Countdown
We've been
togerther for

ค้นหา
 
 

Display results as :
 


Rechercher Advanced Search


日月 (Sun Moon) ตอนที่ 1

5 posters

Go down

日月 (Sun Moon) ตอนที่ 1 Empty 日月 (Sun Moon) ตอนที่ 1

ตั้งหัวข้อ by winterautumnsummerrain Wed 05 Nov 2014, 16:24

เนื้อเรื่องไม่เกี่ยวกับ “บันทึกลับฯ” นะคะ เพียงแต่ได้แรงบันดาลใจจากบุคลิกตัวละคร เพราะส่วนตัวจำรายละเอียดไม่แม่นเลย กลัวจะมั่วแล้วโดนฝ่ายวิชาการฟ้องร้อง 555 ส่วนเนื้อเรื่องอิงจาก “กระบี่เย้ยยุทธจักร” ค่ะ เลยจะออกแนวกำลังภายในนะคะ อาจจะดูแปลกๆแต่อยากลองแนวนี้ค่ะ
ลองแต่งครั้งแรก เพราะเห็นว่ากระแสฟิกกำลังมาแรง เลยขอโหนกระแสไปด้วยกันค่า ถือว่าเป็นชาติก่อนๆของนายน้อยกับนายเมินละกันค่ะ ปล.กี่ตอนจบยังไม่ทราบ อาจจะไม่จบก็ได้ ท่าจะยาว 555

1.
“อู๋เสีย” ท่านอาจารย์เอ่ยเรียกชื่อข้าขึ้นท่ามกลางความเงียบแห่งขุนเขา

สายลมพัดกลีบดอกเหมยปลิวว่อนไปมาอยู่ภายนอก ข้าเงยหน้าขึ้นมองท่านอาจารย์ รั้งลมหายใจไว้เพื่อรอดูว่าท่านอาจารย์จะกล่าวอะไรต่อไป

ท่านอาจารย์จิบน้ำชาอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจ “เจ้ารู้ไหมว่าอะไรที่ขมกว่ารสชาที่รินครั้งแรก”

ข้าทวนคำถามของท่านอาจารย์ในใจ คำตอบผุดขึ้นมากมาย ในโลกนี้มีหลายสิ่งที่ล้วนแต่มีรสขมกว่าชาที่รินครั้งแรก แต่แน่นอน ข้ารู้ว่า คนอย่างท่านอาจารย์ไม่มีวันที่จะถามคำถามที่ตอบง่ายๆ ข้าจึงทำได้เพียงแต่ส่ายหัวเบาๆและจ้องมองท่านอาจารย์รอให้ท่านกล่าวต่อไป

ท่านอาจารย์ยิ้มน้อยๆ “รสชาติของการแอบรักคนที่เจ้ารู้ว่าไม่มีทางสมหวังได้อย่างไรเล่า ที่ทั้งขมและขื่นกว่ารสชา”
เมื่อพูดจบท่านอาจารย์ก็ยิ้มให้ข้าอีก ก่อนจะเบือนหน้าออกไปมองภายนอกหน้าต่าง

ข้าสดับฟังคำตอบของท่านอาจารย์พลันรู้สึกเหมือนมีคมกระบี่เสียบแทงที่หัวใจ นี่ท่านอาจารย์รู้ความในใจของข้าเช่นนั้นรึ ข้าจ้องมองที่ท่านอาจารย์ ชุดคลุมสีแดงของท่านเจิดจรัสในแสงส่องสว่างที่เข้ามาทางหน้าต่าง ใบหน้าที่งดงามเกินชายทั่วไปดูระทมทุกข์ แม้ข้ารู้ว่าท่านพยายามจะไม่คิดถึงความหลังที่น่าเจ็บปวดก็ตาม

เล่งหูชง.....ชายที่ทำให้อาจารย์ของข้าทรมานแทบปางตาย หากว่าท่านอาจารย์ไม่สามารถเอาชีวิตรอดจากการบุกผาไม้ดำของเหล่าชาวยุทธ์ในครานั้นได้ จนต้องหลบมาเร้นกายในหุบเขามรณะนี้ ในวันนี้ ข้าเองก็คงไม่รู้สึกว่าโลกใบนี้มีอะไรให้ควรค่าแก่การอาวรณ์

“ได้เวลาแล้วกระมัง เจ้าควรจะกลับสำนักได้แล้ว” ท่านอาจารย์ตื่นจากภวังค์แล้วหันกลับมาบอกข้า “ไม่เช่นนั้น หากคนที่สำนักของเจ้ารู้จะลำบาก”

“ขอรับ ท่านอาจารย์” ข้าปิดคัมภีร์ ก่อนจะลุกขึ้นยืน “วันพรุ่ง ข้าจะมาเรียนกับท่านใหม่”

“ไปเถอะ เวลาไม่เช้าแล้ว เดี๋ยวเจ้าจะถูกสงสัย” ท่านอาจารย์โบกมือ ยิ้มน้อยๆให้ข้า

ข้าก้มหัวคำนับท่าน ก่อนจะหันหลังเดินออกมา เมื่อเดินมาได้สิบก้าว ข้าหันกลับไปมองกระท่อมน้อยของท่านอาจารย์ ดอกเหมยยังคงปลิวไสว เสียงกู่เจิ้งที่ท่านอาจารย์บรรเลงเริ่มดังขึ้น ช่างเป็นเสียงที่เศร้าสร้อยอะไรเช่นนี้

ในระหว่างที่ข้าเดินผ่านลำธารน้อย ในใจของข้ายังคงนึกถึงสิ่งที่อาจารย์เพิ่งสนทนากับข้า ในลำคอรู้สึกได้ถึงรสขมแปร่งปร่า .....รักครั้งแรกอันไม่สมหวัง.......ในใจของข้าพลันนึกถึงใบหน้าของศิษย์พี่ขึ้นมาทันที

เพียงนึกถึงใบหน้าของศิษย์พี่ เข่าของข้าก็อ่อนยวบลง ข้าทรุดตัวลงนั่งข้างลำธาร พลางคิดถึงเรื่องที่สุมอยู่ในอก ในบรรดาศิษย์รุ่นที่ 36 ศิษย์พี่ของข้า จางเทียนชิง นับว่าเป็นผู้ที่เก่งกาจทั้งด้านบุ๋นและบู๊มากที่สุด ศิษย์พี่เป็นศิษย์เอกของสำนักหัวซานเรา เป็นความภาคภูมิใจของท่านอาจารย์และนับว่าเป็นอัจฉริยะบุคคล ท่านอาจารย์พ่านจื่อเคยกล่าวว่า ศิษย์พี่เป็นยอดคนที่ร้อยปีจึงจะปรากฎขึ้นครั้งหนึ่งในยุทธจักร ส่วนข้า.....

ข้าเป็นศิษย์น้องที่อ่อนแอ อ่อนด้อยในทุกด้าน ไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมศิษย์พี่ได้แม้แต่น้อย แต่แม้กระนั้น ศิษย์พี่ผู้ใจดีก็ยังให้ความเมตตาแก่ข้าเสมอๆ ข้ารู้ดีว่า เมื่ออยู่ลับหลังศิษย์พี่ ศิษย์คนอื่นๆมักว่ากระทบให้ข้าได้ยินว่า ข้าคือสันดอนที่ขวางเรืออย่างท่านให้ล่าช้า แม้ในบางครั้งคำพูดเหล่านั้นจะจงใจกระทบยามที่ศิษย์พี่อยู่ด้วย แต่ท่านเพียงตบไหล่ข้า ไม่ให้ข้าคิดมากกับคำพูดนั้น

จ๋อม.........
ก้อนหินน้อยในมือข้าถูกขว้างไปในลำธาร ข้าไม่หวังให้ความคิดภายในใจข้าสมหวัง ศิษย์พี่คู่ควรกับหนิงเอ๋อ บุตรสาวของอาจารย์ที่หมั้นหมายกันตั้งแต่ยังเยาว์ ส่วนข้า.......
ที่ลำธารนี้เอง เมื่อสองปีก่อนหน้านี้ ในระหว่างที่ข้ามุดใบหน้าลงใต้ผืนน้ำ ในใจไม่ได้หมายปลงชีวิตตัวเอง หากแต่เพียงครุ่นคำนึงถึงเรื่องของศิษย์พี่จนคิดไม่ตก ฉับพลัน ข้าก็ถูกกระชากขึ้นจากผิวน้ำแล้วโดนเหวี่ยงขึ้นมากระแทกกับก้อนหินข้างลำธารอย่างแรง

“โอ๊ย! ใครกันช่างบังอาจนัก” ข้ารีบพยุงตัวลุกขึ้น ลำตัวเต็มไปด้วยบาดแผลที่ถูกคมหินบาด ในถิ่นของสำนักหัวซาน ใครกันช่างกล้าตอแยกับศิษย์ของหัวซาน ต่อให้ข้าเป็นศิษย์หางแถว คงมีเพียงผู้ไม่รักชีวิตของตนที่กล้ามารังแกงูในรังงู

“เด็กน้อยไม่รักชีวิต หากจะฆ่าตัวตายไยไม่ไปตายที่ปลายน้ำ มาก่อกวนต้นน้ำให้เป็นที่รบกวนสรรพชีวิตแถวนี้ทำไม”

“ใครฆ่าตัวตาย พูดจาเหลวไหล” ข้าเถียงออกไปในทันที ก่อนจะมองคนผู้นั้นอย่างเต็มตา
หากในโลกนี้ สวรรค์มีอยู่จริง ข้าเชื่อว่าข้าได้เห็นนางฟ้าแล้ว .....คนผู้นี้มีรูปร่างสูงระหง ดวงตายาวเรียว ผิวพรรณผุดผ่อง และใบหน้าของนางช่างงดงามปานล่มเมือง

“หึ! ยังจะพูดจามดเท็จ ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าเด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้ามีอะไรที่ทำให้ทุกข์ได้หนักหนาเสียจนอยากปลงชีวิตของตนเอง” นางยังคงพูดด้วยสีหน้าดูแคลนข้าต่อไป

“ข้าบอกแล้วว่าไม่ได้ฆ่าตัวตาย! เจ้าเข้าใจผิด ข้า...ข้ากำลังฝึกวรยุทธ์ใต้น้ำต่างหาก” ข้าเถียงด้วยใบหน้าแดงก่ำ

“อย่างนั้นรึ เอ้า ไม่ได้ฆ่าตัวตายก็ไม่ได้ฆ่าตัวตาย งั้นถือว่าข้าเข้าใจผิดก็แล้วกัน” พูดจบนางก็หันหลังทำท่าจะเดินหนีไปทันที แม้แต่คำขอโทษคำเดียวก็ไม่มี

“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ นี่ท่านจะไม่ขอโทษข้าหน่อยรึ” ข้าร้องเรียกไว้ด้วยความโมโห

“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร คู่ควรกับคำขอโทษของข้ารึ”

พอได้ยินดังนั้น ข้าก็แทบขาดสติด้วยความโกรธา เสือกกระบี่พุ่งเข้าใส่นางทันที ข้าไม่ได้คิดรังแกสตรี หากต้องการรั้งนางไว้ให้หันกลับมาขอโทษข้าเท่านั้น แม้ข้าจะเป็นปลายแถวของสำนักหัวซาน แต่สำนักหัวซานเราก็เป็นหนึ่งในห้าสำนักใหญ่ ข้าก็ยังมีฝีมือเหนือกว่าคนทั่วไปอยู่บ้าง หากแต่นึกไม่ถึงว่า เพียงแค่นางยกมือขึ้นโบกเบาๆ ข้าก็กระเด็นไปไกล

“อั้ก!” ข้ากระอักเลือดออกมาเล็กน้อย ลำตัวข้ากระแทกเข้ากับหน้าผาหินจนปวดไปทั่วกาย แต่แทนที่ข้าจะหยุดเพียงเท่านั้น ความเจ็บปวดภายในใจที่ยังไม่ได้ระบายออกมา ผลักดันให้ข้าพุ่งกระบี่เข้าใส่นางต่อไป

“ติ๊ง!” เสียงปลายกระบี่ของข้ากระทบกับเข็มเงินที่นางซัดออกมา จนกระบี่ของข้าแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ข้าถึงกับพูดไม่ออก ข้ารู้ตัวได้ทันทีว่าร้อยหมื่นก็ไม่มีทางเทียบเท่าคนที่อยู่ตรงหน้าได้ และที่สำคัญ คนในยุทธจักรที่ใช้เข็มเงินเป็นอาวุธมีน้อยเสียกว่าน้อย หากแต่ว่าหนึ่งในนั้น ได้ข่าวว่าตายไปเมื่อห้าปีที่แล้วในการบุกผาไม้ดำของห้าสำนักใหญ่

“ทะ ท่านคือ............” ใบหน้าของข้าซีดเผือด ข้าได้ยินมาว่า ตงฟางปุ๊ป้ายตกหน้าผาตายด้วยฝีมือของเล่งหูชง ซากศพยังหาไม่พบ แล้วถ้าหากว่าตงฟางปุ๊ป้ายไม่ได้ตายอย่างที่ชาวยุทธ์เข้าใจกันเล่า

“ข้าคือผู้ไร้นาม เจ้าอย่าได้สนใจไปเลย ถือเสียว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น หากเจ้ายังรักชีวิตก็อย่าได้เล่าเรื่องราวในวันนี้ให้ใครฟัง” น้ำเสียงของนางเฉียบขาด สายตาที่คาดคั้นทำให้ข้าลังเล จะอย่างไรเสีย ข้าก็เป็นศิษย์สำนักธรรม หากพบมารจะปล่อยไว้ได้อย่างไร “หากเจ้าฉลาด อย่าคิดเรื่องที่จะทำให้เปลืองชีวิตตัวเองเลย”

“หากว่าเจ้าคือตงฟางปุ๊ป้าย ข้าศิษย์สำนักหัวซานก็ต้องกำจัดเจ้า”

“อาศัยฝีมืออย่างเจ้าน่ะรึเจ้าเด็กอมมือ จะทำอะไรข้าได้”

“อย่าพูดมาก” ....ณ วินาทีนั้นข้าได้ผลักไสตัวเองไปยืนอยู่บนหน้าผาแห่งความตาย ชีวิตของข้า แม้อยู่ก็อยู่ดั่งไร้ชีวิต แม้ตาย ใครจะเสียใจ.........
ข้าพุ่งกระบี่เข้าหานางอีกครั้งแล้วครั้งเล่า นางก็ดั่งเพียงหยอกเย้ากับข้า เพียงนางปัดมือเพียงเล็กน้อย เส้นด้ายนับร้อยพันก็พุ่งออกมาพันธนาการข้าไว้ จนข้าไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ข้าพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการแต่ก็ไร้ผล

“เด็กน้อยเอ๋ยเด็กน้อย หากเป็นแต่ก่อน ผู้ที่ท้าทายข้าย่อมตายภายในพริบตา หากแต่ตอนนี้ เจ้าโชคดีที่ข้าเหนื่อยหน่ายกับการฆ่าฟันเสียเหลือเกิน” สีหน้าปลงตกของนางทำให้ข้าประหลาดใจ นี่รึคือใบหน้าของตงฟางปุ๊ป้าย....บูรพาไม่แพ้ที่เหี้ยมโหดคนนั้น
นับตั้งแต่ข้าโตมา ข้าได้ยินเรื่องราวของตงฟางปุ๊ป้ายมาโดยตลอด อาจารย์ทั้งหลายของข้าได้ล้มตายไปในการบุกผาไม้ดำคราวก่อน ความชั่วช้า เจ้าเล่ห์ กลิ้งกลอกของตงฟางปุ๊ป้าย ทำให้เด็กที่อ้าปากร้องต้องหุบทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ แม้ต่อมา ชื่อนี้จะค่อยๆเลือนหายไปจากยุทธจักร เพราะเชื่อกันว่าตงฟางปุ๊ป้ายตกหน้าผาตายด้วยอาลัยรักในเล่งหูชงจนไม่อาจลงมือได้ ทำให้ถูกเล่งหูชงทำร้ายจนตกหน้าผา ความรักของชายก็ไม่ใช่หญิงก็ไม่เชิงผู้นี้ยังคงเป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมา แม้จะผ่านไปเนิ่นนานแล้วก็ตาม

“สายตาของเจ้า.............” ตงฟางปุ๊ป้ายเอ่ยขึ้น

“สายตาของข้าทำไมรึ”

“สายตาของเจ้าทำให้ข้านึกถึงคนผู้หนึ่งเมื่อนานมาแล้ว”
ไม่ทันที่ข้าจะถามว่านางหมายถึงใคร ตงฟางปุ๊ป้ายก็กล่าวต่อ “สายตาของเจ้าเหมือนคนผู้หนึ่งที่เคยโง่งมกับความรัก ความรักที่ไม่อาจบอกใครได้..........เจ้าทำให้ข้านึกถึงตัวเองสมัยก่อนยิ่งนัก โอ้ ตงฟางเอ๋ย แม้จะครองฟ้าคว่ำแผ่นดิน แต่เรื่องความรักเจ้ากลับโง่นัก”

สิ่งที่ตงฟางปุ๊ป้ายเอ่ยถึงทำให้ข้าต้องหยุดชะงัก ช่างน่าอายเหลือเกินที่ถูกคนที่เพิ่งเจอกันดูความในใจออกอย่างกระจ่างแจ้ง

“เฮ้อ ช่างเถอะ เรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว เรื่องราวหนหลังก็ให้ผ่านไป ข้าเร้นกายจากยุทธภพไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก.....ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรล่ะ”

ข้าเงยหน้ามองนาง “ข้าชื่ออูเสีย”

“นับว่าบุญของเจ้าแล้วที่เจอข้าแล้วไม่ตายเจ้าเด็กน้อย ไปเสียเถอะ แล้วอย่ามาฆ่าตัวตายแถวนี้อีก”

“ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ได้...........” ก่อนที่ข้าจะทันพูดจบ ตงฟางปุ๊ป้ายก็กระโดดหายไป

ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง
เสียงเข็มเงินดังขึ้นสามครั้ง เส้นด้ายที่มัดข้าไว้ขาดออกจากกันทันที
ข้าคลำข้อมือที่ถูกด้ายมัดไว้แน่น หากข้ากลับไปแล้วแจ้งท่านอาจารย์พานจื่อและศิษย์พี่ว่าข้าเจอตงฟางปุ๊ป้ายที่นี่ พวกท่านคงรวมคนทุกสำนักใหญ่มาบุกที่นี่ทันที หากทว่า มีบางสิ่งในแววตาและคำพูดขงตงฟางปุ๊ป้ายที่ทำให้ข้าเก็บเรื่องราวในวันนั้นไว้เป็นความลับ ไม่เอ่ยปากบอกใครๆ แม้กระทั่งศิษย์พี่หรือเจ้าอ้วน เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของข้า
หลังจากวันนั้น ข้าก็กลับมาที่หุบเขามรณะอีก ข้าไม่รู้ว่าข้าตามหาตงฟางปุ๊ป้ายทำไม เพียงแต่ในใจของข้ารู้สึกว่าตงฟางปุ๊ป้ายคือคนเดียวที่จะเข้าใจความสับสนในใจของข้านี้

“ท่านผู้อาวุโส........ท่านผู้อาวุโสตง” ข้าร้องเรียกพลางใช้กระบี่ปัดกิ่งไม้ที่กีดขวางทางเดิน ข้าคิดว่านางต้องอาศัยอยู่ไม่ไกล

“เด็กน้อย คราวก่อนไม่ตายสมใจเลยแสวงหาผู้คร่าชีวิตตัวเองให้อย่างงั้นรึ” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น แต่ข้าก็ยังไม่เห็นตัวตงฟางปุ๊ป้ายปรากฎขึ้น

“ข้าไม่เคยแม้แต่จะคิดฆ่าตัวตาย ข้าเพียงแต่มีเรื่องบางอย่างที่อยากรู้จากท่านเท่านั้น ขอให้ท่านออกมาสนทนากับข้าเถิด”

ทันใดนั้น ตงฟางปุ๊ป้ายก็ร่อนลงมาจากหน้าผาอันสูงชันเหนือหัวของข้า ไม่ต้องสงสัยว่ากำลังภายในของตงฟางปุ๊ป้ายอยู่ในระดับใด ชาวยุทธ์พูดว่าจากเหตุการณ์คราวนั้น ตงฟางปุ๊ป้ายไม่ตายก็ไม่อาจใช้วรยุทธ์ได้อีก หากคนเหล่านั้นได้เห็นตงฟางปุ๊ป้ายในตอนนี้ คงได้รู้ว่าพลังฝีมือของคนๆนี้ไม่ได้ถอยลดลงไปเลยแม้แต่น้อย

“เจ้าเด็กไร้เดียงสา เรียกหาข้ามีธุระอันใด”

ข้ารีบคุกเข่าลงคำนับตงฟางปุ๊ป้าย “ข้าก็ไม่รู้จะอธิบายเช่นไร หากแต่ว่า ข้ารู้สึกว่าท่านเข้าใจข้า ไม่ทราบว่าท่านจะให้ข้ามาสนทนากับท่านอีกได้หรือไม่”

“นี่เจ้าเห็นว่าข้าว่างไม่มีอันใดทำ เลยจะมาสนทนาฆ่าเวลาเล่นกับผู้อาวุโสอย่างนั้นรึ...........อืม ก็ได้ หากว่าเจ้าคำนับข้าเป็นอาจารย์เสียก่อน” ตงฟางปุ๊ป้ายหัวเราะเบาๆ นางคงคิดว่าข้าจะไม่ตอบตกลง

“..นั่นจะได้อย่างไร ข้าเป็นศิษย์หัวซาน คำนับอาจารย์พ่านจื่อเป็นอาจารย์แล้ว” ข้าลังเล

“ทีเจ้ายังมีพ่อแม่ได้สองคน จะคำนับอาจารย์สองคนจะเป็นอย่างไรไป นี่แหละน้า ชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมะ มากธรรมเนียมนัก” นางถอนหายใจพลางทำท่าจะเดินจากไป

“เดี๋ยวก่อน!” ข้าร้องเรียกนางไว้ “ข้าน้อยอู๋เสีย ขอคำนับท่านอาจารย์ตงฟาง” ข้ารีบก้มหัวคำนับท่านอาจารย์ในทันที แม้จะไม่มีเครื่องไหว้ในการรับเป็นอาจารย์ลูกศิษย์ แต่ท่านอาจารย์ได้ให้กล่องเข็มพิษสลายใจแก่ข้า

“เจ้าคือศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของตงฟางปุ๊ป้าย อย่าได้แพร่งพรายเรื่องของข้าให้ใครรู้แม้แต่คนเดียว ไม่เช่นนั้นตัวเจ้าเองก็จะได้รับอันตรายไปด้วย ตามข้ามา....ต่อไปนี้ เจ้าต้องมาหาข้าที่บ้านของข้า แล้วข้าจะสอนวรยุทธ์ให้เจ้า”

“ขอรับท่านอาจารย์”

หลังจากนั้นทุกวัน ในระยะเวลาสองปีนี้ ข้าได้แอบมาเรียนวรยุทธ์และความรู้อื่นๆจากท่านอาจารย์ตงฟาง ข้าได้รู้ว่า นอกจากท่านจะเก่งกาจเรื่องวรยุทธ์แล้ว ท่านยังเป็นผู้ที่มีความรู้รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นความรู้ทางบุ๋น อาหาร หรือการเย็บปัก.....ในสองปีนี้ วรยุทธ์ของข้าได้ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด ไม่ใช่เพราะข้าตั้งใจเรียนที่หัวซาน หากแต่เพราะท่านอาจารย์ตงฟางให้คำชี้แนะอย่างใกล้ชิดตลอดมา แต่ข้าก็ไม่เคยเปิดเผยกับใครแม้สักคนเดียว

“อู่เสีย ปีนี้เจ้าอายุสิบเจ็ดแล้วใช่ไหม” ท่านอาจารย์ถามข้าขึ้นมาขณะที่เราพักผ่อนจากการซ้อมวรยุทธ์กัน

ข้าพยักหน้าตอบรับ “ขอรับท่านอาจารย์ ตอนที่ข้าเจอกับท่าน ข้าอายุสิบห้า ผ่านมาสองปีแล้วที่ข้าได้เจอกับท่าน”

“นี่คือของขวัญวันเกิดจากข้า” ท่านอาจารย์ยืนผ้าลายปักให้แก่ข้า

“นี่มัน.....ท่านอาจารย์ เหตุใดผ้าปักผืนนี้จึงมีลายมังกรคู่มังกร” ปกติแล้วมังกรย่อมต้องคู่หงส์ หากแต่ผ้าลายปักของอาจารย์กลับเป็นมังกรสองตัว

“วิถีมนุษย์ใช่หลีกเร้นได้ตามใจ อิสตรีย่อมคู่บุรุษ นี่เป็นเรื่องแต่ปางบรรพ์ หากแต่ชีวิตใครเล่ากำหนดได้ดั่งใจหมาย ฟ้าอาจไม่คู่นก ปลาอาจไม่คู่น้ำ เมื่อเป็นดังนั้น สิ่งที่กำหนดได้มีแต่ใจตน.......อู๋เสีย เจ้าอย่าได้โง่งมอย่างข้า อย่าได้เดินตามวิถีของข้า เจ้ามีลักษณะของยอดนักยุทธ์ ทั้งฉลาดหลักแหลมและเก่งกาจด้านวรยุทธ์ จงมุ่งมั่นกับสิ่งที่เจ้ามี อย่าได้ฝันถึงสิ่งที่เจ้าขาด” ท่านอาจารย์บอกข้าด้วยน้ำเสียงเมตตา

หากท่านอาจารย์บอกว่า ข้าเป็นเหมือนท่าน ท่านคงกำลังกล่าวกับตนเองในวัยเยาว์อยู่กระมัง
ข้าได้ทำตามคำสอนของอาจารย์ตงฟางมาตลอดสองปี “จงมุ่งมั่นกับสิ่งที่มี อย่าได้ฝันถึงสิ่งที่ขาด” ทุกๆวัน ข้าได้ใกล้ชิดกับศิษย์พี่ ความผูกพันของเราสองคน คงมีเพียงข้าที่คิดเลยเถิดไป ศิษย์พี่คงมองข้าเป็นเพียงศิษย์น้องที่ต้องคอยปกป้อง ข้าทำได้เพียงแต่อยู่ข้างๆ มองดูศิษย์พี่กับหนิงเอ๋อเคียงคู่กันประสาคนรัก แม้ศิษย์พี่จะเป็นคนพูดน้อยและไม่ค่อยแสดงออก แต่ข้าก็รู้ว่าท่านห่วงใยหนิงเอ๋อเพียงใด แต่สิ่งเหล่านี้ ข้าได้เพียงแต่เก็บงำอยู่ในใจ ไฉนเลยจะกล้าเอื้อนเอ่ยออกมา แม้กระทั่งท่านอาจารย์ก็ไม่รู้ว่าข้ามีผู้ใดอยู่ในใจ แม้แต่จะคิดข้ายังไม่กล้าคิด
รสชาติที่ขมกว่ารสชาที่รินครั้งแรก
นั่นคือความรักที่ท่านไม่สามารถบอกใครได้นั่นเอง
แม้มีคำพูดเป็นหมื่นที่อยากตะโกนบอก ได้แต่เก็บงำไว้ไม่กล้าเอื้อนเอ่ย ใกล้ชิดสนิทสนม แต่ไม่ใช่ผู้รู้ใจ สัมผัสแนบแน่น แต่เพียงในภาพฝัน โอ....ชีวิตเช่นนี้จะปรารถนาไปไย
ข้าลุกขึ้นเดินจากลำธารน้อย หากว่าข้าตายไปตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน ความเจ็บปวดนี้จะบรรเทาลงหรือไม่ ท่านอาจารย์ใช้ชีวิตต่อมาได้อย่างไรหลังจากถูกคนที่รักที่สุดทำร้าย หรือบางที นี่อาจเป็นโอกาสอันดีที่ข้าจะขอท่านอาจารย์พ่านจื่อลงจากหัวซานเพื่อออกท่องยุทธภพ เผื่อว่าบางที ข้าอาจจะได้ลิ้มลองรสชาติอื่นที่หวานกว่ารสชาติของชาที่รินครั้งแรกดูบ้าง

จบตอน

winterautumnsummerrain
ด้วงฝึกหัด
ด้วงฝึกหัด

จำนวนข้อความ : 6
Points : 3489
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

日月 (Sun Moon) ตอนที่ 1 Empty Re: 日月 (Sun Moon) ตอนที่ 1

ตั้งหัวข้อ by Feran.FS Wed 05 Nov 2014, 23:38

ฟิค AU สินะคะ!

เหมือนกำลังดูหนังกำลังภายใน ช้องแช้งๆ(ฮา)

รอตอนต่อไปนะคะ!
Feran.FS
Feran.FS
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ

จำนวนข้อความ : 457
Points : 3947
Join date : 27/10/2014
Age : 28
ที่อยู่ : ใต้เตียงนอนเซี่ยจื่อหยาง...

ขึ้นไปข้างบน Go down

日月 (Sun Moon) ตอนที่ 1 Empty Re: 日月 (Sun Moon) ตอนที่ 1

ตั้งหัวข้อ by qpanit Thu 06 Nov 2014, 01:08

เนื้อเรื่องน่าติดตามมากเลย
จะรอติดตามอ่านตอนต่อไปนะคะ
qpanit
qpanit
ด้วงฝึกหัด
ด้วงฝึกหัด

จำนวนข้อความ : 6
Points : 3481
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

日月 (Sun Moon) ตอนที่ 1 Empty Re: 日月 (Sun Moon) ตอนที่ 1

ตั้งหัวข้อ by leralalita Thu 06 Nov 2014, 10:33

ย้า ; ; )
ชอบที่เปรียบเทียบรักครั้งแรกกับรสชาจังค่ะ ฮือ ที่ว่ามันทั้งขมและก็ขื่น ฟฟฟฟฟ

อ่านไปก็อดเจ็บแทนอู๋เสียไม่ได้ แอบรักเขาซ้ำยังต้องคอยมองเขาห่วงใยกันนี่มันจี๊ดลงลึกกลางอกฮือ ศิษย์พี่ผู้ที่ยังไม่มีแม้แต่บทพูดแต่ทำเราเฮิร์ทจนจุกไปซะแล้ว orz

สนับสนุนให้อู๋เสียเดินทางค่ะ เผื่อจะเจอสักคน(ฮา) หรือไม่ก็บรรเทาความขมๆขื่นๆนี่น้า เอ็นดูหนุ่มน้อยสิบเจ็ดคนนี้มาก อย่าเอาหัวไปมุดน้ำอีกล่ะแงงง

ขอบคุณสำหรับฟิคนะคะ >< จะรอตอนต่อไปค่ะฟฟ
อ๊ะ ชอบชื่อเรื่องมากเลยค่ะ 555 แอบคิดว่าเปรียบกับอะไรนะ อู๋เสียน้อยเป็นพระอาทิตย์ส่วนศิษย์พี่เป็นพระจันทร์หรือเปล่า หรือจะเปรียบว่าแม้อยู่บนท้องฟ้าเดียวกันแต่ไม่ได้เคียงคู่ ; - ; ) ฮือ ไม่เอานะคะ ไม่จบเศร้าแง *กัดหมอน* #โดนตบ
leralalita
leralalita
ด้วง
ด้วง

จำนวนข้อความ : 34
Points : 3509
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

日月 (Sun Moon) ตอนที่ 1 Empty Re: 日月 (Sun Moon) ตอนที่ 1

ตั้งหัวข้อ by meanato Thu 06 Nov 2014, 11:59

ตงฟางปุ๊......ฮาชื่อจังเลยยยยยยยยย
meanato
meanato
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ

จำนวนข้อความ : 487
Points : 3966
Join date : 27/10/2014
Age : 26
ที่อยู่ : หลังประตูสัมฤทธิ์

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน

- Similar topics

 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ