Countdown
We've been
togerther for
ค้นหา
Latest topics
Most active topics
[Fic] หิมะขาวและดอกบ๊วยแดง (จางฉี่ซาน x เอ้อร์เยว่หง) R-18
2 posters
หน้า 1 จาก 1
[Fic] หิมะขาวและดอกบ๊วยแดง (จางฉี่ซาน x เอ้อร์เยว่หง) R-18
Short Fiction: หิมะขาวและดอกบ๊วยแดง
Pairing: จางฉี่ซาน x เอ้อร์เยว่หง
Rating: R-18
Language: Thai
Words: 3,830
หิมะแรกในฉางซาเริ่มโปรยปรายลงมาแล้ว
มันยังคงไว้ซึ่งความตระการของสีขาวบริสุทธิ์ที่กลืนกินโลกทั้งใบด้วยสีของมัน
หิมะของปีนี้ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
ต้นบ๊วยที่สวนหลังบ้านก็ยังคงตั้งตระหง่านอยู่เช่นเดิม
ธรรมชาตินั้นไม่แปรเปลี่ยน แต่คนเล่า?
สีแดงที่แสนรักนั้นหายไปที่ใดแล้ว
เป็นที่รู้กันดีว่าภายในคฤหาสน์สกุลจางนั้นมีห้องห้องหนึ่งที่ถือเป็นเขตหวงห้ามมิให้ผู้ใดย่างกรายเข้าไป คนเก่าคนแก่มิเคยเอ่ยปากพูดถึง ผู้มาใหม่ย่อมไม่อาจทราบถึงสาเหตุ ทั้งหมดรู้แต่เพียงว่าเมื่อพ่อพระใหญ่สั่งห้ามใครเข้าไปก็หมายความว่าการไม่เข้าไปหรือเฉียดกรายเข้าไปในที่แห่งนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างที่สุดแล้ว
หลายต่อหลายครั้งมีการคาดเดาถึงสิ่งที่ถูกเก็บเอาไว้ว่าเป็นสิ่งสำคัญมากเพียงใดที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ว่าจะเป็นสมบัติล้ำค่า อาวุธอันร้ายกาจ หรือแม้แต่ของต้องสาปที่น่าหวั่นกลัว การคาดการณ์นั้นมีมากหลายแต่กลับไม่ถูกแม้เพียงหนึ่งเพราะแท้จริงแล้วห้องนั้นกลับเป็นเพียงห้องธรรมดาๆที่ว่างเปล่า
แต่เป็นห้องเปล่าที่เก็บความทรงจำ .. ความทรงจำที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาทดแทนได้อีก
“เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่กินข้าวกินปลา เอาแต่นั่งเหม่ออยู่ข้างโลงศพของฮูหยินมาสี่วันแล้ว ฉันส่งข่าวไปให้อาซื่อแล้ว หมอนั่นก็เหมือนลูกชายของเอ้อร์เหยียคงจะช่วยอะไรได้บ้าง”
“เข้าใจแล้ว....”
“ฝอเหยีย...”
“ฝากดูแลเขาด้วยนะจิ่วเหยีย”
“.....เฮ้อ เอ้อร์เหยียน่ะมีคนดูแลมากมายอยู่แล้ว แต่ท่านก็รู้ว่าหน้าที่นี้ใครทำได้ดีที่สุด”
บทสนทนาทางโทรศัพท์เมื่อช่วงหัวค่ำยังคงวนเวียนอยู่ในสมองของนายพลใหญ่แห่งฉางซาซ้ำไปมาราวกับจะเรียกร้องให้คนที่เป็นคำตอบไปทำในสิ่งที่ควรทำ...ทว่าแม้จางฉี่ซานจะรู้ดีว่าคำตอบนั้นคือเขา..แต่คนที่แม้กระทั่งจะไปร่วมพิธีศพเจ้าบ้านสกุลเอ้อร์ก็คงจะไม่คิดต้อนรับจะให้ไปเสนอหน้าปลอบใจก็รังแต่จะทำร้ายอีกฝ่าย
เขาได้เลือกไปแล้ว เลือกว่าความรักของเขามีมากเกินว่าที่จะเป็นของเอ้อร์เยว่หงเพียงคนเดียว รักของเขามีเพื่อชาวฉางซาทั้งหมด...มีเพื่อประเทศจีน และทางเลือกนี้ก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้หันหลังกลับ
จางฉี่ซานเลือกส่วนรวมมากกว่าความรักของตน เหมือนกันกับที่เอ้อร์เยว่หงเลือกที่จะช่วยยัยหนูมากกว่าความรัก
บางครั้งคนสองคนที่แตกต่างกันก็มีความเหมือนกันได้อย่างเหลือเชื่อ
..
..
รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนใบหน้าที่ระยะนี้มีแต่ความเคร่งขรึมเมื่อนึกถึงความเหมือนที่แตกต่างนี้ขึ้นมาได้ ดวงตาสีดำสนิททอดมองออกไปยังต้นเหมยสีแดงฉานที่กำลังผลิดอกออกเบ่งบานให้ผู้คนได้ชื่นชมจากห้องหวงห้ามที่สามารถมองเห็นมันได้ชัดที่สุด
สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นความตั้งใจที่พ่อพระใหญ่ทำขึ้นเพื่อเอาใจแขกคนหนึ่งที่เคยพักอยู่ที่นี่ ทั้งวิวนอกหน้าต่างเตียงอันอ่อนนุ่ม โต๊ะเขียนหนังสือ เครื่องเรือนมากมายอันแสนประณีตล้วนแล้วแต่เป็นความทุ่มเทเพื่อคนสำคัญ และที่ไม่ยอมให้ใครเข้ามายังที่แห่งนี้ก็เพราะต้องการที่จะเก็บสถานที่สำคัญที่เป็นของพวกเขาออกไว้
ในห้องเล็กๆแห่งนี้ไม่มีแม่ทัพชาญศึก นางเอกงิ้วชื่อดัง หัวหน้าตระกูลใหญ่ หรือแม้แต่โจรขุดสุสาน
มีแต่เพียงฉี่ซานและเยว่หงที่รักกันอย่างบริสุทธิ์ใจ
หน้าต่างบานใหญ่ถูกดึงปิดในเวลาถัดมาเมื่อพายุหิมะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆทั้งที่ยังเป็นเพียงหิมะแรกชวนให้นึกถึงคืนนั้น
คืนที่คนรักของเขามากล่าวอำลาเพื่อเลือกทางเดินของตน
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“พายุหิมะแรงเช่นนี้ไยเจ้าจึงต้องเร่งรุดเพื่อมาพบข้า?” น้ำเสียงทุ้มนุ่มต่างกับความเด็ดขาดยามสั่งการทหารในปกครองเอ่ยคล้ายถามผู้มาเยือนแต่ความหมายแฝงนัยกลับเป็นการติเตียนอย่างรักษาน้ำใจ ก่อนที่มือแกร่งที่ปราศจากถุงมือสีขาวอย่างที่มักจะได้เห็นจนชินตาในชุดเครื่องแบบเต็มยศจะถูกยกขึ้นไล้กรอบหน้าบอบบางที่เย็นเฉียบจากลมหนาว “หรือหากมีธุระสำคัญจะให้รถออกไปรับมาก็ยังได้”
“ฉี่ซานเกอ..” ผู้มาเยือนเรียกได้เพียงเท่านั้นก็หยุดลงคล้ายดังลำบากใจที่จะเอ่ยต่อก่อนจะขยับเข้าไปในอ้อมแขนอุ่นตนเองโหยหาเพื่อนซ่อนสีหน้าลำบากใจเอาไว้
พวกเขาทั้งคู่ไม่มีใครคิดจะขยับตัว เอ้อร์เยว่หงรู้ดีว่าอ้อมแขนนี้จะไม่มีวันผลักไสเขาอย่างแน่นอนแม้เจ้าตัวจะแสร้งทำเป็นเย็นชาต่อหน้าผู้คนมากมายแต่เนื้อแท้แล้วพ่อพระใหญ่แห่งฉางซาคือคนที่มีจิตใจละเอียดอ่อนและห่วงกังวลต่อผู้คนมากยิ่งกว่าผู้ใด
“ข้าไม่เรียกรถไปรับเพราะคืนนี้ข้าไม่ได้มาในฐานะเอ้อร์เหยีย” เสียงหวานกระซิบบอกความตั้งใจภายใต้สัมผัสอับอบอุ่นที่ลูบไล้เรือนผมนั่นอย่างปลอบประโลม “ข้าเพียงแต่อยากจะมาลาท่าน...อยากใช้เวลาร่วมกับท่านเป็นครั้งสุดท้าย”
“เจ้าพูดราวกับว่าเอ้อร์ฮูหยินจะใจร้ายขังเจ้าเอาไว้ในบ้านไม่ยอมให้ไปไหนเสียอย่างนั้น เท่าที่ข้าดูนางเป็นคนสุภาพเรียบร้อยเหมาะสมกับเจ้าออก แต่ก็นั่นแหละแม้กระทั่งตอนนี้ข้าก็ยังลงความเห็นว่าตัวข้าเหมาะสมกับเจ้ามากกว่ามิใช่หรือ?” แม่ทัพใหญ่พยามพูดหยอดติดตลกเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ให้กับคนตรงหน้าแต่มันกลับไร้ผล
“เมื่อแต่งกับนางข้าย่อมมิอาจทรยศความรักของนาง...ท่านพี่” อุปรากรหนุ่มเอ่ยตอบกลับอย่างนุ่มนวลแสร้งทำเป็นไม่สังเกตแววตาที่หดเล็กลงอย่างเจ็บปวดของจอมทัพ “ที่ข้าบอกว่ามาลา...เพราะข้าตั้งใจจะฝังตัวตนของเยว่หงลงภายใต้หิมะคืนนี้....จากนี้ต่อไปจะมีเพียงเอ้อร์เหยียกับฝอเหยีย...ท่านพี่ได้โปรดเข้าใจข้าด้วย”
จางฉี่ซานนิ่งเงียบ เขาไม่รู้ว่าตนเองควรจะตอบอะไรกลับไปยังคนรักที่มาร้องขอให้เขาจบเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาด้วยกันแล้วแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไร ใจหนึ่งเขานึกอย่างจะโวยวายใช้กำลังหรือแม้แต่ใช้อำนาจกักขังอีกฝ่ายไว้ในห้องใต้ดินเพื่อให้เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว
เขาทำได้ ด้วยอำนาจที่มีในมือเขาสามารถทำมันได้อย่างไม่เปลืองแรงเสียด้วยซ้ำ
แต่เขาก็ไม่ได้ทำ
ผู้คนในฉางซาเคยเปรียบเทียบเขากับหิมะ เพราะความร้ายกาจ เย็นชา และยิ่งใหญ่ ฤดูเหมันต์ที่ไม่เคยคิดปราณีผู้ใดที่คิดขวางทางเว้นเสียก็แต่ดอกเหมยฮัว บุปผชาติเพียงหนึ่งเดียวที่ออกดอกเบ่งบานอย่างเฉิดฉัน
ถ้าจางฉี่ซานคือฤดูหนาว เอ้อร์เยว่หงก็คือต้นบ๊วย
พรรณไม้ที่ซ่อนความแข็งแกร่งไว้ในรูปลักษณ์อันแสนบอบบางน่าทะนุถนอม ใครเล่าจะคิดว่านางเอกละครที่ร่ายรำได้อย่างอ่อนช้อยงดงามจะมีฝีมือการต่อสู้ทั้งกับมนุษย์ในอมนุษย์ในชั้นแนวหน้า แต่ทั้งที่มียอดวิชาถึงเพียงนั้นแต่เจ้าตัวกลับเก็บงำประกายอย่างมิดชิดอยู่อย่างสงบและนอบน้อมไม่ต่างจากดอกเหมยฮัวที่ไม่เคยคิดไปแข่งขันเบ่งบานกับดอกไม้ชนิดอื่นในฤดูใบไม้ผลิ
อันว่าเกล็ดหิมะไม่อาจหักใจทำร้ายกลีบดอกบอบบางของดอกบ๊วยฉันใด
จางฉี่ซานก็ไม่อาจหักใจทำร้ายหัวใจของตนฉันนั้น
นอกจากเคารพในการตัดสินใจ เขายังจะเหลือทางอื่นใดให้เลือกเดินอยู่อีก?
“หากนั่นเป็นการตัดสินใจของเจ้า ข้าก็จะทำตามนั้น” ชายหนุ่มถอนใจออกมาในที่สุด เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ทหารหนุ่มรู้สึกได้ว่าเสียงของตัวเองกำลังสั่น อันว่าปากพูดย่อมทำได้โดยง่าย แต่ใครเล่าจะลืมเลือนรักที่สลักฝังใจมาตั้งแต่วัยเยาว์ได้ในเวลาเพียงชั่วก้านธูป “ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้านอนเสียเถิด ลมหนาวถึงเพียงนี้ซุกตัวอยู่บนเตียงอุ่นๆจะเหมาะกว่า เดี๋ยวข้าจะไปยกน้ำชาร้อนๆมาให้”
แม่ทัพแห่งฉางซาขืนตัวออกเล็กน้อยเพื่อไปทำตามที่บอกหากแต่มือนุ่มนิ่มที่กุมหัวใจของเขาไว้กลับฉุดรั้ง
“ซานเกอ ข้าไม่ต้องการน้ำชา...ข้าต้องการท่าน” ริมฝีปากบางเอ่ยเอื้อนความต้องการของตนอย่างไม่ปิดบังเป็นครั้งแรกด้วยรู้ว่าเวลาระหว่างพวกเขานั้นน้อยลงทุกขณะ ดวงตาสีดำสนิทฉาบจ้องมองไปยังผู้ซึ่งเป็นที่รักด้วยความแน่วแน่ ประกายตาคู่นั้นไม่สะท้อนสิ่งใดอื่นเลยนอกจากความรัก “ข้ารู้ผลลัพธ์ที่จะตามมาดีท่านพี่ และข้าไม่เสียใจ”
“เจ้านี่มัน!....” เจ้าของบ้านส่งเสียงคำรามลอดไรฟันออกมาอย่างหมดความอดทนก่อนที่จะกระชากร่างผอมบางนั้นเข้ามาจุมพิตอย่างร้อนแรงโดยไม่เว้นจังหวะให้หายใจราวกับต้องการจะสูบเอาทั้งหมดทั้งมวลของดวงวิญญาณตรงหน้าให้มาเป็นของตน นิ้วเรียวยาวได้รูปคล้ายคีมเหล็กที่ประคองท้ายทอยอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ให้ขัดขืน
จางฉี่ซานรู้ดีว่าไฟแห่งความปรารถนาเมื่อถูกจุดขึ้นแล้วย่อมมิอาจดับมอดได้โดยง่ายนั่นจึงทำให้ตัวเขาหลบเลี่ยงและคอยสะกดข่มตัวเองไม่ให้ก้าวเกินเลยขอบเขตความสัมพันธ์นั้นจนกลายเป็นการสร้างบาดแผลให้กับอีกฝ่ายโดยไม่ตั้งใจ แต่เอ้อร์เยว่หงก็ปฏิเสธมันรานน้ำใจทุกอย่างที่เขามอบให้เพื่อเจ้าตัว
เจ้าจะใจร้ายไปถึงเมื่อใดกัน อาหง...
ในที่สุดจูบอันยาวนานก็จบลงที่บนเตียง จางฉี่ซานค่อยๆหรุบตาลงเอาหน้าผากแนบลงกับหน้าผากนวลที่อยู่เบื้องล่างสดับฟังเสียงหอบหายใจระรัวจากริมฝีปากที่บวมช้ำด้วยฝีมือตน พยามเป็นอย่างยิ่งที่จะควบคุมปีศาจในตัวของเขากำลังร่ำร้องที่จะครอบครอง ตรีตราประทับให้ร่างกายที่แสนงดงามนี้จดจำได้แต่เพียงสัมผัสของเขา
“ใจร้ายเหลือเกิน...เยว่หง.....เจ้าใจร้ายเกินไปแล้ว” ชายหนุ่มกระซิบแผ่วกับร่างในอ้อมกอด ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ “เจ้าขอให้ข้าลืม แต่ก็มาทำเรื่องเช่นนี้...เจ้าคิดว่าข้าจะลืมมันได้หรือไร?”
“ข้า...เ....”
ไม่รอให้คำคำตอบรับนั้นจบประโยคริมฝีปากได้รูปก็ประทับลงมาอีกครา เพียงแต่คราวนี้กลับนุ่มนวลมากกว่าเดิมจนชวนให้เคลิบเคลิ้ม ปรนเปรอหลอกล่อให้ความสนใจมุ่งอยู่แต่กับการโรมรันที่แสนหวานจนละความสนใจต่อสิ่งรอบตัว แม้จะไม่ใช่คนเจ้าชู้แต่เรื่องบนเตียง แต่จางฉี่ซานเองก็ต้องนับว่ามีฝีมืออยู่พอสมควรเพื่อให้ไม่เสียเหลี่ยมของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าตระกูลของเก้าสกุล นั่นทำให้เขารู้สึกแปลกใจยิ่งนักกับการตอบสนองที่ไร้เดียงสาราวกับว่าไม่เคยที่จะผ่านเรื่องแบบนี้มาเลยของเจ้าคนที่หน้าแดงก่ำอยู่บนเตียงของเขาแค่เพียงถูกปลดเปลื้องอาภรณ์ออกไปจนแต่เพียงเสื้อชั้นในสุดที่กำลังถูกปลดออก
“เยว่หง....ไม่ต้องเกร็ง” เขากระซิบขณะที่ฟ้อนเฟ้นสะโพกนิ่มอย่างเบามือเรียกเสียงครางคล้ายสะอื้นในคอให้หลุดออกมาจากริมฝีปากอิ่มที่เพิ่งได้ลิ้มรสไป “หลับลงสิ ทำใจให้สบาย”
“ไม่ซานเกอ....ข้า...ตะ....ต้องการจะเห็นท่าน” เสียงเล็กกล่าวอย่างดื้อรั้นจนทำให้ผู้นำเกมส์อดไม่ได้ที่จะนึกยิ้มบางอย่างเอ็นดู คนอะไรอุตส่าห์หาทางที่สบายให้แต่ก็ยังดื้อดึงจะทรมานตัวเองอีก
“งั้นก็ตามใจ” พ่อพระกล่าวก่อนที่จะยื่นมือออกลูบกลุ่มผมนิ่มเบาๆเรียกให้คิ้วเรียวงามขมวดมุ่นตามประสาของคนที่ไม่ชอบที่จะถูกปฏิบัติด้วยราวกับเป็นเด็กๆ
เพื่อเป็นการเอาคืนท่อนแขนขาวนวลจึงได้เอื้อมไปปลดเอาชุดนอนของอีกฝ่ายออกบ้างจนร่างกายท่อนบนที่เต็มไปด้วยบาดแผลปรากฏขึ้นต่อหน้า ทว่าร่องรอยเหล่านั้นกลับไม่ได้ทำให้เสน่ห์ของจอมทัพแห่งฉางซาลดลงเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังกระตุ้นอารมณ์บางอย่างที่ไม่เคยรู้จักให้พลุ่งพล่านอยู่ในตัวของผู้เฝ้ามอง
“แผลพวกนี้ท่านพี่ได้มาจากสนามรบหรือจากกรวย?” เอ้อร์เยว่หงพยามเอ่ยถามชวนสนทนาเพื่อผ่อนคลายความเก้อเขินหากแต่เมื่อสบเข้ากับสายตาที่มองมาราวกับอยากจะถามว่าเจ้าอยากจะคุยเรื่องนี้กันตอนนี้จริงๆหรือก็ทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนีไป
แต่แล้วเมื่อลิ้นร้อนเริ่มไล้เลียไปตามแผ่นอกขาวเรื่องที่ว่าอยากจะชวนคนรักพูดคุยกันสักสองสามคำให้ผ่อนคลายก็หลุดไปจากสมองของหัวหน้าสกุลเอ้อร์ในทันที..ความวาบหวามไร้ที่มาเข้าจู่โจมอย่างรุนแรงจากการรุกเร้าทั้งบนและล่างจากคนมากประสบการณ์ทำให้สมาธิที่เคยมั่นใจหนักหนาทำได้แค่เพียงสะกดกลั้นเสียงครวญครางไม่ให้หลุดรอดออกไปก็เท่านั้น
ความรุ่มร้อนทรมานนั้นเกิดขึ้นราวกับไร้ที่สิ้นสุดคล้ายกับความรู้สึกที่ถูกมอมเมาด้วยสุราอย่างหนักนั้นพลันชะงักลงเมื่อนิ้วเรียวถูกสอดแทรกเข้ามาในร่างกายที่ไม่เคยคุ้นกับการรับภาระเช่นนี้ ลมหายใจของเอ้อร์เยว่หงขาดห้วงกับความเจ็บเสียดที่ถูกล่วงล้ำเข้ามาแม้อีกฝ่ายจะค่อยๆกระทำอย่างเชื่องช้าให้ช่องทางรักที่แสนบอบบางนี้ได้ปรับตัว
“ถ้าเจ้าไม่ไหวข้าจะหยุด อย่าฝืนตัวเองเพื่อข้า” จางฉี่ซานกล่าวด้วยความกังวล แม้จะพอเดาออกแต่แรกว่านี่เป็นครั้งแรกของอีกฝ่ายแต่อาการเจ็บปวดที่เห็นชัดเสียจนขมับขาวชื้นเหงื่อนั่นก็ทำให้เขาเกิดความลังเลที่จะสานต่อให้บทรักดำเนินต่อไป “ข้าซาบซึ้งที่ได้รับเกียรติให้เป็นผู้ชายคนแรกของเจ้าแต่ถ้ามันมากเกินไปก็ควรที่จะหยุดเสีย”
“ฉี่ซาน...ท่านเป็นผู้ชายเพียงคนเดียว” ฮวาตันคนงามกล่าวด้วยเสียงแหบพร่าเมื่อพบว่านิ้วที่กำลังถูกถอดถอนสร้างความวูบโหวงขึ้นมาจนช่องทางที่เต้นตุบถึงกับรัดแน่นราวกับไม่อยากจะแยกจาก “เจ็บเพียงเท่านี้ข้าทนไหว แค่เพียงแต่ท่านมีความสุข”
“เจ้าเจ็บตัวข้าจะมีความสุขได้เช่นไร?” ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยเสียงเข้มคล้ายจะดุก่อนจะยันตัวลุกขึ้นไปหยิบของที่คิดว่าจะสามารถอำนวยความสะดวกให้ได้ “รอข้าสักพัก”
ร่างผอมบางพยักหน้าด้วยใจเต้นระส่ำ นึกก่นด่าตัวเองเล็กน้อยที่พลั้งปากกล่าวถ้อยคำอันน่าอับอายเช่นนั้นออกไปอย่างง่ายดาย จังหวะที่หยุดชะงักลงเปิดโอกาสให้ลมหายใจกระชั้นถี่ได้ปรับตัวนั้นดำเนินอยู่ไม่นานนักร่างสมส่วนของพ่อพระใหญ่ก็กลับเข้ามาอีกคราพร้อมกับตลับยาที่ทำจากหยกอีกกล่องหนึ่ง
“ข้าไม่แน่ใจนัก...ที่จริงตรงนั้นมันมีตัวยาที่ใช้เฉพาะอยู่แต่ยามนี้ที่พอจะหาได้ก็มีเพียงขี้ผึ้งสมานแผลที่จิ่วเหยียกำนัลมาให้ก็เท่านั้น” เจ้าบ้านสกุลจางกล่างอย่างไม่ใคร่จะแน่ใจนักขณะที่ใช้สองนิ้วที่ยาวกว่าปกติเล็กน้อยตามลักษณะทางพันธุกรรมของตระกูลไล้เบาๆที่ปากทางแคบเล็กที่กำลังเต้นตุบเล็กๆจนรู้สึกได้จากการสัมผัสที่ภายนอก “ถ้าเจ้าไม่ไหวต้องรีบบอกข้าเข้าใจหรือไม่?”
“อืม...” เอ้อร์เยว่หงพยักหน้าเบาๆก่อนที่ลำคอระหงจะสะบัดเชิดขึ้นด้วยความเสียวซ่านในยามที่นิ้วชุ่มตัวยาได้สอดแทรกเข้ามาในร่างอย่างเชื่องช้าจนหัวใจดวงน้อยคันยุบยิบไปหมด
“หายใจลึกๆ” กระแสงเสียงทุ้มกระซิบเจือไปด้วยแรงอารมณ์อย่างนุ่มนวลที่ข้างใบหูก่อนค่อยๆขบเม้มใบหูนิ่มปลุกเร้าให้ช่องทางที่กำลังถูกรุกล้ำเปิดรับเขามากยิ่งขึ้น ก่อนเลื่อนเป้าหมายมายังยอดอกที่แข็งตึงพยามที่จะปรนเปรออีกฝ่ายโดยไม่ให้ทิ้งร่อยรอยเอาไว้
ไม่ว่าจะอย่างไรจางฉี่ซานก็คำนึงถึงเอ้อร์เยว่หงเสมอ เขาไม่ต้องการให้อีกฝ่ายต้องลำบากใจในยามที่ถูกถามไถ่เอาว่าร่องรอยรักพวกนี้ไปได้มาจากที่ใดในภายหลัง อย่าว่าแต่การกระทำนั้นเองก็ไม่ได้จำเป็นสำหรับการแสดงความรักของพวกเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ร่องรอยจากการตีตราบนผิวกายนั้นต่อให้แจ่มชัดแค่ไหนท้ายที่สุดก็ย่อมจางหายไปตามการเวลา
แต่ร่องรอยจากแผลรักที่พวกเขาเต็มใจกรีดบาดกันและกันลงในหัวใจกลับจะคงอยู่ต่อไปตราบชั่วนิรันดร์
“อะ.....อ....อือ....” เสียงหวานหลุดครางตะกุกตะกักในลำคอดังขึ้นเมื่อนิ้วเรียวกวาดกระทบถูกบางจุดที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในกายที่จุดไฟปรารถนาให้ลุกโชนยิ่งขึ้นจนริมฝีปากบางสั่นระริก มือที่กำผ้าปูที่นอนเพื่อระบายอารมณ์นั้นจิกแน่นก่อนที่เจ้าตัวจะผวาเฮือกที่จุดนั้นถูกปลายนิ้วซุกซนบนขยี้จนต้องแอ่นสะโพกเข้าเสียดสีตามสัญชาติญาณ
จางฉี่ซานทำแบบนั้นอยู่พักใหญ่จนใบหน้างดงามบิดเบี้ยวไปด้วยแรงแห่งกามารมณ์และช่องทางที่เตรียมพร้อมนั้นก็ถูกขยับขยายมากเพียงพอจึงได้ค่อยๆถอดถอนนิ้วของตนออกแล้วแทนที่ด้วยบางอย่างที่ร้อนแรงยิ่งกว่า
“อา.....” ความอุ่นนุ่มที่โอบรัดตัวตนของแม่ทัพใหญ่เอาไว้เรียกเสียงครางอย่างพอใจออกมาจากริมฝีปากหยักได้อย่างไม่ยากเย็น ภายในตัวของเอ้อร์เยว่หงให้ความรู้สึกที่ดีมากจนเขาอยากที่จะรีบร้อนแทรกสอดประสานดึงอีกฝ่ายให้หลุดเข้ามาวังวนแห่งกิเลสตัณหาจนไม่อาจครุ่นคิดถึงสิ่งใดได้อีก แต่เพราะมันเป็นครั้งแรกของคนสำคัญจางฉี่ซานถึงต้องการจะทำให้มันออกมาดีที่สุด ท่อนเนื้อร้อนรุกคืบเข้าไปเพียงนิดแล้วถอยออกเสียดสีก่อนจะกลับเข้าไปใหม่ความความลึกที่มากกว่าเดิมจนกระทั่งริมฝีปากบางที่พยามสะกดกลั้นเสียงครวญไม่อาจอดทนได้อีกต่อไปจนต้องใช้ริมฝีปากของอีกคนมาช่วยดูดกลืน
จูบที่ยาวนานเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งเพียงแต่ทว่าคราวนี้ร้อนแรงยิ่งกว่าด้วยฤทธิ์ของกามารมณ์ที่ปะปน ลิ้นร้อนกวาดเก็บความหอมหวานไปทั้งโพรงปากดูดึงพัวพันกันราวกับเป็นสงครามขนาดย่อมที่ไม่อาจคาดเดาผลแพ้ชนะเกิดเป็นเสียงหยาบโลนไม่แพ้เสียงเนื้อกระทบกันเบื้องล่างที่เริ่มทวีความแรงมากขึ้นเรื่อยๆจนร่างนวลแทบจะถูกเบียดจมลงไปบนฟูกนุ่ม
เอ้อร์เยว่หงสะท้านไปทั้งร่างในเวลาต่อจากนั้นไม่นานนักก่อนจะปล่อยน้ำรักออกมาเลอะหน้าท้องแบนราบ สมองของเขาขาวโพลนความรู้สึกที่เหมือนน้ำอุ่นฉีดพล่านไปทั่วร่างกายดวงตาพร่ามัวไปหมดแต่กลับเบาจนคล้ายจะล่องลอยได้ บางทีใครต่อใครพูดกันถึงเรื่องขึ้นสวรรค์คงจะเป็นความรู้สึกเช่นนี้เอง ความสุขล้ำเช่นนั้นคงอยู่เพียงไม่นานเมื่อเมฆหมอกที่บังตาเลือนหายไป ใบหน้าในห้วงอารมณ์ที่ไม่เคยคุ้นของคนรักก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ดวงตาที่ดำมืดฉายชัดถึงความต้องการอย่างไม่ปิดบัง เสียงสั่นพร่าที่เอาแต่กระซิบบอกรักซ้ำแล้วซ้ำเล่าขณะทำรักจากคนปากหนักที่มักจะให้การกระทำพูดแทนวาจาเสมอ ลวดลายกิเลนที่พาดผ่านแผ่นอกแกร่งเต้นระริกกับแสงไฟคล้ายกลับมามีชีวิต ทั้งหมดนี้กระตุ้นให้ร่างกายที่ยังคงอ่อนไหวกลับมีความต้องการขึ้นมาอีกครั้ง
จางฉี่ซานขยับกายเข้าหาแนบสนิทจนแทบจะหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ปลดปล่อยและปลุกเร้าเพื่อเสพสมครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รู้จักพอ แต่ยิ่งตักตวงจากร่างกายของอีกฝ่ายมาเท่าไหร่หัวใจเขากลับยิ่งว่างเปล่าราวกับมีโพรงที่ถมเท่าไรก็ไม่มีวันเต็ม เขาทำจนกระทั่งอีกฝ่ายถึงกับสลบลงไปในอ้อมกอดถึงได้ยอมถอดถอนออกจากช่องทางที่ป่านนี้คงเจ็บร้าวไปหมดเพื่อจัดการกับตัวเองและทำความสะอาดให้กับอีกคน
“ทำไมคนที่เจ้าเลือกถึงเป็นนางไม่ใช่ข้า...หรือเพราะนางทุ่มเทให้กับเจ้าเพียงคนเดียวแต่ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้?” ประโยคคำถามที่จะไม่มีวันเอ่ยออกไปต่อหน้าอย่างเด็ดขาดแผ่วเบาก่อนจะสวมชุดนอนให้อีกฝ่ายอย่างทะนุถนอมแล้วหยิบกำไลงาช้างที่ประดับลวดลายทองคำสวยงามมาสวมให้
ของกำนัลที่ฐานะคนรักตั้งใจทำเป็นพิเศษที่ไม่มีโอกาสจะได้มอบให้
อย่างน้อย...ข้าไม่อาจได้อยู่เคียงข้างเจ้าก็ขอให้ตัวแทนของข้าได้ปกป้องและปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายไปจากเจ้า
เมื่อจางฉี่ซานตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ห้องแห่งนั้นก็ไม่มีเยว่หงและกำไลวงนั้นอีกต่อไป
The End
Talks: ตอนแรกตั้งใจจะเป็นแดรบเบิล....แต่เขียนไปมาก็เล่นไปเกือบสี่พันคำแล้ว ในมุมมองของเราพ่อพระใหญ่เป็นคนที่โรแมนติคมากเลยล่ะค่ะ ถ้าเพื่อคนที่เขารักคงจะถนอมน้ำใจกันอย่างที่สุดแน่แต่ถ้าเกิดต้องเทียบน้ำหนักระหว่างคนรักกับส่วนรวมเขาก็คงจะเลือกส่วนรวมมาก่อนแม้จะทำให้ตัวเองต้องเจ็บปวดก็ตาม อาจจะมีหลุดคาร์ไปบ้างนะคะเพราะเราเองก็ยังไม่เข้าใจในความคิดของตัวละครทั้งสองคนมากนักแต่ก็อยากจะเขียน
รู้สึกราวกับถูกคำสาปของ #จางเอ้อร์ เลยล่ะค่ะ
Pairing: จางฉี่ซาน x เอ้อร์เยว่หง
Rating: R-18
Language: Thai
Words: 3,830
หิมะแรกในฉางซาเริ่มโปรยปรายลงมาแล้ว
มันยังคงไว้ซึ่งความตระการของสีขาวบริสุทธิ์ที่กลืนกินโลกทั้งใบด้วยสีของมัน
หิมะของปีนี้ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
ต้นบ๊วยที่สวนหลังบ้านก็ยังคงตั้งตระหง่านอยู่เช่นเดิม
ธรรมชาตินั้นไม่แปรเปลี่ยน แต่คนเล่า?
สีแดงที่แสนรักนั้นหายไปที่ใดแล้ว
เป็นที่รู้กันดีว่าภายในคฤหาสน์สกุลจางนั้นมีห้องห้องหนึ่งที่ถือเป็นเขตหวงห้ามมิให้ผู้ใดย่างกรายเข้าไป คนเก่าคนแก่มิเคยเอ่ยปากพูดถึง ผู้มาใหม่ย่อมไม่อาจทราบถึงสาเหตุ ทั้งหมดรู้แต่เพียงว่าเมื่อพ่อพระใหญ่สั่งห้ามใครเข้าไปก็หมายความว่าการไม่เข้าไปหรือเฉียดกรายเข้าไปในที่แห่งนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างที่สุดแล้ว
หลายต่อหลายครั้งมีการคาดเดาถึงสิ่งที่ถูกเก็บเอาไว้ว่าเป็นสิ่งสำคัญมากเพียงใดที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ว่าจะเป็นสมบัติล้ำค่า อาวุธอันร้ายกาจ หรือแม้แต่ของต้องสาปที่น่าหวั่นกลัว การคาดการณ์นั้นมีมากหลายแต่กลับไม่ถูกแม้เพียงหนึ่งเพราะแท้จริงแล้วห้องนั้นกลับเป็นเพียงห้องธรรมดาๆที่ว่างเปล่า
แต่เป็นห้องเปล่าที่เก็บความทรงจำ .. ความทรงจำที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาทดแทนได้อีก
“เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่กินข้าวกินปลา เอาแต่นั่งเหม่ออยู่ข้างโลงศพของฮูหยินมาสี่วันแล้ว ฉันส่งข่าวไปให้อาซื่อแล้ว หมอนั่นก็เหมือนลูกชายของเอ้อร์เหยียคงจะช่วยอะไรได้บ้าง”
“เข้าใจแล้ว....”
“ฝอเหยีย...”
“ฝากดูแลเขาด้วยนะจิ่วเหยีย”
“.....เฮ้อ เอ้อร์เหยียน่ะมีคนดูแลมากมายอยู่แล้ว แต่ท่านก็รู้ว่าหน้าที่นี้ใครทำได้ดีที่สุด”
บทสนทนาทางโทรศัพท์เมื่อช่วงหัวค่ำยังคงวนเวียนอยู่ในสมองของนายพลใหญ่แห่งฉางซาซ้ำไปมาราวกับจะเรียกร้องให้คนที่เป็นคำตอบไปทำในสิ่งที่ควรทำ...ทว่าแม้จางฉี่ซานจะรู้ดีว่าคำตอบนั้นคือเขา..แต่คนที่แม้กระทั่งจะไปร่วมพิธีศพเจ้าบ้านสกุลเอ้อร์ก็คงจะไม่คิดต้อนรับจะให้ไปเสนอหน้าปลอบใจก็รังแต่จะทำร้ายอีกฝ่าย
เขาได้เลือกไปแล้ว เลือกว่าความรักของเขามีมากเกินว่าที่จะเป็นของเอ้อร์เยว่หงเพียงคนเดียว รักของเขามีเพื่อชาวฉางซาทั้งหมด...มีเพื่อประเทศจีน และทางเลือกนี้ก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้หันหลังกลับ
จางฉี่ซานเลือกส่วนรวมมากกว่าความรักของตน เหมือนกันกับที่เอ้อร์เยว่หงเลือกที่จะช่วยยัยหนูมากกว่าความรัก
บางครั้งคนสองคนที่แตกต่างกันก็มีความเหมือนกันได้อย่างเหลือเชื่อ
..
..
รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนใบหน้าที่ระยะนี้มีแต่ความเคร่งขรึมเมื่อนึกถึงความเหมือนที่แตกต่างนี้ขึ้นมาได้ ดวงตาสีดำสนิททอดมองออกไปยังต้นเหมยสีแดงฉานที่กำลังผลิดอกออกเบ่งบานให้ผู้คนได้ชื่นชมจากห้องหวงห้ามที่สามารถมองเห็นมันได้ชัดที่สุด
สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นความตั้งใจที่พ่อพระใหญ่ทำขึ้นเพื่อเอาใจแขกคนหนึ่งที่เคยพักอยู่ที่นี่ ทั้งวิวนอกหน้าต่างเตียงอันอ่อนนุ่ม โต๊ะเขียนหนังสือ เครื่องเรือนมากมายอันแสนประณีตล้วนแล้วแต่เป็นความทุ่มเทเพื่อคนสำคัญ และที่ไม่ยอมให้ใครเข้ามายังที่แห่งนี้ก็เพราะต้องการที่จะเก็บสถานที่สำคัญที่เป็นของพวกเขาออกไว้
ในห้องเล็กๆแห่งนี้ไม่มีแม่ทัพชาญศึก นางเอกงิ้วชื่อดัง หัวหน้าตระกูลใหญ่ หรือแม้แต่โจรขุดสุสาน
มีแต่เพียงฉี่ซานและเยว่หงที่รักกันอย่างบริสุทธิ์ใจ
หน้าต่างบานใหญ่ถูกดึงปิดในเวลาถัดมาเมื่อพายุหิมะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆทั้งที่ยังเป็นเพียงหิมะแรกชวนให้นึกถึงคืนนั้น
คืนที่คนรักของเขามากล่าวอำลาเพื่อเลือกทางเดินของตน
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“พายุหิมะแรงเช่นนี้ไยเจ้าจึงต้องเร่งรุดเพื่อมาพบข้า?” น้ำเสียงทุ้มนุ่มต่างกับความเด็ดขาดยามสั่งการทหารในปกครองเอ่ยคล้ายถามผู้มาเยือนแต่ความหมายแฝงนัยกลับเป็นการติเตียนอย่างรักษาน้ำใจ ก่อนที่มือแกร่งที่ปราศจากถุงมือสีขาวอย่างที่มักจะได้เห็นจนชินตาในชุดเครื่องแบบเต็มยศจะถูกยกขึ้นไล้กรอบหน้าบอบบางที่เย็นเฉียบจากลมหนาว “หรือหากมีธุระสำคัญจะให้รถออกไปรับมาก็ยังได้”
“ฉี่ซานเกอ..” ผู้มาเยือนเรียกได้เพียงเท่านั้นก็หยุดลงคล้ายดังลำบากใจที่จะเอ่ยต่อก่อนจะขยับเข้าไปในอ้อมแขนอุ่นตนเองโหยหาเพื่อนซ่อนสีหน้าลำบากใจเอาไว้
พวกเขาทั้งคู่ไม่มีใครคิดจะขยับตัว เอ้อร์เยว่หงรู้ดีว่าอ้อมแขนนี้จะไม่มีวันผลักไสเขาอย่างแน่นอนแม้เจ้าตัวจะแสร้งทำเป็นเย็นชาต่อหน้าผู้คนมากมายแต่เนื้อแท้แล้วพ่อพระใหญ่แห่งฉางซาคือคนที่มีจิตใจละเอียดอ่อนและห่วงกังวลต่อผู้คนมากยิ่งกว่าผู้ใด
“ข้าไม่เรียกรถไปรับเพราะคืนนี้ข้าไม่ได้มาในฐานะเอ้อร์เหยีย” เสียงหวานกระซิบบอกความตั้งใจภายใต้สัมผัสอับอบอุ่นที่ลูบไล้เรือนผมนั่นอย่างปลอบประโลม “ข้าเพียงแต่อยากจะมาลาท่าน...อยากใช้เวลาร่วมกับท่านเป็นครั้งสุดท้าย”
“เจ้าพูดราวกับว่าเอ้อร์ฮูหยินจะใจร้ายขังเจ้าเอาไว้ในบ้านไม่ยอมให้ไปไหนเสียอย่างนั้น เท่าที่ข้าดูนางเป็นคนสุภาพเรียบร้อยเหมาะสมกับเจ้าออก แต่ก็นั่นแหละแม้กระทั่งตอนนี้ข้าก็ยังลงความเห็นว่าตัวข้าเหมาะสมกับเจ้ามากกว่ามิใช่หรือ?” แม่ทัพใหญ่พยามพูดหยอดติดตลกเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ให้กับคนตรงหน้าแต่มันกลับไร้ผล
“เมื่อแต่งกับนางข้าย่อมมิอาจทรยศความรักของนาง...ท่านพี่” อุปรากรหนุ่มเอ่ยตอบกลับอย่างนุ่มนวลแสร้งทำเป็นไม่สังเกตแววตาที่หดเล็กลงอย่างเจ็บปวดของจอมทัพ “ที่ข้าบอกว่ามาลา...เพราะข้าตั้งใจจะฝังตัวตนของเยว่หงลงภายใต้หิมะคืนนี้....จากนี้ต่อไปจะมีเพียงเอ้อร์เหยียกับฝอเหยีย...ท่านพี่ได้โปรดเข้าใจข้าด้วย”
จางฉี่ซานนิ่งเงียบ เขาไม่รู้ว่าตนเองควรจะตอบอะไรกลับไปยังคนรักที่มาร้องขอให้เขาจบเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาด้วยกันแล้วแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไร ใจหนึ่งเขานึกอย่างจะโวยวายใช้กำลังหรือแม้แต่ใช้อำนาจกักขังอีกฝ่ายไว้ในห้องใต้ดินเพื่อให้เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว
เขาทำได้ ด้วยอำนาจที่มีในมือเขาสามารถทำมันได้อย่างไม่เปลืองแรงเสียด้วยซ้ำ
แต่เขาก็ไม่ได้ทำ
ผู้คนในฉางซาเคยเปรียบเทียบเขากับหิมะ เพราะความร้ายกาจ เย็นชา และยิ่งใหญ่ ฤดูเหมันต์ที่ไม่เคยคิดปราณีผู้ใดที่คิดขวางทางเว้นเสียก็แต่ดอกเหมยฮัว บุปผชาติเพียงหนึ่งเดียวที่ออกดอกเบ่งบานอย่างเฉิดฉัน
ถ้าจางฉี่ซานคือฤดูหนาว เอ้อร์เยว่หงก็คือต้นบ๊วย
พรรณไม้ที่ซ่อนความแข็งแกร่งไว้ในรูปลักษณ์อันแสนบอบบางน่าทะนุถนอม ใครเล่าจะคิดว่านางเอกละครที่ร่ายรำได้อย่างอ่อนช้อยงดงามจะมีฝีมือการต่อสู้ทั้งกับมนุษย์ในอมนุษย์ในชั้นแนวหน้า แต่ทั้งที่มียอดวิชาถึงเพียงนั้นแต่เจ้าตัวกลับเก็บงำประกายอย่างมิดชิดอยู่อย่างสงบและนอบน้อมไม่ต่างจากดอกเหมยฮัวที่ไม่เคยคิดไปแข่งขันเบ่งบานกับดอกไม้ชนิดอื่นในฤดูใบไม้ผลิ
อันว่าเกล็ดหิมะไม่อาจหักใจทำร้ายกลีบดอกบอบบางของดอกบ๊วยฉันใด
จางฉี่ซานก็ไม่อาจหักใจทำร้ายหัวใจของตนฉันนั้น
นอกจากเคารพในการตัดสินใจ เขายังจะเหลือทางอื่นใดให้เลือกเดินอยู่อีก?
“หากนั่นเป็นการตัดสินใจของเจ้า ข้าก็จะทำตามนั้น” ชายหนุ่มถอนใจออกมาในที่สุด เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ทหารหนุ่มรู้สึกได้ว่าเสียงของตัวเองกำลังสั่น อันว่าปากพูดย่อมทำได้โดยง่าย แต่ใครเล่าจะลืมเลือนรักที่สลักฝังใจมาตั้งแต่วัยเยาว์ได้ในเวลาเพียงชั่วก้านธูป “ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้านอนเสียเถิด ลมหนาวถึงเพียงนี้ซุกตัวอยู่บนเตียงอุ่นๆจะเหมาะกว่า เดี๋ยวข้าจะไปยกน้ำชาร้อนๆมาให้”
แม่ทัพแห่งฉางซาขืนตัวออกเล็กน้อยเพื่อไปทำตามที่บอกหากแต่มือนุ่มนิ่มที่กุมหัวใจของเขาไว้กลับฉุดรั้ง
“ซานเกอ ข้าไม่ต้องการน้ำชา...ข้าต้องการท่าน” ริมฝีปากบางเอ่ยเอื้อนความต้องการของตนอย่างไม่ปิดบังเป็นครั้งแรกด้วยรู้ว่าเวลาระหว่างพวกเขานั้นน้อยลงทุกขณะ ดวงตาสีดำสนิทฉาบจ้องมองไปยังผู้ซึ่งเป็นที่รักด้วยความแน่วแน่ ประกายตาคู่นั้นไม่สะท้อนสิ่งใดอื่นเลยนอกจากความรัก “ข้ารู้ผลลัพธ์ที่จะตามมาดีท่านพี่ และข้าไม่เสียใจ”
“เจ้านี่มัน!....” เจ้าของบ้านส่งเสียงคำรามลอดไรฟันออกมาอย่างหมดความอดทนก่อนที่จะกระชากร่างผอมบางนั้นเข้ามาจุมพิตอย่างร้อนแรงโดยไม่เว้นจังหวะให้หายใจราวกับต้องการจะสูบเอาทั้งหมดทั้งมวลของดวงวิญญาณตรงหน้าให้มาเป็นของตน นิ้วเรียวยาวได้รูปคล้ายคีมเหล็กที่ประคองท้ายทอยอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ให้ขัดขืน
จางฉี่ซานรู้ดีว่าไฟแห่งความปรารถนาเมื่อถูกจุดขึ้นแล้วย่อมมิอาจดับมอดได้โดยง่ายนั่นจึงทำให้ตัวเขาหลบเลี่ยงและคอยสะกดข่มตัวเองไม่ให้ก้าวเกินเลยขอบเขตความสัมพันธ์นั้นจนกลายเป็นการสร้างบาดแผลให้กับอีกฝ่ายโดยไม่ตั้งใจ แต่เอ้อร์เยว่หงก็ปฏิเสธมันรานน้ำใจทุกอย่างที่เขามอบให้เพื่อเจ้าตัว
เจ้าจะใจร้ายไปถึงเมื่อใดกัน อาหง...
ในที่สุดจูบอันยาวนานก็จบลงที่บนเตียง จางฉี่ซานค่อยๆหรุบตาลงเอาหน้าผากแนบลงกับหน้าผากนวลที่อยู่เบื้องล่างสดับฟังเสียงหอบหายใจระรัวจากริมฝีปากที่บวมช้ำด้วยฝีมือตน พยามเป็นอย่างยิ่งที่จะควบคุมปีศาจในตัวของเขากำลังร่ำร้องที่จะครอบครอง ตรีตราประทับให้ร่างกายที่แสนงดงามนี้จดจำได้แต่เพียงสัมผัสของเขา
“ใจร้ายเหลือเกิน...เยว่หง.....เจ้าใจร้ายเกินไปแล้ว” ชายหนุ่มกระซิบแผ่วกับร่างในอ้อมกอด ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ “เจ้าขอให้ข้าลืม แต่ก็มาทำเรื่องเช่นนี้...เจ้าคิดว่าข้าจะลืมมันได้หรือไร?”
“ข้า...เ....”
ไม่รอให้คำคำตอบรับนั้นจบประโยคริมฝีปากได้รูปก็ประทับลงมาอีกครา เพียงแต่คราวนี้กลับนุ่มนวลมากกว่าเดิมจนชวนให้เคลิบเคลิ้ม ปรนเปรอหลอกล่อให้ความสนใจมุ่งอยู่แต่กับการโรมรันที่แสนหวานจนละความสนใจต่อสิ่งรอบตัว แม้จะไม่ใช่คนเจ้าชู้แต่เรื่องบนเตียง แต่จางฉี่ซานเองก็ต้องนับว่ามีฝีมืออยู่พอสมควรเพื่อให้ไม่เสียเหลี่ยมของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าตระกูลของเก้าสกุล นั่นทำให้เขารู้สึกแปลกใจยิ่งนักกับการตอบสนองที่ไร้เดียงสาราวกับว่าไม่เคยที่จะผ่านเรื่องแบบนี้มาเลยของเจ้าคนที่หน้าแดงก่ำอยู่บนเตียงของเขาแค่เพียงถูกปลดเปลื้องอาภรณ์ออกไปจนแต่เพียงเสื้อชั้นในสุดที่กำลังถูกปลดออก
“เยว่หง....ไม่ต้องเกร็ง” เขากระซิบขณะที่ฟ้อนเฟ้นสะโพกนิ่มอย่างเบามือเรียกเสียงครางคล้ายสะอื้นในคอให้หลุดออกมาจากริมฝีปากอิ่มที่เพิ่งได้ลิ้มรสไป “หลับลงสิ ทำใจให้สบาย”
“ไม่ซานเกอ....ข้า...ตะ....ต้องการจะเห็นท่าน” เสียงเล็กกล่าวอย่างดื้อรั้นจนทำให้ผู้นำเกมส์อดไม่ได้ที่จะนึกยิ้มบางอย่างเอ็นดู คนอะไรอุตส่าห์หาทางที่สบายให้แต่ก็ยังดื้อดึงจะทรมานตัวเองอีก
“งั้นก็ตามใจ” พ่อพระกล่าวก่อนที่จะยื่นมือออกลูบกลุ่มผมนิ่มเบาๆเรียกให้คิ้วเรียวงามขมวดมุ่นตามประสาของคนที่ไม่ชอบที่จะถูกปฏิบัติด้วยราวกับเป็นเด็กๆ
เพื่อเป็นการเอาคืนท่อนแขนขาวนวลจึงได้เอื้อมไปปลดเอาชุดนอนของอีกฝ่ายออกบ้างจนร่างกายท่อนบนที่เต็มไปด้วยบาดแผลปรากฏขึ้นต่อหน้า ทว่าร่องรอยเหล่านั้นกลับไม่ได้ทำให้เสน่ห์ของจอมทัพแห่งฉางซาลดลงเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังกระตุ้นอารมณ์บางอย่างที่ไม่เคยรู้จักให้พลุ่งพล่านอยู่ในตัวของผู้เฝ้ามอง
“แผลพวกนี้ท่านพี่ได้มาจากสนามรบหรือจากกรวย?” เอ้อร์เยว่หงพยามเอ่ยถามชวนสนทนาเพื่อผ่อนคลายความเก้อเขินหากแต่เมื่อสบเข้ากับสายตาที่มองมาราวกับอยากจะถามว่าเจ้าอยากจะคุยเรื่องนี้กันตอนนี้จริงๆหรือก็ทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนีไป
แต่แล้วเมื่อลิ้นร้อนเริ่มไล้เลียไปตามแผ่นอกขาวเรื่องที่ว่าอยากจะชวนคนรักพูดคุยกันสักสองสามคำให้ผ่อนคลายก็หลุดไปจากสมองของหัวหน้าสกุลเอ้อร์ในทันที..ความวาบหวามไร้ที่มาเข้าจู่โจมอย่างรุนแรงจากการรุกเร้าทั้งบนและล่างจากคนมากประสบการณ์ทำให้สมาธิที่เคยมั่นใจหนักหนาทำได้แค่เพียงสะกดกลั้นเสียงครวญครางไม่ให้หลุดรอดออกไปก็เท่านั้น
ความรุ่มร้อนทรมานนั้นเกิดขึ้นราวกับไร้ที่สิ้นสุดคล้ายกับความรู้สึกที่ถูกมอมเมาด้วยสุราอย่างหนักนั้นพลันชะงักลงเมื่อนิ้วเรียวถูกสอดแทรกเข้ามาในร่างกายที่ไม่เคยคุ้นกับการรับภาระเช่นนี้ ลมหายใจของเอ้อร์เยว่หงขาดห้วงกับความเจ็บเสียดที่ถูกล่วงล้ำเข้ามาแม้อีกฝ่ายจะค่อยๆกระทำอย่างเชื่องช้าให้ช่องทางรักที่แสนบอบบางนี้ได้ปรับตัว
“ถ้าเจ้าไม่ไหวข้าจะหยุด อย่าฝืนตัวเองเพื่อข้า” จางฉี่ซานกล่าวด้วยความกังวล แม้จะพอเดาออกแต่แรกว่านี่เป็นครั้งแรกของอีกฝ่ายแต่อาการเจ็บปวดที่เห็นชัดเสียจนขมับขาวชื้นเหงื่อนั่นก็ทำให้เขาเกิดความลังเลที่จะสานต่อให้บทรักดำเนินต่อไป “ข้าซาบซึ้งที่ได้รับเกียรติให้เป็นผู้ชายคนแรกของเจ้าแต่ถ้ามันมากเกินไปก็ควรที่จะหยุดเสีย”
“ฉี่ซาน...ท่านเป็นผู้ชายเพียงคนเดียว” ฮวาตันคนงามกล่าวด้วยเสียงแหบพร่าเมื่อพบว่านิ้วที่กำลังถูกถอดถอนสร้างความวูบโหวงขึ้นมาจนช่องทางที่เต้นตุบถึงกับรัดแน่นราวกับไม่อยากจะแยกจาก “เจ็บเพียงเท่านี้ข้าทนไหว แค่เพียงแต่ท่านมีความสุข”
“เจ้าเจ็บตัวข้าจะมีความสุขได้เช่นไร?” ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยเสียงเข้มคล้ายจะดุก่อนจะยันตัวลุกขึ้นไปหยิบของที่คิดว่าจะสามารถอำนวยความสะดวกให้ได้ “รอข้าสักพัก”
ร่างผอมบางพยักหน้าด้วยใจเต้นระส่ำ นึกก่นด่าตัวเองเล็กน้อยที่พลั้งปากกล่าวถ้อยคำอันน่าอับอายเช่นนั้นออกไปอย่างง่ายดาย จังหวะที่หยุดชะงักลงเปิดโอกาสให้ลมหายใจกระชั้นถี่ได้ปรับตัวนั้นดำเนินอยู่ไม่นานนักร่างสมส่วนของพ่อพระใหญ่ก็กลับเข้ามาอีกคราพร้อมกับตลับยาที่ทำจากหยกอีกกล่องหนึ่ง
“ข้าไม่แน่ใจนัก...ที่จริงตรงนั้นมันมีตัวยาที่ใช้เฉพาะอยู่แต่ยามนี้ที่พอจะหาได้ก็มีเพียงขี้ผึ้งสมานแผลที่จิ่วเหยียกำนัลมาให้ก็เท่านั้น” เจ้าบ้านสกุลจางกล่างอย่างไม่ใคร่จะแน่ใจนักขณะที่ใช้สองนิ้วที่ยาวกว่าปกติเล็กน้อยตามลักษณะทางพันธุกรรมของตระกูลไล้เบาๆที่ปากทางแคบเล็กที่กำลังเต้นตุบเล็กๆจนรู้สึกได้จากการสัมผัสที่ภายนอก “ถ้าเจ้าไม่ไหวต้องรีบบอกข้าเข้าใจหรือไม่?”
“อืม...” เอ้อร์เยว่หงพยักหน้าเบาๆก่อนที่ลำคอระหงจะสะบัดเชิดขึ้นด้วยความเสียวซ่านในยามที่นิ้วชุ่มตัวยาได้สอดแทรกเข้ามาในร่างอย่างเชื่องช้าจนหัวใจดวงน้อยคันยุบยิบไปหมด
“หายใจลึกๆ” กระแสงเสียงทุ้มกระซิบเจือไปด้วยแรงอารมณ์อย่างนุ่มนวลที่ข้างใบหูก่อนค่อยๆขบเม้มใบหูนิ่มปลุกเร้าให้ช่องทางที่กำลังถูกรุกล้ำเปิดรับเขามากยิ่งขึ้น ก่อนเลื่อนเป้าหมายมายังยอดอกที่แข็งตึงพยามที่จะปรนเปรออีกฝ่ายโดยไม่ให้ทิ้งร่อยรอยเอาไว้
ไม่ว่าจะอย่างไรจางฉี่ซานก็คำนึงถึงเอ้อร์เยว่หงเสมอ เขาไม่ต้องการให้อีกฝ่ายต้องลำบากใจในยามที่ถูกถามไถ่เอาว่าร่องรอยรักพวกนี้ไปได้มาจากที่ใดในภายหลัง อย่าว่าแต่การกระทำนั้นเองก็ไม่ได้จำเป็นสำหรับการแสดงความรักของพวกเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ร่องรอยจากการตีตราบนผิวกายนั้นต่อให้แจ่มชัดแค่ไหนท้ายที่สุดก็ย่อมจางหายไปตามการเวลา
แต่ร่องรอยจากแผลรักที่พวกเขาเต็มใจกรีดบาดกันและกันลงในหัวใจกลับจะคงอยู่ต่อไปตราบชั่วนิรันดร์
“อะ.....อ....อือ....” เสียงหวานหลุดครางตะกุกตะกักในลำคอดังขึ้นเมื่อนิ้วเรียวกวาดกระทบถูกบางจุดที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในกายที่จุดไฟปรารถนาให้ลุกโชนยิ่งขึ้นจนริมฝีปากบางสั่นระริก มือที่กำผ้าปูที่นอนเพื่อระบายอารมณ์นั้นจิกแน่นก่อนที่เจ้าตัวจะผวาเฮือกที่จุดนั้นถูกปลายนิ้วซุกซนบนขยี้จนต้องแอ่นสะโพกเข้าเสียดสีตามสัญชาติญาณ
จางฉี่ซานทำแบบนั้นอยู่พักใหญ่จนใบหน้างดงามบิดเบี้ยวไปด้วยแรงแห่งกามารมณ์และช่องทางที่เตรียมพร้อมนั้นก็ถูกขยับขยายมากเพียงพอจึงได้ค่อยๆถอดถอนนิ้วของตนออกแล้วแทนที่ด้วยบางอย่างที่ร้อนแรงยิ่งกว่า
“อา.....” ความอุ่นนุ่มที่โอบรัดตัวตนของแม่ทัพใหญ่เอาไว้เรียกเสียงครางอย่างพอใจออกมาจากริมฝีปากหยักได้อย่างไม่ยากเย็น ภายในตัวของเอ้อร์เยว่หงให้ความรู้สึกที่ดีมากจนเขาอยากที่จะรีบร้อนแทรกสอดประสานดึงอีกฝ่ายให้หลุดเข้ามาวังวนแห่งกิเลสตัณหาจนไม่อาจครุ่นคิดถึงสิ่งใดได้อีก แต่เพราะมันเป็นครั้งแรกของคนสำคัญจางฉี่ซานถึงต้องการจะทำให้มันออกมาดีที่สุด ท่อนเนื้อร้อนรุกคืบเข้าไปเพียงนิดแล้วถอยออกเสียดสีก่อนจะกลับเข้าไปใหม่ความความลึกที่มากกว่าเดิมจนกระทั่งริมฝีปากบางที่พยามสะกดกลั้นเสียงครวญไม่อาจอดทนได้อีกต่อไปจนต้องใช้ริมฝีปากของอีกคนมาช่วยดูดกลืน
จูบที่ยาวนานเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งเพียงแต่ทว่าคราวนี้ร้อนแรงยิ่งกว่าด้วยฤทธิ์ของกามารมณ์ที่ปะปน ลิ้นร้อนกวาดเก็บความหอมหวานไปทั้งโพรงปากดูดึงพัวพันกันราวกับเป็นสงครามขนาดย่อมที่ไม่อาจคาดเดาผลแพ้ชนะเกิดเป็นเสียงหยาบโลนไม่แพ้เสียงเนื้อกระทบกันเบื้องล่างที่เริ่มทวีความแรงมากขึ้นเรื่อยๆจนร่างนวลแทบจะถูกเบียดจมลงไปบนฟูกนุ่ม
เอ้อร์เยว่หงสะท้านไปทั้งร่างในเวลาต่อจากนั้นไม่นานนักก่อนจะปล่อยน้ำรักออกมาเลอะหน้าท้องแบนราบ สมองของเขาขาวโพลนความรู้สึกที่เหมือนน้ำอุ่นฉีดพล่านไปทั่วร่างกายดวงตาพร่ามัวไปหมดแต่กลับเบาจนคล้ายจะล่องลอยได้ บางทีใครต่อใครพูดกันถึงเรื่องขึ้นสวรรค์คงจะเป็นความรู้สึกเช่นนี้เอง ความสุขล้ำเช่นนั้นคงอยู่เพียงไม่นานเมื่อเมฆหมอกที่บังตาเลือนหายไป ใบหน้าในห้วงอารมณ์ที่ไม่เคยคุ้นของคนรักก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ดวงตาที่ดำมืดฉายชัดถึงความต้องการอย่างไม่ปิดบัง เสียงสั่นพร่าที่เอาแต่กระซิบบอกรักซ้ำแล้วซ้ำเล่าขณะทำรักจากคนปากหนักที่มักจะให้การกระทำพูดแทนวาจาเสมอ ลวดลายกิเลนที่พาดผ่านแผ่นอกแกร่งเต้นระริกกับแสงไฟคล้ายกลับมามีชีวิต ทั้งหมดนี้กระตุ้นให้ร่างกายที่ยังคงอ่อนไหวกลับมีความต้องการขึ้นมาอีกครั้ง
จางฉี่ซานขยับกายเข้าหาแนบสนิทจนแทบจะหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ปลดปล่อยและปลุกเร้าเพื่อเสพสมครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รู้จักพอ แต่ยิ่งตักตวงจากร่างกายของอีกฝ่ายมาเท่าไหร่หัวใจเขากลับยิ่งว่างเปล่าราวกับมีโพรงที่ถมเท่าไรก็ไม่มีวันเต็ม เขาทำจนกระทั่งอีกฝ่ายถึงกับสลบลงไปในอ้อมกอดถึงได้ยอมถอดถอนออกจากช่องทางที่ป่านนี้คงเจ็บร้าวไปหมดเพื่อจัดการกับตัวเองและทำความสะอาดให้กับอีกคน
“ทำไมคนที่เจ้าเลือกถึงเป็นนางไม่ใช่ข้า...หรือเพราะนางทุ่มเทให้กับเจ้าเพียงคนเดียวแต่ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้?” ประโยคคำถามที่จะไม่มีวันเอ่ยออกไปต่อหน้าอย่างเด็ดขาดแผ่วเบาก่อนจะสวมชุดนอนให้อีกฝ่ายอย่างทะนุถนอมแล้วหยิบกำไลงาช้างที่ประดับลวดลายทองคำสวยงามมาสวมให้
ของกำนัลที่ฐานะคนรักตั้งใจทำเป็นพิเศษที่ไม่มีโอกาสจะได้มอบให้
อย่างน้อย...ข้าไม่อาจได้อยู่เคียงข้างเจ้าก็ขอให้ตัวแทนของข้าได้ปกป้องและปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายไปจากเจ้า
เมื่อจางฉี่ซานตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ห้องแห่งนั้นก็ไม่มีเยว่หงและกำไลวงนั้นอีกต่อไป
The End
Talks: ตอนแรกตั้งใจจะเป็นแดรบเบิล....แต่เขียนไปมาก็เล่นไปเกือบสี่พันคำแล้ว ในมุมมองของเราพ่อพระใหญ่เป็นคนที่โรแมนติคมากเลยล่ะค่ะ ถ้าเพื่อคนที่เขารักคงจะถนอมน้ำใจกันอย่างที่สุดแน่แต่ถ้าเกิดต้องเทียบน้ำหนักระหว่างคนรักกับส่วนรวมเขาก็คงจะเลือกส่วนรวมมาก่อนแม้จะทำให้ตัวเองต้องเจ็บปวดก็ตาม อาจจะมีหลุดคาร์ไปบ้างนะคะเพราะเราเองก็ยังไม่เข้าใจในความคิดของตัวละครทั้งสองคนมากนักแต่ก็อยากจะเขียน
รู้สึกราวกับถูกคำสาปของ #จางเอ้อร์ เลยล่ะค่ะ
Re: [Fic] หิมะขาวและดอกบ๊วยแดง (จางฉี่ซาน x เอ้อร์เยว่หง) R-18
ปกติอยู่เรือจางอู๋ แต่ฟิคนีัแทบทำให้กระโดดข้ามเรือเลยค่ะ55555
รุ่นปู่นี่มีแต่เรื่องเศร้าๆ
รุ่นปู่นี่มีแต่เรื่องเศร้าๆ
Fatsveta- ด้วงฝึกหัด
- จำนวนข้อความ : 3
Points : 2860
Join date : 06/07/2016
Similar topics
» [drabble] 明明愛你 (Hidden love) [จางฉี่ซาน&เอ้อร์เยว่หง]
» [OS บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน] : Revenge [เอ้อร์เยว่หง x อู๋เหลาโก่ว NC 18+ Implied จางฉี่ซาน x อู๋เหลาโก่ว ]
» [Drabble] เด็กดี [เอ้อร์เยว่หง/เฉินผีอาซื่อ]
» [OS] เข็มขัดและปลอกคอ [จางฉี่ซาน&อู๋เหลาโก่ว]
» [OS] สิ่งที่ทำและคำขอโทษ [จางฉี่ซาน&อู๋เหลาโก่ว]
» [OS บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน] : Revenge [เอ้อร์เยว่หง x อู๋เหลาโก่ว NC 18+ Implied จางฉี่ซาน x อู๋เหลาโก่ว ]
» [Drabble] เด็กดี [เอ้อร์เยว่หง/เฉินผีอาซื่อ]
» [OS] เข็มขัดและปลอกคอ [จางฉี่ซาน&อู๋เหลาโก่ว]
» [OS] สิ่งที่ทำและคำขอโทษ [จางฉี่ซาน&อู๋เหลาโก่ว]
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|
Fri 24 Jul 2020, 01:39 by gustoon
» [คู่มือด้วง] Keyword จีนสำหรับการขุด(แฟนดอม)สุสาน
Thu 21 Jun 2018, 00:29 by miskizfullmoon
» มังฮวาและภาคทิเบต
Thu 21 Jun 2018, 00:23 by miskizfullmoon
» [OS] Father is the best (ผิงเสีย)
Thu 03 Aug 2017, 16:12 by schneewittchen
» [Fic] สิ่งเล็กๆที่เชื่อมโลก5 [เมินโหยวผิง+อู่เสีย+เสี่ยอ้วน]+OC
Tue 01 Aug 2017, 12:30 by natsume
» [OS] #dmbjdaily (จูปาจุ๊บ) Bittersweet [ผิงเสีย AU]
Thu 06 Apr 2017, 15:58 by Zeth
» [OS] #dmbjdaily "โทรศัพท์มือถือ" - no Pairing [All]
Tue 04 Apr 2017, 22:27 by Zeth
» [OS] #DMBJDaily (แว่น): ระยะที่มองไม่เห็น [ฮัวเสีย]
Sat 01 Apr 2017, 16:55 by Zeth
» [OS] #DMBJdaily (5.20) ท่านยอดฝีมือ [หวังเหมิง (+เหมิงเสีย)(+ผิงเสีย)]
Thu 30 Mar 2017, 17:24 by Zeth