเดินเร็วจนผมแทบจะตามไม่ทัน สุดท้ายก็โดนพานจื่กับนายอ้วนดันให้อยู่ตรงกลาง ราวกับถูกปกป้องอีกครั้ง
ถ้ายังอยู่หมายความว่ายังไง นายจะหายไปอีกแล้วใช่ไหม เมินโหยงผิง คอยดูนะ ฉันจะไม่ให้นายหายไปได้อีก !

คอยดูนะ จบเรื่องนี้ฉันเอาเรื่องนายแน่ ....

ตอนนั้นผมไม่ได้รับรู้เลยว่า จะไม่มีวันได้เอาเรื่องเมินโหยงผิงคนเดิมอีกต่อไป

............................................................

เขาว่ากันว่าคนเรามีอะไรควรรีบทำ เพราะกาลเวลาไหลแล้วไม่เคบย้อนกลับ พอกับโชคชะตาที่ไม่รู้จะเล่นตลกกับเราเมื่อใด แม้ว่าไม่ใช่อายุขัย แต่สวรรค์ที่แสนขี้เล่นอาจจะพรากสิ่งใดไปจากเราได้

หากมีเรื่องอันใดจงรีบทำการก่อนที่จะสายเกินไป หากมีพ่อแม่จงรีบทดแทนคุณ หากมีคนที่รักจงรีบบอกรักเขา..

คนโบราณกล่าวไว้ไม่ผิดแม้แต่น้อย ผมกุมอกข้างขวาที่กำลังปวดร้าวอยู่ในอก ข้างหน้าคือห้องพักพยาบาล ป้ายของมันเขียนเอาไว้ว่า เสี่ยวเกอ
ผมเม้มริมฝีปาก ความรู้สึกรวดร้าวครอบคลุมร่างกายจนไม่อาจขยับตัวได้ นี่คือผลลัพธ์ของศึกครั้งนี้ มือของผมกำจดหมายของอาสามเอาไว้แน่น ถึงแม้ว่าเขาจะหาใช้สายเลือดแท้แต่ผมก็รักเขา

ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว

ผมมองประตูสีขาวของห้องพยาบาลราวกับมันคือที่ประหารตัวของผม ขาของผมสั่นราวกับควบคุมไม่ได้ ยังไม่ทันที่จะเตรียมใจเผชิญกับความจริงตรงหน้าประตูสีขาวบานนั้นก็เปิดออก นางพยาบาลร่างเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มเดินออกมา เมื่อเห็นผมเธอก็หยุดก่อนที่จะคลี่ยิ้ม

“สวัสดีคะคุณอู๋มาเยี่ยมหรือคะ ตอนนี้คนไข้อาการทรงตัวแล้วคะ ถ้ามีอะไรก็กดปุ่มเรียกได้นะคะ” รอยยิ้มหวานของเธอไม่ได้เข้าไปในหัวของผมสักเล็กน้อย เธอคงเห็นสีหน้าผมไม่ดี จึงได้แตะยังหน้าผาก

ตรงจุดนี้เคยเป็นที่ที่เขาจูบผม...

“สีหน้าคุณไม่ดีเลย ถึงไม่มีไข้แต่อย่าลืมพักผ่อนนะคะ” มือบบอบบางคู่นั้นละจากหน้าผากของผมก่อนที่จะเดินออกไป ผมเดินเข้าไปในห้องรับรู้ถึงความเย็นของตามลำตัว
ผมก้มตาเดินมาถึงข้างเตียงคนไข้ กำหมัดแน่น เล็บจิกลงไปในเนื้อ วันนี้นายอ้วนไปธุระผมจึงต้องเผชิญหน้ากับเขาเพียงลำพัง ผมเงยหน้าขึ้นมองยังร่างผอมบางที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้

ร่างของเมินโหยงผิงกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ดูท่านางพยาบาลจะจัดท่าให้แล้ว ผมมองร่างกายผ่ายผอมของเขา มองยังผิวกายซีกเซียส มือที่เคยปกป้องผมมานับคัร้งไม่ถ้วนวางตกอยู่บนเตียง ผมกัดริมฝีปากตัวเองก่อนที่จะมองยังใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่ต่างอะไรจากคนตาย

ถึงแม้เมินโหยงผิงจะมีแววตาที่เย็นชา ราวกับไม่สนทุกสรรพสิ่งใดๆบนโลก แต่ก็ไม่ใช่ปลาตายซากแบบนี้ แววตาของเขาในตอนนี้ ราวกับว่าไม่มีวิญญานคนเป็นสิงอยู่เอาเลย ราวกับกับตุ้กตาหาใช่สิ่งมีชีวิต

นายไปเจออะไรมากันแน่ ...

ผมกำอกของตัวเอง รู้สึกถึงความเจ็บปวด

“นายรู้ไหม ฉันเคยคิดว่าหลังจากจบเรื่องแล้วจะต่อยนายสักหมัด” ผมกำมือแน่นเล็บทั้งสอบจิกลงไปในอุ้งมือ ได้กลิ่นเลือดลอยขึ้นมา แต่ผมกลับไม่รู้สึกเจ็บสักนิดเมื่อหัวใจของผมกำลังปวดร้าวเสียยิ่งกว่า

“นายรู้ไหม ฉันคิดว่าให้ตายยังไงก็จะถามนายให้ได้” ผมกัดริมฝีปากไม่ยินยอมให้ตนเองร่ำไห้.... อา ทั้งที่คิดแบบนั้นแต่ทำไมภาพเบื้องหน้ามันพร่ามัว
นายเมินโหยงผิง คนที่ราวกับไม่สนใจในทุกสรรพสิ่งแต่หากกลับใจดีกว่าที่คิด ตอนที่มีเรื่องไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่เขาช่วยเอาไว้ เขาจะปล่อยให้ผมตายไปก็ได้ แต่มือคู่นั้นก็ยังคอยพยุงผมอยู่เสมอ

“นายรู้ไหม วันนั้นฉันคิดกัวแทบตาย แต่คิดยังไงก็ไม่ออก ว่ามันคือความฝันหรือความจริง” สัมผัสอ่อนโยนเพียงครั้งเดียวที่เมินโหยงผิงมอบให้กับผม ทั้งอ้อมกอดที่แข็งแกร่ง ใบหน้าแสนเศร้าที่ราวกับจะร้องไห้ ความเอาแต่ใจของเขา และริมฝีปากร้อนผ่าวที่ประทับลงบนหน้าผากผม

ผมก้มหน้าลงปล่อยให้ฝนพร่าพรูจากดวงตาของผม ร่วงหล่นกระทบกับพื้นไม้

เจ็บ... เจ็บเหลือเกิน ... ทำไมถึงเจ็บได้ขนาดนี้...

ทำไมภาพเบื้องหน้าถึงได้พร่าเลือน... ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งอยู่บนเตียง สายตาของเขายังทอดไปไกล ราวกับไม่มีผมอยู่ในนั้น

ทำไมนายต้องดื้อดึงขนาดนี้ ทำไมนายต้องเสี่ยงอันตรายถึงเพียงนี้ ทำไมนายถึงต้องแบกรับทุกอย่างเอาไว้ด้วยตัวคนเดียว

ทำไม ทำไม นายถึงไม่เชื่อฉัน

“นายรู้ไหม ฉันรอคอยที่จะพูดกับนาย” ผมเดินเข้าไปจนถึงข้างเตียงของเขา มองร่างกายที่พ่ายผอม ทรุดลงกับพื้น มือเกาะขอบเตียง “นายรู้ไหม ฉันรอคอยที่จะย้ำยังคำสัญญาที่บอกนาย”

เมินโหยงผิงเคยบอกผมว่า เขานั้นไม่มีความเชื่อมต่อใดๆกับโลกถึงหายไปก็ไม่มีใครรับรู้ตัวตน แต่ผมบอกเขาว่า ผมจะรู้ และจะจับเขาเอาไว้ หรือตามหาเขา
ในตอนนั้นเขาไม่ตอบอะไรกับผม ผมคิดว่าเขาคงไม่เชื่อ

“นายรู้ไหม ฉันอยากจะต่อยหน้านายให้หงาย ด่าทอนาย แล้วก็บอกว่าฉันจะอยู่กับนายเอง”

ฝ่ามือที่แสนอ้างว้างนั้น ทั้งยังเรือนร่างที่แสนจะโดดเดี่ยวผมอยากจะจับมันเอาไว้ จับมือข้างนั้นที่ไขว่หายังสิ่งที่ไม่มีจริง

อยากจะย้ำเตือนเขาถึงการมีตัวตน แม้นายจะไม่สำคัญสำหรับใคร หรือแม้กระทั่งโลกใบนี้ก็ไม่มีสิ่งเชื่อมโยง แต่ฉัน อยากจะจับนายเอาไว้ อยากจะเป็นด้ายเพียงเส้นเดียวที่ยึกโยงใยนายเอาไว้บนผืนแผ่นดินนี้ อยากจะเป็นที่พักพิงหัวใจที่แสนจะโดดเดี่ยว

เป็นฉันไมได้หรือ....

ผมสะอื้น รู้สึกว่าตัวเองในยามนี้อ่อนแอยิ่งกว่าตอนที่คว่ำกรวยเสียอีก อู๋เสีย เอ๋ย อู๋เสีย ไยนายถึงได้เจ็บขนาดนี้ ผมมองเขา ดวงตานั้นยังไร้การตอบสนองใดๆเช่นเคย
kuramajoy
kuramajoy
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า

จำนวนข้อความ : 206
Points : 3772
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[fic]บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน [ผิงเสีย] Empty Re: [fic]บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน [ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by kuramajoy Thu 06 Nov 2014, 20:48

“ไม่เอานะ ฉันไม่ต้องการให้นายเป็นแบบนี้” ตอนนั้นผมพลาดไม่อาจจับเขาเอาไว้ได้ นี่คือผลลัพธุ์ของมัน ผมนั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียงของเมินโหยงผิง เอื้อมมือไปสอดประสานกับปลายนิ้วทั้งห้าของอีกฝ่าย ในวันนั้นมือเย็นนี้ผมเป็นคนกอบกำจนมันอุ่น
ฝนภาพฝันเมินโหยงผิงช่างอ่อนแอ กอดรัดผมด้วยความโศกเศร้า แต่ในยามนี้ ..

ผมบีบมือที่ไม่รับรู้สิ่งใดของเขา ราวกับจับต้องสิ่งของไม่มีชีวิต รู้สึกจุกในอก จุกจนพูดไม่ออก ไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรเขาก็ราวกับตุ้กตาตัวหนึ่ง
ผมก้มหน้าปล่อยให้น้ำตาร่วงหล่นกระทบกับเนื้อสีขาวซีดของเขา ผมอู๋เสียไม่ใช่คนขี้แย ทั้งที่สาบานกับตัวเองจะเข้มแข็ง
ผมมันคนใช้ไม่ได้เอาเสียเลย
“นายมันบ้า ทำไมต้องดันทุรังขนาดนั้น”
คำนี้ผมด่าเขา แน่นอนหมายถึงตัวมเองด้วย ทำไมผมไม่แข็งแกร่งมากกว่านี้ ทำไมถึงไม่อาจโดดขึ้นไปยังหินอุกาบาทกับเขาได้
อาสามก็ไม่อยู่ อาหนิงก็มาตาย พานจื่อก็ยังเข้าโรงพยาบาล ในกระเป๋ากางเกงผมยังมีจดหมายสั่งลาของอาสาม
“แม้กระทั่งนายก็จะจากฉันไปอีกคน” ผมบีบมือนั้นเอาไว้แน่น มันเปียกปอนไปด้วยน้ำตาของผม
อู๋เสียนายมันคนอ่อนแอ คนอ่อนแอที่ปกป้องอะไรไม่ได้เลย
“นายมันงี่เง่า” ผมลุกขึ้นปล่อยมือของเขา เงื้อมือหมายจะต่อยเจ้าคนตรงหน้าให้สมใจหมาย ผมสาบานว่าจะต่อยเมินโหยงผิง ต่อยเจ้าคนหน้าตายที่ทำให้ผมเจอแต่ปริศนา ต่อยเจ้าคนที่เฉยเมิน ต่อทุกสรรพสิ่ง ต่อยเจ้าคนที่มาทำอะไรบ้ากับผม ทำให้ฟัวใจของผมเต้นแรง และเจ็บปวดในเวลาเดียว
นายมันคนขี้แพ้ พูดแล้วหนี นายมันไอ้ขี้แพ้ เมินโหยงผิง
หมัดของผมหยุดอยู่ตรงหน้าของคนที่นั่งอยู่บนเตียงไม่อาจขยับต่อได้มากกว่านี้ ผมอยากต่อยเมินโหยงผิง อยากต่อยจนใจจะขาด
แต่คนที่ผมอยากต่อยคือเมินโหยงผิงคนเก่า..... เมินโหยงผิงคนหน้าตาย ยิ้มยากแต่เมื่อยิ้มทีรอยยิ้มของเขามีค่ายิ่งกว่าทองคำ เมินโหยงผิง เจ้าคนที่ชอบหายตัวไปในเวลาสำคัญแต่บางครั้งก็โผล่ขึ้นมาในยามที่ต้องการความช่วยเหลือ
เมินโหยงผิงเจ้าคนลักหลับ นายแอบจูบฉันตอนหลับ บ้าเอ้ย
มาทำให้ให้ฟัวใจนี้เต้นแรงแล้วก็หนีไปตลอดกาล ไอ้คนงี่เง่า
ผมชักมือกลับมา มันชุ่มโชกไปด้วยเลือดจากการที่เล็บของผมจิกลงในอุ้งมือ หยาดหยดสีแดงหลั่งรินพร้อมกับน้ำฝนจากดวงตาของผม ทุกอย่างราวกับหยุดนิ่ง ผมสะอื้นไห้อย่างเดียวดายก่อนที่ทรุดตัวลงเกาะปลายเตียงมือเอื้อมไปแตะยังผ้าห่มที่คลุมช่วงล่างของเมินโหยงผิง
คนคนนี้ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้ว เขาจำไม่ได้ยังพอว่า แต่สภาพนี้แย่ยิ่งกว่าคนบ้า
ผมบีบมือของเขาแม้มันจะอบอุ่นแต่กลับไม่มีสัมผัสตอบสนองอีกแล้ว นึกถึงรอยยิ้มของเขาที่มักจะมองมาที่ผมแล้วคลี่ยิ้มน้อยๆให้
นายไม่รู้หรอกว่ามันมีความหมายเท่าใด
ยิ่งนายมองฉันมากเท่าไร ฉันก็ยิ่งมองนายกลับเท่านั้น
ผมกัดริมฝีปากก่อนที่จะเงยหน้าเมื่อสัมผัสได้ถึงสัมผัสที่ปลายหางตา นิ้วกร้านของเขาแตะลงที่ใต้ดวงตาของผม ฝ่ามือใหญ่ที่เคยลูบใบหน้าของผมในตอนนั้นสัมผัสอย่างแผ่วเบา
ราวกับฝันหวนคืน
ผมกระพริบตาปัดเอาหยดน้ำที่บดบังดวงตาว่ามันคือภาพฝันหรือเปล่า อุณหภูมิอุ่นของร่างกายยังคงอยู่บนใบหน้าผม ผมเอื้อมือไปทาบทับมือใหญ่ มองยังร่างเบื้องหน้า ดวงตาของเขายังว่างเปล่ามีเพียงมือข้างนี้ที่สัมผัสกับผม
ความเวียนหัวจุ่โจมจนผมคิดว่าผมกำลังฝันอยู่หรือไม่ เพราะเรื่องของเขาทำให้ผมไม่ได้นอนมาสองสามวันเพื่อจัดการเรื่องโรงพยาบาบพร้อมสืบเรื่องของเขา
ผมกัดริมฝีปากเพื่อรั้งสติของตัวเอง เบิกตามองเขายังคงเหมือนเดิม ตุ๊กตา ผมดึงฝ่ามืออบอุ่นจอมปลอมออกไปจากใบหน้า รู้สึกสิ้นหวัง ใบหน้ากดต่ำอยู่กับเตียง
ขอโทษนะ วันนี้ผมขอร้องไห้ได้ไหม....แล้ววันพรุ่งนี้ผมจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
ขอโทษนะที่ผมช่วยอะไรไม่ได้ ...แต่ผมจะพยายามให้มากกว่านี้
เมินโหยงผิง ผมจะพยายามนำนายกลับมาให้ได้
วันนี้ผมเหนื่อยเหลือเกิน ผมขอพักพร้อมกับร่ำไห้เพื่อยิ้มในวันพรุ่งีน้
ผมหลับตาพรุ่งนี้นายอ้วนจะมา ผมไม่อาจให้เขาเห็นสภาพนี้ของผมได้ ....นายอ้วนเห็นแบบนั้นเขาเป็นคนละเอียดอ่อน แคร์ต่อความรู้สึกของคนมากกว่าที่ผมคิด นั่นทำให้ผมกังวล
ผมต้องเข้มแข็งในยามเขามา เพื่อที่เขาจะได้สบายใจ ผมต้องยิ้ม เพื่อที่จะจับมือกับเมินโหยงผิงให้ลุกเดิน
“...” ท่ามกลางความง่วงที่จู่โจมผมได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง แต่ผมคงจะคิดไปเอง เมินโหยงผิงไม่มีสติแล้วใครพูดกัน บางทีคงจะเป็นผมที่หูแว่วเอง ผมซุกใบหน้าลงกับผ้าห่มของเขา นั่งคุกเข่าพิงไปกับเตียงของเขา รอยเลือดและน้ำตายังคงอยู่...
...........................................................................
“อู่เสีย อู๋เสีย” แรงเขย่าพร้อมกับเสียงคุ้นเคยพาให้ผมลืมตาขึ้นอย่างยกาเย็น แขนขวารู้สึกเจ็บแปร๊บ สิ่งแรกที่เข้านัยน์ตาคือใบหน้าอ้วนฉุของนายอ้วน เพียงเห็นเท่านั้นผมก็ยันใบหน้านั้นออกเด้งตัวราวกับเห็นผี
ชิบหาย นายอ้วนมาก่อนผมตื่นจนได้ ผมหันไปมองมือตัวเองแล้วก็ต้องตกใจมันถูกพันด้วยผ้าพันแผล แตะลงยังดวงตาตัวเองถึงแม้ว่ามันจะยังบวมอยู่แต่ไม่หลงเหลือน้ำตา มือแตะลงยังความนุ่มนิ่มพาให้ผมรู้ตัวว่าตัวเองนอนอยู่บนโซฟา
“นายลากฉันมาหรือ” ผมจำได้ว่าตัวเองนอนพิงเตียงแต่ทำไมรู้สึกตัวอีกทีเป็นโซฟา พอผถามออกไปก็พบเข้ากับสีหน้างุงงของนายอ้วนถึงได้รู้ว่าไม่ใช่เขา
“ลากอะไร”
ลำคอของผมตีบตันผมรีบลุกขึ้นเดินไปหาทางนายเมินโหยงผิงที่ยังคงนั่งอยู่ พยาบาลสาวกำลังตรวจชีพจรของเขาอยู่ ผมดันเธอออกไปยืนหยุดตรงหน้าเขา
“ฉันรู้ว่านายตื่นแล้ว” มือของผมเอื้อมมือไปเขย่าตัวของเขา ได้ยินเสียงกรีดร้องของพยาบาลสาว
“เดี๋ยวสหายอู๋” นายอ้วนวิ่งเข้ามาลากตัวผมออกไป เขากลัวพยาบาลจะเรียกตำรวจมาจับผม ไม่ก็คิดว่าผมเป็นบ้าตามเมินโหยงผิงไปอีกคน เขาแรงเยอะกว่าผม สักพักจึงลากผมออกไปได้อย่างง่ายดาย ผมสะบัดตัวแต่เมื่อมองใยหน้าว่างเปล่าของเมินโหยงผิงแล้วก็หยุด
“คุณจะทำอะไรคนไข้คะ” พอได้ยินเสียงของพยาบาลผมก็กัดริมฝีปาก ผมมันโง่ ... เขายังคงเป็นเหมือนเดิม ผมคงเดินมาที่โซฟาพร้อมกับทำแผลเอง ไม่ใช่เขาสักหน่อย
วูบหนึ่งในใจนี้กำลังยินดีที่ได้เจอเขาคนเดิม ในใจที่กำลังร่ำร้องมันต้องการพบเขา อยากจะได้ยินเสียงของเขา อยากจะเห็นรอยยิ้มของเขา
ผมรู้สึกเหนื่อยจึงปล่อยไม่ขัดขืนนายอ้วน นายอ้วนเห็นผมสงบลงจึงปล่อยมือก่อนที่จะเดินไปหาพยาบาลสาว แก้ตัวให้กับเขา
“อย่าถือสาเลยนะน้องสาว หมอนี่มันแค่หงุดหงิดเพราะพักไม่พอนะ” ผมมองภาพตรงหน้ามองเมินโหยงผิงที่ยังคงไร้ปฎิกิริยาใดๆด้วยหัวใจที่เจ็บปวด
ไม่นะเมื่อวานบอกว่าวันนี้ตัวเองจะเข้มแข็ง ผมกัดริมฝีปากตัวเองหักห้ามน้ำตา ก่อนที่จะรู้สึกมืดราวกับมีใครปิดไฟ เมื่อเอื้อมมือไปก็พบว่ามันคือเสื้อโค้ดตัวหนึ่งที่ถูกโยนมาคลุมหัวของผม บดบังทั้งใบหน้า ...
ได้หลิ่นเหงื่อติดมากับเสื้อโค้ดตัวนี้ ผมจำได้ว่ามันคือของนายอ้วน....
“ปกตินายก็ทำหน้าตางี่เง่าอยู่แล้ว มาตอนนี้กลับดูแทบไม่ได้ ไปล้างตาสักหน่อยไป้ขี้ตาติดเต็มไปหมดฉันเห็นแล้วทุเรส นายจะทำให้สาวน้อยคนนี้เห็นคนอัปลักษณ์”
เสียงของนายอ้วนพาให้ผมขยำเสื้อโค้ดตัวนั้นเอาไว้แน่น มันเหม็นเหม็นจนผมอยากโยนทิ้ง แต่ผมกลับรู้สึกอุ่นใจ ผมจับมันเอาไว้ปล่อยให้มันบดบังใบหน้าตัวเองเหยียดยิ้มใต้ร่มเงาของเสื้อโค้ด
“นายสิอัปลักษณ์” ผมหยอกเขา ก่อนที่จะหันหลังเดินออกไปยังนอกห้อง “ฉันขอตัวไปทำธุระที่ห้องน้ำหน่อยนะ”
“เออ นายจะถ่ายหนัก ขี้นานแค่ไหนก็เรื่องของนาย แต่อย่าลืมซื้อซาลาเปามาให้เสี่ยอ้วนด้วยละ”
น้ำเสียงของเขาเหมือนล้อผมเล่นแต่ผมรู้ว่ามันความเป็นห่วงที่ผมมอบให้ ผมเดินไปยังห้องน้ำของชั้นสี่ แม้ในห้องนั้นจะมีห้องน้ำในตัวแต่ผมก็อยากจะมาห้องน้ำอื่นมากกว่า พอเดินเข้าไปผมก็ปิดประตู มองยังกระจกบานใหญ่ตรงหน้า
อู๋เสียนะอู๋เสีย หน้าตาของนายก็ไม่ดีอยู่แล้วมาตอนนี้ตาก็บวมอีก ผมหัวเราะ ความรู้สึกเจ็บปวดราวกับจะร้องไห้เมื่อกี้พลันมลายหายไปเมื่อได้จับยังเสื้อโค้ดเหม็นโค้ด
“นอกจากเหม็นเหงื่อแล้วยังมีกลิ่นรา นายนี่ซักเสื้อภาษาอัไร ได้ตากแดดบ้างหรือเปล่า” ผมด่าเจ้าของเสื้อโค้ด แต่กลับยึดมันเอาไว้แน่น รู้สึกยืนดีจากใจจริง
ผมไม่ได้ตัวคนเดียว ....
เขายังยืนอยู่ตรงนี้ ยอมที่จะผจญปัฯหากับผม ผมยิ้มก่อนที่จะยกเสื้อโค้ดเหม็นเงหื่อของนายอ้วนขึ้นแนบอก
“ขอบคุณนะ” ถ้อยคำแผ่วเบาที่ผมไม่มีวันเอ่ยกับเจ้าของเสื้อ....
ขอบคุณที่ทำให้ผมเข้มแข็งขึ้น....
ผมควักน้ำขึ้นมาชะล้างหน้าตาที่ดูไม่ได้ของตัวเองก่อนที่จะยิ้มให้กับตัวเอง
เข้มแข็งขึ้นอู๋เสีย เข้มแข็งขึ้น
ก่อนขากลับผมแวะร้านสะดวกซื้อใจ้โรงพยาบาลซื้อวาลาเปาหมูอันใหญ่ แต่แน่นนอนว่าผมไม่ให้เขา ผมยัดมันเข้าปากท่ามกลางเสียงด่าทอของนายอ้วน เผลอเปปเดียว มือใหญ่นั้นก็เข้ามายื้อแย่งซาลาเปาของผม ผมด่าเขา เขาก็แย่งซาลาเปาที่ผมกัดไว้ครึ่งหนึ่งไปกินหน้าตาเฉย บ้าชะมัด
“นายมันจอมตะกละคอยดูเถอะถ้านายอ้วนจนมุดเข้ารูไมไ่ด้ฉันจะหัวเราะให้” ผมโยนถุงซาลาเปาใส่หน้าเขา ก่อนที่จะคว้าเอาเปปซี่มาดื่มแก้กระหาย
“หึหึ อย่ามาดูถูกเสี่ยอ้วนคนนี้นะ เสี่ยอ้วนคนนี้นะระดับไนแล้วไม่ว่ากรวยไหนๆก็คว่ำได้”
เห้นเขายืดอกแล้วผมก็อยากจะหาของปาใส่อีกรอบ โชคยังดีที่ผมเห็นพยาบาลสาวพลักเมินโหยงผิงลงกับเตียงแล้วถอดเสื้อผ้าออก ใบหน้าของผมพลันแดงขึ้นก่อนที่จะคิดว่าแน่แล้ว ผมหันไปสะกิดนายอ้วน นายอ้วนหันไปมองแล้วก็หยักไหล่
“ถ้าเป็นฉันนะต้องมาถูกสาวน้อยมาเช็ดตัวให้ เอากระบอกฉี่มาใส่ให้ ฉันคงอยากจะมุดรูอีกครั้ง”
ได้ยินคำพูดของเขาผมก็รีบวิ่งไปที่เตียงหยุดพยาบาลสาวเอาไว้แต่นายอ้วนหลับหัวเราะ
“ปล่อยไปเถอะอู่เสีย อย่างเสี่ยวเกอก็คงทำหน้านิ่งแล้วปล่อยมันผ่านไป ไม่ได้สะดุ้งสะเทือนหรอก-“
“เกิดเขาจำได้หนีเราไปมุดรูอีกทำยังไงเล่า” ผมด่านายอ้วนพร้อมบอกกับพยาบาลสาวว่าเราจะอาบน้ำให้เขาเอง เพราะเมินโหยงผิงไม่ยอมกินข้าว อาหารที่ได้รับจึงเป็นอาหารเหลวจากสายยางทำให้เขาเข้าห้องน้ำน้อยครั้ง โชคดีที่ผมเคยปรนนิบัติคุณปู่ยามชรามาบ้าง
เราแบ่งหน้าที่กันนายอ้วนจะพาเขาเข้าห้องน้ำส่วนผมจะอาบน้ำให้เขา หนอยนายอ้วนเล่นรับหน้าที่สบายไป เข้าห้องน้ำแค่ไม่นาทีก็เสร็จแต่ผมที่ต้องเช็ดตัวนี่สิ ดูเหมือนนายอ้วนจะรู้อยู่แล้วจึงได้ป้อล้อพยาบาลสาว นายอ้วนรู้งานดีมาก แม้จะหลอกสาวอยู่แต่ก็ให้เธอออกนอกห้องเพื่อศักดิ์ศรี (ที่ไม่รู้ว่ามีไหม) ของเสี่ยวเกอ
ผมปีนขึ้นเตียงจับเขาให้นอนราบลงกับเตียง ยันเข่าระหว่างร่างกายของเขา คร่อมเขาเอาไว้ก่อนที่จะคว้าเอากะละมังกับผ้าขนหนูมาวางข้างหัวเข่า ผมเอื้อมมือไปปลดกระดุมทีละเม็ดของเขา ร่างกายนี้พ่ายผอมลงไปมากจนทำให้ผมถอนหายใจ ผมลากไล้ไปยังแผงอกของเขารอยสักกิเลนที่สวยงามนั้นไม่อยู่
ผมมองตาของเขาที่ไร้ซึ่งแววตาใดๆ ก่อนที่จะยิ้ม วันนี้ผมเข็งแกร่งขึ้นแล้ว

“นายนี่นะ ไหนเคยบอกไม่เป็นไรไง แล้วมาเป็นแบบนี้มันแย่กว่าตายอีกนะ” ผมดึงเสื้อของเขาออกใช้ผ้าขนหนูลูบไปยังพวงแก้ม ใบหน้าหล่อเหลาที่พาให้ผมใจเต้นแรง ลูบไล้ยังซอกคอของเขา แตะลงยังไหปลาร้าของเขา
ร่างกายนี้เคยก่ายกอดผม มอบความอบอุ่น ร่างกายนี้เคยยืนอยู่เบื้องหน้าผมคอยปกป้องอันตราย
ผมจุ่มผ้าขนหนูลงกับน้ำ บิดมันให้หมาดก่อนที่จะลากไล้ไปยังแผ่นอกของเขา เมื่อก่อนเคยตึงแน่นจนผมอิจฉา
“นายผอมยิ่งกว่าผีดิบ” ผมแซวเขาก่อนที่จะยกแขนของเขา ลากไล้ยังไหล่และมืออบอุ่นที่เคยกอบกุมผม มือคู่นี้ที่ช่วยผมให้พ้นจากอัตรายนับครั้งไม่ถ้วน
“คอยดูนะถ้านายตื่นเมื่อไรฉันจะต่อยให้น่วม” ผมหัวเราะเมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ของมัน อย่างเมินโหยงผิงเนี่ยนะผมจะทำอะไรได้ รวมหัวกับนายอ้วน และผางจื่อยังแตะตัวเขาไม่ได้สักนิด
ผมจุ่มผ้าลงกับน้ำอีกครั้งก่อนที่จะชะงักมือเมื่อรับรู้ว่าเหลือช่วงล่าง.....ผมสะบัดศรศะไล่ความคิดไม่ดีวูบหนึ่งก่อนที่จะแตะลงกับขอบกางเกงจังหวะที่จะดึงมันลงมามือใหญ่ของคนที่นอนนิ่งมาตลอดกลับจับมือของผมเอาไว้
ผมแทบกรีดร้อง ยังไม่ทันจะได้ขัดขืนเขาก็ตวัดร่างของผมลงกับเตียงนอน แผ่นหลังของผมกระแทกกับฟูกนิ่มของโรงพยาบาล
เดี๋ยวนี่มันอะไร !
“เสี่ยวเกอ” ผมร้องเรียกเขา แต่ทว่าคนที่คร่อมทาบทับผมอยู่กลับมีแววตาเลื่อนลอย
เขายังไม่ตื่น ...ไม่สิ ...ไม่ใช่
ผมยื่นมือแตะยังใบหน้าของชายผู้ทาบทับผม มองเรือนร่างกึ่งเปลือยของเขา
“ไม่เป็นไร” ผมปลอบเขา รับรู้ถึงแรงสั่นที่ข้อมือ เขากำลังหวาดกลัว อะไรละที่ทำให้เมินโหยงผิงกลัวได้
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว” ผมเอ่ยซ้ำ ผมไม่รู้ว่าเขากลัวอะไร เมินโหยงผิงที่ทาบทับผมมีใบหน้าที่หวาดหวั่น เขามองซ้าย มองขวาแล้วก็ตัวสั่นราวกับคนบ้าสภาพเหมือนตอนยังอยู่ในสุสาน ตอนนั้นนายอ้วนฉีดยาระงับประสาทให้กับเขาพวกเราถึงเอาตัวเขาออกมาได้
ผมลองขัดขืนแต่เรี่ยวแรงของเมินโหยงผิงได้พิสูจน์แล้วว่าแม้ว่าเขาจะผอม หรือไมไ่ด้รับอาหารแค่ไหนเขาก็ยังคงมีแรงมหาศาล
ให้ตายเถอะถ้าเขาเกิดบ้าแล้วหนีไปผมคงไม่อาจสู้เขา
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะ” ผมเอ่ยซ้ำราวกับจะปลอบโยนหัวใจที่อ่อนแอของเขา มือทั้งสองข้างของผมถูกจับเอาไว้ ผมมองเขาไม่ยอมหลบนัยน์ตา
“ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรต้องกลัว ฉันจะอยู่ด้วยนะ” แรงสั่นจากข้อมือทั้งสองของผมหายไป ผมรีบใช้จังหวะนั้นพลิกมือให้เป็นอิสระ ก่อนที่จะโอบรอบคอของเขา กอดเอาไว้
“ไม่เป็นไรนะ “ผมลูบไล้ศีรษะของเขา ลากไล้ไปยังแผ่นหลัง “ไม่เป้นไรนะ”
ไม่รู้ว่าผมกำลังพูดให้ใครกันแน่ เขาหรือผม ....
“เสี่ยวเกอ “ผมเรียกชื่อของเขา มองนัยน์ตาที่ไม้สะท้อนภาพใด “อู่เสียจะอยู่ข้างเสี่ยวเกอเอง”
ไม่เป้นไรอย่ากลัวไปเลย ...
ร่างที่คร่อมผมอยู่สั่นไหวมือสองข้างของเขาแตะที่ลำคอของผมนั่นพาให้ผมสะดุ้ง ด้วยเรี่ยวแรงของเขาย่อมฆ่าผมได้อย่างพลิกฝ่ามือ ผมหันไปมองยังบานประตู ไม่ได้ยินเสียงของนายอ้วน ท่าทางเขาจะจีบสาวไปไกลกว่าที่ผมคิด ให้ตายเถอะ
“....”
ผมเงยหน้าขึ้นมองเขาเมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง มันเบามากจนกระทั่งผมที่อยู่ชิดใกล้กลับไม่ได้ยิน เขาพูดว่าอะไระ
“เสี่ยวเกอ” ผมเรียกเขา เขาละมือจากคอของผมราวกับตัดสินใจได้แล้วว่าผมไม่ใช่ศัตรู
นัยน์ตาสีดำขลับของเขาในที่สุดก็สะท้อนภาพ ผมมองเห็นตัวเองในนัยน์ตาของเขา ก่อนที่ร่างสูงจะร่วกหล่น ใบหน้าหล่อเหลาของเมินโหยงผิงแนบกับหน้าอกของผม สองมือของเขารวดเอวของผมเอาไว้ กลายเป็นว่าผมกลายเป็นหมอนพิงให้เขาหนุนนอนเสียแล้ว
แย่ละ !
ผมพยายามขยับตัวแต่กลับไม่ได้ผล มือนั้นเกาะผมเอาไว้แน่นมาก ผมลองมองยังใบหน้าที่ปรกไปด้วยเส้นผมของเมินโหยงผิง ใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมของเขาออกก็ต้องแทบสถบด่า
เขาหลับไปแล้ว เดี๋ยวสิ.... นายจะมาหลับแบบนี้ไม่ได้นะ ...อย่างน้อยปล่อยผมก่อน
ผมพยายามแกะมือของเขาที่กอดรัดเอวของผมแต่กลับรู้ว่ามันคือปลาหมึก เมินโหยงผิงนี่นายแอบไปเรียนวิชามือตุ๊กแกมาหรือไง ปั๊ดโธ่เว้ย
ผมหันซ้ายหัวขวา อีกเดี๋ยวนายอ้วนจะกลับมาแล้ว ยังไม่ทันจะได้อุทรณ์ต่อศาลนายอ้วนก็เปิดประตูเข้ามาในมือของเขาเต็มไปด้วยขนมและไส้กรอก เพียงแค่เห็นภาพตรงหน้าขนมในมือของเขาก็ร่วงกราว
ผมทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกใส่เขา แต่ความตกตะลึงของนายอ้วนเป็นเพียงชั่วเดียวก่อนที่เขาจะชี้มาที่ผมพร้อมกับหัวเราะลั่น โชคยังดีที่เขายังมีน้ำใจพอที่จะปิดประตูให้
“นายอ้วน” ผมคำรามใส่เขา มองหมูตัวหนึ่งที่กลิ้งไปกับพื้น พอหายหัวเราะได้นายอ้วนก็เข้ามาแซวผม
“โอ้โหเฮะ แค่ฉันไปหาอะไรกินเปปเดียวพวกนายก้าวหน้าไปถึงขั้น XYZ “
“มาช่วยฉันก่อน” ผมไม่สนใจหรอกว่าไอ้ขั้นเอ็กวายแซดของนายอ้วนจะเป้นอะไร “นายอ้วน”
“ก็ได้ แหมคุรหนูใจร้อนไปนะ รอให้เสี่ยอ้วนเตรียมตัวหน่อยสิจ๊ะ” นายอ้วนจีบปากจีบคอใส่ผมมันทำให้ผมอยากขย้อนของเก่า ถึงเขาจะบ่นนั่นนี่แต่พอเห็นผมแผดเสียงใส่เขาก็เดินมามองเมินโหยงผิงที่นอนทั้งที่เกาะผม
“อ้าว” นายอ้วนจัดการแงะนิ้วของเมินโหยงผิงแล้วก็ขมวดคิ้วหันมาทำสีหน้าเสียใจให้กับผม ...
ไม่นะ....หรือว่า...
“อู่เสียน้อยเอ๋ย เสี่ยอ้วนเสียใจอย่างสุดซึ้ง มือแขกในวันนี้ของน้องนั้นยิ่งกว่าฉาบกาวตราช้างเสียอีก” นายอ้วนหยักไหล่ให้กับผมราวกับจะบอกว่าจนปัญหา พาให้ผมกัดฟัน
“แล้ววันนี้ฉันจะทำยังไง” ผมนอนหงายลง จะไปไหนก็ไม่ได้มีนายเมินโหยงผิวเกาะตัวเอาไว้ แถมเอาออกไม่ได้อีก
“ทำไมเขาถึงเกาะนายละ เขารู้สึกแล้วหรือ” คำถามของนายอ้วนเป็นคำถามที่ผมอยากรู้ ผมส่ายหน้าให้กับเขาก่อนที่จะเล่าให้ฟัง นายอ้วนครุ่นคิดผมรอคอย เขามักมีความคิดดีเสมอ ถึงจะเอามาใช้ไม่ค่อยได้ตาม
“เขาเหมือนลูกเจี้ยบเพิ่งเกิดเลย เกิดขึ้นมาก็ตื่นกลัว พอเห็นคนที่พึ่งพิงได้ เห็นแม่ของตัวเองก็จะเอาแต่เกาะไม่ปล่อย”
ว่าอะไรนะ ผมแทบพ่นน้ำลายใส่นายอ้วน .....ก่อนที่จะเหลือบมองชายร่างสูงที่เกาะผมเอาไว้ ถ้าว่ากันตามจริงอายุอานามของนายเมินโหยงผิงพอกับอาของผม งั้นก็น่าจะสี่สิบกว่าแล้ว ...
ลุกเจี้ยบ...ฟังแล้วผมจิตนาการไม่ออกว่าคนอย่างหมอนี่จะหลายเป็นลูกเจี้ยบแรกเกิด
“ยังไงเขาก็ช่วยชีวิตเรามามาก นายก็ยอมๆเสียตัวให้เขาหน่อยละกัน”
คำพูดของนายอ้วนทำให้ผมอยากจะหาอะไรปาเขา สลับมองยังนายเมินโหยงผิงที่นอนทับผมไม่ปล่อย
“ไม่ดีหรือน้องอู๋เสีย เสียตัวแลกเสียชีวิตออกจะคุ้มสุดคุ้ม “
คุ้มกับผีนะสิ แถมเจ้านี่เกาะผมได้ปุ๊บก็หลับปั๊บคงจะมีอะไรเอ็กซ์ๆอย่างที่นายคิดไม่ได้หรอกนะ
“เอาน่า เป็นหมอนข้างแรกๆก็ทำหน้าตาน่ากลัวแบบนี้ทุกราย พอเป็นบ่อยๆเดี๋ยวก็เคลิ้มเอง”
“เคลิ้มกับบิดาแกสิ” ผมหยิบหมอนปาใส่เขาได้ยินเสียงหัวเราะน่าเกลียดของนายอ้วนก่อนที่จะเดินออกไป
“เอานะ เดี๋ยวฉันจะไปหาข้าวเย็นให้นาย ถึงตอนนี้นายก็ถือโอกาสนอนไปกับเสี่ยวเกอเลยแล้วกัน”
นายอ้วนว่องไวมากเปปเดียวเขาก็หายไปจากสายตาเสียแล้ว ผมถอนหายใจมองยังคนที่กอดผมเอาไว้ ลูบไรผมสีนิลของเขา มันนิ่มราวกับขนแมว ลากไล้ยังแผ่นหลังที่ไร้รอยสัก
“ช่วยไม่ได้” ผมขมวดคิ้วก่อนที่จะปล่อยเลยตามเลย เขาอยากจะกอดผมเป็นหมอนข้างนอนก็ช่างแล้ว....ผมล้มตัวนอนไปกับเขา ตื่นมาอีกครั้งตอนที่พยาบาลเข้ามาแล้ว พอลุกขึ้นก็ไร้น้ำหนักกดทับ
ผมขยี้ตาตัวเองพอดีกับนายอ้วนที่ยื่นผ้าขนหนูชุบน้ำให้ผม พอได้น้ำลูบล้างขี้ตาหน่อยผมก็ลืมตาตื่นขึ้นเต็มที่ ผมลุกขึ้นจากเตียงคนไข้รู้สึกอาบกับสายตาของนางพยาบาลที่หัวเราะ ท่าทางเธอคงจะเข้ามาได้ทันเห็นเหตุการร์พอดี
ผมเงยหน้าขึ้นเห็นนายเมินโหยงผิงกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ มีหมอกำลังใช้ไฟฉายส่องดวงตาของเขา แขนทั้งสองของเขาถูกบุรุษพยาบาลหิ้วปีกเอาไว้
ยังไม่ตื่นหรือ ... ผมรู้สึกท้อใจ ก่อนที่จะลงมาเดินรู้สึกหัวสมองตัวเองเบลอเพราะนอนมากไป ตอนนี้ผมคงจะเปลี่ยนจาก ตาบวมเพราะร้องไห้เป็นตาบวมเพราะนอนมากไป
“หิวชะมัด” ผมครางอยู่สักครู่ เหมือนกับรู้นายอ้วนยื่นโดนัทที่เขากินไปแล้วครึ่งหนึ่งให้กับผม ผมแยกเขี้ยวให้กับเขาแต่ก็รับมากิน ได้ยินเขาแซว
“โอ้โหแบบนี้เราก็เป็นจูบทางอ้อมนะสิ”
“ทางอ้อมกับผีนะสิ” ผมยันใบหน้าอ้วนนั้น พลางมองเมินโหยงผิงที่นั่งนิ่งให้หมอตรวจ
“หมอบอกว่าสมองได้รับการกระทบกระเทือน จิตใจก็ด้วย ฉันว่าถ้าเรื่องมันเลวร้ายจนถึงคนแข็งแกร่งอย่างน้องเสี่ยวเกอเป็นแบบนี้ การลืมอาจจะดีกว่าก็ได้นะ” นายอ้วนหยิบบุหรี่ขึ้นมาคาบเอาไว้ ผมรู้เขาอยากสูบแต่สถานที่พยาบาบห้ามไม่ให้สูบ
ผมมองไปทางเมินโหยงผิงที่ไร้ปฏิกิริยาตอบโต้แล้วพลันรู้สึกว่า ความจริงที่เขาแลกทั้งชีวิตตามหานั้นคืออะไร มือแข็งแกร่งคู่นั้นยื่นไปไขว่หายังความจริงที่จับต้องไม่ได้
“ไม่หรอก เขาไม่ใช่คนที่จะหนี” เมินโหยงผิง ชายผุ้ที่พร้อมจะวิ่งไปข้างหน้าทุกสถานการณ์ เขาไม่ใช่คนที่จะยอมหลับหูหลับตา ต่อให้มีโอกาสเพียงแค่หนึ่งในร้อย เขาก็พร้อมที่จะทำมัน
ปริศนาที่หลับใหลอยู่ในตัวเขาคืออะไร ผมกำหมัดแน่นนึกถึงวีดีโอที่ผมคลานอยู่ในสถานพักฟื้น
สิ่งนั้นคืออะไร “มัน” คืออะไรกันแน่ แล้วนายต้องเผชิญกับอะไรต่อ
“วันนี้ฉันมีธุระ” นายอ้วนตบบ่าของผม ดูเหมือนเขามีภาระที่ต้องจัดการที่ร้าน “นายละเอาไง”
“ถ้านายไม่อยู่ฉันก็ต้องอยู่” ผมเบ้กน้าใส่นายอ้วน มีเพียงแค่เราสองคนที่ดูแลเสี่ยวเกอ ขืนปล่อยไว้คงได้หายไปแน่
“งั้นไปโทรบอกที่บ้านก่อนเถอะเดี๋ยวอาๆนายจะเป็นห่วง” นายอ้วนเบนใบหน้าออกจากผม ผมรู้ว่าเมื่อกี้เขาเกือบหลุดคำว่าอาสามออกมา
เป็นนายอ้วนที่ขี้เป็นห่วงจังนะ
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจะโทรบอกเตี่ย อารอง แล้วก็ฝากพานจื่อบอกอาสาม” ผมแตะไหล่ของเขาราวกับจะบอกว่าไม่เป้นไร เรื่องของอาสามผมก็ยังคงเสียใจอยู่ เขาคิดตีจากผมไปอย่างไม่หวนกลับ แต่ผมเชื่อว่าเราต้องได้พานพบกันอีกครั้ง ถึงแม้เราัท้งคู่จะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันแต่ความผูกพันที่พัวพันเราทั้งคู่จะไม่มีวันหาย
ผมจะรอนะครับ อาสาม... ถึงตอนนั้นผมจะขอต่อยหน้าอาสักทีนะครับ...
“เฮ้” นายอ้วนเรียกผมที่กำลังจะออกจากห้องก่อนที่จะยกนิ้วโป้ง “เลิกเป็นคุณหนูแล้วนี่ ต่อไปนี้นายเป็นนายน้อย”
“บ้านะ” ผมหัวเราะให้กับเขา การที่เขาเลิกเรียกผมว่าคุณหนูนั่นหมายความว่าเขากำลังชมว่าผมเข็งแกร่งขึ้น “ฉันเป็นนายน้อยอยู่แล้วนายก็รู้”
“ฮะๆ จริงสินะ” ได้ยินเสียงหัวเราะของเขามันพาให้ผมคลี่ยิ้ม ...นายอ้วนทำให้ผมยิ้มได้เสมอ
.............................................................................
ดวงอาทิตย์ยามเย็นนั้นเป็นสีแดง แดงราวกับโลหิต พอคิดถึงสีของเลือดผมกลับถึงเขา ชายผู้ที่ปรากฎอยู่ท่ามกลางอันตราย ตั้งแต่ที่รู้จักกันมาเราไม่เคยพบกันในยามปกติ มาตอนนี้ภาพเบื้องหน้าจึงพาให้ผมเกาแก้ม
เมินโหยงผิงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงของโรงพยาบาล ผมถือถุงอาหารเดินเข้าไปในห้อง พยาบาลสาวยิ้มให้กับผมก่อนที่จะเดินออกจากห้อง นายอ้วนจากไปแล้ว ให้ตายเถอะแอบหนีไปก่อนได้ยังไงโชคดีที่นายนี่ยังไม่ได้หายไปไหน
ผมเดินเอาของเข้าตู้เย็นก่อนที่จะเดินมาหยุดตรงหน้าชายหนุ่มผู้ไม่สนต่อสรรพสิ่งของโลกนี้ นัยน์ตาของเขายังว่างเปล่าผมคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของเขา แตะนิ้วลงบนพวงแก้มของเขา
เขาผอมลงไปมาก ผอมจนน่าใจหายมันทำให้ผมกลัว ...
“อาสามก็ไม่อยู่แล้ว” ผมนึดถึงจดหมายสุดท้ายที่อาสามส่งมาให้ผมก่อนหายไป “นายอย่าหายไปไหนอีกเลยนะ อยู่ข้างฉันได้ไหม”
คำถามนี้ผมไม่เคยได้รับคำตอบ...
“ถ้าผมเข้มแข็งกว่านี้นายจะยอมอยู่เคียงข้างไหม”
ผมช่างเป็นตัวถ่วง เป็นภาระ ผมรู้ดีแก่ใจ ตัวผมนั้นไม่มีค่าอันใด มีเพียงแต่จะไปเกะกะเขา ผมเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่ได้ฝึกฝนฝีมือมาแต่เด็ก จะให้ไปฝึกตอนนั้นเกรงว่าแค่ยิงปืนยังไม่แม่นด้วยซ้ำ
ถึงจะเป้นแบบนั้นผมก็ยังโลภ ....หัวใจของผมเต้นรัว ท่ามกลางแสงของท้องฟ้ายามสายันที่แดงฉานผมเหยียดยยิ้ม ลุกขึ้นย่อตัว มองใบหน้าหล่อเหลาที่ราวกับประติมากรรม นิ้วของผมไล้ไปยังพวงแก้มของเขาอย่างอ่อนโยน หลับตาคิดถึงยังมือที่เขาเคยยื่นมาให้ สัมผัสอ่อนโยนที่เคยแตะต้องแก้มของผม ผมคลี่ยิ้ม ในเมื่อเขาแอบลักหลับผม ผมก็จะทำกลับมั่ง
ใบหน้าของผมเลื่อนไปใกล้ยังเมินโหยงผิง พวกเราอยู่ชิดใกล้จนได้ยินเสียงของลมหายใจซึ่งกันและกัน หัวใจของผมสั่นไหว มันเต้นราวกับจังหวะร็อก อา ... อา... เหงื่อของผมผุดพรายขึ้น รู้สึกเย็นที่หลัง ผมหลับตาเวยผมที่ปรกหน้าผากของเขา ก่อนที่ริมฝีปากจะประทับลงที่หน้าผากมลของเมินโหยงผิง
ริมฝีปากของผมแนบกับหน้าผากของเขา มันอาจเป็นเวลาแค่เพียงไม่ถึงนาทีแต่ในหัวใจของผมกลับรู้สึกเหมือนผ่านเป็นชั่วโมง อา...ผมรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าว ร้อนเสียจนจะละลายไปเสียตรงนี้ ผมดึงตัวเองกลับมาสู่โลกแห่งความจริง รู้สึกเหมือนไปวิ่งมาราธอนสักสิบรอบ มือแตะลงกับอกที่เต้นจนสะเทือนถึงเสื้อผ้า
ผมมองยังเมินโหยงผิงที่ยังคงนิ่งผ่อนลมหายใจให้ตัวเองก่อนที่จะเดินไปตรงหน้าเขาอีกที นึกหัวเราะตัวเอง
“ไปอาบน้ำกันเถอะ” ผมดึงมือของเขาก่อนที่จะชะงัก เดี๋ยวนะถ้าเกิดว่าเขาไม่ยอมลุกผมมิต้องกลายเป็นฝ่ายลากเขางั้นหรือ ผมคนเดียวจะลากไหวไหมนะ ต้องเรียกบุรุษพยาบาลหรือไม่
รู้งี้น่าจะจับเขาอาบน้ำก่อนนายอ้วนกลับ
“เอ๋?” ในจังหวะที่ผมคิดฟุ้งซ่านร่างที่นั่งอยู่ก้ลุกขึ้น มันพาให้ผมเบิกตากว้าง เอ๋.. อย่าบอกนะรู้สึกตัวแล้ว
“เสี่ยวเกอ” ผมเรียกเขาแต่เขากลับนิ่งราวกับไม่รับรู้สิ่งใด มันทำให้ผมโล่งอก จูงมือเขาเข้าห้องน้ำ แบบนี้ก็สบายขึ้นหน่อย เมื่อมาถึงห้องน้ำแล้วผมก็จัดการถอดเสื้อผ้าเขา รู้สึกว่าใบหูของตัวเองร้อนเมื่อมองยังช่วงล่างของเขา อื้อหือ ....เมินโหยวผิง นายนี่มันไอ้ซ่อนคม ผมมองยังน้องไข่ของเขาที่....
kuramajoy
kuramajoy
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า

จำนวนข้อความ : 206
Points : 3772
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[fic]บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน [ผิงเสีย] Empty Re: [fic]บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน [ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by kuramajoy Thu 06 Nov 2014, 20:49

รู้สึกใบหน้าตัวเองร้อนผ่าวไปหมดผมรีบชักสายตากลับ ไม่มองไม่มอง แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีดีแค่ไหน หนอยมันน่าโมโหแทนผู้ชายทั่วโลก นอกจากหน้าตารูปร่างฝีมือ นายยังมีดีตรงนี้อีก
โชคดีของผู้ชายทั่วโลกที่ นายเมินโหยวผิงจะไม่มีวันไปเดินล่อสาวในที่คนเดิน แต่เขามักโผล่ตามสุสาน หรือที่อันตรายจนไม่มีสาวไหนเดินผ่าน หรือหากนายนี่ไปเดินในที่โคจรของคนปกติจริงด้วยนิสัย “เมินขั้นสุดยอด” ต่อให้สาวน้อยอยากจีบเขาเพียงไรก็ได้แค่ฝัน
เป้ยบุญของผู้ชายทั่วโลกที่ยังอยากมีแฟนเสียจริง
“มานั่งตรงนี้” ผมดึงมือของเขาให้นั่งลงกับม้านั่งเตี้ยกลางห้องน้ำ มันเป็นห้องน้ำในห้องพักโรงพยาบาลจึงคับแคบ แค่ผู้ชายสองคนเข้ามาก็แทบจะเต็มเสียแล้ว
ผมหยิบฝักบังขึ้นมารู้สึกว่าถ้าตนเองไม่ถอดด้วยได้เปียกตั้งแต่หัวจรดเท้า คิดว่าช่วยไม่ได้ถึงถอดเหลือแต่กางเกงในยืนอยู่ด้านหลังของเมินโหยวผิง หยิบฝักบัวรดศีรษะของเขาก่อนที่จะจับเขาสระผม
ผมจับหูของเขาเพื่อกันไม่ให้น้ำเข้าก่อนที่จะราดน้ำลงอีกครั้ง เปลี่ยนฝั่งไปยืนข้างหน้าเขา ประคองใบหน้าหล่อเหลาขึ้นมาปัดปอยผมที่ปรกหน้า ใบหน้าที่พราวไปด้วยหยดน้ำของเขาพาให้ผมใจเต้น ผมหัวเราะเมื่อคิดอะไรไร้สาระ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นถูกสบู่ตามร่างกายของเขา เคล้นคลึงไปยังทุกสัดส่วนก่อนที่มือของผมจะโดนจับ
วินาทีนั้นผมเกือบกรีดร้องออกมา เมื่อแรงบีบไม่น้อยบีบลงที่ข้อมือผมพาให้สบู่ที่ถือเอาไว้ร่วงหล่นจากมือ
“นะ...นายตื่นแล้วหรือ” ผมมองใบหน้าของเขา นับน์ตาที่เคยไม่แสดงสิ่งใดกลับมีแววขึ้นมา เขามองผมอย่างเงียบงันเสียจนผมกลัว
“ขอโทษ” ผมรีบเอ่ยเพราะกลัวว่าต่อไปอาจได้มีฉากฆาตกรรมกันกลางห้องน้ำ ผมอยากจะถอยหลังแต่เขากลับกระชากผมจนขาของผมเสียหลัก ผมกลับตาคิดว่าใบหน้าจะต้องกระแทกกับกระเบื้องห้องน้ำ รอคอยถึงสองสามนาทีสิ่งที่ได้รับกลับมีแต่นุ่มของผิวกาย
“เสี่ยวเกอ” ผมเรียกเขา ชายผู้กอดผมเอาไว้ สองแขนของเขาโอบรัดผม ท่ามกลางร่างกายเปล่าเปลือยที่เสียดสีกัน ใบหน้าของเขาซบลงที่ไหล่ของผม ตัวของเขาสั่นพาให้ผมลูบหลังเขา
คำเอ่ยปลอบดังขึ้นมาอีกครั้งจนเสี่ยวเกอหยุดตัวสั่นเขาถึงยอมปล่อยผม
“นายรู้สึกตัวแล้วใช่ไหม” ผมยินดีมาก รีบจับไหล่ทั้งสองข้างของเขา “นายเป็นอะไรไป ในอุกาบาดนั่นนายเจออะไรเข้าถึงได้เป็นแบบนั้น”
“....” เขาอ้าปาก สีหน้าดูสับสนและงุงงง มันพาให้ผมรู้สึกสงสาร เสี่ยวเกอกุมศีรษะของตัวเองราวกับสัตว์บาดเจ็บก่อนที่เสียงแผ่วเบานั้นจะตอบกลับมา
“ไม่รู้ “
ไม่รู้...คือคำตอบที่พาให้ผมขมวดคิ้ว ก่อนหน้านี้เขาเป็นบ้า ตอนนี้เขาเป็นอะไรไปอีก
“นายรู้จักฉันไหม” ผมชี้มาที่ตัวเองเขากลับส่ายหน้านั่นทำให้สิ่งที่ผมกลัวกำลังจะเป็นจริง “แล้วนายรู้ไหมว่าตัวเองเป็นใคร”
บางทีคำตอบของคำถามนั้นคนที่อยากรู้คงเป็นเจ้าตัว
เมินโหยวผิงส่ายหน้าอีกครั้ง ใบหน้าของเขาไม่ได้ดีไปกว่าคนกำลังจะตาย นั่นทำให้ผมสูดหายใจลึก
เรื่องที่ผมกลัวที่สุดกลับกลายเป็นจริง.... เจ้านี่ความจำเสื่อมอีกครั้ง ถึงผมจะทำใจไว้ครึ่งหนึ่งเพราะคำพูดของหมอ และท่าทีของเขาก่อนหน้านี้ แต่ครั้นมาเจอความจริงกลับทำให้ผมเจ็บปวด
“นั่นสินะ นายไม่ต้องกังวลนะ” ไม่รู้ว่าคำพูดนี้ผมกำลังพูดอยู่กับใคร เขา หรือ ผมเองกันแน่ ผมฝืนยิ้มทั้งที่ในใจอยากจะร่ำไห้
“ไม่เป็นไรนะ” ยิ้มให้กับเขา รู้สึกถึงรสเค็มปร่า ที่เข้ามาในปาก สิ่งนั้นพาให้ผมหันไปหยิบฝักบัวสาดใส่ร่างกายของตัวเอง
ผมกำลังร้องไห้บ้าที่สุด....
เจ็บ เจ็บเหลือเกิน ...เป้นครั้งแรกที่เจ็บถึงขนาดนี้ จะไม่ได้เจออีกแล้ว เมินโหยงผิงคนนั้น จะไม่มีวันได้สัมผัสอีกแล้ว เมินโหยงผิงที่เคยจูบผม
เจ้าคนหน้าตาที่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ทว่าความอ่อนโยนของเขากลับคอยประคองผมเอาไว้
จะไม่ได้เจออีกแล้ว....เพราะเมินโหยงผิงคนเก่าได้จากไปแล้ว เหลือเพียงคนใหม่ที่ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ทั้งความสัมพันธุ์ของเรา ทั้งเรื่องผม หรือเรื่องของเขาเอง
ความรู้สึกปวดในอกพาให้ผมแทบหายใจไม่ออก รับรู้ตนอีกทีเมื่อมือข้างนั้นเข้ามาเกาะเกี่ยวมือผมเอาไว้ นิ้วทั้งห้าของเมินโหยงผิงกำรอบนิ้วชี้และกลางของผม ราวกับเด็กน้อยที่จับมือแม่ พฤติกรรมนั้นพาให้ผมเบิกตากว้างก่อนที่จะหันหน้าไปสบกับนัยน์ตาที่ช้อนขึ้นมา
นัยน์ตานั้นกำลังแสดงอารมณ์ความรู้สึก เขากำลังหวั่นไหว
เพราะนิ้วทั้งห้าที่จับมือผมของเขาพาให้ผมผ่อนลมหายใจ ตีหน้าตัวเองเรียกสติก่อนที่จะคลี่ยิ้มดึงนิ้วออกจากมือของเขา แล้วสอดประสานเข้าไปแทน ราวกับจะบอกเขาว่า ไม่เป็นไร ผมจะอยู่ตรงนี้
“ขอโทษนะ” เมินโหยงผิงที่เสียความทรงจำ เขาที่ไม่รู้ถึงสิ่งใดย่อมเป็นกังวลกับครั้งแรกที่ลืมตา ตัวเองเป็นใคร อยู่ที่ไหน ต่อจากนี้ทั้งอดีตและอนาคตกลับว่างเปล่า หากเป็นผมคงคิดมากจนแทบคลั่ง
“ไม่เป็นไรนะ เรื่องของนายฉันจะบอกเท่าที่รู้ แล้วเรามาพยายามนึกเรื่องของนายกันเถอะ”
“....” เมินโหยงผิงไม่ตอบคำตอบเขาเขาก้มหน้าลงราวกับครุ่นคิดอะไร ผมส่ายหน้าคิดว่าจะอาบน้ำให้เขาต่อจึงลุกขึ้นแต่กลับโดนเขาจับข้อแขนเอาไว้อีกครั้ง นัยน์ตาสีนิลที่ยังคงเฉยเมยมองซ้าย มองขวาก่อนที่จะมองผม ผมยิ้มแห้งก่อนที่จะเอื้อมตัวไปหยิบสบู่ที่ตก แต่ขยับไม่ได้
“ปล่อยแขนฉันด้วย” เมินโหยวผิงเลิกกอดผม แต่ไม่ยอมปล่อยข้อมือผม มันทำให้ผมไม่สามารถขยับได้
“....” มีเพียงความเงียบที่โรยตัวระหว่างเราทั้งคู่ เขามองผมนิ่งเสียจนผมอยากจะหาอะไรมาฟาด
“แบบนี้ฉันหยิบสบู่ไม่ได้ อาบน้ำให้นายไม่ได้ ปล่อย” ผมสั่งเขาอีกครั้งเขาถึงยอมปล่อยแต่สายตากลับไม่ยอมละจากตัวของผม มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเก็บลูกสัตว์มาได้สักตัว มันจะมองคุณจนกว่ามันจะแน่ใจว่าคุณจะไม่ทอดทิ้งมัน
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่ทิ้งนายแน่ เพราะงั้นนายต้องห้ามทิ้งฉัน” ผมบีบมือของเขาแน่น ผ่านไปเวลาหนึ่งเมินโหยงผิงถึงได้ยอมปล่อยมือออกจากผม ทำให้ผมสามารถอาบน้ำให้เขาได้สำเร็จเสียที
พวกเราออกมาจากห้องน้ำเจ้าหมอนี่ยังยืนซึมกระทือราวกับไม่เข้าใจว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรต่อ ผมเขย่งปลายเท่า หยิบผ้าขนหูเช็ดเรือนผมเปียกเขา ให้ตายเถอะเจ้าหมอนี่ตอนนี้กลายเป็นเด็กอนุบาลไปแล้วหรือไร
“อ๊ะ” ในช่วงเวลาที่ผมมัวแต่จัดการผมของเขา เมินโหยงผิงก็หยิบผ้าขนหูมาขยี้บนศีรษะของผม มันทำให้ผมคลี่ยิ้มโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่จะหัวเราะ ผมบีบเขาหนึ่งที เราสองคนเช็ดผมให้แก่กันและกัน ดูเหมือนหมอนี่จะลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว แม้จะไม่ใช่เมินโหยงผิงคนเดิม ผมโล่งใจเหลือเกินที่จากนี่เขาจะสามารถใช้กิจวรรคประจำวันได้เอง ผมมองดูเขาที่ใส่เสื้อแล้วก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
“นายตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรกันแน่” ผมมองเขาที่ใส่เสื้อเสร็จแล้ว มือที่มีสองนิ้วยาวผิดปกติของเมินโหยงผิงแตะใต้ดวงตาของผม ไล้ลงมา ชั่ววินาทีที่นึกขึ้นได้ว่าเขาตื่นมาตอนที่ผมร้องไห้ใบหน้าก็ร้อนผ่าวจนต้องดึงมือของเขาออก
ไอ้บ้านี่...หมายความว่าคนที่อุ้มผมไปนอนโซฟาก็คือเมินโหยงผิง!
ใบหน้าของผมร้อนไปจนใบหู รู้สึกอยากจะต่อยหน้าไอ้บ้าตรงหน้าสักที ทำไมถึงไม่แสดงอาการให้มากกว่านี้ ผมกดกลั้นอารมร์โมโหของตัวเองลง เจ้าหมอนี่อาจจะแค่ตื่นขึ้นมาด้วยสภาพยังไม่ตื่นเต็มที่ก็ได้
“ขอโทษ” เสียงแผ่วเบาที่ดังขึ้นเบื้องหน้าพาให้ผมเงยหน้าขึ้น มองยังใบหน้าหล่อเหลาของเมินโหยงผิง ...อะไรนะ...เมื่อกี้เขาขอโทษ
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้โกรธที่นายไม่บอกว่าตื่นหรอก”
“ขอโทษ ที่ไม่ใช่คนเก่า”
เสียงที่ขัดขึ้นมาทำให้เสียงของผมจุกอยู่ในลำคอ รับรู้ได้ถึงความร้างราวของเราทั้งคู่ ผมมองเขานัยน์ตาสีดำขลับของเขาสะท้อนมาที่ผม ราวกับจะมองลึกเข้าไปในตัวตนของผม
นายจะขอโทษทำไม คนที่เจ็บปวดมากที่สุดน่าจะเป็นนายไม่ใช่หรือ ผมกำหมัดเล็บจิกเข้าไปในผิวมือแต่เมินโหยงผิงกลับดึงมือของผมไป นิ้วแกร่งของเขาง้างนิ้วของผมออกก่อนที่จะก้มลงเลียยังเลือดที่ติดบนมือ
ผมมองภาพนั้นราวกับความฝัน นึกถึงเมื่อครั้นที่คว่ำกรวยเมินโหยงผิงคนเดิมก็ทำแบบนี้กับผมเช่นกัน ใบหน้านิ่งจนเหมือนไม่สนอะไรทว่า ใจดี..
หากไม่มีเขาผมคงตายแล้วตายอีกไม่รู้กี่ครั้ง
ผมนึกถึงรอยยิ้มของเขาในยามที่ผมกับนายอ้วนทะเลาะกันด้วยเรื่องไร้สาระ เมินโหยงผิงจะยืนมองเราทั้งคู่ก่อนที่จคลี่ยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า
ผมคิดถึงมัน ..นึกถึงใบหน้ายามหัวเราะที่หาได้ยากยิ่งของเขา
ผมเงยหน้าขึ้นมามองกับเมินโหยงผิงคนใหม่ นัยน์ตาของเขายังคงมองผมอยู่แต่กลับกดหน้าลง ราวกับเด็กที่ถูกดุ....ท่าทางนั้นมันทำให้ผมกัดริมฝีปากตัวเอง
ผมสะบัดศีรษะไล่ความฝันของตัวเองไป ไม่ได้นะอู๋เสีย..นายต้องเข้มแข็งกว่านี้ ผมเอาแต่บอกตัวเองเช่นนี้ไม่รู้กี่ครั้ง ก่อนที่จะตันสินใจได้ แม้ว่าจนถึงตอนนี้ในใจของผมจะเจ็บปวดอยู่ แต่ถ้าไม่พูดให้ชัดเจนเดี๋ยวตานี่ก็หนีไปขุดรูที่ไหนอีก
“ฉันจะพูดตรงๆนะ” พอผมก้าวเท้าเข้าไปหยุดต่อหน้าเขา เมินโหยงผิงก็เลิกคิ้วขึ้นก้าวเข้ามาจนเกือบจะชิดใกล้ ผมรีบใช้มือดันอกเขาเอาไว้
นายนี่เมื่อก่อนละห่างกันสามวา พอความจำเสื่อมชิดซะจนจะขึ้นคอขี่
“นั่งลง” ผมสั่ง นายเมินโหยงผิงเลิกคิ้วข้างหนึ่งแต่ร่างสูงก็นั่งลงกับพื้น ขาทั้งสองไขว้กันเรียบร้อยตามคำสั่งผม นั่นทำให้ผมอ้าปากค้าง
เฮ่ย! สั่งได้ด้วย...
ผมเก็บอาการตื่นตกใจไปก่อน ร้อยวันพันปีไม่เคยสั่งเขาได้ พอความจำเสื่อมกลับสั่งได้เสียแบบนี้ ผมกลั้นขำรู้สึกเหมือนเขาเป็นลูกตัวน้อยที่นั่งพับเพียบต่อหน้าพ่อแม่เวลาถูกดุ
“ฟังนะ” ผมกอดอกมองเจ้าลูกแมวเบื้องหน้า ราวกับแมวดำ แมวขี้เซาที่ชอบหนีหาย “นายไม่ต้องคิดมากอะไรทั้งนั้น”
“ถึงนายจะความจำเสื่อมอีกสักกี่ครั้ง ฉันจะจำให้เอง ความทรงจำที่นายได้อยู่ร่วมกับฉัน ฉันจะจำให้เอง เพราะงั้นห้ามหาย ห้ามหนี ห้ามจากไปไหนด้วย” ผมกลั้นน้ำลายที่จุกอยู่ที่คอ รู้สึกใจหาย ผมยังคิดถึงเมินโหยงผิงคนเก่า แม้กระทั่งตอนนี้ก็อยากจะให้เขากลับคืนมา แต่ถ้าผมไม่จัดการกับความรู้สึกตัวเอง เมินโหยงผิงคนใหม่ก็ก็จะกระวนกระวาย
เขาที่ไม่มีใครให้ยึดเหนี่ยวไว้บนโลกนี้ ภาพเบื้องหน้าของเขามีเพียงคนเพียงคนเดียวนั่นคือผม ผมและนายอ้วนตอนนี้เป็นที่พึ่งพิงให้กับเขา หากไม่มีพวกเราสองคนนายนี่คงต้องไล่ตามหาความทรงจำตัวเอง เรื่องฝีมือผมมั่นใจเลยว่าเขาไม่มีปัญหา แต่แบบนี้มันจะมีความหมายอะไร
เริ่มนับหนึ่งใหม่ไปเรื่อยจนไร้ที่สิ้นสุด แล้วหัวใจของนายละ จะเป็นอย่างไร ลืมตาขึ้นเพียงลำพังและอยู่เพียงลำพังจนถึงจุดจบสุดท้ายงั้นหรือ
แบบนั้นมันน่าเศร้าเกินไป ...ผมไม่อาจปล่อยให้เขาหวนกลับไปเช่นนั้นได้อีก
“ต่อให้กี่ครั้ง ต่อกี่ครั้ง ฉันก็จะเริ่มใหม่ แม้นายจะจำฉันไม่ได้ฉันก็จับมือกับนาย แนะนำกับนาย แล้วสานสัมพันธ์กับนายอีกครั้ง ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง” ผมบีบมือของมัน มันอุ่น อุ่นเสียจนน้ำตาแทบไหล
อดีต หรืออนาคต ต่อจากนี้แม้สิ่งเหล่านี้จะต้องเวียว่ายกันอีกกี่ครั้งผมก็พร้อมจะรับมัน
แม้ว่าการเริ่มต้นใหม่จะเจ็บปวด แม้มันจะน่าเศร้าแต่ผมก็จะทำมัน
มันก็เหมือนกับการเล่นเกม คุณคิดว่าคุณเล่นไปจนเกือบเส้นชัยแต่กลับมีคนดึงปลั๊กเครื่องเล่นเกมทั้งที่ไม่ได้เซฟ สิ่งที่เปิดขึ้นมาคือความว่างเปล่า หลายต่อหลายคนอาจจะยอมแพ้และเลิกไปแต่ไม่ใช่กับผม
หากต้องรับความเจ็บปวด กี่ครั้งต่อกี่ครั้งผมก็จะทน
“อย่าร้องไห้” เสียงของเขาดังขึ้นข้างใบหู เพียงชั่วครู่นายเมินโหยงผิงที่นั่งเรียบร้อยกลับเข้ามาจนประชิดตัวของเขา ใบหน้าดูดีของเขาห่างจากผมไม่ถึงเสี้ยว ผมตกใจจนถอยหลังแต่กลับพบว่าขยับไม่ได้ เมื่อมองลงไปก็พบกับมือแกร่งที่โอบเอวของผมเอาไว้
สองนิ้วที่ยาวผิดปกติของเขาแตะลงใต้ดวงตาของผมวินาทีนั้นผมจึงได้รู้สึกว่าตนเองกลังร้องไห้ เมื่อใดกัน ผมหัวเราะเขาก็ปาดน้ำตาให้กับผม ผมส่ายหัวก่อนที่จะซบยังไหล่ของเขา โอบกอดแผ่นหลังของคนสูงกว่า สอดแทรกเข้าไปในเส้นผมนุ่ม สัมผัสมันราวกับจะเยียวยา
ไม่เป็นไรนะ..คำนั้นผมปลอบทั้งเขาและผม
เราจะนับหนึ่งกันอีกครั้ง ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ไม่มีอะไรรับประกันว่าผมและเขาเราจะเป็นดังเช่นเดิม หรือในท้ายที่สุดจะทนกันไม่ไหวจนต้องเลิกราไป ...หนทางข้างหน้าสำหรับเราคือความมืดมิดที่ไร้ขอบเขต
ผมสอดนิ้วประสานกับมือของเขา ถึงทางข้างหน้าจะเป็นห้องมืดที่ไร้แสงเทียน ขอเพียงมีมือข้างนี้ ผมก็พร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้า ..ผมจะเป็นฝ่ายเดินข้างหน้าแล้วฉุดเขาเอง..
“โอ้โห!” เสียงร้องของนายอ้วนดังขึ้นพาให้ผมพลักเมินโหยงผิงออกจากตัวโดยอัตโนมัติ ก่อนที่จะหันหลังพบกับนายอ้วนที่กำลังตาเป็นประกายราวกับเรื่องแปลกใหม่ ผมรีบพุ่งไปหาเขาเพราะกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิด
“เสี่ยอ้วนไม่อยู่ครู่เดียวพวกนายก็ใจแตกกันแล้วหรือ จะให้ร้ายให้ดียังไงที่นี่ก็โรงพยาบาล เตียงห้องพยาบาลมันแคบไปกลับไปทำที่บ้านดีกว่าไหม”
“จะบ้าเรอะ” ผมแยกเขี้ยวใส่นายอ้วนก่อนที่จะชี้ให้เขาดูเมินโหยงผิง “นายนี่ตื่นแล้ว”
นายอ้วนหันไปมองเมินโหยงผิงที่เดินตามมาอยู่ข้างหลังผม มือของเขาจับชายเสื้อผมเอาไว้ พาให้ผมขยับตัวไม่ได้ รู้สึกเหมือนมีตัวอะไรตามติด
“ฮาเลลูย่า เท่านี้พวกเราก็ไม่ต้องพาเขาเข้าห้องน้ำแล้ว” นายอ้วนดีใจจนแทบร้องไห้ ผมเข้าใจความรู้สึกเขานะ ปกติเขาก็ดูเป้นคนที่ไม่ดูแลใครสักเท่าไร
“ดูท่าสบายดีนะนายน้อย” พอได้ยินเสียงผมถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีคนมานอกจากนายอ้วน เมื่อครู่ถูกความหวาดกลัวว่านายอ้วนจะคิดอะไรผิดแปลกพาให้ผมลืมไปเสียสนิท
“พานจื่อ” ผมร้องเรียกอดีตทหาร ใบหน้าของเขายังเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น แต่ดูดีกว่าก่อนหน้านี้ที่แยกจากกันมาก เขาถือกระเป๋าใบโตพาให้ผมสงสัย
“ผมขอให้หวังเหมิงเป็นคนเอาเสื้อผ้ามาให้ผมไม่ใช่หรือ” ผมแอบจดเลขเอาไว้ในใจ หนอยนายนี่ ขี้เกียดถึงขนาดแอบวานพานจื่อเลยหรือ
“ไม่ใช่ครับ อารองของคุณสั่งให้ผมมาเก็บของคุณออกจากที่นี่ต่างหาก” พูดจบพานจื่อก็หยิบกระเป๋าลากใบโตขึ้นมาหยิบจับเสื้อผ้าของผม ความจริงมันแยกง่ายมาก เพราะเสื้อผมกับนายอ้วนไซด์ต่างกันชัดเจน ส่วนนายเสี่ยวเกอนั้นแทบไม่มี
“หา!” ผมพุ่งเข้าไปขัดขวางเขาเอาไว้ “หมายความว่ายังไงที่ให้กลับ”
“ก็หมายความตามที่พูด แกซนไปหน่อยแล้ว เมื่อไรจะกลับบ้านคิดจะอยู่ที่นี่อีกกี่เดือน” เสียงเปิดประตูดันขึ้นพาให้ผมยืดตัวตรง อารองดุกว่าอาสาม กับอาสามผมยังมีสิทธิ์ แต่กับอารองนั้นไม่มีทางเอาเสียเลย
“แต่อารอง” ผมอ้าปากหมายจะเถียงแต่อารองกลับคีบบุหรี่ขึ้นมาโบกไปมา ผมรู้ว่าเขาอยากสูบและความอดทนของเขาหมดแล้ว นั่นหมายความว่าให้ผมอย่าเล่นตัวไม่งั้นจะโดนมิใช่น้อย
“แบบนั้นก็ดีเหมือนกันไหนๆนายนี่ก็ตื่นแล้วเราก็เขาออกจากโรงพยาบาลกันเถอะ”
พอนายอ้วนออกปากผมก็คิดว่าเป็นคำแนะนำที่ไม่เลวเลยเพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เราก็ตรวจร่างกายเมินโหยงผิงจนจะหมดยังไม่ได้ความอะไร สู้ปล่อยให้เขากลับมาใช้ชีวิตปกติดีกว่า
คิดได้เสร็จสรรพผมก็ดำเนินเรื่องออกจากโรงพยาบาล ปล่อยนายเมินโหยงผิงให้นายอ้วน แต่คลาดสายตาไม่ทันไรนายอ้วนก็ดูแลได้แย่มาก ชอบตามก้นพยาบาลสาวเป็นพักๆ ส่วนเมินโหยงผิงก็ยังกับแมว เดินไปโน่นมานี่ จนผมอดทนไม่ไหวโทรเรียกพานจื่อที่เก็บของของผมมาเป็นคนดำเนินเรื่องให้แทน แล้วคว้าตัวเจ้าแมวดำเอาไว้ไม่ให้เพ่นพ่านอีก
“อยู่กับฉัน” เมินโหยงผิงพอได้ยินที่ผมสั่งเขาก็เอื้อมมือมาจับมือผม นั่นพาให้ผมสะดุ้ง ผู้ชายสองคนจับมือกันท่ามกลางที่สาธารณะจะดีหรือ เขาไม่แคร์แต่ผมแคร์
ผมคิดว่าจะแกะมือออกจากเขาดีไหม ในใจคิดว่าถ้าแกะออกไปเขาได้หายไปอีกแน่ สู้ปล่อยให้เขาจับมือถือเป็นปลอกคอแมวเสียแทนดีกว่า
“นั่นอะไร”อารองดึงบุหรี่ออกจากปากก่อนที่จะเลิกคิ้วมองมาที่มือของผม ผมคิดจะปล่อยมือจากเมินโหยงผิงแต่เขากำลับสอดนิ้วแล้วดึงผมแน่น ผมได้แต่ถอนหายใจก่อนที่จะอธิบายเนื่องราวรวมถึงความไม่สมประกอบต่างๆของเขา จากท่าทีของเขาก็เหมือนเป็นเด็กเล็ก เป็นเพียงแมวน้อยที่ต้องเลี้ยงดูแล
ความคิดของเขาสับสนอลม่านไปหมด ถึงจะไม่ได้พูดออกมาแต่ผมรู้ได้จากสายตาที่มองไปมาของเขา เหมือนกับว่าโลกใบนี้มีแต่สิ่งที่เขาไม่คุ้นเคย สุดท้ายผมคือคนที่เขาจับเอาไว้จึงไม่ยอมปล่อย จะให้ผมทิ้งเขาตอนนี้กลับบ้านก็น่าสงสารเกินไป
นายอ้วนยิ่งเข้าไปใหญ่ ให้เขาดูแลคนผมคิดว่ากลับมาอีกทีคงเหลือแต่เงาของตานี่ เรื่องรักเพื่อน นายอ้วนไม่เป็นรองใคร แต่เรื่องดูแลคนอื่นโดยเฉพาะพวกที่เงียบไม่ส่งเสียง เขามักจะหมดความสนใจ เมินโหยงผิงไม่เหมือน ไม่ส่งเสียด่านายอ้วนแน่
“อารอง ตอนนี้เพื่อนผมอาการไม่ดี ผมขอดูแลเขาสักพักได้ไหม”
อารองเหลือบมองผมก่อนที่จะหันไปมองเมินโหยงผิงก่อนที่จะอัดบุหรี่เข้าปอด นิ้วเรียวของอารองคีบบุหรี่ออกจากปากพ่นควันขึ้นท้องฟ้า
“ฉันไม่ได้ถามถึงเพื่อนของแก ฉันถามว่ามือนั่นอะไร”
“มือ” ผมก้มลงมองมือที่เมินโหยงผิงจับผมเอาไว้ ก่อนที่จะแยกเขี้ยว “อารองผมก็อธิบายไปแล้วเขาไม่ค่อยปกติ อาจจะเหมือนเด็ก เหมือนลูกแมว อารอง เขาคว้าอะไรได้ก็จับหมดนั่นละ”
“หืม” อารองเลิกคิ้วก่อนที่จะเดินเข้ามาใกล้ผมชี้ไปที่รถ “ไปสิฉันจะไปส่งแกเอง”
ผมโล่งอกเมื่ออารองอนุญาติ ในใจคิดว่าจะเดินขึ้นรถ ไปบ้านนายอ้วนก็ให้นายอ้วนนั่งข้างหน้าเพื่อบอกทางส่วนผมกับเสี่ยวเกอนั่งข้างหลัง ยังไม่ทันจะได้ขึ้นรถ มือของอารองก็ตีเข้าที่แขนผมจนเจ็บ
“อารอง!” ผมตะโกนใส่ รู้สึกมือลื่นหลุดจากเจ้าแมวดำ ผมใช้มือข้างซ้ายที่ไม่โดนทารุนคลำแขนตัวเอง เสียงตีเมื่อกี้ดังสนั่นจนนายอ้วนยังสะดุ้ง
“โทษที มือลื่น”
ลื่นบ้านพ่ออาสิ! ไม่สิบ้านพ่ออาก็ปู่ผม ให้ตายเถอะ อารองแกล้งผมอีกแล้วหรือ นี่ไม่ใช่แค่ครั้งแรกที่อารองที่ดูเข้มงวดเข้ามาแกล้งผม ผมรู้สึกเหมือนโดนขัดใจก็แยกเขี้ยว
“ขึ้นรถได้แล้วเจ้าหลานชาย” อารองดึงบุหรี่ออกจากปากก่อนที่จะเดินขึ้นรถด้วยมาดมาเฟีย ดูเหมือนวันนี้อารองจะอารมณ์ไม่ดีเสียเท่าไร ผมดันเสี่ยวเกให้นั่งลงในรถข้างซ้ายส่วนตัวเองไปนั่งข้างขวา กระจกมองหลังของอารองสะท้อนภาพของผม ผมแอบเห็นอาเม้มปากราวกับตัดสินใจอะไรใหญ่หลวง
“สามวัน”
“หา” เมื่อขึ้นรถอารองก็พูดขึ้นมา ทำเอาผมไม่ทันได้ตั้งตัว
“ฉันให้เวลาแกสามวัน อยู่กับไอ้หนุ่มนั่น แล้วต้องรีบกลับบ้าน ระหว่างนั้น ห้ามทำอะไรให้เสียชื่อสกุลอู๋เด็ดขาด”
“แล้วผมจะไปทำอะไรให้เสียชื่อสกุลอู๋ หรืออากลัวผมไปซนอีก ช่วงนี้ผมไม่คว่ำกรวยหรอกครับ” อารองเหลือบมองผ่านกระจก พอดีกับที่เมินโหยงผิงเขยิบเข้ามาใกล้ เส้นผมสีดำนุ่มนวลพิงกับไหล่ของผม วินาทีนั้นผมรู้สึกว่าสายตาของอารองคมกริบจนจะฆ่าคนได้
“ตอนนี้ฉันไม่กลัวแกซน แต่กลัวอย่างอื่น แกน่าจะแยกแยะได้เอง ไม่งั้นฉันฟ้องเตี่ยแกแน่” พูดจบอารองก็หักพวงมาเลยอย่างแรงก่อนที่จะกดเบรกจนผมล้มกลิ้งไปอยู่ที่วางเท้า ใยหัวร้องวิ้ง ผมรีบมุดออกมามองนายเมินโหยงผิงยังคงนั่งตัวตรงได้แม้นยามที่รุเบรกจนกระแทก ได้ยินเสียงครางจากนายอ้วนดูท่าเขาก็ร่วงไปที่วางเท้าเหมือนกับผม
“อาทำอะไรเนี่ย” ผมกรีดร้องเป็นรอบที่สองของวัน แต่อารองเพียงแค่เลิกคิ้ว
“โทษที เท้าลื่น”
“ดูเหมือนวันนี้อารองจะลื่นทั้งวัน ไปทั้งตัวจังนะครับ” ผมจิกกัดเขา เท่าลื่นภาษาอะไรของอาเนี่ย
“ฉันลื่นมากกว่าแน่ ถ้าไม่เขยิบออกไป” ดวงตาคมกริบของอารองมองมาที่ด้านหลังพาให้ผมหดหัว
“เขยิบอะไร จะให้ผมนั่งตรงไหน” อารองวุ่นวายเหลือเกิอน ผมนั่งตรงนี้ไม่ดีหรือไร
“แกนะไม่ต้อง” สิ้นเสียงของเขาอารองก็เหยียดคันเร่งจนหลังของผมแนบไปกับพนักของรถ ผมเหลือบมองเมินโหยงที่คงนั่งนิ่งราวกับไม่สนใจ ก่อนที่จะมองนายอ้วนที่เงียบมาตลอดทางอย่างผิดวิสัย
วันนี้มันอะไรกัน
อดทนไม่กี่อึดใจ อารองก็ฝ่าฝืนกฎหมายจราจรจนพาผมมาถึงบ้านนายเช่า พอลงมาผมก็เบ้ปาก เพราะมันขนาดเล็กเกินกว่าผู้ชายสามคนจะยัดลงแน่นอน อารองจึงต้อนพวกเราขึ้นรถอีกรอบ พาไปบ้านเช่าใกล้เสียแทน
“เสี่ยวเสีย” ผมกำลังเดินลงจากรถ ก็ได้ยินเสียงอารองเรียกจึงเดินไปหา เห็นนายอ้วนดึงชายเสื้อเมินโหยงผิงอยู่ไกล เหมือนกับไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้อารอง
“อะไรครับอารอง” ผมรู้สึกสงสัยว่าอารองตามผมมาที่โรงพยาบาลทำไม มือใหญ่ก็สัมผัสที่ใบหน้าของผมอย่างอ่อนโยน นิ้วเรียวไล้ใบหูได้รูปของผมก่อนที่อารองจะคลี่ยิ้มที่พาให้สาวแถวนี้ล้มตาย
“ฉันเป็นห่วงแกนะ”
เอาไปเต็มร้อย แม่ง อารองร้ายกาจ ถูกอาสัมผัสอย่างอ่อนโยนขนาดนี้ พูดหวานด้วยขนาดนี้ แม้อารองจะเป็นขาโหดแค่ไหนอู๋เสียจะไปต่อต้านได้ยังไง อาแม่งขี้โกง อาทำแบบนี้ไอ้ที่เผลอแกล้งผมมาทั้งวันผมก็ต้องอภัยให้อานะสิ
รู้สึกตื้นตันในอกไปพร้อมกับความโมโห นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อาแกล้งแล้วลูบหลัง อามักจะเป็นแบบนี้ ผมถึงเกลียดไม่ลง
“อารองเองก็รักษาตัวด้วยนะครับ” ผมโบกมือให้กับอา แต่สายตาของอายังจ้องเขม่นอยู่ที่เมินโหยงผิง ดูเหมือนอาเองก็คงหมั่นไส้ความหล่อของเขาไม่เบา ผมเข้าใจ ไม่ว่าผู้ชายคนไหนพอมาดูหน้าของเขาชัดๆก็อยากจะฆ่าให้ตายเพื่อกำจัดศัตรูหัวใจในอนาคต
แต่อารองย่อมเป็นผู้ใหญ่ไม่พูดอะไรก้าวขึ้นรถพร้อมย้ำถึงสามวัน ความจริงผมอยากมีเวลามากกว่านี้ สามวันจะไปพออะไร แต่ผมก็ไม่อยากงัดข้อกับอารอง การดื้อกับอารองเป็นอะไรที่โง่มาก เขาไม่เหมือนกับอาสามที่พอตามใจผมบ้าง
“นายอ้วนละ” พอร่ำลาอาสองเสร็จหันกลับมาผมก็พบเพียงเมินโหยงผิงกับกองกระเป๋าไร้วี่แววนายอ้วน เมินโหยงผิงก็เหมือนจะรู้ใจผม เดินเข้ามายื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ ในนั้นมีลายมือนายอ้วน
‘ขอโทษนะสหาย แต่มาถึงบ้านแล้วไม่เข้าบ้านก็กระไรอยู่พวกนายไปทำความสะอาด เข้าอยู่ก่อนะ ‘
แม่ง เขาหนีการจัดของกับทำความสะอาด ผมขยำกระดาษแล้วปาลงพื้น แต่เมินโยงผิงก็เก็บขึ้นมา ผมยังไม่หายโมโหนายอ้วน จึงดึงกระดาษออกจากมือของเขาแล้วปาลงพื้นใหม่อีกรอบ แต่นายนิ่งหน้าซึนก็เก็บขึ้นมาอีกรอบ
นี่นายเป็นหมาที่เวลาเจ้านายปาของจะวิ่งไปเก็บหรอไง ผมไม่สนเขาดึงกระเป๋าลากใบใหญ่หมายจะเอาเข้าบ้าน แต่กลับสะดุดมุมกรอบทางเข้าจนล้มปากจูบพื้น
เจ็บจนน้ำตาเล็ก โชคยังดีที่ผมใช้มือรองเอาไว้ ผมชักมือขึ้นแล้วก็ต้องนิ่วหน้า มันไปโดนกรวดจนเป็นแผล ทั้งปากแตกมือเจ็บ
เมินโหยงผิงเห็นสภาพผมมือข้างหนึ่งของเขาดึงกระเป๋าลาก มืออีกข้างคว้าเอวผมตัวลอยพาดบนบ่า ผมแทบกรีดร้องเมื่อเขาเดินไปถึงประตูบ้านก็ใช้เท้าเขี่ยประตุเปิด
kuramajoy
kuramajoy
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า

จำนวนข้อความ : 206
Points : 3772
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[fic]บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน [ผิงเสีย] Empty Re: [fic]บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน [ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by kuramajoy Thu 06 Nov 2014, 20:50

ดีนะนายอ้วนกับอารองไม่อยู่ ผมรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงไปหมดเมื่อเข้าบ้านมาเขาก็วางกระเป๋าลากใบใหญ่คว้าผมจากบ่าช้อนให้ยืนแนบกับร่างของเขา ชั่วเวลาที่ชิดใกล้ผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นของเขาที่เป่ารด อา.....ผมรู้สึกเหมือนสติตัวเองกำลังจะเตลิด
เพื่อไม่ให้หัวใจของตัวเองเต้นแรงไปกว่านี้ผมดันเขาออกพลางเดินไปยังห้องน้ำที่ติดกับประตู เปิดน้ำจากก็อกน้ำเพื่อเช้ดริมฝีปากและฝ่ามือล้างเชื้อ
“นาย” ผมอุทานในยามที่มือที่รองรับน้ำกลับถูกยื้อแย่งด้วยมือใหญ่ เมินโหยงผิงดึงมือของผมไปก่อนที่ก้มลงจูบ ไม่สิ เขาไม่ได้จูบ เขากำลังเลียรอยแผลของผม มันเจ็บจนผมเผลอหลับตา พริบตานั้นสัมผัสอบอุ่นก็ทาบทับที่ริมฝีปากของผม
หืม.....
ผมลืมตาขึ้นพบกับใบหน้าหล่อเหลาของเมินโผยงผิงในระยะประชิด มองเห็นขนตางอนยาวของเขา ไม่ว่าจะมองยังตรงไหนเครื่องหน้าของเขาก็ไร้ที่ติราวกับรูปสลัก ดวงตาสีดำขลับเย้ายวนของเขาลืมขึ้นมาช้าๆ
ความร้อนถ่ายถอดเข้าสู่ริมฝีปากของผม ผมพลันรู้สึกว่าตัวเองไร้เรี่ยวแรง มือแกร่งของเมินโหยงผิวรั้งเอวของผมเอาไว้ประคองให้แนบไปกับลำตัวของเขา
อา ร้อน....
ราวกับต้องมนต์ทั้งที่ผมควรขยับตัวต่อยเขา พลักเขาออกไป แต่ในความเป็นจริงผมกลับทำอะไรไม่ได้ เพียงแค่ถูกเขาตราตรึงไว้ด้วยนัยน์ตาแสนลึกลับคู่นี้ร่างกายของผมก็ราวกับถูกสะกด
ผมกำลังโดนดวงตาคู่นี้จับจ้องราวกับหนูที่แมวจับเหยื่อ ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย ริมฝีปากร้อนผ่าวของเมินโหยงผิงทาบทับกับปากของผมอย่างแผ่วเบา ลิ้นนุ่มนิ่มของเขาไล้ที่กลีบปากบนของผม ก่อนที่เลียมายังกลีบปากล่าง จูบซับยังมุมปาก
ตัวของผมสั่นสะท้านรับรู้ถึงเสียงหัวใจของตนเอง ราวกับอยู่ในภวังค์ ผมปล่อยให้เขาเลียริมฝีปากอยู่ราวหลายนาทีเขาถึงยอมละริมฝีปากออกมา ในตอนนั้นตัวของผมละลายกลายเป็นเยลลี่กองไปกับพื้น หากไม่ติดที่มือรั้งผมกับร่างกายแกร่งที่แนบผมไว้ ผมเกรงว่าตัวเองจะต้องคลานเป็นผีลืมหลุมอยู่บนพื้นบ้าน
“ทำไม” ริมฝีปากของผมชุ่มไปด้วยน้ำลายของเขา เขาไม่ได้จูบแต่เลีย เมื่อก้มมองเห็นเขายกมือที่โดนเข้ากับก้อนกรวดตอนที่อุ้มผมขึ้นมาเลีย ใบหน้าของผมบิดเบี้ยว
“อย่าบอกนะว่านายเลียแผล”
เจ้าแมวบ้านี่ ผมรู้สึกทั้งโมโหทั้งอับอาย ผมหันหน้าหนีเขาพบหน้าของตัวเองที่ดูแทบไม่ได้ในกระจก นัยน์ของผมฉ่ำไปด้วยอารมณ์ ใบหน้าแดงเถือกไปถึงใบหู ตัวสั่นระริกราวกับลูกนก
หนอย!
ผมพลักเขาออก ก่อนที่จะเดินขึ้นไปชั้นสองแต่เมินโหยงผิงเหมือนไม่เข้าใจ เขาเดินตามติดผมมา ผมหันหลังมาชี้มือให้เขารอข้างล่าง เมินโหยงผิงส่ายหน้า ช้อนนัยน์ตามาหาผม
แม่งเอ้ย.... เมื่อก่อนผมพบแต่ความเย็นชาดุจขั้วน้ำแข็วของเขา ไหนเลยจะต้านทานอานุภาพนี้ได้ เพียงแค่เขาหันมามองผมนิ่งๆช้อนนัยน์ตาเล็กน้อย ผมก็รู้สึกว่าจะอภัยให้เขาได้ทุกเรื่อง
แม่งเอ้ย ผมมีภูมิต้านทานต่อตัวหมอนี่น้อยเกินไป
มือไม้ของผมอ่อนไปหมดสุดท้ายผมก็คว้าเอาไม้กวาดที่พิงผนังให้เขาสั่งให้เขาทำความสะอาด พยายามไม่คิดถึงเรื่องที่เขาจูบผม เมินโหยงผิงกวาดบ้านเสร็จก็เข้ามาป้วนเปี้ยนรอบๆตัว เมื่อก่อนเขาเมินผมอย่างกับอะไร พอโดนตามติดมากผมกลับรู้สึกหายใจไม่คล่อง เหมือนกับคนกำลังจะจมน้ำตายแต่ไม่ใช่
ถ้าเป้นแบบนี้ตลอดทั้งสามวันผมคงตายแน่ พอนายอ้วนกลับมาผมจัดการหยิกแก้มนายอ้วนดึงเอาไขมันของเขา รู้สึกอยากถีบเขาสักหลายยก ทำไมนายไม่มาให้ไวกว่านี้
“โอ๋ๆ เสี่ยวเสียอย่างอนทำตัวเป็นคุณหนูน้อยที่ถูกขัดใจไปเลย เจ้างามถึงเพียงนี้ คนตามใจเจ้านั้นมีชายนับหมื่น อย่าได้มาขุ่นเคืองกับเสี่ยอ้วนเลย “
ยิ่งเห็นวาจาของเขาผมยิ่งอยากถีบสักที แต่นายอ้วนกลับหยิบถุงเสื้อผ้า พอผมเห็นว่ามันคือเสื้อผ้าของเสี่ยวเกอถึงได้ยอมละมือจากใบหน้าของเขา นายอ้วนดึงเอากางเกงยีนส์กับเสื้อกล้ามสีดำออกมา เดินไปหาเมินโหยวผิง ผมคิดว่าจะพักเหนื่อยสักหน่อยจึงนั่งลงบนโต๊ะแกะชาเขียวที่นายอ้วนซื้อมาจิบ
“เดี๋ยวนั่นอะไร” ผมเหลือบไปเห็นกางเกงในมือนายอ้วนแล้วแทบพ่นชาที่ดื่มอยู่ กางเกงในแบบขาสั้นมีชมพูสะท้อนแสงลายลูกเจี้ยบแสนน่ารักอยู่ในสิ่งของที่นายอ้วนยัดเยียนให้นายเมินโหยวผิง
“กางเกงในนะสิ หรือนายจะใจร้ายไม่ให้เขาใส่” นายอ้วนหันมาทำตาใสราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดา ผมกดไหล่ของนายอ้วนก่อนที่จะเอาหน้าไปชิดใกล้ ยกนิ้วโป้งให้กับเขาราวกับสิ่งที่เขาทำมันถูกต้องที่สุด นายอ้วนเองก็ยิ้มยิงฟัง ยกนิ้วโป้งให้ผมกลับเช่นกัน
“นายมันอัจริยะเหลือเกิน” ยังพูดไม่ทันจบแรงกระชากคอเสื้อก็ทำให้ผมถอยหลัง เมื่อเงยหน้ามองก็พบว่าเมินโหยวผิงดึงคอเสื้อผมออกจากนายอ้วน “อะไร”
ขาไม่ตอบเพียงแต่มองผม ผมขี้เกียดจะสนใจเขามองไปยังกางเกงในสีชมพูลายลูกเจี้ยบก่อนที่อดจะหัวเราะไม่ได้ เมินโหยวผิงมองพวกเราที่หัวเราะเงียบก่อนที่จะคลี่ยิ้มตาม
อุแม่เจ้า รอยยิ้มนั้นมันทำให้ผมกับนายอ้วนหยุดหัวเราะมองเขาตาค้างแทบจะทันที ราวกับภาพในอดีตที่ย้อนกลับมา ตอนที่คว่ำกรวยในสุสานใต้ทะเลผมกับนายอ้วนหาเรื่องกัน เมินโหยวผิงที่ไม่เคยยิ้มกลับมองพวกเรา ส่ายหน้าพร้อมกับคลี่ยิ้ม
ภาพในวันนี้เหมือนกับเมื่อก่อนไม่ผิดเพี้ยน มันทำให้ผมน้ำตาซึมนายอ้วนเองก็เช่นกัน เมินโหยวผิงพอเห็นพวกเราไม่คุยเล่นกันอีก กลับเอาแต่มองเขา
“...” เมินโหยวผิงเดินมาหาพวกเขาหยิบกางเกงในลายลูกเจี้ยบสีชมพูขึ้นมายื่นตรงหน้า “ชอบ?”
ผมเลิกคิ้วเขาถามพวกเราว่าชอบเจ้าสิ่งนี้ไหมงั้นหรือ
“ชอบสิ มันตลกสำหรับเสี่ยอ้วนมากเลย น้อเสี่ยวเสียก็ชอบ” นายอ้วนใช้ศอกทุ้งผมเบาๆ ทำใหผมหยักหน้า แล้วนายเมินโหยวผิงก็ทำในสิ่งที่พาให้พวกเราตาค้าง
เขาถอดเสื้อผ้า ใช่ เขาถอดจนหมด ก่อนที่จะหยิบกางเกงในลายลูกเจี้ยบมาสวมทับความใหญ่โตของเขา ผมกับนายอ้วนอ้าปากค้าง แล้วเขาก็มองมาที่พวกเราราวกับจะขอคำตอบ
ผมในตอนนี้มัวแต่ตะลึงไปแล้วได้แต่ยกนิ้วโป้งให้กับเขา อุแม่เจ้า ฉันว่าคนซื้อมันบ้าแล้วนะ คนใส่ยิ่งบ้ากว่าอีก
สุดท้ายผมกับนายอ้วนก็กลิ้งหัวเราะไปกับเขา พลบค่ำเราก็ไล่ดาราตลกหน้านิ่งประจำบ้านให้ไปอาบน้ำ ให้พวกเราได้พักหายใจคอมั่ง ไม่งั้นพอเขาเดินมาใกล้ล้วผมคิดได้ว่าใต้ร่มผ้านั้นคือกางเกงในลายลูกเจี้ยบผมต้องหัวเราะจนขาดใจแหง
“นายคิดยังไงกับเสี่ยวเกอคนใหม่” นายอ้วนมองผมพับผ้า ตัวเขากำลังจิบเบียร์ที่ซื้อมา ผมเลิกคิ้วก่อนที่จะส่ายหน้า
“เหมือนลูกแมวตัวน้อย เขาคงเห็นเราเป็นพ่อแม่” เจ้าแมวดำที่ชอบเดินตาม พอคลาดสายตากลับหายไป
“อู๋เสีย ฉันจะบอกอะไรให้นะ อย่างเสี่ยวเกอไม่มีวันเป็นลูกแมวหรอก ที่นายเห็นตอนนี้ก็แค่เสือที่ถอดลายชั่วคราว ถ้าไม่ระวังนายนั่นละจะโดนขย้ำทั้งตัว”
“บ้า” ผมหัวเราะกับความคิดนายอ้วน “ถ้าเขาคิดร้ายกับพวกเราจริงป่านนี้พวกเราตายไปแล้ว”
“ไม่ใช่แบบนี้ นายมันไก่อ่อน” นายอ้วนคาบบุหรี่แล้วพ่นใส่หน้าผม ผมปาเปลือกลูกอมใส่เขา เขาหัวเราะก่อนที่จะชี้ไปทางห้องน้ำ ที่นั่นเมินโหยวผิงอยู่
“นายจะคิดเป็นลูกแมวก็ได้ ตอนนั้นเสือมันแค่ลืมไปว่าตัวเองเป็นเสือ “
“นายขี้เป็นห่วงไปแล้ว ต่อไปจะเอายังไง ฉันอยุ่ได้สามวันช่วงนี้จะดูแลให้เอง นายก็ช่วยใช้เส้นสายทางนี้สืบข่าวพอฉันกลับไปหังโจ จะช่วยอีกแรง” ผมพับผ้าของเมินโหยงผิงจนหมดยัดใส่ตู้เวสื้อผ้าก่อนที่จะเดินกลับมาหานายอ้วน
“นายอยู่กับลูกแมวของนายสองต่อสองได้ใช่ไหม” นายอ้วนเลิกคิ้วมองผม ทำให้ผมนึกฉุน
“ถ้าเสี่ยวเกอนึกฆ่าฉันขึ้นมา ฉันวิ่งหนีทันน่า” นายอ้วนหัวเราะใส่ผมอีกครั้ง เขาเอื้อมมือมาลูบหัวผมจนยุ่งไปหมด โอยอะไรกัน ผมพูดผิดตรงไหน
“เสี่ยวเสีย รู้ไหมเวลาสัตว์มันล่าเหยื่อมันจะไม่เข้ามาใกล้ แต่จะคอยมองอยู่ห่างๆ เหยื่ออย่างนายคงไม่เคยรู้ตัว”
ผมกลายเป็นเหยื่อตั้งแต่เมื่อไร ผมอยากประท้วงแต่นายอ้วนหยิบกุญแจสำรองของบ้านเข้ากระเป๋า
“ตอนนี้สายตาแบบนั้นหายไปแล้วเพราะผุ้ล่าหลงลืมไป นายก็ระวังอย่าตกเป็นเหยื่ออีกรอบละ”
นั่นคือคำสุดท้ายก่อนที่จะไปไม่วายทิ้งเบอร์โทรศัพท์ให้กับผม นี่คิดว่าผมจะเป็นไรไปหรือ พอมาคิดดูฝีมือของเมินโหยวผิงก็แทบไม่ใช่คน ถ้าเขาจะทำร้ายแค่สองนิ้วควักไส้แบบด้วงศพผมก้ตายแล้ว พอคิดว่าตัวเองช่างอ่อนแอไร้ทางป้องกันผมก็กำเบอร์โทรศัพท์ไว้แน่น
“.เอะ หลังคารั่วหรือไง” ผมสะดุ้งยามที่มีหยดน้ำร่วงหล่นใส่ พอเงยหน้าขึ้นไปผมก็แทบล้มไปทั้งเก้าอี้ เมินโหยวผิงที่ไม่รู้ว่าอาบน้ำเสร็จตั้งแต่เมื่อไร ยืนค้ำหัวของผม หยดน้ำจาปอยผมที่ไม่ได้เช็ดร่วงหล่นบนใบหน้าของผม
เจ้าหมอนี่ ผมหันกลับไปคว้าเอาผ้าขนหนูเขย่งตัวเช้ดให้กับเขา มองยังใบหน้าหล่อเหลาที่เรียบเฉย เห้นยังแผงอกกำยำดูเหมือนเขาจะกลับมากินอาหารจนกลับมาเป็นดังเดิมแล้ว อดไม่ได้ที่จะเผลอลูบไล้ผิวกายของเขา นิ้วของผมลากไล้ยังลำคอแกร่ง เกลี่ยไหปลาร้า วนกับแผงอกแน่นตึง ก่อนที่จะโดนเขาจับมือเอาไว้
วินาทีที่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่หน้าของผมก็แดง รู้สึกถึงอุณหภูมิของร่างกาย พลันคำพูดของนายอ้วนเข้ามาในหัว
นี่ไม่ใช่แมวแต่เป็นเสือลืมลายเพียงชั่วครู่...
ผมเงยหน้ามองเข้ากับนัยน์ตาคมกริบของเขา ความหวาดกลัวจู่โจมสู่จิตใจเพียงชั่วครู่ ก่อนที่เจ้าเสือตัวนั้นจะเลียนแบบแมว ซบเข้าที่ไหล่ของผม
ผมลูบศีราะของเขา กอดรัดแผ่นหลังลูบราวกับจะปลอบ เขากอดตอบราวับต้องการที่พักพิง ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่กระดาษโน๊ตจดเบอร์โทรศัพท์หลุดไปจากมือ
ดูท่าผมคงไปไหนไม่ได้ตลอดสามวันเสียแล้ว
...........................................
เจ็บปวด ทรมาน ไม่มีเวลาอีกแล้ว ไม่มีเวลาอีกแล้ว ถาไม่รีบละก็...
คำเหล่านั้นวนเวียนอยู่ในหัวของผม ผมไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ทอดทิ้งให้ผมจดจำมีเพียงความมืดมิดที่ไร้คำบรรยาย
ทำไม ทำไม ทำไม หลายครั้งที่ผมเอาแต่ท่องถ้อยคำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา ผมมองมือของตัวเองราวกับไม่รู้จักมัน มองภาพของตนเองในกระจก แล้วถามย้ำยังหัวใจว่า “นี่คือใคร”
นี่คือใครงั้นหรือ ผมเป็นใครมาจากไหน แล้วจะทำอะไร ทำไมสิ่งที่หลงเหลือแยู่ในหัวใจกลับมีแต่ความหวาดกลัว ผสมหสานไปกับความสิ้นหวังอย่างไร้ขอบเขต สองสิ่งที่บีบอัดให้หัวใจของผมแทบรับไมได้
อยากจะกลับตาแล้วสูญหายไปทั้งแบบนี้ นั่นคือความคิดในห้วงสุดท้ายของผมตัวผมก่อนหน้านี้คิดเช่นนั้น แต่อีกใจกลับอยากมีชีวิตอยู่ต่อ
ทำไมละ มันคือคำถามที่ผมไม่มีวันเข้าใจเพราะไม่มีโอกาสได้รับรู้ถึงเรื่องในอดีตของตัวเอง เมื่อวันที่ผมลืมตาตื่น มันคือความว่างเปล่า
ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน ไม่มีส่วนใดที่สามารถเชื่อมโยงกับผม
ในภาพฝันที่รางเลือนผมกลับเห็นเขา ทั้งที่สมองของผมเต็มไปด้วยความทรมาน
หยดน้ำตาที่ราวกับไข่มุกเลอค่าร่วงหล่นลูกแล้วลุกเล่าต่อหน้าผม ทำไม ร้องไห้ทำไม ภาพเบื้องหน้าพร่ามัวแต่ผมกลับยื่นมือไปหาเขาโดยอัตโนมัติ ทำไมผมถึงทำแบบนั้น ผมไม่รู้
รู้แต่เพียงว่าไม่อยากให้เขาร้องไห้
ใบหน้าน่ารักนี้เหมาะกับรอยยิ้มเสียมากกว่า หัวใจของผมเต้นรัว รู้สึกเจ็บปวด ทำไมกันนะ
ทำไม คำถามที่ผมไม่มีวันได้คำตอบ ผมเกลี่ยยังใต้ขอบตาของเขาจดจำได้ว่าเขาเป็นคนพาผมที่กำลังสับสนออกมาจากสุสาน
มือของเขาจับตอบผมแต่น้ำตานั้นยังไม่หยุดยั้ง หยดน้ำสีใสที่ร่วงหล่นพาให้ใบหน้าน่ารักอาบไปด้วยความโศกา
ผมไม่ชอบ ทำไมถึงคิดแบบนั้นผมไม่รู้ แต่เขาคือคนแรกที่ผมมองเห็น คือคนแรกที่ผมเกิดความรู้สึกอย่างรุนแรง
อย่าร้องไห้เลยนะ
หัวใจของผมตอบกลับมาเช่นนั้น ...
ผมมองเขาที่ร้องไห้จนกลับข้างเตียงของผม ผมเอื้อมมือไปปาดหยดน้ำตาที่ติดอยู่ที่หางตาของเขา จูบซับยังดวงตาที่บวม ก่อนที่จะช้อนร่างกายนั้นขึ้นมาแนบอก รู้สึกได้ถึงหัวใจของตัวเองที่เต้นขึ้นมา
คนคนนี้คือใครกัน ร่างกายผมยังคงจดจำได้แม้จะเลือนลาง ความรู้สึกต่างๆที่ถาโถมเข้ามาทีละเล็กทีละน้อย
ผมจำเขาไม่ได้ นั่นพาให้ผมเจ็บปวดจนแทบคลั่ง ความทรงจำที่เลือนหาย ผมรู้สึกไม่มั่งคงสับสนในตัวเองอย่างรุนแรง ผมควรต้องทำอะไรต่อ
ผมอุ้มร่างบอบบางที่ยังคงหลงเหลือคราบน้ำตาไว้บนโซฟา ห่มผ้าให้กับเขา จับมือเล้กที่อบอุ่น ผมบีบมันเมื่อรู้สึกตัวว่าผมเคยจับมันมาก่อน ก่อนที่จะยอมละจากร่างเล็กปล่อยให้เขานอนบนโซฟา ผมกลับมาที่เตียงของตัวเองนอนลงอีกครั้งหนึ่ง
ผมหลับตาลงรู้สึกเหมือนความรู้สึกในสมองตีกันยุ่งจนไม่เหลือที่อันใดอีกต่อไป
ผมควรตื่นจริงหรือ....ความรู้สึกวนไปมาในสมองของผม ผมจับไม่ได้ว่าตัวของผมต้องการอะไรกันแน่ เพียงแค่ที่กำลังสับสนประหนึ่งความฝันผมก็ได้ยินเสียงของเขา
“ไม่เป็นไรนะ ฉันจะอยู่ด้วย” คนคนนั้นพูดซ้ำไปมาราวกับจะตอกย้ำถึงเจตนารมณ์ ผมกุมศีรษะเฝ้าฟังยังเสียงนั้น รับรู้ถึงความโหยหาที่มีต่อเขา
อ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนี้ ผมจะไม่เคยลืม ชั่วเวลาที่คิดขึ้นมาได้ผมก็ไขว่ขว้าหายังตัวตนที่มอบความอบอุ่น บนโลกนี้อาจจะมีแค่เขาคนเดียวที่พูดเช่นนี้กับผม
“ไม่เป็นไร”
ไม่เป็นไร เขาปลอบโยนทั้งผมและตนเอง
“ไม่เป็นไร ต่อให้เริ่มใหม่สักกี่ครั้ง ฉันก็จะทำ”
ความสัมผันธ์ที่จะถูกรีเซ็ตเหมือนเกมขึ้นมาเรื่อยๆ เขาจะทานทนต่อความเจ็บปวดนั้นไหวหรือ
“ไม่เป็นไร ฉันจะจดจำให้เอง เรื่องราวทุกอย่างของนาย”
พอได้จับมือคู่นั้น มันอบอุ่นพอกับคำพูดของเขา ผมอยากจะกอดเขาเอาไว้เพื่อหยุดยั้งความบ้าคลั่งที่ตีกันจนปวดหัวในร่างกายของผม ความทรมาน ความเจ็บปวดค่อยๆเลือนหายยามที่ได้แตะต้องสัมผัส
อยากจะอยู่เคียงข้าง ผมรู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถทำได้ และไม่มีวันได้พูดออกไป
หัวใจของผมโหยหา อยากจะยืนอยู่ข้างเขาจับมือเขา ทำไมผมถึงคิดเช่นนี้กัน ยิ่งแตะต้องตัวปมก็ยิ่งแน่ใจ
เขาคือใครผมไม่รู้ เขามีความสัมพันธุ์กับผมเช่นไร ผมไม่รู้ ผมรู้แต่เพียงว่า ส่วนลึกของหัวใจของผม อยากจะอยู่เคียงข้างหัว ส่วนหัวใจอีกฝั่งกลับบอกว่า ไม่ได้
สองสิ่งที่ตีกันพาให้ผมปวดหัว
ตัวตนของผมอันตรายเกินไป ผมมีภารกิจที่สำคัญแต่หลงลืมไป นั่นทำให้ผมร้อนใจจนแทบเป็นบ้า ผมไม่มีเวลาจะมาอยู่กับเขา แม้ในใจจะร่ำร้องเพียงใด
“ไม่เป็นไร” เสียงนั้นยังเอ่ยซ้ำ เขายื่นมือมาให้ผม ผมรู้ดีว่าไม่ควรจะตอบรับมือนั่น แต่ผมกลับยื่นไปหาเขา
หัวใจของผมกำลังพังทลายลงอย่างเชื่องช้า ความเจ็บปวกทรมานค่อยๆเลือนหาย
ผมอยากสัมผัสเขามากกว่านี้ ในยามที่ได้ลิ้มรสเลือดที่ติดที่ริมฝีปากผมคิดว่าตัวเองเป็นสัตว์ป่า ความรู้สึกร้อนรุ่มแผ่เข้ามาในกาย อยากจะขย้ำเหยื่อตรงหน้าแต่ผมก้ละจากมันมา ในตอนนี้ผมยังไม่เข้าใจความรู้สึกขงตัวเอง เห็นเขาโมโหผมก็ยอมทำตาม
จะผิดไหมนะ ถ้าผมยังอยากยื้อเวลาอยู่ข้างกายเขาไปอีกสักพัก...
ผมขอโทษ....
.........................................
เวลาที่สงบสุขมักผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ หลายครั้งที่ผมคิดแบบนั้น ในช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเมินโหยวผิงคุยง่ายกว่าที่คิด ราวกับกำแพงที่เขาก่อเอาไว้เสมอได้พังทลายลง
เมินโหยวผิงถึงปม้เราจะเข้าหาเขาสักแค่ใด แม้เขาจะยิ้มให้เราอย่างแท้จริง แต่เขาจะมีกำแพงบางๆกั้นพวกเราเอาไว้อยู่เสมอ ราวกับหวาดกลัว ไม่ยอมให้ใครแตะต้องถึงตัวของเขาได้ แต่เมินโหยวผิงคนใหม่ไม่ใช่ เขาไม่มีกำแพง ไม่หลีกหนีจากเรา แม้ว่าเขาจะคงเย็นชาเหมือนแต่ก่อน นั่นทำให้ผมและนายอ้วนรู้สึกโล่งอกไปเปราะหนึ่ง
นายอ้วนไปสืบข่าวคราว ส่วนผมก็ยกโทรศัพท์หาพานจื่อ ได้ยินว่าเขาจะรับปากช่วยเต็มที่ผมก็โล่งใจ กว่าจะจัดการทำความสะอาดบ้านเสร็จ ก็ล่วงเลยเป็นวันที่สามเสียแล้ว ดูเหมือนเวลาที่อารองให้ไว้กำลังจะหมด ช่วงเวลานี้ผมได้คลุกคลีอยู่กับเจ้าลูกแมวที่ถึงเนื้อถึงตัว
ใช่ ถึงเนื้อถึงตัวนะไม่ผิดผมก้มลงมองเมินโหยวผิงที่นอนหนุนตักของผมอยู่ โชคดีที่เขาไม่ได้อ้วนเท่านายอ้วนไม่งั้นขาของผมคงเป็นตะคริว
นายนี่ทีเมื่อก่อนละห่างเป็นโยชน์ แถมชอบหายตัว พอตอนนี้ตัวติดยิ่งกว่าผสานกาย ถ้าเขาสามารถเกาะหลังผมได้แบบผีคงทำไปแล้ว
สุดท้ายเสบียงในตู้เย็นก็ไม่พอให้ดำรงชีวิตแม้นายอ้วนจะกลับมาเติมให้เรื่อยๆแต่วันนี้ผมคงต้องออกไปซื้อ ผมหันไปมองตัวปัญหาที่นอนหนุนตักผมอยู่ อดไม่ได้ที่จะลูบยังเรือนผมนุ่มนิ่มนั้น ให้ตายสิใช้แชมพูเดียวกันแท้แต่ผมของเขานุ่มกว่า คงเพราะเสี่ยวเกอเป็นคนมีเส้นผมละเอียด
ลูบไปลูบมาก็ราวกับลูบขนสัตว์ ราวกับได้เลี้ยงแมวตัวโต พอลูบไล้มันก็จะขยับตัว ซุกไซร้ใบหน้าลงกับตักของผม นัยน์ตานิ่งเฉยลืมขึ้นมองผมก่อนที่จะหลับลงไปใหม่ ยึดเอาตักของผมเป็นที่นอนของมัน
อุ .....น่ารักเป็นบ้า แม้ว่าผมจะหงุดหงิดเล็กน้อยที่ขยับไปไหนไม่ได้แต่ก็ปล่อยให้เขานอนหนุนอยู่เช่นนี้ อู๋เสีย เอ๋ย อู๋เสีย เมื่อไรนายจะมีความต้านทานผู้ชายที่ราวกับศิลปะคนนี้ได้กันนะ
“เสี่ยวเกอ” ผมดุในยามที่มือเหยีดยยาวของเขาโอบรอบเอวของผม ผมเป็นผู้ชายจะโดนลูบคลำก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่ทำไมไม่รู้ยามที่โดนนายเมินโหยวผิงลูบคลำแล้วผมกลับร้อนวูบวาบ
“ของกินน่าจะหมดแล้ว” ผมครุ่นคิดถึงของกินในตู้เย็นอยู่มาสองวันได้แต่นั่งๆนอนๆกับเสี่ยวเกอ ตัวจะอ้วนลงพุงแบบนายอ้วน ขืนไม่ขยับได้กลิ้งแทนเดินแน่
“ออกไปข้างนอกกันไหม” ผมหันไปถามเจ้าแมวดำ มันมองผมอย่างเงียบงัน ผมถือว่านั่นเป็นคำตอบจับมือพลักให้เขาไปเปลี่ยนเสื้อ อย่างน้อยให้หาเสื้อคลุมเสื้อกล้ามสีดำเสียหน่อย ไม่งั้นสาวๆแถบนี้ได้เป็นลมล้มตายกันพอดี
ผมชะโงกหน้าต่างมองอากาศอบอ้าวข้างนอกพาให้ต้องกาเสื้อคลุมกับหมวกมาสวมอีกคน ผมดึงชายเสื้อเมินโหยวผิงให้เดินออกจากบ้าน เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นท่ามกลางแสงแดดและตอนกลางวัน เมินโหยวผิงในความรู้สึกของผม พอนึกถึงเขาทีไรก็จะนึกถึงตอนกลางคืน สุสาน และใต้ดิน การที่ได้เห็นเขาเอามือป้องแสงแดดท่ามกลางถนนพาให้ผมรู้สึกตื่นเต้น
“เสี่ยวเกอทางนี้” พอเดินออกจากบ้านได้ไม่เท่าไรผมก็อยากจะตบหัวตัวเองสักรอบ เมื่อกี้หลงชื่นชมไปได้เยี่ยงไร หมอนี่พออยู่ในกรวยละคล่องนัก พออยู่บนดินกลับเป็นพวกทักษะอ่อนด้อยทางทักษะดำรงชีวิตระดับเก้า “มานี่ห้ามหลง”
ผมรู้สึกเหมือนกำลังเลี้ยงเด็ก มือของผมจับอีกฝ่ายที่ยังยืนหน้านิ่งแต่เดินไปคนละทางกับร้านขายของ พระเจ้า หมอนี่มีชีวิตดำรงอยู่มาจนถึงนี่ได้เพราะสัญชาติณานและฝีมือล้วนๆ
“....” เสี่ยวเกอเหลียวมอง ก่อนที่จะเดินตามหลังผมอย่างว่าง่าย เมื่อก่อนตอนอยู่ใต้ดินผมต้องเดินตามหลังเขา มาตอนนี้อยู่บนดินเขาเดินตามผม ว่าไปแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ ผมเปลี่ยนเป็นลดระดับเดินเคียงกัน ก่อนที่จะดึงเขาไปที่ร้านที่ค้าใกล้ที่สุด พอเข้าประตูเลื่อนอัตโนมัติเมินโหยวผิงนิ่งไปชั่วครู่ พาให้ผมเกือบหัวเราะผมจับมือเขาเดินไปยังร้านเครป ก่อนที่จะมองหน้าเขาแล้วสั่งเครปไอติมสตอเบอรี่ตกแต่งด้วยไอซิ่งสีชมพูให้
เมินโหยวผิงรับมายืนมองราวกับเจอราชาด้วงศพ มือที่มีนิ้วยาวผิดปกติถือเครปไอติมจนมันจะละลาย นัยน์ตาสีดำขลับไม่แสดงสิ่งใด แต่การที่ผู้ชายหน้าตากระชากใส ใส่เสื้อกล้ามมีกล้ามเนื้อโผล่พ้นให้น้ำลายหกมายืนของที่แสนจะไม่เข้ากับใบหน้าสุขุมเรียกสายตาคนรอบข้าง
สาวน้อยที่ยืนต่อแถวซื้อเครปต่างหันมามองเขาเป็นจุดเดียว ผมเกาะเก้าอี้อยู่ข้างเมินโหยวผิง หัวเราะราวกับได้บรรลุอะไรสักอย่าง
เปล่านะ ผมไม่ได้เป็นคนนิสัยไม่ดีแบบนายอ้วนเสียหน่อย แค่อยากรู้ว่านายเมินโหยวผิงมาเจอของกุ๊กกิ๊กแบบนี้จะทำอย่างไร
“นายกินหน่อยสิ มันกินได้” เห็นเขายืนจ้องจนไอติมจะละลายผมก็เอ่ยเตือน เมินโหยวผิงก้มลงราวกับจะดมชั่วครู่ก่อนที่จะกัดเครปด้านบน ให้ตายแม้เขาจะกัดจนปากเลอะแต่ไอ้ท่าเลียริมฝีปากนั้นก็พาให้สาวแทบนี้จะล้มประดาตายไปแล้ว
รวมทั้งผม...
ไอติมที่ละลายจากเครปเลอะมือของเขาไหลลงไปถึงข้อแขน เสี่ยวเกอยกมันขึ้นมาเลียตามมือตัวเอง นัยน์ตานุ่มลึกหรี่ลงครึ่งลง ดวงหน้าเอียงก่อนที่ลิ้นสีชมพูจะเลียริมฝีปากตัวเอง ท่วงท่านั้นใช้เวลาไม่ถึงห้านาที แต่ผมรู้สึกเหมือนมันนานชั่วกลัย์
นี่สินะที่เขาว่ากันว่าคนหล่อทำอะไรก็ดูดี
“เลอะไปหมด” ผมเค้นพลังเฮือกสุดท้ายละสายตาจากเขาออกมาได้ ตรงเข้าไปเช็ดมือ หยิบเครปที่กินเหลือของเขาคิดว่าจะทิ้งแต่เมินโหยวผิงกลับจับเอาไว้ก่อนที่จะยัดใส่ปากของผม
“หวานเหมือนนาย”
อะไร! นายเคยชิมฉันมาก่อนหรือไง ผมอยากจะเถียงแต่เครปที่ยัดเข้ามาในปากทำให้ผมได้แต่เคี้ยว มันหวานจนแทบอ้วก ไม่รู้เมินโหยวผิงกินได้อย่างไร หรือที่แท้แล้วเขาจะชอบของหวาน แต่ไหนแต่ไรผุ้ชายก็ไม่ชื่นชอบของหวานของพวกผู้หญิงอยู่แล้วที่ผมซื้อให้เขาเพราะอยากแกล้ง
“นายชอบหรือ” พอผมถามเขาก็พยักหน้า ให้ตายนี่คือการค้นพบใหม่ เมินโหยวผิงนายคนหน้านิ่งดันชอบกินของหวาน หน้าแบบนี้อะนะ...
ผมค้างไปหลายนาทีจากที่เคี้ยวเครปในปากก็ไมได้เคียวเสียแล้วเห็นแบบเมินโหยวผิงก็ก้าวเข้าใสใหล้ผม ประคองใบหน้าของผมขึ้นก่อนที่จะจูบลงมา ท่ามกลางประชาชี
เฮ้ย! ผมตกใจจนลืมหายใจ มือแกร่งของเขาประคองใบหน้าผมเอาไว้ทำให้ผมไม่สามารถหนีได้ ได้แต่รองรับลิ้นนุ่มที่ควานเข้ามา เมินโหยงผิงกวาดเอาเครปในปากของผม ดูดดึงไล้เลี่ยโพรงปากก่อนที่จะผละจากผม ยืนเคี้ยวหน้าตาย ราวกับมันเป็นเรื่องธรรมชาติ
ผมราวกับถูกสาป เมื่อกี้คือจูบจากผีที่แกร่งกล้าที่สุดในสุสาน มันมีความสามารถทำให้คนที่ถูกจูบแข็งราวกับโดนเมดูซ่ายืนจ้องได้ ขาของผมขยับไม่ได้ สมองก็เต็มไปด้วยเสียงในใจที่จับไม่ได้ศัพท์
เดี๋ยว เดี่ยวก่อนเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น
kuramajoy
kuramajoy
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า

จำนวนข้อความ : 206
Points : 3772
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[fic]บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน [ผิงเสีย] Empty Re: [fic]บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน [ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by kuramajoy Thu 06 Nov 2014, 20:50

“กริ๊ด” เสียงกรีดร้องของหยิงสาวพาให้ผมรู้สึกตัว เมื่อเงยหน้าสบตาเข้ากับเจ้าตัวดี หมอนั่นเพียงแค่ใช้นิ้วโป้งปาดคราบสตอเบอรี่ที่ติดอยู่กับริมฝีปากอย่างเชื่องช้าก่อนที่จะเลีย
เฮ้ยเมื่อกี้นายเพิ่งจะ... จะ... จูบหรือเปล่า ?
“เสี่ยวเกอ เมื่อกี้ เมื่อกี้” ตัวของผมสั่นสะท้านเมื่อสัมผัสกับความจริง พอหันไปมองกับบรรดาสายตาที่พวกเราผมก็หดคอลงโดยอัตโนมัติ รู้สึกหน้าตัวเองร้อนผ่าว อากาศร้อนในยามกลางวันผมว่าร้อนแล้วแต่แดดวันนี้คงแรงไปกระมั้งตัวของผมถึงได้แทบสุก
ผมหันหลังก่อนที่จะวิ่ง วิ่งราวกับเจอแม่ย่านางในสุสาน ให้ตายไอ้บ้าเมินโหยวผิง แล้วต่อไปนี้ผมจะออกมาเดินแถวนี้ได้เยี่ยงไร ไอ้ลูกแมวบ้า แย่งอาหารไม่ดูเวลาสถานที่
ผมวิ่งเลี้ยวมาถึงซอยหนึ่งดูเหมือนมันเป็นซอยตัน ผมเงยหน้าขึ้นมองกำแพงอีกฝั่งคือต้นไม้ใหญ่ เหงื่อผุดพรายจนชุ่มเสื้อเชิ๊ต ผมดึงเสื้อเชิ๊ตจากผิวกายปัดเม้ดเหงื่อที่เข้าตาก่อนที่จะคิดได้
ตายแล้วผมลืมเมินโหยวผิง เจ้านั่นเป็นหนอนใต้ดินขึ้นมาบนดินกลายเป็นไอ้เอ๋อระดับเก้า แบบนี้ผมต้องรีบวิ่งไปแจ้งตำรวจหาเด็กหายหรือเปล่า
ด้วยความอับอายพาให้ผมวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต อู๋เสียเอ๋ย อู๋เสีย รู้ที่ไหนอายถึงนั่น แต่ไอ้ฉากเมื่อกี้โดนตีให้ตายก็ไม่สามารถเล่าให้อาและเตี่ยได้เด็ดขาด ไม่งั้นอาสามได้โมโหถล่มบ้าน อารองจ้างคนลอบฆ่า ส่วนเตี่ยคงจะกักผมในบ้านชั่วชีวิต โทษฐานที่ทำเสียชื่อเสียงตระกูลอู๋
ฟุ้งซ่านก็ส่วนฟุ้งซ่าน ผมในตอนนี้ระเบิดพลังวิ่งหนีรวดเดียวจนแทบจะหมดแรง รู้สึกวิงเวียนหน้ามืดร่างกายขาดน้ำเกินไป ขาแข้งอ่อนแรงในจังหวะที่จะจูบเข้ากับพื้นร่างของผมก็ถูกคนรับเอาไว้ กลิ่นสมุนไพรจางๆลอยเข้าจมูกของผม มันเป็นกลิ่นคุ้นเคยที่ทำให้ผมต้องลืมตา
กลิ่นของเมินโหยวผิง
ผมเงยหน้าขึ้น ดังคาด เมินโหยวผิงใช้มือข้างหนึ่งประคองตัวของผมเอาไว้ มืออีกข้างยื่นขวดน้ำที่ไม่รู้เอามาจากไหนให้ ให้ตายมลืมได้อย่างไรว่าเขาแข็งแกรงกว่าผม วิ่งเร็วผม ถึงผมจะวิ่งหนีสักสิบชาติแค่เขาก้าวทีเดียวก็มาดักข้างหน้าผมได้แล้ว
“นายไปเอามาจากไหน” ผมมองขวดน้ำขนาดเล็กเมินโหยวผิงหยิบจดหมายกระดาษสีชมพูขึ้นมา ผมถึงบางอ้อทันที หนอยเวลาชั่วพริบตานายยังถูกจีบได้อีกนะ
ผมคว้าขวดน้ำมาดื่ม แม้สาวเจ้าจะให้นายเมินโหยวผิงแต่ผมจะยึด มีอะไรไหม
“อยู่ไหนแล้ว”
สิ้นเสียงถามของเขาทำให้ผมรู้สึกตัวว่าตัวเองวิ่งเตลิดมาถึงไหนไม่รู้ ที่นี่คือปักกิ่งไม่ใช่หังโจที่ผมคุ้นเคย พอเป้นแบบนี้ผมก็รู้สึกเสียใจ ให้ตายเถอะ ผมหันมองไปมาพลางพยายามใช้ความทรงจำอันน้อยนิดของตัวเองแต่เสี่ยวเกอกลับรั้งตัวผมขึ้นพาดบ่า ชั่ววินาทีนั้นผมพลันรุ้สึกว่าตัวเองกำลังลอย ไม่สิ เสี่ยวเกอกำลังกระโดดขึ้นยังหลังคาที่สูง
ให้ตายนี่ผมกำลังอยู่ในหนังจีนกำลังภายในหรือเปล่า นายยังเป็นคนอยู่หรือไม่ สารภาพมานะเมินโหยวผิงที่แท้นายคือยอดจอมยุทธูที่ตกหน้าผาไปเจอคัมภัยร์สุกยอดอรหันมาใช่ไหม
ผมกรีดร้องไร้เสียงเมื่อเขาแบกผมแบกแล้วย่ำไปบนหลังคาได้ยินเสียงเท้าของเขากระแทกหลังตา การกระดอนขึ้นลงอย่างรุนแรงพาให้ผมเกือบอ้วก แต่ชั่ววูบเดียวเขาก็กระดดดลง วินาทีที่เท้าได้สัมผัสพื้นผมรู้สึกผืนแผ่นดิน การเดินด้วยเท้าตัวเองสุดแสนจะสุดยอด ผมอุดปากตัวเองกลืนเอารสเปรี้ยวเงยหน้าขึ้นมองพบว่าภาพเบื้องหน้าคือบ้านที่เพิ่งออกมา
นายนี่อย่าบอกนะจำบ้านแค่หลังคานะ เมินโหยวผิงเดินมาข้างผมใช้ยัน์ตาสีดำลุ่มลึกมองผม ผมคิดว่าถ้าตัวเองไม่ลุกเขาคงอุ้มผมราวกับเจ้าบ่าวอุ้มเจ้าสาวเข้าประตูวิววาร์แน่ คิดแล้วก็ขนลุกซู่ ผมจึบรีบลุกพุ่งไปที่ห้องน้ำล้างปาก
สุดท้ายผมก็โทรสั่งอาหารมาแทนตอนที่เอาอาหารชาติตะวันออกให้เขากิน ดวงตาของเมินโหยวผิงพลันโตขึ้นนิดหนึ่ง ผมอมยิ้มก่อนที่จะขุนเจ้าแมวน้ำ เมื่อกินเสร็จอดไม่ได้ที่จะจับแขนของเขาดุเหมือนเพราะอาหารการกินที่ดีกว่าเดิมทำให้แขนของเขาใหญ่กว่าเดิม
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแม่มดใจร้ายที่พยายามขุนก่อนจะจับกิน แต่เมินโหยวผิงเมื่อก่อนก็ผอมเกินไปจริง พอมากินดีอยู่ดีแบบนี้เขาจึงค่อยมีน้ำมีนวลขึ้นมาหน่อย ดุตัวจะใหญ่กว่าเมื่อก่อนเสียอีก
ไม่พูดพร่ำทำเพลงผมเลิกเสื้อเขาขึ้น เมินโหยวผิงยืนนิ่งราวกับผมจะทำอะไรกับเขาก็ได้ ผมรีบแตะลงยังหน้าทองแน่นตึง เอะ แน่นตึง ให้ตายเจ้านี่กินไปมากขนาดนี้กลับไม่มีไขมันสักนิดเดียว เดี๋ยวๆ ทำไมของที่นายกินมันเปลี่ยนไปเป็นกล้ามเนื้อฟิตแน่นได้เร็วขนาดนี้ละ
ผมเอื้อมมาจับพุงตัวเองแม้จะยังราบเรียบแต่ก็แอบมีไขมันส่วนเกินติดมือเล็กน้อย หนอยบ้าที่สุด การเผาผลาญของผมกับเขามันต่างกันตรงไหน หรือเพราะเขาเป็นหนุ่มหน้ามลพันปี ส่วนผมตาแก่อู๋ที่อายุร่างกายห่างกับเขาถึงห้าหกปีจะเผาผลาญไม่ดีพอ
คิดไปคิดมาก็ปวดหัวผมปลึกตัวออกมายืนนอกชานหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกงรู้สึกตัวว่าไม่ได้สูบมันมานานแล้ว เสี่ยวเกอไม่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ขืนผมไปสูบอยู่ข้างคนไม่สูบบุหรี่ก็เท่ากับเร่งให้เขาตายไวขึ้น แม้ผมจะรู้ว่าเขาเป็นหนุ่มพันปีก็ตาม
เขาช่างเป็นหนุ่มที่บริสุทธิ์เหลือเกิน บุหรี่ไม่แตะเหล้าไม่ดื่ม ถ้าให้ผมทายเขาต้องไม่เคยกับผู้หญิงมาก่อนแน่ๆ แม้หน้าตาของเขาจะดึงให้สาวน้อยใหญ่วิ่งมาพลีกายแต่ด้วยนิสัยของเขา ให้ตายผมก็จิตนาการไม่ออกว่าหน้าตาตอนมีเซ็กส์ของเมินโหยวผิงจะเป็นแบบไหน ไม่แน่เขาอาจจะทำทั้งที่หน้าตายก็ได้
พอคิดขึ้นมาก็หัวเราะทั้งที่กำลังอัดบุหรี่เข้าปอดผลคือ รุ้สึกระคายเคืองคอจนไอโขลก ไม่น่าเลยจริงๆ คิดว่าจะดึงบุหรี่ออกแล้วดูดใหม่ บุหรี่ที่ผมคาบอยู่กับปากก็ถูกสองนิ้วที่ยาวผิดปกติคีบออกไปเสียแล้ว แผ่นหลังของผมประทะเข้ากับอกแน่นได้รุป ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าแมวมันตามมาราวีแล้วไง
“เสี่ยวเกอ”
“ไม่ให้สูบ” คำที่เขาพูดพาให้ผมเลิกคิ้ว อ้อมแขนแกร่งโอบรักผมจากด้านหลัง ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านขึ้นมาทีละนิดทำให้ผมรู้สึกว่าการออกมารับลมนอกระเบียงก็ไม่เลว
“ทำไม ฉันก็สูบมาตั้งนาน” ผมคว้ามือไปหมายจะแย่งบุหรี่คืนแต่เขากลับกำมันทั้งที่ไฟยังติดอยู่ ผมตกใจรีบให้เขาคลายมือ ก่อนที่จะใช้นิ้วแตะลงบนมือของเขา ผิวที่มือของเขามีรอยบไหม้บุหรี่เล็กน้อย นายทำบ้าอะไรเนี่ย
“นายไอ” พูดจบเขาก็ดึงวองบุหรี่ออกจากอกเสื้อของผมไปทั้งซอง เฮ้ยเดี๋ยวนั่นมันวองสุดท้าย นายไม่เข้าใจคนติดนิโคตินหรือไง
“เสี่ยวเกอ หยุด” ไม่ทันเสียแล้วด้วยแรงมือของเขาบีบทีเดียวมันก็หลายเป็นเศษผงร่วงกราว อะไรจะโหดได้ขนาดนี้พี่คุณ ไม่นะบุหรี่ซองสุดท้ายของผม
“ทำแบบนี้ฉันเหงาปากนะรู้ไหม” ไม่มีนิโคตินให้อัดเข้าปอดจนกว่านายอ้วนจะมาวันพรุ่งนี้ทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัว ผมไม่ได้เป็นคนติดบุหรี่แต่ยอมรับไม่ได้ว่าเวลาเครียด หรือทุกข์การได้อัดนิโคตินเข้าปอดมันทำให้ผมผ่อนคลาย
จุ๊บ...
ในจังหวะที่ผมกำลังนิ่งคิดเมินโหยวผิงก็โน้มตัวลงมา จูบแผ่วเบาที่ริมฝีปากของผม ปากของเขาแตะผมเพียงชั้วครู่ไมได้ล่วงเกินไปกว่านั้นแต่มันก็ทำให้ผมถอยกรูจนติดกับผนังอีกฝั่ง
“นาย” ผมชี้นิ้วใส่เขาแต่เขากลับเลิกคิ้วก่อนที่จะพูดคำที่ผมอยากจะยกหูโทรศัพท์ห้หวังเหมิงเหมาบุหรี่มาให้หมดร้าน
“ก็นายเหงาปาก”
แม่ง แม่ง แม่ง แม่งงงงงงงงงง
ในหัวของผมอุทานได้เพียงแค่นี้ นึกอยากจะต่อยหน้าเขาก็ทำไม่ได้ โอ๊ย แม่งงเอ้ยย
ทำไมผมรู้สึกว่าแมวตัวน้อยแสนน่ารักของผมเริ่มกลายพันธุ์...ไม่มั้งผมคงรู้สึกไปเอง เมื่อผมหันไปมองใบหน้าดูดีระดับนายแบบของเมินโหยงผิงแล้วก็ผ่อนลมหายใจ เขาไม่มีทีท่าว่าจะเป็นอะไรพวกนั้น หรือคุกคามผมสักนิด
ผมคงคิดมากไปเอง...มั้ง
“อู๋เสีย” เมินโหยงผิงเดินเข้ามาใกล้ทำเอาผมหันไปมอง “นอนด้วย”
ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก .... ไม่มั้ง ผมคิดมากไปเอง ฮ่าๆ เขาออกจะน่ารักจะตาย ดูหน้าเขาสิราบเรียบสนิทไม่มีความรู้สึกใดๆ
ผมถอนหายใจตั้งแต่ขาตื่นมาก็ติดผมราวกับเด็กน้อย ไหนก็จูงมือเขาตลอดอยู่แล้วจะนอนด้วยกันก็เป็นเรื่องจิ๊บๆ สุดท้ายคืนนั้นพวกเราจึงแบ่งเตียงกันคนละครึ่ง แต่ยังไม่ทันจะได้กลิ้งตัวลงนอน นายอ้วนก็เคาะประตูในยามดึก พาให้ผมเลิกคิ้ว นายอ้วนมีกุญแจสำรองของบ้านแต่กลับกดกริ่ง หรือว่าเขาลืม
โชคดีนักที่ผมแอบชะโงกหน้าไปดูก่อนถึงได้เห็นรถราคาแพงคันหนึ่ง รถคันนั้นผมจำได้ดีว่ามันเป็นรถของอารอง
อารองมารับผมแล้วแต่มันยังไม่ครบสามวันเลย อารองไม่ใช่คนผิดสัญญาแสดงว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้น ผมบอกให้เมินโหยวผิงรอผม ผมขอไปเคลียธุระ เขาก็ว่างง่ายยอมนั่งรอผมบนเตียงผมแต่งตัวก่อนที่จะวิ่งลงมา เห็นนายอ้วนแบมือหยักไหล่ราวกับเขาเองก็จนใจ มองไปพบกับพานจื่อ
“อารองละ”
“ไม่ได้มาขอรับ อารองสั่งให้ผมมาอยู่เป็นเพื่อนนายน้อยก่อนที่จะรับรุ่งเช้า”
“หา” ผมอ้าปากค้างไม่รู้ว่าทำไมอารองถึงสั่งแบบนั้น แต่แบบนี้ พานจื่อ นายอ้วน ผม กับเมินโหยวผิงล้วนแต่มีความหลัง พวกเราเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาด้วยกันนับไม่ถ้วน วันนั้นพานจื่อซื้อเหล้ามาด้วยพวกเราทั้งกินทั้งดื่ม คุยเรื่องสัพเพเหระไปทั่ว แต่เสี่ยวเกอกลับไม่แตะเหล้าแม้แต่นิดเดียว ยื่นให้เขาก็รับไปวาง ให้ตายเถอะเจ้าหมอนี่ช่างไม่รู้จักสีสันของชีวิตซะมั้ง
พานจื่อที่กำลังเมาได้ทีคว้าตัวเมินโหยวผิงไปร้องไห้ ร่ำลึกถึงเขาคนเก่า พร้อมกับกราบเขาที่ช่วยชีวิตงามๆ แน่นอนเมินโหยวผิงก็คือเมินโหยวผิง นัยน์ตานั้นราบเรียบมีเพียงมือที่แตะลงบนบ่าของพานจื่อ พานจื่อร้องไห้ใหญ่โตเหมือนจะเมาแล้วจริงๆเอาแต่บ่นเรื่องอาสามให้เมินโหยวผิงฟังไม่หยุด หากเป็นเมินโหยวผิงคนเก่าคงลุกหนีไปแล้วแต่ เมินโหยวผิงคนใหม่กลับนั่งฟังอย่างเรียบร้อยแม้จะไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา
น่ารักขึ้นมากจริง...
“เฮ้เสี่ยวเสีย” นายอ้วนเรียกผม ในมือถือถ้วยเบียร์ขนาดใหย่ดูเหมือนจะเมาได้ที่แล้วเหมือนกัน
“นายหายใจเบาๆหน่อย” ผมหยอกเขาตอนนี้ลมหายใจของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ ผมยกเบียรืดื่มอีกอึก รู้สึกตัวเองหัวเริ่มหมุนแต่ยังนั่งคุยกับเขา พอหันไปมองเจ้าแมวดำผมก็คลี่ยิ้มออกมา
“ต่อไปนี้ต้องฝากแล้ว ฝากเลี้ยงแมวฉันด้วยนะ”
“แมวบ้านเตี่ยแกสิ นั่นมันเสือซ่อนลายชัดๆ” นายอ้วนหยิกแก้มผม โอยมือของเขาเจ็บ “ไม่มีนายคอยคั่นกลางฉันกับเขาคงได้แต่เงียบใส่กันแน่”
“คิดมากน่า” ผมหัวเราะแห้งนายอ้วนรักเพื่อนจริงแต่เขาไม่เคยชินกับการรับมือความเงียบ แถมเขายังเป็นคนขี้เบื่อง่ายยิ่งกว่าผม สนใจนายเมินโหยวผิงได้แค่ห้านาทีคงจะเที่ยวเตร่ไปไหนอีกแน่
“นายมันดูแลคนไม่เป็นเอาซะเลย” ผมบีบแก้มเขากลับพร้อมต่อว่าแต่นายอ้วนกลับส่ายหัว
“คนอย่างเสี่ยอ้วนนะ ถ้าชอบใครสักคนจะดูแลเขาด้วยหัวใจ ทำให้ทุกอย่าง เสี่ยอ้วนออกจะเป็นผู้ชายที่ดี ตอนในกรวยฉันก็ดูแลนายดีไม่ใช่หรือ” เห็นนายอ้วนยืดอกแล้วผมก้อดจะต่อว่าเขาไมได้ คุ้ยไปคุ้ยมาในความทรงจำผมก็แทบด่าเขาไม่ออก
ในกรวยหลายครั้งต่อครั้งที่เมินโหยวผิงหายไปผมได้เขาคอยดูแล อย่างตอนในถ้ำงูถ้าไม่มีเขาผมคงรอเมินโหยวผิงจนตาย ไหนจะทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำล้วนแต่บอกถึงความรักเพื่อนของเขา แม้เขาจะปากไม่ดี โลภมาก แต่เขาก็ไม่เคยทอดทิ้งผม พอผมมีอันตรายเขาจะคอยวิ่งกลับมาเสมอ เขาเป็นคนนี่จะคอยอยู่ข้างหน้าผม ปกป้องผมอยู่ตลอด พอคิดมาถึงตรงนี้ในหัวใจของผมก็อดตื้นตันไม่ได้หยอกเขากลับ
“งั้นนายจะเลี้ยงฉันไหมละ”
“หึหึ” เขาหัวเราะราวกับมันเป็นคำพูดน่าขำ “ถ้าเป็นนายเสี่ยอ้วนเลี้ยงไม่อั้น”
“น้อยๆหน่อย” เห็นเขาทุบอกยืนยันผมก็หมั่นไส้ “ฉันเป็นถึงนายน้อยแห่งสกุลอู๋ แต่ไหนแต่ไรมีแต่คนตามใจ ไม่เคยมีคนขัดสักครั้ง นายจะเลี้ยงไหวหรือ”
“ถ้านายอยาก ฉันก็ทำได้ แต่นายไม่อยาก นายอยากเลี้ยงแมวมากกว่า” ไม่รู้เพราะกำลังเมาอยู่หรือเปล่าน้ำเสียงของเขาถึงได้ดูเศร้าสร้อยนัก ผมแตะเขาเบาๆเขาด้วยความหมั่นเขี้ยว
“เอานะ นายเลี้ยงฉันไม่ได้ แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนตายกันนี่” ผมไม่รู้ว่าเขาจะงัดเรื่องเลี้ยงไม่เลี้ยงขึ้นมาทำไม หรือเพราะกำลังจะตกลงกับผมหรือเปล่าว่าเราจะเลี้ยงเมินโหยวผิงยังไง
“งั้นฮันจะเป็นคนเช่าบ้านส่วนนายก็ซื้อข้าวซื้อเสื้อผ้าให้เขา “ ผมพูดคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเหมือนกับตัวเองกำลังเลี้ยงอีหนูสักคนแอบไว้
“นายทำยังกับนกในกรงทองแต่อย่างเมินโหยวผิงไม่น่าจะใช่มั้ง”
พอเขายกตัวอย่างผมก้ขำพรืดออกมา พวกเราหัวเราะกับเล่าเรื่องไร้สาระ นายอ้วนเป็นคนคุยเก่งยามที่ผมเครียดขอเพียงได้ยินเสียงเขาผมก็หัวเราะได้ทันที ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้ว่าผมไม่ควรเขยิบไปหาเขามากกว่านี้
อะไรบางอย่างบอกผมว่า หากเขาเขยิบหาเขามากกว่านี้จะทำให้เขาปวดร้าว
ทำไมกันนะ ...
คืนนั้นพวกเราดื่มกันไปอีกหลายยก ตกลงคุยกันว่านอกจากกางเกงในลายลูกเจี้ยบเราควรซื้อลายคิดตี้ให้เขาด้วย ถ้ามันอยู่บนร่างเขาคงจะน่าสนุกไปเลย
รุ่งเช้ามาเยือนแบบที่ผมไม่เต็มใจนัก ว่ากันตามจริงผมรู้สึกตัวอีกทีก็นอนอยุ่ในบ้านสกุลอู๋ พานจื่อคงแบกผมมาตอนหลับ ให้ตายนี่ผมยังไม่ได้ร่ำลาน้องแมวดำของผมสักนิด
โอยย ผมเป็นนายท่านที่แย่มาก ทิ้งอีหนูไว้กับเงินและชายอื่น แถมกลับมาโดยไมไ่ด้ร่ำลาถ้าอีหนูหนีจากผมไป ผมคงอกแตกตาย
บ่นก็ส่วนบ่นในเมื่อกลับมาแล้วก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้อารองตรงต่อเวลาแปะ เที่ยงคืนปุ๊บยกหูหาพานจื่อให้แบกผมที่เมาไม่ได้สติกลับมา โชคยังดีที่นายอ้วนเป็นคนรับช่วงต่อหวังว่าเขาคงอธิบายให้อีหนูผมฟังรู้เรื่องนะ
ผมสะบัดศรษะไล่อาการเมาค้าง เดินไปล้างหน้าล้างตาก็พบเข้ากับอารองที่หน้าประตูราวกับมาดักผม ผมไม่ได้คิดจะหนีเสียหน่อย
“อารองโหดไปแล้ว” พอเจอหน้าเขาผมก็ฉุนไม่ได้ สามวันเขาให้ไม่มีต่อรองแม้วินาทีเดียว มิน่าพานจื่อถึงได้ไปอยู่บ้านเช่าเมื่อวาน
“ใครใช้ให้แกก่อเรื่องละ” อารองขมวดคิ้วจนแทบจะชนกัน ผมสะดุ้งสุดตัวถามอารองว่ามันคือเรื่องอะไร แต่อารองกลับไม่บอก
นิ้วเรียวของอารองแตะลงที่ริมฝีปากผม ผมยังไม่ได้แปรงฟันจึงทำให้ถอยไปอัตโนมัติ สักพักเขาก็รั้งแขนผมไปที่อ่างล้างหน้า เปิดก็อกน้ำล้างปากผม
“เบาหน่อยอา ปากผมจะพังแล้ว ถ้าเหม็นขี้ฟันผมจะให้ผมแปรงฟันก็บอกมาดีๆ”
อารองหลังจากทำความสะอาดปากผมจนพอใจก็ปล่อยผมที่เปียกโชกราวลูกหมา กระดิกนิ้วเรียกเด็กให้เอาเสื้อผ้าใหม่มาให้ผมเปลี่ยน นัยน์ตาคมกริบมองผมจนขนลุกซู่ แต่ไหนแต่ไรผมกลัวอารองรองจากเตี่ย ส่วนอาสามมักจะตามใจผมในบรรดายาติผมสนิทกับอาสามมากที่สุด ส่วนอารองถึงเขาจะดุไปนิดหน่อยแต่ก็ตามใจผมแถมยังเป็นห่วงผม แตกต่างจากเตี่ย ที่ดูสงบนิ่งจนน่ากลัว
“ปู่ฝากฝังแกเอาไว้กับพวกเรา ไม่ว่าจะชั่วดียังไงฉัรก็จะเลี้ยงแกเหมือนเป็นลุก และถ้าเป็นลูกฉันก็จะไม่ยอมให้ใครมาพรากไปแน่ แกเป็นหลานคนเดียวของตระกูลอู๋มีหน้าที่ต้องสืบสกุล ไม่ใช่โดนใครที่ไหนม่รู้มาเล่นได้”
ฟังคำพูดของเขาผมก็ตื้นตัน รู้สึกเจ็บในอก โอยนี่ถ้าอารู้ว่าผมไปเผชิญอันตรายมานับพันผมคงจะโดนตีจนก้นลาย
“อารอง ผมขอโทษที่ไม่เอาไหน” เพราะถูกตาใจจนเคยตัวผมอยากเรียนอะไรก็ได้เรียน ไม่ได้ถูกเข้มงวดเพื่อวางตัวให้เป็นผู้สืบทอด
“ฉันไม่ได้โกรธที่แกไม่เอาใจ แต่โกรธในความใสซื่อของแกต่างหาก ถ้าไม่มีอาสามป่านนี้แกถูกล่อลวงไปไหนถึงไหนแล้วรู้ตัวบ้างไหม” อารองพูดผมก็อัดนิโคตินเข้าปอด ผมนั่งเรียบร้อยต่อหน้าอารองที่นั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้หวาย สัมผัสเย็นบนพื้นพาให้รู้สึกหนาวสั่นกว่าเดิม
“ล่อลวง อาก็พูดเกินไป” ผมเกาแก้ม ผมไปถูกล่อลวงตอนไหน อาพูดยังกับผมเป็นสาวน้อยใสซื่อ ผมเห็นอารองพ่นควันบุหรี่ออกทำท่าเหนื่อยอ่อน
“ตอนนี้ไม่มีเจ้าสามอยู่แล้ว ฉันจึงต้องมาดูแลแก” น้ำเสียงของเขาเศร้าสร้อยยามที่เอ่ยถึงอาสาม ผมไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอาสามที่แท้จริง หรืออาสามตัวปลอมกันแน่
“อารอง” ผมก้มหน้ายอมรับผิด อารองดีกับผมเสียขนาดนี้แล้วผมจะทำร้ายอารองได้ยังไง ไม่รู้ทำไมผมมีเพื่อนมากี่คนอารองไม่เคยเขม่น แต่คราวเมินโหยวผิงถึงได้เขม่นเอา
อารองหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบพ่นควันบุหรี่ขึ้นฟ้า ถอนหายใจ ช่วงเวลาเพียงชั่วครู่อารองที่ดูหนุ่มแน่นอยู่เสมอ อารองที่แสนเข้มงวดพลันแก่ลง ราวกับอ่อนแอชั่วเวลาหนึ่ง ผมมองอารองเบื้องหน้ารู้สึกเจ็บปวดอยู่ในอก
ผมรู้ว่ารองกำลังกังวลเรื่องอาสาม แถมยังดูแลผมอีก
“อารอง ผมโตแล้วดูแลตัวเองได้ อาอย่าห่วงเลย” เพื่อไม่ให้อารองผู้เป็นเสาหลักของครอบครัวต้องเครียดตายไปเสียก่อนผมจำต้องยืนด้วยลำแข้งตัวเอง
อารองมองผมแล้วก็ส่ายหน้าก่อนที่กระดิกนิ้วให้ผมเดินเข้าไป ผมหวาดกลัวว่าอารองจะแกล้งผมอีก แต่สัมผัสที่ได้เมื่อเข้าหาคือมืออบอุ่นที่แตะยังผิวแก้มของผม
“อู๋เสีย แกรู้ไหมว่าวิ่งไล่ตามใครสักคนก็เหมือนกับการวิ่งในอุโมงค์ มีแต่ความมืดมิด หากคนที่เราวิ่งตามเขาวิ่งเร็วเกินกว่าที่เราจะตามทัน เราก็อาจจะหลงทางหาเขาไม่เจอ ได้แต่เจ็บปวดรวดร้าวแต่ไม่อาจตามไปได้ แกพร้อมจะรับความรู้สึกนั้นแล้วหรือ”
คำพูดของอาพาให้ผมสะอึก ผมก้มลงมองพื้น เท้าของผมกำลังไล่ตามใครคนหนึ่งอยู่ เพียงมีเขาผมก็จะวิ่งเข้าหาด้วยหัวใจที่ผสานไปด้วยความสุขและเจ็บปวด
ตอนแรกผมวิ่งไล่ตามยังอาสามเพื่อปริศนาของเขา แต่ทว่าตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว ตั้งแต่ที่โกลมุลผมก็เอาแต่ไล่ตามยังเงาของชายใจร้าย
คนที่หนีไปจากผมเสียทุกครั้ง คนที่ทำให้ผมมีความสุขผสานปวดร้าวได้พร้อมกัน....เมินโหยวผิง....
ผมเงยหน้าขึ้นมองอารองเขากำลังมองเลยผ่านผมไป ราวกับมองไปยังที่ไกลแสนไกล
“อารองก็ไล่ตามอาสามอยู่หรือเปล่าครับ”
“หึหึ” อารองไม่ตอบผมเขาดูดควันบุหรี่เข้าปอดอีกอึดใหญ่ พวกเรานิ่งเงียบกันประมาณบุหรี่ครึ่งมวลก่อนที่อาจะยิ้มให้กับผม
“แกเคยวิ่งไล่ตามใครไปถึงหน้าบ้านเขา แล้วโดนเขาปิดประตูใส่ ไม่ว่าจะทุบยังไงอย่างไรก็ไม่อาจเปิดประตูบานนั้นไหม ความรู้สึกที่ว่าจะไม่มีวันได้พบอีกแล้ว ความเจ็บปวดทั้งหมดนั้นมันหนักหนาเกินกว่าไหล่ผอมบางของแกจะรับได้“
ผมสะอึก รู้สึกเหมือนน้ำลายจุกที่คอ ....ความทรงจำของเมินโหยวผิงจะอยู่ได้เท่าไร หรือจะรีเซ็ตทุกสิบปี ถ้าเกิดเขาถูกรีเซ็ตในยามที่ผมไม่อยุ่ เขาก็จะไม่มีวันรู้จักผม และผมก็ไมไ่ด้พบกับเขาตลอดกาล
พอคิดขึ้นมาตัวของผมก็สั่นสะท้านกับความหวาดกลัวในการสูญเสีย
ไม่นะอู๋เสีย นายตัดสินแล้วไม่ใช่หรือว่าจะเข้มแข็ง
kuramajoy
kuramajoy
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า

จำนวนข้อความ : 206
Points : 3772
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[fic]บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน [ผิงเสีย] Empty Re: [fic]บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน [ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by kuramajoy Thu 06 Nov 2014, 20:51

ต่อไปนี้ผมอาจจะเจ็บปวดรวดร้าวจนน้ำตาไม่อาจจะระบายความเจ็บปวด ผมอาจจะมีชีวิตครึ่งหลังที่ไม่ดี แต่ไม่ว่ายังไง....มือข้างนั้น ...มือของเมินโหยวผิงที่ดึงชายเสื้อผม มือที่จับมือของผมราวกับหวาดกลัว ใบหน้าที่ตื่นกลัวของเขา ร่างที่สั่นสะท้าน อา..อา..
ปล่อยไปไม่ได้หรอก
ผมไม่อาจจะหักใจปล่อยมือข้างนั้นแม้จะรู้ว่าต่อไปนี้ตัวเองอาจต้องเผชิญกับอันตราย และความรวดร้าวเกินคำบรรยาย เจ็บทั้งกายและใจ เส้นทางข้างหน้ามีแต่ขวากหนาม แต่ผมก็ปล่อยมันไปไม่ได้
“ผมเป็นคนเก็บแมวมาเลี้ยง ผมเป็นเจ้านายผมก็ควรจะรับผิดชอบมันถึงที่สุด อารองเคยสอนผมว่าคนเราต้องมีความรับผิดชอบไม่ใช่หรือครับ”
เจ้าแมวดำตัวน้อยที่เพิ่งลืมตาหากไม่มีคนชักจูงมันคงเร่ร่อนด้วยความเดียวดาย ความจริงที่มันตามหาเริ่มจากศูนย์ ต้องใช้เวลาเท่าใดถึงจะตามเจอกัน ถ้าเกิดความจำเสื่อมอีกครั้งเล่า วัฎจักรที่ไร้ที่สิ้นสุดวนเวียนไปจนตาย
น่าสงสาร... มันน่าสงสารจนผมแทบร้องไห้
ผมกำหมัดแน่น... ปล่อยไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าจะต้องวิ่งจนเจ็บเท้าอย่างไร ไม่ว่าจะถูกปิดประตูใส่หน้าแค่ไหน ไม่ว่าจะต้องเจ็บปวดเพียงไร
“ผมปล่อยเอาไว้ไม่ได้หรอกนะครับ ไม่ว่ากี่ครั้งผมคงวิ่งไปหาเขาอยู่ดี”
พอผมพูดอารองก็ยิ้ม บุหรี่ในมือของอารองมอดลง เขาพ่นควันเป็นสุดท้ายก่อนที่จะขี้หัวของผม
“ฉันรักแกนะ”
“ผมก็รักอารองครับ” ผมกอดอารอง อารองที่แสนเข้มงวดแต่ในความเข้มงวดนั้นคือความหวานจนแทบละลาย
“แกยังหนุ่มแน่น ลองวิ่งเล่นสักหน่อยก็ได้ ถึงตอนนั้นอกอายังว่าง “
“อกอาไม่ถึงคัพเอฟอย่าหวังเลยว่าผมจะซบ”
พวกเรายิ้มให้กันแล้วก็หัวเราะ นัยน์ตาของอามองไปทางหน้าต่างอยู่บ่อยผมคิดว่าอาคิดถึงอาสาม สุดท้ายแล้วผมก็เก็บงำคำถามที่อยากรู้
อารองอยากจะไล่ตามใคร อาสามตัวปลอม หรืออาสามตัวจริง หรือทั้งสองคน
อาสามเป็นตัวปลอมอารองรู้ได้ตั้งแต่เมื่อใด ทำไมตอนที่อาสามหายไปอาถึงไม่ไปตาม ทำไมอาสามที่ไม่เห็นหัวใครกลับกลัวอารองที่สุด
เรื่องพวกนี้วนเวียนอยู่ในหัวผมแต่ผมไม่กล้าที่จะถามมัน เพราะกลัวว่าอารองจะเศร้ามากกว่านี้ ผมจึงได้ทำตัวเป็นหลานที่ดี ตามอารองไปทำงาน สุดท้ายก็กลับมาเฝ้าร้านในวันที่สาม
ผ่านมาอาทิตย์กว่า ไวเหมือนโกหก ผมมองหวังเหมิงกวาดร้านอยู่อย่างเงียบๆ มองยังประตูที่ไร้ลูกค้า ดูท่าร้านนี้อาจจะจบสิ้นในรุ่นผมก็เป็นได้ผมดูดบุหรี่รู้สึกว่าตัวเองดูดถี่ขึ้นทั้งที่ตอนที่อยู่บ้านเช่าดูดไปแค่ตัวเดียวแต่วันนี้บุหรี่ผมหมดไปแถวหนึ่งแล้ว พอบุหรี่ผมก็ถอนหายใจ
“เจ้านายอย่าถอนหายใจสิครับ เขาว่าถอนหายใจจะอายุสั้นนะ” หวังเหมิงที่กวาดพื้นอยู่หันมามองผม ผมแสยะยิ้มให้กับเขา
“งั้นฉันคงตายด้วยมะเร็งปอดก่อนละนะ”
ผมเปิดลิ้นชักดึงเอาบุหรี่ออกมา พอคาบมันผมก็คิดถึงตาคนที่ทำลายบุหรี่ของผม มอบจูบหวานหอมให้แทนนิโคติน ผมแตะริมฝีปากตัวเองอย่างไม่รู้ตัว ตอนที่ถูกลิ้นนุ่มกวาดโพรงปากเพื่อเอาเครปนั้นไปผมไม่เคยลืม รู้สึกว่าร่างกายตัวเองร้อน
ผมอ้าปากเลียยังบุหรี่ที่ยังไม่ถูกจุดนึกถึงท่าตอนเลียไอติมของเขา นัยน์ตาลุ่มลึกนั้นหรี่ลงครึ่งหนึ่ง ประสานกับลิ้นสีชมพูดูนุ่มนิ่ม อาผมของเขาที่ราวกับแพรไหม
“เจ้านายเป็นอะไรไปครับ” เผลอนิดเดียวหวังเหมิงก็เข้าใกล้จนประชิด ถ้าผมเบรกตัวไม่ได้อาจจะได้จูบกับลูกจ้างก็เป้นได้ ผมชกใบหน้ากวนนั่นจนอีกฝ่ายล้มกลิ้งพลางบ่นไร้สาระ
“ไม่ได้เป็นอะไร แค่คิดถึงสัตว์เลี้ยง”
อาการตอนนี้ของผมเหมือนคนเลี้ยงสัตว์แล้วคิดถึงมัน แต่ฟัดไมไ่ด้ อาแมวน้อยของผม อีหนูของผม ผมอุตส่าห์เสียเงินเช่าบ้านให้อีหนูอยู่แต่กลับไม่ได้ฟัดอีหนูเลย
“ผมเพิ่งรู้ว่าเจ้านายเลี้ยงสัตว์ด้วย มันเป็นตัวอะไรครับแล้วเลี้ยงที่บ้านไม่ได้หรือ”
“ไม่ได้นะสิ อารองเกลียดแมว จะเอาเข้าร้านก็ไม่ได้ด้วย” สุดท้ายมก็ไม่รู้ว่าทำไมอารองถึงได้เกลียดเมินโหยวผิงหนักหนา เห็นเอาแต่บ่นว่ามันจะแย่งของที่เขาเฝ้าถนุถนอมมายี่สิบกว่าปี
เมินโหยวผิงเคยไปขโมยอะไรของอารองมาหรือ แถมยังเป็นของสำคัญจนอภัยให้กันไม่ได้อีก ผมนั่งนึกถึงเมินโหยวผิงคนเก่า เขาผู้ทำทุกอย่างเพื่อความทรงจำอาจจะเคยไปเหยียบตาปลามาหลายคนก็ได้
ไม่รู้ว่าจะว่าใครผิดดี ระหว่างคนขี้ขโมย กับคนเจ้าคิดเจ้าแค้น เฮ้อ
“เจ้านายโทรศัพท์ครับ” เผลอใจลอยจนไมไ่ด้ยินเสียงโทรศัพท์พาให้ผมสะดุ้ง ผมลุกจากโต๊ะไปยกหูโทรศัพท์ได้ยินเสียงนายอ้วนลอยเข้ามา
“มีอะไร คิดถึงฉันมากหรือไง” ผมแซวเขา เขากลับหัวเราะก่อนที่จะแกล้งส่งจุ๊บๆให้กับผม ขยะแขยงที่สุด
“คิดถึงนะคิดถึงอยู่หรอก แต่เสี่ยอ้วนมีเรื่องเยอะกว่านั้น” ปลายสายเว้นช่วงเงียบนานจนผมชักจะหงุดหงิด พอผมคิดจะท้วงนายอ้วนก็ถามเขาอีกครั้ง “นี่เสี่ยวเสีย นายคิดจะเก็บเสี่ยวเกอไว้นานแค่ไหน ถ้าเขาอยากจะไปตามหาความทรงจำของเขากันละ”
“นายจะปล่อยให้เขาไปคนเดียวไม่ได้นะ นายไม่รู้ตอนนี้เสี่ยวเกอเป็นแค่เด็กอนุบาล” พอคิดถึงหน้าเจ้าแมวน้อยใจของผมก็ร้อนรุ่ม ถ้าปล่อยเขาไปมันก็วนลูปเดิม เขาต้องโดดเดี่ยวไปตลอดกาล
“เขาไม่ใช่เด็ก ถึงเขาจะจำไมไ่ด้แต่ไม่ได้ความหมายว่า ความรู้ของเขาจะหายไปด้วย เสี่ยวอู๋ นายกลัวเขาดำรงชีวิตไม่ได้ หรือกลัวเขาจากไป อยากให้เขาอยู่เคียงข้างใช่ไหม”
“นายพูดอะไร” ผมแค่ไม่อยากให้เขาต้องลับเป็นแบบเดิม ผมแค่ ...ผมแค่
“เสี่ยวเสีย เสี่ยอ้วนจะบอกอะไรให้นะ เสี่ยวเกอเก็บของจะจากไปแล้ว ถ้านายรีบนั่งรถไฟมา วิ่งสุดกำลังน่าจะทัน”
พูดจบนายอ้วนก็วางหูใส่ผม อะไรนะ หัวใจของผมเต้นรัวกับคำพูดที่ได้ยิน
เมินโหยวผิงจะจากไปแล้ว ถ้าจากไปคราวนี้่อให้ควานพลิกสมุทรเราก็หากันไม่เจอ ผมหยิบกระเป๋าเงินบนลิ้นชักวิ่งออกไปจากบ้านได้ยินเสียงหวังเหมิงดังมาจากข้างหลังแต่ผมไม่มีเวลาอีกแล้ว
ถ้าพลาดโอกาสนี้ไปผมอาจต้องรออีกสิบปี แถมเป็นสิบปีที่ว่างเปล่า ไม่รู้ว่าเขาจะจำผมได้ไหม
เจ้าแมวน้อยของผม พอผมคิดถึงใบหน้าที่สั่นกลัวยามลงมาจากอุกาบาทของเขา ร่างผอมบางที่สั่นสะท้านจนต้องฉีดยาระงับประสาท
ไม่เอาอีกแล้ว ผมจะไม่ให้เป็นแบบนั้นอีกแล้ว ผมรีบวิ่งขึ้นรถไฟทันเที่ยวสุดท้ายไปปักกิ่ง ช่วงเวลาที่นั่งอยู่บนรถไฟผมพลันคิดถึงเรื่องร้ายวนเวียนไปมา ในใจไม่สงบเพราะคำพูดของนายอ้วน ใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะเทียบชานชาลา
ผมเคยคิดว่ามันต้องเป็นแบบนี้สักวันแต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ นายอ้วนแม้จะรักเพื่อนแต่ไม่ใช่คนที่ดูแลคนอื่นดี เมินโหยงผิงก็เอาแต่เงียบ ถ้าไม่มีผมคอยหยอดน้ำมันอยู่ตรงหน้าป่านนี้พวกนั้นได้ทะเลาะ ไม่สิ คงมีแต่นายอ้วนบ่นเมินโหยวผิงอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนอีกฝ่ายไม่สนใจ
ผมวิ่งสุดชีวิต คิดว่าจะไม่มีอีกเป็นครั้งที่สองที่จะได้เห็นเขา ในใจพลันร้าวราว อาร้อน ..ร้อนจนแทบจะไหม
เท้าของผมถลอกปอกเปิก รองเท้าไม่รู้หลุดหายไปไหน คนรอบข้างมองผมราวกับคนบ้า ในที่สุดผมก็มาถึงหน้าประตูบ้านเช่าที่คุ้นเคย เห็นยังร่างสูงที่สะพายเป้ออกมาจากบ้าน
เมินโหยวผิงมองผมราวกับงุงงว่าทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ในสภาพนี้ ผมก้าวเดินไปหาเขาแต่เข่ากลับทรุดลงกับพื้น ดูเหมือนเท้าของผมจะใช้งานหนักไป ร่างของผมล้มอยู่เบื้องหน้า เพียงชั่วอึดใจมือที่ผมคุ้นเคยก็ยื่นมาหา พอเงยหน้าขึ้นไปก็พบเข้ากับใบหน้าหล่อเหลา นัยน์ตาของเขาเบิกกว้างกว่าปกติ
kuramajoy
kuramajoy
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า

จำนวนข้อความ : 206
Points : 3772
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[fic]บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน [ผิงเสีย] Empty Re: [fic]บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน [ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by kuramajoy Thu 06 Nov 2014, 20:52

ดูเหมือนเจ้าแมวดำกำลังเป็นห่วงผมอยู่
ผมจับมือนั้นเอาไว้ด้วยสองมือ กอบกุมก่อนที่จะดึงแขนของเขามากอดไว้แนบอก ...ไม่ยอมหรอกนะ ไม่ยอมให้ไปจากผมหรอกนะ
ไม่ให้ไปจากผมอีกเป็นครั้งที่สองแน่...
“อู๋เสีย” เสียงนุ่มทุ้มเรียกผม เขาลงมานั่งหน้าบ้านกับผม เพราะผมกอดแขนเอาไว้ไม่ยอมปล่อย มืออีกข้างของเมินโหยวผิงลูบใบหน้าของผม ท่าทางมันจะเขรอะฝุ่นน่าดู ก่อนที่เขาจะก้มลงมองที่เท้าของผม
ผมไม่ได้มองตามเขาแต่มันเจ็บจนเดินแทบไม่ไหว ผมรุ้ดีว่าตัวเองวิ่งมาทั้งที่ไร้รองเท้าเพียงไรป่านนี้คงถลอกจนหมด ได้กลิ่นเลือดโชยเข้าจมุกแต่ผมไม่สนใจ ผมใช้ร่างกายเขยิบไปหาเขาการไถลตัวโดยที่ไม่ได้ใช้มือกับเขามันลำบากเสียจนเมินโหยวผิงเป็นฝ่ายขยับมาหาผมเอง
ผมซุกเข้ากับอกแกร่งของเขา ซุกไซร้ซอกคอสูดดมกลิ่นสมุนไพรจากร่างกายของเขา มันเจือจางไปด้วยกลิ่นของคนตาย อา... อา..น้ำตาของผมไหลโดยไม่รู้ตัว
“อย่าไปเลยนะ อยู่กับฉันได้ไหม ฉันสัญญาจะเข้มแข็งกว่านี้ จะไม่เป็นภาระ “
ผมเอ่ยคำสัญญาที่เขาไม่เคยตอบรับกลับ ไม่ว่าจะเป็นเขาคนเดิมหรือตอนนี้
เมินโหยวผิงมองผมด้วยนัยน์ตาลึกล้ำ เขาไม่ตอบผมเช่นเคย นั่นคือเขาไม่อาจให้คำสัญญานี้กับผมได้ ผมพลันนึกถึงคำพูดของอารอง
หากจะวิ่งตามใครสักคน ต้องเตรียมใจรับความเจ็บปวดและการลาอยุ่เสมอ
อา... อา.... ผมครางรู้สึกเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ
โดยไม่รู้ตัวเมินโหยวผิงช้อนร่างของผมแนบอก อุ้มราวกับผมเป็นเจ้าหญิงคนสำคัญ หันกายเดินเข้าบ้าน วางผมอย่างแผ่วเบาลงบนเตียงในห้องของเขา เมินโหยวผิงนั่งคุกเข่าลงข้างเตียงของตัวเอง ปล่อยให้ผมนั่งอยู่บนเตียง ผมหันมองห้องของเขายังคงไร้ข้าวของ ทุกอย่างถูกเก็บอย่างเป็นระเบียบ ราวกับว่าเขาพร้อมจะจากไปได้ทุกเมื่อ
“นายจะออกตามหาความทรงจะงั้นหรือ”
เขาพยักหน้าให้แทนคำตอบ ผมจับกระเสือกกระสนจับเขาเอาไว้ รู้สึกมือชื้นเหงื่อ ผมรู้ดีว่าจะจับเขาเอาไว้แบบนี้ไมได้ ผมต้องปล่อยเขาไป
ถ้าไม่มีผมเขาคงตามหาความทรงจำได้เร็วกว่านี้ ...แต่ผมไม่อยากปล่อยเขาไป
ความรู้สึกสองอย่างที่ตีกันแน่นในอกสุดท้ายผมก็เงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วก็พบว่าตัวเองไม่มีวันปล่อยมือข้างนี้
ผมคงเป็นไอ้โง่ ทั้งโง่ทั้งบ้า
นี่อารอง ตอนที่อารองพยายามวิ่งไล่ตามใครสักคนของอา อาเจ็บปวดถึงเพียงนี้หรือเปล่า..
“ฉันเคยบอกจะตามหาร่วมกับนาย นายไม่เชื่องั้นหรือ” ผมตัดพ้อเขา ทั้งที่เราตกลงกันเอาไว้แล้ว ไม่สิ ผมกับนายอ้วนตกลงกันสองคน จวบจนถึงบัดนี้เขาไม่ได้พูดอะไรกับพวกเราแม้แต่น้อย นายมันไอ้บ้า ทำไมต้องแบกรับเอาทุกอย่างไว้คนเดียว
“มันเป็นความทรงจำของฉันไม่เกี่ยวกับพวกนาย” ถ้อยคำเย็นชาที่พาให้ผมเข่าอ่อน จริงสิมันไม่เกี่ยวกับผมแต่ว่า เขาจะไม่เชื่อใจผมงั้นหรือ
“ฉันไม่อยากให้นายตาย” นิ้วของเขาเกลี่ยแก้มของผม นัยน์ตาคู่นั้นสะท้อนเรือนร่างของผมในยามที่พูด ผมโอบกอดเขาเอาไว้ ก่อนที่จะกระชากคอเสื้อเขา ดึงเขามาจูบ
มันเป็นจูบครั้งแรกที่ผมเริ่มก่อน ผมแนบริมฝีปากกับเขาสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปาก ดูดดื่มรสชาติของเขา เพียงครู่เดียวที่เสี่ยวเกอยอมให้ผมทำตามใจก่อนที่จะพลักผมลงกับเตียง เพียงนาทีเดียวร่างที่ผมคุ้นเคยก็คร่อมทาบทับ
ใบหน้าดูดีของเขาชิดใกล้ผมหลับตารอรับจูบรุนแรงจากเขา ริมฝีปากได้รูปดูดริมฝีปากของผม ลิ้นนุ่มสอดแทรกเข้ามาควานไปตามโพรงปาก หยอกล้อลิ้นอ่อนเดียงสาของผมก่อนที่จะพัวกัน
“อืม..อื้อ” ผมครางรู้สึกเหมือนลิ้นตัวเองจะขาด ความร้อนถูกถ่ายทอดบนผิวกาย น้ำลายไหลเยิ้มลงจากปากที่จูบดูดดื่ม รากวับถูกสูบวิญญานออกไปในคราเดียว เนิ่นนานกว่าลิ้นนั้นจะเลิกหยอดล้อกลายเป็นดูดแรงจนผมหายใจไม่ออก เมินโหยวผิงถึงได้ยอมละริทฝีปากไป
ริมฝีปากของผมเยิ้มไปด้วยน้ำตา นัยน์ตาเต็มไปด้วยน้ำตา ผมคิดว่ามันต้องเป็นสภาพที่ตลกมากแน่ ผมจูบเขาแล้วเขาก็จูบตอบ ช่างน่าหัวเราะ
เขาโน้มตัวลงมาอีกครั้งก่อนที่จะจูบซับที่หน้าผากชื้นเหงื่อของผม ลูบเส้นผมของผม อย่างเชื่องช้า ผมจับมือของเขาเอาไว้ กอดแขนข้างนั้นไม่ปล่อย
อย่าไปไหนเลยนะ...
ใบหน้าของผมซุกลงกับไหล่ของเขา เขาจึงล้มตัวนอนข้างผมเพราะผมกลายเป็นคนเอาใจกอดเขาไม่ปล่อย มือของเขาลูบศีรษะของผมราวกับปลอบโยน
“จูบที จูบอีกครั้งได้ไหม” ผมราวกับคนบ้าที่ต้องการถึงการตอกย้ำตัวตนของเขา วินาทีที่เราสัมผัสกันผมรับรู้ได้ถึงตัวตนของเขาอย่างชัดเจน แม้ว่ารสจูบของเขามันจะไม่ได้หวานตรงกันข้ามมันออกจะขม แต่มันก็ราวกับยาเสพติดพอจูบไปครั้งหนึ่งผมกลับรู้สึกโหยหามันอีกครั้ง
เป็นครั้งแรกที่ผมถูกใครสักคนจูบอย่างร้อนแรงถึงขนาดนี้ เราจูบกันอยู่ราวบุหรี่ม้วนหนึ่งจนปากของผมบวมไปหมดเมินโหยงผิงถึงได้เลิกจูบผม แม้ผมจะขอเขาอีกครั้งเขาเอาแต่หอมแก้ม จูบหน้าผากผมแทน ผมซุกไซร้กับแผงอกของเขา ก่อนที่จะคราง เมื่อกี้ด้วยความหมกมุ่นกับตัวของเขาผมถึงไม่ได้รุ้ตัวว่าเท้ามีเศษแก้วตำ ผมยกมันเพ่นหาแต่เมินโหยวผิงไวกว่า เขาสะกิดเพียงนิดเดียวก็หยิบเอาแก้วออกจากผมได้
โอ้โหทีนี้โดนแก้วตำไม่ต้องไปหาหมอกันแล้วมาใช้บริการนายเมินโหยวผิงได้
เมินโหยวผิงผละจากข้อเท้าผม ผมจับเขาเอาไว้ ไม่ยอมให้เขาไปแต่เขากลับแกะนิ้วของผม
“เอาอุปกรณ์ทำแผล” เขาชี้มาที่เท้าที่ถลอกปอกเปิดของผม แต่ผมไม่ยอมต่อให้เจ็บกว่านี้ก็ไม่ยอม
“อู๋เสีย” เมินโหยวผิงเตือนผมแต่ผมไม่ยอม นัยน์ตาของผมมองซ้ายมองขวาหานายอ้วน
“นายอ้วนไปไหน”
“ไปทำธุระที่ร้านตั้งแต่เมื่อวาน” ได้ยินเขาตอบผมก็อ้าปากค้าง แต่นายอ้วนโทรมาหาผมเมื่อกี้นี้ น้ำเสียงราวกับอยู่ตอนที่เสี่ยวเกอจะออกจากบ้าน อะไรกัน
ผมถอนหายใจ แต่เขาก็พูดไม่ผิดและโชคดีที่ผมกลับมาเจอตานี่กำลังจะออกจากบ้าน ดูท่าจะไปผจญภัยเพียงลำพัง
ผมไม่อาจให้เขาสัญญาว่าจะอยู่กับผมได้ ความเจ็บปวดที่บีบอยู่ในใจทำให้ผมขอสัญญาใหม่กับเขา
“เสี่ยวเกอ ระยะหนึ่งได้ไหม อยู่กับอู๋เสียสักพักหนึ่งนะ เรามาตามหาความทรงจำของนายกันเถอะ” ผมบีบมือของเขาแต่อีกฝ่ายกลับนิ่งเงียบนั่นคือสิ่งที่ผมกลัวที่สุด
ถ้าเขาปิดประตูใส่หน้าเรา ไม่ยอมเปิดขึ้นมาเราจะทำอย่างไร
ผมดึงเขามาอีกครั้งจูบลงบนริมฝีปากที่โหยหา ผมไม่รู้ว่าทำไมต้องทำแบบนี้แต่ในใจคิดว่าถ้าไม่ทำจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว
“อู๋เสียหยุดจูบได้แล้ว” ผมโดนพลักออกจากเขา เมินโหยวผิงนายมันคนใจร้าย จูบเขาไม่ได้ เข้าใกล้เขาก็ไม่ได้ ผมได้แต่ร้องไห้
“อู๋เสียอย่าร้องไห้” เมินโหยวผิงปลอบผมก่อนที่จะจูบซับน้ำตา ผมพยายามกลั้นมันเมื่อรู้ตัวว่าร้องไห้โดยไม่รู้ตัว ผมสัญญาจะเข้มแข็งขึ้นแล้วนี่อะไร ผมปล่อยให้เขาซึมซับมันจนแห้งก่อนที่จะได้ยินเสียงกดกริ่ง
“เขามาแล้ว” เมินโหยวผิงอุ้มผมลงจากห้องของเขาชั้นสองไปตรงลานบ้านแล้วเดินออกไปเปิดประตูให้กับนายอ้วน พอนายอ้วนเข้ามาเห็นสภาพผมก็ตบหน้าผากตัวเอง
“อู๋เสียฉันว่านายไม่ใช่วัยรุ่นแล้วนะ ทำอะไรดูสังขารตัวเองบ้างเถอะ” บ่นก็ส่วนบ่นแต่เขาก็ทำแผลให้กับผม ผมแยกเขี้ยวใส่เขา
“นายนั่นละทำไมถึงไม่อยู่ฮึ”
“จะให้ฉันอยู่ตลอดได้ยังไง กิจการร้านก็มี ไม่มีใครอยู่กับใครได้ตลอดหรอกนะอู๋เสีย”
คำนั้นพาให้ผมรู้สึกสะท้อน แม้จะยังเศร้าอยู่แต่เมื่อมีนายอ้วนในใจของผมก็เกิดความรู้สึกสบายใจ รู้สึกโล่งใจ รู้สึกผ่อนคลาน พอเห็นหน้านายอ้วนผมก็ง่วงขึ้นมา เหมือนเขาจะให้มกินยาแก้บาดทะยัก แก้อักเสบไปพร้อมกัน ตาผมแทบจะปิดเมื่อกินข้าวเย็น มองเขาสลับกับนายเมินโหยงผิง
เมินโหยงผิงยอมวางกระเป๋าลงแต่ไม่ยอมเอาของในกระเป๋าออกนั่นทำให้ผมร้อนใจ เราพยายามเกลี่ยกล่อมเขา นายอ้วนเอาหลักฐานมาให้เขาบางส่วน แสดงให้เห็นว่าพวกเรายังมีประโยชน์ แต่เขาไม่เปลี่ยนความคิด
ทำไมพวกเราไม่มีประโยชน์กับนายหรือไง อย่างน้อยก็ยังช่วยได้เล็กน้อย
“ไม่อยากให้ตาย” เมินโหยวผิงพูดคำที่เคยพูดกับผมขึ้นมา เขาชี้ไปที่ผมและนายอ้วน “ไม่อยาก เพราะชอบ”
คำนั้นพาให้ผมกัดริมฝีปาก พวกเราเป็นได้เพียงตัวถ่วงของเขาแต่นายน้อยกลับหยิบมือของเมินโหยวผิงและผม มือของเราสามคนทับกัน
“เสี่ยอ้วนไม่เคยคิดทิ้งใคร อยุ่แล้วไม่ว่าจะเสือหรือหนูแฮมเตอร์”
“เดี๋ยวหนูแฮมเตอร์ของนายมันอะไร” ผมท้วงเขา ถ้าเมินโหยวผิงเป็นเสือ แล้วผมก็เป็นหนูนะสิ ผมไม่ตัวเล็กนิดเดียวปานนั้นเสียหน่อย ตัวแทบพอๆกับเสี่ยวเกอ อีกอย่างผมสูงกว่าเขาหนึ่งเซน
“โอเคงั้นเสี่ยอ้วนเลื่อนระดับให้เป็น หนูเกสบี้”
“เลื่อนกับเตี่ยนายนะสิ งั้นนายก็เป็นหมู!”
“ว่าเสี่ยอ้วนได้ยังไง อย่างน้อยอย่างเสี่ยอ้วนต้องเป็นฮิปโป”
“เป็นแค่หมูร้องอู๊ดๆนะพอแล้ว”
“งั้นนายก็เป็นหนูทดลองไปเถอะ”
เถียงกับนายอ้วนดูเหมือนจะไม่มีจุดจบผมโบกมือไม่สนเขาอีกต่อไป ช่างเถอะเขาจะให้ผมเป็นหนูอะไรก็ช่าง
“เสี่ยวเกอเรามาตามหาความจำนายร่วมกันเถอะ แม้เสี่ยอ้วนจะเจ็บนิดๆ แต่เสี่ยอ้วนเป็นคนใจกว้างจะดูแลให้ทั้งสอง”
“ดูแลอะไรของนายพอคว่ำกรวยเสี่ยวเกอนั่นละต้องดูแลนาย” พอได้ยินผมพูดนายอ้วนก็หัวเราะ ผมเหลือบมองหน้าเมินโหยวผิงดูว่าเขาจะมีปฎิกิริยาอย่างไร
เขากำลังสีหน้าลังเล ราวกับคิดไม่ตก หันมามองผมทีหนึ่ง นายอ้วนทีหนึ่งทีหนึ่งแล้วหันกลับไปมองมือของตัวเองก่อนที่จะหันมาหาผมอีกรอบ
“อือ”
ถึงมันจะเป็นคำง่ายๆสั้นแต่มันก็แทบทำให้ผมกับนายอ้วนกอดกันในความสำเร็จ อือ ของเขานี่คืออะไร พวกเราไม่รู้ รู้เพียงแต่ว่าเขาจะอยู่ร่วมกับเราสักระยะหนึ่ง
“งั้นก็อยู่กับฉันละกัน ยังไงฉันก็มีเส้นสายคว่ำกรวยอยู่แล้ว”
หายากที่นายอ้วนจะยอมออกปากก่อน ผมคิดไปคิดมาให้อยู่กับนายอ้วนต่อก็ไม่เลว ตอนนี้อาสามไม่อยู่กิจการของเขาก็ล่มไปหมด ผมไม่ใช่คนด้านนี้ไหนเลยจะรู้มากกว่าเขา
คืนนั้นพวกเราดื่มกันอีกรอบนายอ้วนซื้อเบียร์มาทิ้งไว้เยอะแต่เสี่ยวเกอไม่ยอมดื่มกับเขาสุดท้ายผมเลยได้แต่นั่งดื่มกับเขา เมินโหยวผิงไม่ร่วมวงดื่มเขาจึงขึ้นไปก่อน ผมกลัวว่าเขาจะหนีไปอีกเลยรีบลานายอ้วน แต่นายอ้วนบอกให้ผมหยุดก่อน
“อู๋เสีย รู้ไหมว่าคนที่โดดเดี่ยวมาตลอดนะกลัวอะไรที่สุด”
“หือ” ผมเลิกคิ้ว คำถามนั้นผมจะไปรู้ได้ยังไงผมไม่เคยโดดเดี่ยว
“การถูกผูกมัด สายสัมพันธุ์ที่หอมหวานไงละ ถ้าอยากจับเสี่ยวเกอให้ได้ นายต้องทุ่มสุดตัวนะ”
“หา..” ผมไม่เข้าใจเขาเอาเสียเลย แต่นายอ้วนกลับร้องเรียกเมินโหยวผิงบอกว่าผมเดินไม่ไหว ให้มาอุ้มหน่อย ผมกำลังจะเถียงเขาว่าแค่แก้วบาดกับถลอดนิดหน่อยผมเดินไหว เจ้าแมวดำก็โผล่มาด้วยความเร็วที่น่าตกใจ
มือแกร่งของเขารั้งร่างผมขึ้นแนบอกเมื่อเห็นอุ้มนายอ้วนถึงกับหัวเราะกลิ้ง หนอย นายนี่จะอุ้มผมพาดบ่าก็ไม่ได้ ทำไมต้องอุ้มท่าเจ้าสาว
“ไปไหน” เมินโหยวผิงถามยังกับรถแทกซี่ นี่ผมต้องให้ทิปเขาด้วยไหม
“ไปห้องนาย” พอผมพูดเขาก็ขมวดคิ้วแต่ไม่ได้ว่าอะไร จัดแจงวางผมลงบนเตียงในห้องเขาเหมือนเดิม พอยึดเตียงของเขาได้ผมก็ตบมือลงบนที่ว่างอีกฝั่งของเตียงเรียกเจ้าแมวให้มานอน
เมินโหยงผิงลงมาล้มตัวลงนอนตามที่ผมปรารถนาจริงๆ ผมรีบเข้าไปแนบชิดกับเขา สองมือกอดแขนเขาเอาไว้ แบบนี้ตอนกลางคืนเขาก็จะได้ไม่หายไปไหนอีก
“....” เมินโหยวผิงมองผมอย่างเงียบงันก่อนที่จะใช้วิธีไหนไม่รู้ เขาเปลี่ยนท่านอนโดยที่ดึงมือของเขาออกจากแขนผมได้ เฮ้ย เจ้าหมอนี่จะเป้นจ้าวยุทธจักรเกินไปแล้ว แล้วบัณฑิตตาดำอย่างผมจะเอาอะไรไปสู้กับจอมยุทธผู้นี้กันละ คิดไปคิดมาผมก็พลักให้เขานอนตะแคงโดยไม่ถามความสมัครใจสักนิด ร่างของผมแนบติดกับแผ่นหลังแกร่ง ใบหน้าซุกไซร้ซอกคอของแมวน้อย สองมือโอบรัดเอวของเขาแน่นหนา
แบบนี้จะฝีมือแค่ไหนก็ไม่วันหลุดไปได้
เมินโหยวผิงกระตุกตัวครั้งหนึ่งก่อนที่จะนอนนิ่งให้ผมกอดต่อ ผมมองไปมองมาเขายังใส่เสื้อคลุมแขนยาวอยู่เลยอากาศร้อนจะเหงื่อพอดี ผมเลยถือวิสาสะดึงเสื้อคลุมให้เขาหลเงหลือแต่เพียงเสื้อกล้าม แล้วล้มตัวกอดเขาอย่างสบายใจ
วินาทีนั้นไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าถึงได้เห็นรอยสักกิเลนขึ้นอยู่บนตัวของเมินโหยวผิง
รอยสักกิเลน อ๊า....
“นายร้อนหรือ” ผมรู้สึกตัวว่าผิด อากาศในวันนี้ก็ร้นพออยู่แล้วแถมผมยังไปตัวติดกับเขา ไม่ร้อนตายก็ออกจะเกินไปหน่อย
“นายจะไม่ปล่อย ?”เขาถามผมเลยยืนยันคำตอบด้วยการโอบรัดเขาให้แน่นขึ้นเดิม หากผสานเป็นเนื้อเดียวกับเขาได้ผมคงทำไปแล้ว
รอยสักกิเลนเริ่มชัดเจน ผมมองยังไหล่ของเขาที่เต็มไปด้วยลายพาดแสนสวย นิ้วของผมเปลี่ยนจากเอวของเขาเป็นแผงอกแน่นตึง ลากไล้ไปยังรอยสักนั้น สำรวจซอกมุมของกล้ามเนื้อสวยงาม เห็นแล้วอยากดูทั้งอัน ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยได้พิจารณามันอย่างถี่ถ้วน ผมยันตัวขึ้นหมายจะดูแต่กลับโดนมือเขาพลักกลับลงไปให้นอน
“เสี่ยวเกอ” ผมร้องประท้วงแต่เมินโหยวผิงกลับหันหน้ามาประจันหน้ากับผม ใบหน้านิ่งเฉยของเขาแตกต่างกับของบางอย่างที่โดนขาของผม
“อู๋เสียหยุดลูบ”
สัมผัสที่ขาพาให้ผมหน้าขึ้นสี อา นี่ผมลูบตัวเขามากเกินไปจนเขาของขึ้นหรือ เนื่องจากผมเองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งเช่นกันผมจึงรู้ดีว่ายามที่คนเราถูกกระตุ้นจะทำให้มันตั้งขึ้นมาได้แม้ไม่ได้รักกัน เหมือนเวลาที่เราดูวีดีโอโป้แล้วเราเกิดอารมณ์
ผมรู้สึกว่าตัวเองกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นี่เขากำลังมีอารมณ์กับผมงั้นหรือ ผมควรทำอย่างไรดี มือของผมสั่นยามที่เอื้อมไปหาเขา คำพูดของนายอ้วนฉายชัดเข้ามาในหัว ผมหลับตาก่อนที่จะดึงเขาให้มาจูบ
จูบครานี้รุนแรงกว่าก่อนหน้า มันเต็มไปด้วยความกระหายเมินโหยวผิงแทบไม่ปล่อยโอกาสให้ลิ้นของผมได้ทำหน้าที่ของมันเลย เขานำทางผมเสียเอง ถูกจูบซ้ำๆเสียแรงจนขาแข้งอ่อน ก่อนที่คนที่นอนอยู่เคียงข้างจะพลิกตัวกลับมาเป็นฝ่ายคร่อมทับ ผมเห็นรอยสักลายกิเลนสวยงามบนกล้ามเนื้อของเขาได้อย่างชัดเจน
ผมเอื้อมมือไปแตะยังแผงอกแน่นแกร่งก่อนที่จะเหลือบมองเป้ากางเกงของเขา นิ้วของผมดึงซิบมันออกดึงร่นกางเกงและกางเกงในลายลูบเจี้ยบลง เห็นยังความใหญ่โตของเขาก็ทำให้ผมสูดลมหายใจ
ผมไม่เคยทำมาก่อน.... ถ้ารู้ว่าว่าจะเป็นแบบนี้รู้งี้ไปเที่ยวกับอาสามให้มากกว่านี้ก็ดีหรอก
ผมลุกขึ้นเอื้อมมือที่สั่นระริกไปแตะเจ้าสิ่งนั้นของเมินโหยวผิงก่อนที่จะอ้าปาก อมความแข็งขืนของเขาเอาไว้ในโพรงปาก มันร้อน ร้อนเสียจนผมทำอะไรไม่ถูก ลิ้นอ่อนของผมค่อยๆไล้เลียมันราวกับเป็นลูกผม ผมเหลือบใบหน้าทีชื้นเหงื่อของเขา เมื่อก่อนผมคิดไม่ออกว่าคนแบบเขาจะมีเรื่องแบบนี้ไหม ผมนึกว่าเขาคงจะตายด้วนไปแล้วที่ไหนได้
ดวงหน้าหล่อเหลาของเมินโหยวผิงชื้นไปด้วยเหงื่อปุดพรายเสริมใบหน้านั้นให้เซ็กซี่ นัยน์ตาลุ่มลึกหรี่ลง ริมฝีปากได้รูปเม้มลง ร่างกายอันงดงามที่ประดับด้วยรอยสักกิเลนสีเข้ม ทุกสิ่งทุกอย่างเร้าเสียจนของผมก็ตั้งขึ้นมาด้วย
ให้ตายเถอะนี่ผมกำลังมีอารมร์กับผู้ชาย กับเมินโหยวผิงนะหรือไม่นะ...
“อ๊ะ” จังหวะที่ผมกำลังตื่นตระหนกเขาก็ดันศีรษะของผมออก พลักผมลงก่อนที่จะใช้เวลาเพียงไม่ถึงห้านาทีดึงเสื้อกล้ามและกางเกงของผมไปจนหมด เพียงชั่วครู่ผมก็เหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าต่อหน้าเขา
นัยน์ตาสีดำขลับของเมินโหยวผิงมองผม ดวงตานั้นราวกับจะแผดเผาผมร้อนไปหมด มือของผมถูกรวบเอาไว้เหนือหัวต่อให้เขาไม่รวบร่างของผมก็อ่อนยวบจนไม่เหลือแรงจะทำอะไรกับเขาแล้ว
“อือ..อื้อ” ผมครางในยามที่ถูกระดมจูบ จูบอ่อนหวานผสานไปกับความรุนแรง ก่อนนอนผมดูดบุหรี่และดื่มเหล้ารสขมปร่าของแอลกอฮอลผสานกับนิโคตินจึงยังหลงเหลือ สำหรับเสี่ยวเกอที่ไม่ดื่มทั้งเหล่ากละดูดบุหรี่ผมคิดว่าเขาอาจจะหยุด แต่ไม่ เขาดูดดื่มราวกับมันคือรสโอชา
ถูกเขาจูบซ้ำจนปากผมบวมเขาจึงละมาเคล้นคลึงยังเนินอกของผม เดี๋ยวนะ... เนินอก
“มะ.งไม่” ผมร้องไปได้ครึ่งประโยคก็พลันรู้สึกเสียววาบอย่างรุนแรงเมื่อลิ้นอ่อนนุ่มโลงเลียเข้าที่ซอกคอ ความรู้สึกสุขสันที่ไม่เคยได้สัมผัสค่อยๆก่อตัวขึ้น มือของเขาบีบเค้นหัวนมของผม ก่อนที่จะใช้ริมฝีปากครอบครองแล้วดูดดุด ลิ้นของเขาโล้มเลียจนร่างของผมแอ่นกระตุก
เป็นครั้งแรกที่ผมได้เรียนรู้ว่าผู้ชายเองก็มีความรู้สึกที่หัวนมเช่นเดียวกับสตรีเพศ
“หยุดก่อน” ผมครางแต่เมินโหยวผิงกลับเมินคำขอร้องของผมเขาใช้มือเย็นลากไล้ไปยังเรียวขาของผม ใช้นิ้วเรียวยาวแตะลงยังต้นขาอ่อนเพียงแค่นั้นผมก็สะดุ้ง รับรู้ได้ว่าเจ้าหนูตัวเองกำลังตื่นตัวทั้งที่ไม่ถูกสัมผัส
อา ...ผมอายจนอยากแทรกเตียงหนีแต่อีกฝ่ายกลับจัผมเอาไว้แน่น ผมต่อสู้กับความเคลิบเคลิ้ม ผสานไปกับกลิ่นสมุนไพรในตัวของเขามันทำให้ผมมึนเมา
ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่า ตัวเองเมาเบียร์ค้าง หรือ กำลังเมากับร่างกายของเขากันแน่
“อื้อ... อ๊า..มะ..” ผมพูดไม่ได้ศัพท์ครางเสียงระเส่าในยามที่เขาปล่อยผมแล้วแหวกเรียวขาก่อน ริมฝีปากร้อนครอบครองแก่นกายของผม แต่เมินโหยวผิงไมไ่ด้ไร้เดียงสาเช่นผม
ลิ้นของเขารุกเร้าอย่างรวดเร็ว โลงเลียแก่นกายของผม ละเลียราวกับมันคือแท่งไอศกรีม ลิ้นของเขาพันรอบความใหญ่ดตของผมก่อนที่จะอมเข้าไปแล้วดูด เพียงแค่เขาเม้มปากผมก็แทบจะปลดปล่อย
“เสี่ยวเกอ.งอ๊า... จางฉี่หลิน” ความสุขสันที่ถาโถมจนผมแอ่นตัวมันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยรับรู้มาก่อน ความทรมานผสานไปกับความเสียวซ่าน ชักดึงสติของผมให้หลุดลอยได้แต่ครางเสียงน่าอับอายพร้อมกับเรียกชื่อเขา
“อื้อ...ฉันจะ...” ความรู้สึกเหมือนอะไรสักอย่างก่อตัวขึ้นพาให้ผมจิกเส้นไหมสีดำของเขา รู้สึกว่าร่างกายของตนเองกำลังบิดตัวเต้นอยู่บนผ้าปูที่นอนมันคงจะเป็นภาพที่น่าอาย เมินโหยวผิงดูดซ้ำก่อนที่จะเร่งจังหวะให้แก่ผม ชักนำผมเข้าสู่เกลียวคลื่นอันบ้าคลั่ง ผมรู้สึกเหมือนกับตัวเองอยู่บนเรือที่ถูกคลื่นซัดสาด
“อืม...อื้อ” ผมสะกดเสียงตัวเองก่อนที่เขาจะรูดรั้งอีกครั้งของเหลวสีขุ่นก็ไหลเปรอะเปื้อนเรียวขาของผมและใบหน้าของเขา
อารมณ์ที่เพิ่งได้ปลดปล่อยพาให้ผมคิดอะไรไม่ออก หมดแรงอยู่แบบนี้จนกระทั่งเหลือบไปเห็น ใบหน้าด๔ดีของเมินโหยงผิงเปรอะด้วยคราบของเขา เขาใช้มือที่เปื้อนน้ำกามรมณ์ของผมปาดมันก่อนที่ลิ้นสีชมพูจะไล้เลียทีละนิด
“ห้ามกิน!” เห็นแบบนั้นหน้าของผมก็ขึ้นสี ถึงเมื่อกี้จะหมดแรงแค่ไหนแต่ตอนนี้ผมเด้งตัวไปจับมือเขา
เขาฟังผมที่ไหน ลิ้นของเขาเลียมันจนหมดราวกับว่ามันคือของหวาน เห็นแบบนี้ผมก็ไม่รู้จะเอาหน้าตัวเองไปซุกไว้ไหนได้แต่ซุกลงกับหมอนนอนหันหลังให้กับเขา มือแกร่งรั้งร่างของผมขึ้นมา ผิวกายเปล่าเปลือที่สัมผัสเสียดสีกันมันร้อนจนผมแทบสลบ
“อู๋เสีย” นัยน์ตาที่แฝงไปด้วยแววแห่งความปรถนาของเขามองมาที่ผม ผมรู้จักสายตานี้ มันคือสายตาของคนที่ต้องการ ผมกลืนน้ำลายที่ติดคออย่างยากเย็น
อา...หมายความว่าเขาต้องการให้ผมทำหน้าที่ผู้หญิงให้งั้นหรือ
ด้วยหน้าตาและรูปร่างอย่างเสี่ยวเกอ เพีนงแค่ออกปากผมคิดว่ามีผู้หญิงหลายคนพร้อมใจที่จะปรนเปรอเขา แต่ในตอนนี้สถานการณ์ตอนนี้มีแค่ผม เขาที่กำลังมีอารมณ์ถึงเลือก
ผมรู้สึกปวดแปร๊บในอกเพียงชั่ววูบเดียวก่อนที่จะนึกถึงคำพูดของนายอ้วนและอาสาม
ถ้าวิธีนี้จะไม่ทำให้นายจากไป
ผมไม่ใช่เด็กน้อยไร้เดียงสา ผมอายุเท่าไรแล้ว ผมรู้ดีว่าผู้ชายกับผู้ชายก็ทำกันได้ เพียงแต่ผมไม่เคยทำ มันจะเหมือนกับชายหญิงทำกันไหมนะ
ผมหลับตาก่อนที่จะโอบรอบคอของเขา เป็นการแสดงความยินยอม แต่ผ่านไปหนึ่งนาที สองนาที ความเจ็บปวดที่รอคอยก็ไม่มาถึงทำเอาผมแอบลืมตาขึ้นไม่ได้ เมินโหยวผิงมองผมอย่างเงียบๆ รอยสักขึ้นเต็มตัวของเขา ร่างกายสวยงามคร่อมทาบทับผม เขาแกะมือผมอออก จูบที่หน้าผากของผม ไล้มายังพวงแ้ม ก่อนที่จะล้มตัวนอนลงด้านข้าง
เอะ... เอ๋ ...
ไม่ทำหรือ
ผมหันไปหาเขาพบว่าส่วนนั้นของเขายังตื่นตัว ...ผมเอื้อมมือไปแต่กลับโดนเขาจับ เมินโหยวผิงพลิกตัวผมให้นอนตะแคงข้างแบบเดียวกับที่ผมทำกับเขาก่อนหน้านี้ แขนแกร่งของเขาโอบรัดเอวของผมเอาไว้แน่น ที่สะโพกผมสัมผัสได้ถึงความแข็งขืนที่สัมผัสโดน
“นาย..” ผมครางแต่เมินโหยงผิงกลับกอดผมเอาไว้แน่น
“จะไม่ทำมากกว่านี้”
“ทำไม” ผมสงสารเขา ผมเองก็เป็นผู้ชายจึงรู้ว่าการค้างคามันทรมานแค่ไหน
“นายยังไม่ต้องการ ฉันจะไม่ทำ”
คำพูดนั้นพาให้ผมกลืนน้ำลายลงคอ เขาจะไม่ทำถ้าผมไม่ต้องการ แม้ว่า เขาอยากจะทำ ผมจับท่อนแขนแกร่งที่โอบรัดรอบตัวปมเอาไว้
“ฉันอยากทำ” ผมโกหก และเขาก็จับโกหกได้ในทันที มือของเขาลูบหัวผมพร้อมกับกระซิบในความมืด
“นอนเถอะ ฉันไม่หนีไปไหนหรอก”
ผมกอดแขนเขาเอาไว้ รู้สึกตัวเองเป็นคนขี้โกงเหลือเกิน
ขอโทษนะ....
**********************************************
อาสามบอกผมเอาไว้เสมอว่า ยามเช้าคือสัญญานแห่งการริเริ่ม คือการเริ่มต้นของวันห้ามนอนขี้เกียดให้ลุกขึ้นมาจัดเตรียมธุระให้เสร็จสิ้น ยามเช้าวันนี้ของผมไม่สดใสเท่าใดหนัก ผมลืมตาขึ้นมาเกือบจะตกใจตายเมื่อเมินโหยวผิงที่ควรนอนหันหลังให้ผมกลับหันหน้ามา อ้อมแขนแข็งแกร่งนั้นโอบรักผมไว้ในอ้อมอกของเขา ใบหน้าหล่อเหลานั้นอยู่ห่างไม่ถึงเซนติเมตร
โอยผมจะหัวใจวายตาย
ผมมองเขา รู้สึกว่าตัวเองขยับไม่ได้ เขาทำเสมือนหนึ่งผมเป็นหมอนข้างของเขา ผมมองใบหน้าของเขา ขนตายาวงอน ผิวขาวเนียนนุ่ม ใบหน้ารูปไข่ได้รุป เครื่องหน้าราวกับศิลปะ ผมสีดำสนิทปรกหน้า ผมอดไม่ได้ที่จะเกลี่ยมันขึ้น
ให้ตายจะหน้าตาดีไปไหน ทั้งที่เป็นแค่ไอ้หน้านิ่ง...
“อา..” ผมครางเมื่อเหตุการณ์เมื่อวานย้อนเข้าหัว
kuramajoy
kuramajoy
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า

จำนวนข้อความ : 206
Points : 3772
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[fic]บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน [ผิงเสีย] Empty Re: [fic]บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน [ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by Feran.FS Fri 14 Nov 2014, 00:30

//เขย่ารัวๆ อ๊าาาา ตอนต่อออออ #ไปเปิดหนังสือไป๊!!
Feran.FS
Feran.FS
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ

จำนวนข้อความ : 457
Points : 3943
Join date : 27/10/2014
Age : 28
ที่อยู่ : ใต้เตียงนอนเซี่ยจื่อหยาง...

ขึ้นไปข้างบน Go down

[fic]บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน [ผิงเสีย] Empty Re: [fic]บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน [ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by Zeth Sat 11 Mar 2017, 22:06

อยากอ่านต่อจัง
Zeth
Zeth
ด้วงตำหนักหลู่หวังเจ็ดดารา
ด้วงตำหนักหลู่หวังเจ็ดดารา

จำนวนข้อความ : 74
Points : 2686
Join date : 04/03/2017
Age : 26
ที่อยู่ : ใต้เตียงชาวบ้าน

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน

- Similar topics

 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ