Countdown
We've been
togerther for
ค้นหา
Latest topics
Most active topics
[OS] งานวิจัยว่าด้วยการศึกษาพฤติกรรมของจางฉี่หลิง (ผิงเสีย)
+4
Eli-kun
yakusoku
The_Dark_Lady
sinnerdarker
8 posters
หน้า 1 จาก 1
[OS] งานวิจัยว่าด้วยการศึกษาพฤติกรรมของจางฉี่หลิง (ผิงเสีย)
งานวิจัยว่าด้วยการศึกษาพฤติกรรมของจางฉี่หลิง | ผิงเสีย
By Sinnerdarker
At DMBJ Meeting 16.08.2015
จางฉี่หลิงเป็นผู้ชายน่าเบื่อ
นั่นเป็นสิ่งแรกที่ผมมองเห็นจากชายคนนี้ เขาเป็นคนประเภทที่สามารถนั่งเหม่อลอยอยู่ข้างหน้าต่างได้เป็นวันๆ หรือสามารถใช้ชีวิตอยู่โดยไม่พูดคุยกับใครได้เป็นสัปดาห์ ครั้งหนึ่งผมเคยมีความพยายามที่จะชวนเขาคุย แต่กลับถูกอีกฝ่ายเมินเฉย สุดท้าย ผมจึงเลิกล้มความคิดที่จะผูกมิตรไป และแอบเรียกเขาไปว่านายขวดน้ำมันน่าเบื่อ ..นายเมินโหยวผิง
แน่นอนว่าคนเราไม่มีได้มีแค่ด้านเดียว แม้ว่าส่วนมากเขาจะเผยด้านนั้นเห็นบ่อยจนเป็นภาพติดตา ยามอยู่ในกรวย เขากลายเป็นวีรบุรุษกู้ชีพ ปราดเปรียวและชำนาญการเรื่องกลไกสุสาน ช่วยเหลือคนในทีมให้อยู่รอดปลอดภัยไปด้วยกัน แต่ผมว่าเขาคงจะเท่กว่านี้ ถ้ารู้จักอยู่กับชาวบ้านให้นานเสียหน่อย ไม่ใช่ผลุบๆ โผล่ๆทหายหัวไปเป็นชาติ กลับมาแวบหนึ่งให้คนโล่งใจเล่นแล้วก็หายตัวไปอีกรอบ ทำเอาผมประสาทเสียอยากด่าพ่อล้อแม่ แต่สุดท้าย ดันเป็นผมที่ชินไปเสียเอง
แต่ว่ากันตามตรง ถ้าไม่ติดว่าเมินโหยวผิงแม่งแตะต้องได้ โดนแสงแดดได้ มานั่งกินข้าวและโดนหอบเข้าโรงพยาบาลเหมือนคนทั่วไป ผมอาจคิดว่าเขาไม่ใช่คน..
..หรือแม่งใช่ไม่ใช่คนจริงๆ วะ
ผมคิดขณะที่มองชายซึ่งนั่งเหม่ออยู่ตรงหน้าตน ชายหนุ่มที่สิบปีที่ผ่านมาไม่ได้แก่ลงแม้แต่นิดเดียว
เขานั่งหน้ามึนอยู่ตรงข้ามผม ในร้านขายท่าเปิ่นร้านเดิมกับที่ผมทำกิจการลุ่มๆ ดอนๆ ติดตัวแดงมาเป็นชาติ ตอนนี้กิจการผมเริ่มดีขึ้นเพราะเงินหนุนจากกิจการฝั่งอาสาม แต่หากพูดถึงกำไรจริงๆ ของร้าน ผมกล้าพูดได้ว่ามันควรจะเจ๊งไปตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนแล้ว
สิบปีผ่านมาแล้ว นับแต่วันที่เขาจากผมไป วันนี้ ได้จางฉี่หลิงกลับมาอยู่ด้วย แต่พฤติกรรมของเขาก็ยังไม่ต่างออกไป
แต่ผมมีความเชื่อมั่นว่า คนเราแม่งไม่ได้มีด้านเดียว หลายปีผ่านมานี้ผมเองก็ใส่หน้ากากไปหลายใบ พิสูจน์ข้อนี้ไปหลายสิบครั้ง คราวนี้ จะมาเสียเวลากับไอ้คนสวมหน้ากากหินนี้สักหน่อยคงไม่เหนือบ่ากว่าแรง
..จริงๆ คือ ตอนนี้ผมว่างมาก งานลงกรวยแทบไม่ได้ไปเอง เป็นคนคีบลามะเสียส่วนใหญ่ งานการหลายส่วนก็โอนให้หวังเหมิงกับคู่หูทำ การลงกรวยทำให้ผมเสียนิสัย อยู่นิ่งๆ เป็นไม่ได้ หากไม่มีงานยุ่งตลอดเวลาก็เหมือนตัวเองจะเฉาตาย
แต่ตอนนี้ งานไม่เข้า กรวยไม่ได้ลง ผมก็ต้องเข้าหาทางเดิม สมัยเด็กจำได้ว่ามีวิชาหนึ่ง ให้เขียนสมุดการเติบโตของต้นไม้ที่ปลูก คราวนี้ ผมเลยปรับซักหน่อย เป็นการติดตามพฤติกรรมจางฉี่หลิงแทน
เสียแต่ว่าตอนนี้ สมุดวิจัยว่าด้วยการศึกษาพฤติกรรมของจางฉี่หลิงแม่งโคตรไร้ความคืบหน้า วันๆ เขาเอาแต่นั่งอยู่นิ่งๆ ทำโน่นนี่ตามที่ผมสั่ง จากนั้นก็กลับไปนั่งอยู่กับที่ ผมเคยคิดอยากจะลากเขาไปลงกรวย แต่ดูเหมือนว่าถ้าผมไม่ไปด้วย เขาก็ไม่อยากไป อีกอย่างค่าตัวดั้งเดิมของเมินโหยวผิง ตอนที่ได้ยินเสี่ยวฮัวพูดออกมาแล้วผมแทบกัดลิ้นตาย อยากวิ่งไปเขย่าคออาสามว่าตอนนั้นแม่งเอาเงินจากไหนมาจ้างผู้ชายคนนี้ลงกรวย หากเป็นก่อนหน้านี้ผมยังใจป้ำคีบเขามาร่วมทีมได้ แต่เพราะเพิ่งหมดเงินเก็บทั้งชีวิตจัดทีมขุดสุสานอลังการไปฉางไปซาน ตอนนี้อยู่ในสภาพจนกรอบที่สุดในชีวิต สุดท้ายเลยแบนไม่ยอมคีบเขามาร่วมงานด้วยแม้แต่ครั้งเดียว
และด้วยเหตุประการฉะนี้ สุดท้ายเลยมีข้อความอยู่ในสมุดที่ผมลงทุนซื้อมาใหม่เอี่ยมอ่องแค่หนึ่งหน้าเพราะไม่มีอะไรเพิ่มมาจากที่ผมเคยรู้แม้แต่น้อยเดียว
ผมนั่งวนปลายปากกาอยู่ในสมุด สุดท้ายพอยิ่งคิดก็ชักหงุดหงิดใจ ดังนั้นจึงวางปากกา เรียกชื่อของเขาออกไป
“เสี่ยวเกอ”
เมินโหยวผิงนิ่งอยู่นาน ซักพักก็หันมามอง ส่งสายตามาแทนคำถาม
ผมเดินออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ร้าน หยิบเสื้อโค้ทของตัวเองแล้วยื่นเสื้อฮู้ดสีน้ำเงินให้เขา เสื้อตัวนี้เป็นคนละตัวกับเมื่อสิบปีที่แล้ว แต่ผมติดภาพเมินโหยวผิงกับเสื้อฮู้ดสีนี้ จึงตัดสินใจซื้อมาให้เขา
และเจ้าตัวเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร
เมินโหยวผิงรับเสื้อไป ตวัดสวมทับเสื้อกล้ามสีดำของตัวเอง ส่วนผมก็สวมเสื้อโค้ทให้เรียบร้อย หยิบกระเป๋าตังค์แล้วเงยหน้าบอกเขา
“ไปเดินเล่นกันเถอะ”
ถึงจะบอกว่าออกมาเดินเล่น แต่สุดท้ายขากลับผมก็วกเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต ถือโอกาสซื้อของสดกลับบ้าน ปกติแล้วงานผมไม่เอื้อให้มีเวลาทำอาหาร แต่นายอ้วนที่ขึ้นมาเยี่ยมก็จะทำของอร่อยให้กิน ด้วยเหตุนี้จึงติดนิสัยเก็บของสดไว้ติดบ้าน เผื่อว่านายอ้วนอยากทำอะไรก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาออกไปซื้อมาทำกินกัน
จะว่าไปแล้วระยะนี้ เจ้าตัวเริ่มเปรยเรื่องที่จะมาอยู่หังโจว บอกว่าแก่แล้วก็เริ่มอยากหาที่สงบๆ อยู่ใกล้เพื่อนฝูง ทีแรกผมว่าจะให้เขามาอยู่ด้วยกัน แต่พอคิดว่าชายโสดสามคนอยู่บ้านเดียวกันแล้ว ก็รู้สึกขนลุกขนพองจนพับแผนที่ว่านี้ไป
ผมหวนคิดแล้วก็สะบัดหัว จากนั้นก็เดินดูเนื้อกับผักต่อไป
เมินโหยวผิงเดินมาด้วยกับผม แต่เราไม่ได้คึยอะไรกันมากนัก ตลอดทางเขาเอาแต่เงียบ หยิบของใส่ตะกร้าตามที่ผมบอก พอถามว่าอยากกินอะไร เจ้าตัวก็ส่ายหัว เป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไรที่อยากกิน
..นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เมินโหยวผิงส่ายหัวใส่ผม แต่ก็ยังเผลอถามอยู่เสมอ
บางครั้งผมก็คาดหวัง ให้คนคนนี้แสดงความรู้สึกอะไรออกมาบ้าง แต่ก็ไม่
สิบปีก่อน ชายคนนี้เป็นเช่นไร ผ่านมาถึงเพียงนี้ ก็ยังเป็นอยู่เช่นนั้น
ยามความคิดนี้ผุดขึ้นมา ผมก็อดทอดถอนใจไม่ได้ ไม่รู้เหตุใด ก็นึกชอบเขาเมื่อครั้งที่ความจำเสื่อมมากกว่า
อย่างน้อยก็เข้าถึงง่ายกว่าตอนนี้กระมัง
ผมจ่ายเงิน หิ้วถุงออกมาจากซุปเปอร์ฯ ด้วยสภาพที่ค่อนข้างซึม แต่เดินไปได้ซักพัก ก็ถูกใครซักคนทักเข้า
“เถ้าแก่อู๋!”
ผมหันไปหาเขา ยิ้มเล็กๆ แล้วทักทายกลับไป คนคนนี้เป็นหนึ่งในคนที่ผมสนิทชิดเชื้อด้วยในหลายปีที่ผ่านมานี้ เราทำกิจการเดียวกัน บางครั้งในตลาดใหญ่จึงเจออยู่บ่อยครั้ง เจ้าตัวตบแขนผม ถามว่าสบายดีไหม เป็นอย่างไรบ้าง ผมจึงตอบว่าสบายดีแล้วกล่าวถามกลับไปคำเดียวกัน
เราคุยกันอยู่ซักพัก เจ้าตัวก็เริ่มสังเกตเมินโหยวผิงที่ยินอยู่หลังผม ชะงักไป ถามว่าพี่ชายท่านนี้เป็นใคร
ผมบอกไปว่าคนคนนี้เป็นเพื่อนของผม มีปัญหาบางอย่างจึงมาอยู่ที่บ้าน เขาครางในลำคอเข้าใจแล้วคุยกันต่ออีกเล็กน้อย จากนั้นก็เดินจากไป ไม่ลืมบอกผมให้หาเวลาไปทานอาหารกับเขาบ้าง มีเรื่องที่อยากคุยเยอะมากจริงๆ
ผมโบกมือให้เขา บอกว่ามีเวลาจะไป แต่ในใจคิดว่าคงไม่มีทาง จากนั้นก็ลดมือลงถอนหายใจ กระชับเสื้อโค้ทตน หันไปบอกเมินโหยวผิงเบาๆ “ไปต่อเถอะ”
เมื่อหันไป ก็เห็นเขาเหม่อลอยอยู่ จึงเรียกออกไปอีกครั้ง “เสี่ยวเกอ?”
“ผู้ชายคนเมื่อครู่ ใครรหรือ?”
ผมเลิกคิ้วหันขวับมอง ท่าทางวันนี้ในสมุดวิจัยคงต้องเพิ่มเรื่องนี้เข้าไป เมินโหยวผิงรู้จักมีคำถามกับชาวบ้านแล้ว
“คนรู้จักน่ะ เคยเจอตอนทำธุรดิจด้วยหลายครั้ง เลยพอจะสนิทด้วย” ผมอธิบายไป เจ้าตัวฟังแล้วก็พยักหน้า จากนั้น ผมก็ก้าวขาเดินต่อไป
และไม่รู้เพราะเหตุใด ระหว่างทางกลับบ้านวันนั้น ผมก็โดนคนที่รู้จักทักจนแทบตาลาย
เริ่มจากเพื่อนร่วมธุรกิจ มาถึงลูกน้องที่ลาออกไปแล้ว คนที่รู้จักผมในฐานะกวนเกินช่างภาพมืออาชีพ ลามไปถึงเพื่อนที่เคยรู้จักกันสมัยมหาลัย
ผมแปลกใจมากที่พบพวกเขาในเวลาไล่เลี่ยกันเช่นนี้ ผมทราบดีว่าหังโจวไม่แคบไม่กว้าง ทว่าการที่คนในชีวิตจะเดินมาเจอกันเช่นนี้ ก็ยังเกินกว่าความบังเอิญ
แทบทุกคน คุยกับผมอยู่ครู่หนึ่งถึงจะสังเกตเห็นเมินโหยวผิง ถามว่าเป็นใคร ผมตอบไปทุกครั้งว่าเป็นเพื่อน มาอยู่ที่บ้านผมระยะหนึ่ง จากนั้น พวกเขาจะเริ่มอึกอัก แล้วก็เร่งจากผมไป
ผมรู้สึกงงอยู่นิดหน่อย แต่ไม่ได้ว่าอะไร บางทีนายขวดน้ำมันของผมคนนี้อาจจะนิ่งไป พวกเขาจึงรู้สึกตัวไปเอง
เจอคนมากแบบนี้ เดินไปซักพักผมก็เริ่มเหนื่อยขึ้นมา ระหว่างที่กำลังภาวนาไม่ให้มีใครทักระหว่างทางอีก ก็มีคนทักเข้ามาจนได้
“คุณอู๋เสีย”
ผมครางในคอ หันไปยิ้มให้คนที่ทักตนมา หรี่ตาลงนิดหน่อยเพราะจำได้ว่าเป็นสาวน้อยที่เคยหน้าแดงใส่ผม
หล่อนโตขึ้นมาก กลายเป็นหญิงสาววัยสะพรั่ง แต่ผมไม่ตื่นเต้นขัดเขินที่ผมเธอ เลิกสนใจเรื่องแบบนี้ไปนานแล้ว ก็ได้แต่หวังว่าการวางตัวของผมจะทำให้เธอเข้าใจ
“คุณอู๋เสียออกมาซื้อของหรือคะ? โชคดีจังค่ะที่ได้เจอ” หล่อนกล่าวเสียงใส ใบหน้าแดงเลือดฝาดนิดๆ คาดว่าคงดีใจที่ได้พบผม ก่อนจะมองเลยไปทางเสี่ยวเกอที่ยืนอยู่หลังผม
“พี่ชายคนนี้ ใครหรือคะคุณอู๋เสีย?”
“เพื่อนของฉันเอง” ผมแนะนำไปแค่นั้น “คุณเองเป็นยังไงบ้าง สบายดีใช่ไหม?”
“สบายดีค่ะ แต่ช่วงนี้ฉันเริ่มออกมาทำธุรกิจเอง กำลังตั้งไข่เลยเชียว” เธอตอบพร้อมหัวเราะเสียงใส “..ถ้าได้ใครมาช่วยให้คำปรึกษาก็คงดี”
เธอเอ่ยแล้วยิ้มให้ผม ไม่รู้เหตุใดก็เห็นความนัยที่ซ่อนในนั้น..เจ้าหล่อนกำลัง…ให้ท่า?
ผมยิ้มตอบไป “ฉันไม่ใช่คนทำธุรกิจเก่ง คุณควรจะปรึกษาคนอื่นมากกว่า”
“แต่ฉันชอบการทำธุรกิจแบบคุณอู๋เสียนะคะ ตอนนี้ฉันอยู่ในช่วงลองผิดลองถูก เพราะฉะนั้น…เอ่อ…”
ประโยคกระตือรือร้นเริ่มแผ่วเสียงลง สายตาของเธอกรอกลงล่างเล็กน้อย ผมขมวดคิ้วสงสัย จึงมองไปตามสายตาที่มองมา
ที่เอวตัวเอง ผมเห็นแขนท่อนนึง กอดรัดตัวเองไว้
ผมเงยหน้าขึ้น ยกแขนสองข้างของตัวเองขึ้นมองแล้วก้มลงไปอีกรอบ แขนท่อนหนึ่งยังรัดผมไว้ พอมองย้อนไป ก็รู้ว่าเป็นแขนของเมินโหยวผิง
จากนั้น ก็คล้ายรู้สึกถึงปลายคางที่วางลงบนไหล่ของตน พร้อมเส้นผมนุ่มสีดำที่เข้าคลอเคลีย
ผมอึ้งไปหลายวิกว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ครั้นจะพูดอะไรออกไปก็สายไปเสียแล้ว
“เอ่อ..ฉันคงรบกวนอยู่…ถ้ายังไง ช่วยหาเวลามาคุยกับฉันด้วยนะคะคุณอู๋” เจ้าหล่อนกล่าวตะกุกตะกัก จากนั้นก็เดินหนีหายไป ส่วนผมตะลึงค้าง ลูบใบหน้าโดยรู้ว่ากำลังโดยสายตาของคนรอบข้างจ้องมอง
เมินโหยวผิงทำผมแล้วไง
หลังจากตั้งสติได้แล้ว ผมก็รีบลากเขากลับบ้าน ผมมาถึงก็ปิดประตปึ้ง ถามออกไปเสียงดัง
“นายทำอะไรของนาย!”
เมินโหยวผิงยืนนิ่ง ไม่สะดุ้งสะเทือนกับคำพูดของผมแม้แต่น้อย ทำเอาผมยิ่งเดือด ตะโกนใส่เขาไปอีกรอบ
“นายทำบ้าอะไร! คิดยังไงถึงมา..โอบเอวฉันในที่สาธารณะ!”
เขายังคงเงียบใส่ผม
“วุ้ย! พูดอะไรออกมาบ้างสิโว้ย!”
“ระหว่างนี้ นายรู้จักใครไปบ้าง”
“หา?”
“สนิทกับใครไปบ้าง?”
ผมฟังเขาแล้วเงียบไป รู้สึกว่าสิ่งที่พ่นออกมาคล้ายไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เราคุยกัน แต่เวลาสิบปีพอจะล้างความซื่อบื้อของผมไปได้บ้าง ผ่านไปซักพัก จึงเริ่มเข้าใจสิ่งที่ทำให้เขาพูดสองประโยคนั้นออกมา
ผมกะพริบตาปริบ ยกมือขึ้นปิดปาก มีความรู้สึกบางอย่างผูขึ้นในอกจนต้องกลั้นยิ้ม
อย่าบอกนะว่า…
“..นายหึง?”
เมินโหยวผิงเงียบไป ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
“..นายหวงฉันตอนที่คุยกับเธอ ก็เลยกอดเอวฉัน ประกาศความเป็นเจ้าของ?”
เหมือนเดิม ก็ยังเงียบใส่
ผู้ชายคนนี้อ่านอารมณ์ยากเสียเหลือเกิน
ผมจ้องมองดวงตาของเขา บางทีมันคงเป็นส่วนประกอบเดียวที่ทำให้ผมเข้าใจอารมณ์ของชายคนนี้ ทว่ายามเมื่อจดจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีนิล ที่เห็นกลับมีเพียงความงุนงงสงสัย
..หรือเขาจะไม่ได้หวงผมจริงๆ?
ระหว่างที่เริ่มกังขาในข้อสรุปของตน เมินโหยวผิงก็ยกแขนขึ้น รั้งผมไปกอดเอาไว้ วางใบหน้าซุกลงกับไหล่ของผม
“..เสี่ยวเกอ?” ผมเรียกเขาเบาๆ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมตอบ มีเพียงอ้อมแขนที่โอบรัดแน่นขึ้นกว่าเก่าเท่านั้น
“..ไม่รู้” เขาตอบกลับมาในที่สุด “ไม่รู้ว่าทำไมถึงทำ”
..สรุปว่าสายตางงงงวยนั่น เป็นเพราะไม่รู้ตัวหรือ?
ผมกะพริบตาปริบ อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ยกสองแขนขึ้นกอดเขา ลูบแผ่นหลังราวจะปลอบโยน
ในเมื่อไม่เข้าใจก็ช่างมันเถอะ ผมเองก็ไม่อยากจะอธิบายให้เขาฟัง ชายคนนี้ บางครั้งคำพูดก็ไม่อาจทำให้เข้าใจได้
เมินโหยวผิงจะรู้ตัวไหม ความหวงผมทำให้เขากระวนกระวาย เผลอแสดงความเป็นเจ้าของใส่โดยที่ไม่รู้ตัว
สมุดวิจัยของผม ดูเหมือนจะมีเรื่องให้เขียนเพิ่มเป็นสองเรื่องแล้ว
ผู้ชายคนนี้..ไม่ใช่แค่นายขวดน้ำมันน่าเบื่อ แต่ดูเหมือนจะมีด้านที่นารักบ้างเหมือนกัน
เมินโหยวผิงยังกอดผมไว้ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ผละออกไป ตอนที่เห็นใบหน้าของเขา ไม่รู้ทำไมก็อดจูบเขาไปทีหนึ่งไม่ได้ และเขาเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไร
ผมยกแขนขึ้น กอดลำคอของเขาไว้ เผยอเรียวปากแทรกเรียวลิ้นเข้าหา เมินโหยวผิงคล้ายจะชะงัก แต่อ้อมแขนที่คลายออกกลับยิ่งรัดแน่น พร้อมกับที่เขาเป็นฝ่ายตอบสนองและรุกรานผมเสียเอง
ลิ้นของเราพัวพันกันครู่หนึ่ง ผมก็ผละออกมาหอบหายใจ ดวงตาปรือขึ้น มองดวงตาที่คล้ายจะเห็นเปลวไฟแผดเผา
ผมเลื่อนมือลงมาที่ไหล่ของเขา สอดมือเข้าใต้เสื้อฮู้ดแล้วเลื่อนออก…เห็นลายกิเลนผุดขึ้นจางๆ
..ไม่ว่าเมื่อไหร่ ผมก็ชอบสิ่งนี้มากจริงๆ
ผมหรี่ตาลงเล็กน้อย จากนั้นก็เลือนสบดวงตาของเขา หากว่าผมอ่านไม่ผิดไป ก็มีความปรารถนาคุกรุ่นในนั้น
อืม…สารภาพตามตรง ผมก็เริ่มอยากจะเห็นกิเลนขึ้นชัดๆ มองเห็นถนัดตาเสียแล้ว
“ไปที่ห้องเถอะ” ผมกระซิบบอกเขาเบาๆ
เมินโหยวผิงไม่ได้ตอบผม เขาเพียงตวัดแขนรั้งใต้เข่าแล้วอุ้มผมขึ้น พาเดินไปที่ห้องนอนของเรา
จากนั้นเกิดอะไรขึ้น คาดว่าพวกคุณคงทราบกันดี
.
.
.
วันนั้น เป็นวันที่ผมได้ข้อมูลของจางฉี่หลิงเพิ่มขึ้นมากหลายอย่าง เช่นเขารู้จักตั้งคำถามกับคนอื่นโดยไม่เกี่ยวกับสุสาน หวงผมออกนอกหน้าโดยไม่รู้ตัว (ผมมาร์คไว้ว่าจุดนี้น่ารักมาก)
..ส่วนอีกเรื่อง ผมไม่จดบันทึก ขอเก็บไว้แค่ในหัวสมองตัวเองก็แล้วกัน
Talk :
ฟิคนี้เกิดขึ้นระหว่างกำลังเดินเข้าซอยค่ะ (..) ก๊ากกกกกกกก คือกำลังเบลอๆ ว่าจะเขียนอะไรดีแล้วก็ พี่เวลทักเรื่องเฉด แล้วก็เลยนั่งนึกว่ามันจะออกมาเป็นยังไงได้บ้าง เลยออกมาเป็นสมุดวิจัยพฤติกรรมจางฉี่หลิงของนายน้อย ซึ่ง..รู้สึกว่ายังเก็บรายละเอียดได้ไม่ดีเท่าไหร่ =////= 555555 แต่เอาเนาะ ฟรีเปเปอร์นี้มันมีแต่กาว อย่าเอาอะไรกับมันนักเลย อหหหหห
รู้สึกเขียนฟิคนี้แล้วนายน้อยหลุดคาร์หน่อยๆ ต้องขออภัย..แต่หากสนุก เราก็จะดีใจมากๆค่ะ >//<
By Sinnerdarker
At DMBJ Meeting 16.08.2015
+++++++++++++++
จางฉี่หลิงเป็นผู้ชายน่าเบื่อ
นั่นเป็นสิ่งแรกที่ผมมองเห็นจากชายคนนี้ เขาเป็นคนประเภทที่สามารถนั่งเหม่อลอยอยู่ข้างหน้าต่างได้เป็นวันๆ หรือสามารถใช้ชีวิตอยู่โดยไม่พูดคุยกับใครได้เป็นสัปดาห์ ครั้งหนึ่งผมเคยมีความพยายามที่จะชวนเขาคุย แต่กลับถูกอีกฝ่ายเมินเฉย สุดท้าย ผมจึงเลิกล้มความคิดที่จะผูกมิตรไป และแอบเรียกเขาไปว่านายขวดน้ำมันน่าเบื่อ ..นายเมินโหยวผิง
แน่นอนว่าคนเราไม่มีได้มีแค่ด้านเดียว แม้ว่าส่วนมากเขาจะเผยด้านนั้นเห็นบ่อยจนเป็นภาพติดตา ยามอยู่ในกรวย เขากลายเป็นวีรบุรุษกู้ชีพ ปราดเปรียวและชำนาญการเรื่องกลไกสุสาน ช่วยเหลือคนในทีมให้อยู่รอดปลอดภัยไปด้วยกัน แต่ผมว่าเขาคงจะเท่กว่านี้ ถ้ารู้จักอยู่กับชาวบ้านให้นานเสียหน่อย ไม่ใช่ผลุบๆ โผล่ๆทหายหัวไปเป็นชาติ กลับมาแวบหนึ่งให้คนโล่งใจเล่นแล้วก็หายตัวไปอีกรอบ ทำเอาผมประสาทเสียอยากด่าพ่อล้อแม่ แต่สุดท้าย ดันเป็นผมที่ชินไปเสียเอง
แต่ว่ากันตามตรง ถ้าไม่ติดว่าเมินโหยวผิงแม่งแตะต้องได้ โดนแสงแดดได้ มานั่งกินข้าวและโดนหอบเข้าโรงพยาบาลเหมือนคนทั่วไป ผมอาจคิดว่าเขาไม่ใช่คน..
..หรือแม่งใช่ไม่ใช่คนจริงๆ วะ
ผมคิดขณะที่มองชายซึ่งนั่งเหม่ออยู่ตรงหน้าตน ชายหนุ่มที่สิบปีที่ผ่านมาไม่ได้แก่ลงแม้แต่นิดเดียว
เขานั่งหน้ามึนอยู่ตรงข้ามผม ในร้านขายท่าเปิ่นร้านเดิมกับที่ผมทำกิจการลุ่มๆ ดอนๆ ติดตัวแดงมาเป็นชาติ ตอนนี้กิจการผมเริ่มดีขึ้นเพราะเงินหนุนจากกิจการฝั่งอาสาม แต่หากพูดถึงกำไรจริงๆ ของร้าน ผมกล้าพูดได้ว่ามันควรจะเจ๊งไปตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนแล้ว
สิบปีผ่านมาแล้ว นับแต่วันที่เขาจากผมไป วันนี้ ได้จางฉี่หลิงกลับมาอยู่ด้วย แต่พฤติกรรมของเขาก็ยังไม่ต่างออกไป
แต่ผมมีความเชื่อมั่นว่า คนเราแม่งไม่ได้มีด้านเดียว หลายปีผ่านมานี้ผมเองก็ใส่หน้ากากไปหลายใบ พิสูจน์ข้อนี้ไปหลายสิบครั้ง คราวนี้ จะมาเสียเวลากับไอ้คนสวมหน้ากากหินนี้สักหน่อยคงไม่เหนือบ่ากว่าแรง
..จริงๆ คือ ตอนนี้ผมว่างมาก งานลงกรวยแทบไม่ได้ไปเอง เป็นคนคีบลามะเสียส่วนใหญ่ งานการหลายส่วนก็โอนให้หวังเหมิงกับคู่หูทำ การลงกรวยทำให้ผมเสียนิสัย อยู่นิ่งๆ เป็นไม่ได้ หากไม่มีงานยุ่งตลอดเวลาก็เหมือนตัวเองจะเฉาตาย
แต่ตอนนี้ งานไม่เข้า กรวยไม่ได้ลง ผมก็ต้องเข้าหาทางเดิม สมัยเด็กจำได้ว่ามีวิชาหนึ่ง ให้เขียนสมุดการเติบโตของต้นไม้ที่ปลูก คราวนี้ ผมเลยปรับซักหน่อย เป็นการติดตามพฤติกรรมจางฉี่หลิงแทน
เสียแต่ว่าตอนนี้ สมุดวิจัยว่าด้วยการศึกษาพฤติกรรมของจางฉี่หลิงแม่งโคตรไร้ความคืบหน้า วันๆ เขาเอาแต่นั่งอยู่นิ่งๆ ทำโน่นนี่ตามที่ผมสั่ง จากนั้นก็กลับไปนั่งอยู่กับที่ ผมเคยคิดอยากจะลากเขาไปลงกรวย แต่ดูเหมือนว่าถ้าผมไม่ไปด้วย เขาก็ไม่อยากไป อีกอย่างค่าตัวดั้งเดิมของเมินโหยวผิง ตอนที่ได้ยินเสี่ยวฮัวพูดออกมาแล้วผมแทบกัดลิ้นตาย อยากวิ่งไปเขย่าคออาสามว่าตอนนั้นแม่งเอาเงินจากไหนมาจ้างผู้ชายคนนี้ลงกรวย หากเป็นก่อนหน้านี้ผมยังใจป้ำคีบเขามาร่วมทีมได้ แต่เพราะเพิ่งหมดเงินเก็บทั้งชีวิตจัดทีมขุดสุสานอลังการไปฉางไปซาน ตอนนี้อยู่ในสภาพจนกรอบที่สุดในชีวิต สุดท้ายเลยแบนไม่ยอมคีบเขามาร่วมงานด้วยแม้แต่ครั้งเดียว
และด้วยเหตุประการฉะนี้ สุดท้ายเลยมีข้อความอยู่ในสมุดที่ผมลงทุนซื้อมาใหม่เอี่ยมอ่องแค่หนึ่งหน้าเพราะไม่มีอะไรเพิ่มมาจากที่ผมเคยรู้แม้แต่น้อยเดียว
ผมนั่งวนปลายปากกาอยู่ในสมุด สุดท้ายพอยิ่งคิดก็ชักหงุดหงิดใจ ดังนั้นจึงวางปากกา เรียกชื่อของเขาออกไป
“เสี่ยวเกอ”
เมินโหยวผิงนิ่งอยู่นาน ซักพักก็หันมามอง ส่งสายตามาแทนคำถาม
ผมเดินออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ร้าน หยิบเสื้อโค้ทของตัวเองแล้วยื่นเสื้อฮู้ดสีน้ำเงินให้เขา เสื้อตัวนี้เป็นคนละตัวกับเมื่อสิบปีที่แล้ว แต่ผมติดภาพเมินโหยวผิงกับเสื้อฮู้ดสีนี้ จึงตัดสินใจซื้อมาให้เขา
และเจ้าตัวเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร
เมินโหยวผิงรับเสื้อไป ตวัดสวมทับเสื้อกล้ามสีดำของตัวเอง ส่วนผมก็สวมเสื้อโค้ทให้เรียบร้อย หยิบกระเป๋าตังค์แล้วเงยหน้าบอกเขา
“ไปเดินเล่นกันเถอะ”
++++++++++++
ถึงจะบอกว่าออกมาเดินเล่น แต่สุดท้ายขากลับผมก็วกเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต ถือโอกาสซื้อของสดกลับบ้าน ปกติแล้วงานผมไม่เอื้อให้มีเวลาทำอาหาร แต่นายอ้วนที่ขึ้นมาเยี่ยมก็จะทำของอร่อยให้กิน ด้วยเหตุนี้จึงติดนิสัยเก็บของสดไว้ติดบ้าน เผื่อว่านายอ้วนอยากทำอะไรก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาออกไปซื้อมาทำกินกัน
จะว่าไปแล้วระยะนี้ เจ้าตัวเริ่มเปรยเรื่องที่จะมาอยู่หังโจว บอกว่าแก่แล้วก็เริ่มอยากหาที่สงบๆ อยู่ใกล้เพื่อนฝูง ทีแรกผมว่าจะให้เขามาอยู่ด้วยกัน แต่พอคิดว่าชายโสดสามคนอยู่บ้านเดียวกันแล้ว ก็รู้สึกขนลุกขนพองจนพับแผนที่ว่านี้ไป
ผมหวนคิดแล้วก็สะบัดหัว จากนั้นก็เดินดูเนื้อกับผักต่อไป
เมินโหยวผิงเดินมาด้วยกับผม แต่เราไม่ได้คึยอะไรกันมากนัก ตลอดทางเขาเอาแต่เงียบ หยิบของใส่ตะกร้าตามที่ผมบอก พอถามว่าอยากกินอะไร เจ้าตัวก็ส่ายหัว เป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไรที่อยากกิน
..นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เมินโหยวผิงส่ายหัวใส่ผม แต่ก็ยังเผลอถามอยู่เสมอ
บางครั้งผมก็คาดหวัง ให้คนคนนี้แสดงความรู้สึกอะไรออกมาบ้าง แต่ก็ไม่
สิบปีก่อน ชายคนนี้เป็นเช่นไร ผ่านมาถึงเพียงนี้ ก็ยังเป็นอยู่เช่นนั้น
ยามความคิดนี้ผุดขึ้นมา ผมก็อดทอดถอนใจไม่ได้ ไม่รู้เหตุใด ก็นึกชอบเขาเมื่อครั้งที่ความจำเสื่อมมากกว่า
อย่างน้อยก็เข้าถึงง่ายกว่าตอนนี้กระมัง
ผมจ่ายเงิน หิ้วถุงออกมาจากซุปเปอร์ฯ ด้วยสภาพที่ค่อนข้างซึม แต่เดินไปได้ซักพัก ก็ถูกใครซักคนทักเข้า
“เถ้าแก่อู๋!”
ผมหันไปหาเขา ยิ้มเล็กๆ แล้วทักทายกลับไป คนคนนี้เป็นหนึ่งในคนที่ผมสนิทชิดเชื้อด้วยในหลายปีที่ผ่านมานี้ เราทำกิจการเดียวกัน บางครั้งในตลาดใหญ่จึงเจออยู่บ่อยครั้ง เจ้าตัวตบแขนผม ถามว่าสบายดีไหม เป็นอย่างไรบ้าง ผมจึงตอบว่าสบายดีแล้วกล่าวถามกลับไปคำเดียวกัน
เราคุยกันอยู่ซักพัก เจ้าตัวก็เริ่มสังเกตเมินโหยวผิงที่ยินอยู่หลังผม ชะงักไป ถามว่าพี่ชายท่านนี้เป็นใคร
ผมบอกไปว่าคนคนนี้เป็นเพื่อนของผม มีปัญหาบางอย่างจึงมาอยู่ที่บ้าน เขาครางในลำคอเข้าใจแล้วคุยกันต่ออีกเล็กน้อย จากนั้นก็เดินจากไป ไม่ลืมบอกผมให้หาเวลาไปทานอาหารกับเขาบ้าง มีเรื่องที่อยากคุยเยอะมากจริงๆ
ผมโบกมือให้เขา บอกว่ามีเวลาจะไป แต่ในใจคิดว่าคงไม่มีทาง จากนั้นก็ลดมือลงถอนหายใจ กระชับเสื้อโค้ทตน หันไปบอกเมินโหยวผิงเบาๆ “ไปต่อเถอะ”
เมื่อหันไป ก็เห็นเขาเหม่อลอยอยู่ จึงเรียกออกไปอีกครั้ง “เสี่ยวเกอ?”
“ผู้ชายคนเมื่อครู่ ใครรหรือ?”
ผมเลิกคิ้วหันขวับมอง ท่าทางวันนี้ในสมุดวิจัยคงต้องเพิ่มเรื่องนี้เข้าไป เมินโหยวผิงรู้จักมีคำถามกับชาวบ้านแล้ว
“คนรู้จักน่ะ เคยเจอตอนทำธุรดิจด้วยหลายครั้ง เลยพอจะสนิทด้วย” ผมอธิบายไป เจ้าตัวฟังแล้วก็พยักหน้า จากนั้น ผมก็ก้าวขาเดินต่อไป
และไม่รู้เพราะเหตุใด ระหว่างทางกลับบ้านวันนั้น ผมก็โดนคนที่รู้จักทักจนแทบตาลาย
เริ่มจากเพื่อนร่วมธุรกิจ มาถึงลูกน้องที่ลาออกไปแล้ว คนที่รู้จักผมในฐานะกวนเกินช่างภาพมืออาชีพ ลามไปถึงเพื่อนที่เคยรู้จักกันสมัยมหาลัย
ผมแปลกใจมากที่พบพวกเขาในเวลาไล่เลี่ยกันเช่นนี้ ผมทราบดีว่าหังโจวไม่แคบไม่กว้าง ทว่าการที่คนในชีวิตจะเดินมาเจอกันเช่นนี้ ก็ยังเกินกว่าความบังเอิญ
แทบทุกคน คุยกับผมอยู่ครู่หนึ่งถึงจะสังเกตเห็นเมินโหยวผิง ถามว่าเป็นใคร ผมตอบไปทุกครั้งว่าเป็นเพื่อน มาอยู่ที่บ้านผมระยะหนึ่ง จากนั้น พวกเขาจะเริ่มอึกอัก แล้วก็เร่งจากผมไป
ผมรู้สึกงงอยู่นิดหน่อย แต่ไม่ได้ว่าอะไร บางทีนายขวดน้ำมันของผมคนนี้อาจจะนิ่งไป พวกเขาจึงรู้สึกตัวไปเอง
เจอคนมากแบบนี้ เดินไปซักพักผมก็เริ่มเหนื่อยขึ้นมา ระหว่างที่กำลังภาวนาไม่ให้มีใครทักระหว่างทางอีก ก็มีคนทักเข้ามาจนได้
“คุณอู๋เสีย”
ผมครางในคอ หันไปยิ้มให้คนที่ทักตนมา หรี่ตาลงนิดหน่อยเพราะจำได้ว่าเป็นสาวน้อยที่เคยหน้าแดงใส่ผม
หล่อนโตขึ้นมาก กลายเป็นหญิงสาววัยสะพรั่ง แต่ผมไม่ตื่นเต้นขัดเขินที่ผมเธอ เลิกสนใจเรื่องแบบนี้ไปนานแล้ว ก็ได้แต่หวังว่าการวางตัวของผมจะทำให้เธอเข้าใจ
“คุณอู๋เสียออกมาซื้อของหรือคะ? โชคดีจังค่ะที่ได้เจอ” หล่อนกล่าวเสียงใส ใบหน้าแดงเลือดฝาดนิดๆ คาดว่าคงดีใจที่ได้พบผม ก่อนจะมองเลยไปทางเสี่ยวเกอที่ยืนอยู่หลังผม
“พี่ชายคนนี้ ใครหรือคะคุณอู๋เสีย?”
“เพื่อนของฉันเอง” ผมแนะนำไปแค่นั้น “คุณเองเป็นยังไงบ้าง สบายดีใช่ไหม?”
“สบายดีค่ะ แต่ช่วงนี้ฉันเริ่มออกมาทำธุรกิจเอง กำลังตั้งไข่เลยเชียว” เธอตอบพร้อมหัวเราะเสียงใส “..ถ้าได้ใครมาช่วยให้คำปรึกษาก็คงดี”
เธอเอ่ยแล้วยิ้มให้ผม ไม่รู้เหตุใดก็เห็นความนัยที่ซ่อนในนั้น..เจ้าหล่อนกำลัง…ให้ท่า?
ผมยิ้มตอบไป “ฉันไม่ใช่คนทำธุรกิจเก่ง คุณควรจะปรึกษาคนอื่นมากกว่า”
“แต่ฉันชอบการทำธุรกิจแบบคุณอู๋เสียนะคะ ตอนนี้ฉันอยู่ในช่วงลองผิดลองถูก เพราะฉะนั้น…เอ่อ…”
ประโยคกระตือรือร้นเริ่มแผ่วเสียงลง สายตาของเธอกรอกลงล่างเล็กน้อย ผมขมวดคิ้วสงสัย จึงมองไปตามสายตาที่มองมา
ที่เอวตัวเอง ผมเห็นแขนท่อนนึง กอดรัดตัวเองไว้
ผมเงยหน้าขึ้น ยกแขนสองข้างของตัวเองขึ้นมองแล้วก้มลงไปอีกรอบ แขนท่อนหนึ่งยังรัดผมไว้ พอมองย้อนไป ก็รู้ว่าเป็นแขนของเมินโหยวผิง
จากนั้น ก็คล้ายรู้สึกถึงปลายคางที่วางลงบนไหล่ของตน พร้อมเส้นผมนุ่มสีดำที่เข้าคลอเคลีย
ผมอึ้งไปหลายวิกว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ครั้นจะพูดอะไรออกไปก็สายไปเสียแล้ว
“เอ่อ..ฉันคงรบกวนอยู่…ถ้ายังไง ช่วยหาเวลามาคุยกับฉันด้วยนะคะคุณอู๋” เจ้าหล่อนกล่าวตะกุกตะกัก จากนั้นก็เดินหนีหายไป ส่วนผมตะลึงค้าง ลูบใบหน้าโดยรู้ว่ากำลังโดยสายตาของคนรอบข้างจ้องมอง
เมินโหยวผิงทำผมแล้วไง
หลังจากตั้งสติได้แล้ว ผมก็รีบลากเขากลับบ้าน ผมมาถึงก็ปิดประตปึ้ง ถามออกไปเสียงดัง
“นายทำอะไรของนาย!”
เมินโหยวผิงยืนนิ่ง ไม่สะดุ้งสะเทือนกับคำพูดของผมแม้แต่น้อย ทำเอาผมยิ่งเดือด ตะโกนใส่เขาไปอีกรอบ
“นายทำบ้าอะไร! คิดยังไงถึงมา..โอบเอวฉันในที่สาธารณะ!”
เขายังคงเงียบใส่ผม
“วุ้ย! พูดอะไรออกมาบ้างสิโว้ย!”
“ระหว่างนี้ นายรู้จักใครไปบ้าง”
“หา?”
“สนิทกับใครไปบ้าง?”
ผมฟังเขาแล้วเงียบไป รู้สึกว่าสิ่งที่พ่นออกมาคล้ายไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เราคุยกัน แต่เวลาสิบปีพอจะล้างความซื่อบื้อของผมไปได้บ้าง ผ่านไปซักพัก จึงเริ่มเข้าใจสิ่งที่ทำให้เขาพูดสองประโยคนั้นออกมา
ผมกะพริบตาปริบ ยกมือขึ้นปิดปาก มีความรู้สึกบางอย่างผูขึ้นในอกจนต้องกลั้นยิ้ม
อย่าบอกนะว่า…
“..นายหึง?”
เมินโหยวผิงเงียบไป ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
“..นายหวงฉันตอนที่คุยกับเธอ ก็เลยกอดเอวฉัน ประกาศความเป็นเจ้าของ?”
เหมือนเดิม ก็ยังเงียบใส่
ผู้ชายคนนี้อ่านอารมณ์ยากเสียเหลือเกิน
ผมจ้องมองดวงตาของเขา บางทีมันคงเป็นส่วนประกอบเดียวที่ทำให้ผมเข้าใจอารมณ์ของชายคนนี้ ทว่ายามเมื่อจดจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีนิล ที่เห็นกลับมีเพียงความงุนงงสงสัย
..หรือเขาจะไม่ได้หวงผมจริงๆ?
ระหว่างที่เริ่มกังขาในข้อสรุปของตน เมินโหยวผิงก็ยกแขนขึ้น รั้งผมไปกอดเอาไว้ วางใบหน้าซุกลงกับไหล่ของผม
“..เสี่ยวเกอ?” ผมเรียกเขาเบาๆ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมตอบ มีเพียงอ้อมแขนที่โอบรัดแน่นขึ้นกว่าเก่าเท่านั้น
“..ไม่รู้” เขาตอบกลับมาในที่สุด “ไม่รู้ว่าทำไมถึงทำ”
..สรุปว่าสายตางงงงวยนั่น เป็นเพราะไม่รู้ตัวหรือ?
ผมกะพริบตาปริบ อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ยกสองแขนขึ้นกอดเขา ลูบแผ่นหลังราวจะปลอบโยน
ในเมื่อไม่เข้าใจก็ช่างมันเถอะ ผมเองก็ไม่อยากจะอธิบายให้เขาฟัง ชายคนนี้ บางครั้งคำพูดก็ไม่อาจทำให้เข้าใจได้
เมินโหยวผิงจะรู้ตัวไหม ความหวงผมทำให้เขากระวนกระวาย เผลอแสดงความเป็นเจ้าของใส่โดยที่ไม่รู้ตัว
สมุดวิจัยของผม ดูเหมือนจะมีเรื่องให้เขียนเพิ่มเป็นสองเรื่องแล้ว
ผู้ชายคนนี้..ไม่ใช่แค่นายขวดน้ำมันน่าเบื่อ แต่ดูเหมือนจะมีด้านที่นารักบ้างเหมือนกัน
เมินโหยวผิงยังกอดผมไว้ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ผละออกไป ตอนที่เห็นใบหน้าของเขา ไม่รู้ทำไมก็อดจูบเขาไปทีหนึ่งไม่ได้ และเขาเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไร
ผมยกแขนขึ้น กอดลำคอของเขาไว้ เผยอเรียวปากแทรกเรียวลิ้นเข้าหา เมินโหยวผิงคล้ายจะชะงัก แต่อ้อมแขนที่คลายออกกลับยิ่งรัดแน่น พร้อมกับที่เขาเป็นฝ่ายตอบสนองและรุกรานผมเสียเอง
ลิ้นของเราพัวพันกันครู่หนึ่ง ผมก็ผละออกมาหอบหายใจ ดวงตาปรือขึ้น มองดวงตาที่คล้ายจะเห็นเปลวไฟแผดเผา
ผมเลื่อนมือลงมาที่ไหล่ของเขา สอดมือเข้าใต้เสื้อฮู้ดแล้วเลื่อนออก…เห็นลายกิเลนผุดขึ้นจางๆ
..ไม่ว่าเมื่อไหร่ ผมก็ชอบสิ่งนี้มากจริงๆ
ผมหรี่ตาลงเล็กน้อย จากนั้นก็เลือนสบดวงตาของเขา หากว่าผมอ่านไม่ผิดไป ก็มีความปรารถนาคุกรุ่นในนั้น
อืม…สารภาพตามตรง ผมก็เริ่มอยากจะเห็นกิเลนขึ้นชัดๆ มองเห็นถนัดตาเสียแล้ว
“ไปที่ห้องเถอะ” ผมกระซิบบอกเขาเบาๆ
เมินโหยวผิงไม่ได้ตอบผม เขาเพียงตวัดแขนรั้งใต้เข่าแล้วอุ้มผมขึ้น พาเดินไปที่ห้องนอนของเรา
จากนั้นเกิดอะไรขึ้น คาดว่าพวกคุณคงทราบกันดี
.
.
.
วันนั้น เป็นวันที่ผมได้ข้อมูลของจางฉี่หลิงเพิ่มขึ้นมากหลายอย่าง เช่นเขารู้จักตั้งคำถามกับคนอื่นโดยไม่เกี่ยวกับสุสาน หวงผมออกนอกหน้าโดยไม่รู้ตัว (ผมมาร์คไว้ว่าจุดนี้น่ารักมาก)
..ส่วนอีกเรื่อง ผมไม่จดบันทึก ขอเก็บไว้แค่ในหัวสมองตัวเองก็แล้วกัน
END
Talk :
ฟิคนี้เกิดขึ้นระหว่างกำลังเดินเข้าซอยค่ะ (..) ก๊ากกกกกกกก คือกำลังเบลอๆ ว่าจะเขียนอะไรดีแล้วก็ พี่เวลทักเรื่องเฉด แล้วก็เลยนั่งนึกว่ามันจะออกมาเป็นยังไงได้บ้าง เลยออกมาเป็นสมุดวิจัยพฤติกรรมจางฉี่หลิงของนายน้อย ซึ่ง..รู้สึกว่ายังเก็บรายละเอียดได้ไม่ดีเท่าไหร่ =////= 555555 แต่เอาเนาะ ฟรีเปเปอร์นี้มันมีแต่กาว อย่าเอาอะไรกับมันนักเลย อหหหหห
รู้สึกเขียนฟิคนี้แล้วนายน้อยหลุดคาร์หน่อยๆ ต้องขออภัย..แต่หากสนุก เราก็จะดีใจมากๆค่ะ >//<
sinnerdarker- ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
- จำนวนข้อความ : 343
Points : 4056
Join date : 27/10/2014
ที่อยู่ : บ้านสกุลหวัง
momelody likes this post
Re: [OS] งานวิจัยว่าด้วยการศึกษาพฤติกรรมของจางฉี่หลิง (ผิงเสีย)
น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารัก
ทั้งคู่เลย...ทั้งตาคนซื่อบื้อที่มีพฤติกรรมรีเฟลกซ์ในการหวงเถ้าแก่
หรือเถ้าแก่ผู้อัพเกรดแต่ก็ยังซื่อบื้อ คุยกับคนไปทั่วจนกิเลนหึง
แอร้...เถ้าแก่นี่ดวงซวยจริงๆ
หญิงสาวนางนั่นที่อ่อยเถ้าแก่ก็ซวยเช่นกัน //ตอนนี้นางจะเป็นยังไง เป็นด้วงไปยัง ฟฟฟฟฟฟ
แอบชอบตอนท้าย เถ้าแก่ควีนอ่ะ จูบก่อน สั่งให้ไปที่ห้อง ชอบความควีนนี้ ดีเหลือเกิน
ทั้งคู่เลย...ทั้งตาคนซื่อบื้อที่มีพฤติกรรมรีเฟลกซ์ในการหวงเถ้าแก่
หรือเถ้าแก่ผู้อัพเกรดแต่ก็ยังซื่อบื้อ คุยกับคนไปทั่วจนกิเลนหึง
แอร้...เถ้าแก่นี่ดวงซวยจริงๆ
หญิงสาวนางนั่นที่อ่อยเถ้าแก่ก็ซวยเช่นกัน //ตอนนี้นางจะเป็นยังไง เป็นด้วงไปยัง ฟฟฟฟฟฟ
แอบชอบตอนท้าย เถ้าแก่ควีนอ่ะ จูบก่อน สั่งให้ไปที่ห้อง ชอบความควีนนี้ ดีเหลือเกิน
The_Dark_Lady- ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
- จำนวนข้อความ : 301
Points : 3636
Join date : 21/06/2015
Age : 29
ที่อยู่ : On the Land, Below the sky
Re: [OS] งานวิจัยว่าด้วยการศึกษาพฤติกรรมของจางฉี่หลิง (ผิงเสีย)
นายน้อยน่ารัก นายเมินนี่แสดงความเป็นเจ้าของสุดๆเลย
yakusoku- ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
- จำนวนข้อความ : 369
Points : 3832
Join date : 05/11/2014
ที่อยู่ : โลงในสุสานโบราณ
Re: [OS] งานวิจัยว่าด้วยการศึกษาพฤติกรรมของจางฉี่หลิง (ผิงเสีย)
แอร๊ เค้าชอบความเงียบๆนิ่งๆ น่าเบื่อแบบนี้ล่ะ เค้าว่ามันเป็นเสน่ห์อย่างนึงของเมินโหยวผิงเลยนะ
สรุปคือนายหึงสินะเสี่ยวเกอ แต่เหมือนจะไม่รู้ตัวใช่ไหมว่ากำลังหึงอยู่ โอ๊ย น่ารัก
จะโมเอะไปไหนเนี่ยจางอากง อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆละ นายก็ซื่อบื้อเรื่องความรักไม่แพ้อู๋เสียสมัยหนุ่มๆเลยหรือไง คู่นี้นี่ 55555
ชอบตอนที่ไม่เข้าใจว่าทำไมทำแบบนั้น แต่ร่างกายมันเป็นไปเอง บรรดาเพื่อนๆทั้งหลายของเถ้าแก่เดินหนีเพราะเจอสายตาพิฆาตจากกิเลนข้างหลังหรือเปล่า ก๊ากกก
แค่ก แค่ก เถ้าแก่ราชินีมาก เดี๋ยวนี้หัดรุกกิเลนก่อนด้วย แต่ถ้ายั่วแล้วกิเลนขึ้นนี่ถือว่าเถ้าแก่ประสบความสำเร็จแล้วล่ะ ฮา เอาใจช่วย หวังว่าสะโพกจะไม่ครากไปเสียก่อน <<<<<<<<<< วิ่งหนี
สรุปคือนายหึงสินะเสี่ยวเกอ แต่เหมือนจะไม่รู้ตัวใช่ไหมว่ากำลังหึงอยู่ โอ๊ย น่ารัก
จะโมเอะไปไหนเนี่ยจางอากง อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆละ นายก็ซื่อบื้อเรื่องความรักไม่แพ้อู๋เสียสมัยหนุ่มๆเลยหรือไง คู่นี้นี่ 55555
ชอบตอนที่ไม่เข้าใจว่าทำไมทำแบบนั้น แต่ร่างกายมันเป็นไปเอง บรรดาเพื่อนๆทั้งหลายของเถ้าแก่เดินหนีเพราะเจอสายตาพิฆาตจากกิเลนข้างหลังหรือเปล่า ก๊ากกก
แค่ก แค่ก เถ้าแก่ราชินีมาก เดี๋ยวนี้หัดรุกกิเลนก่อนด้วย แต่ถ้ายั่วแล้วกิเลนขึ้นนี่ถือว่าเถ้าแก่ประสบความสำเร็จแล้วล่ะ ฮา เอาใจช่วย หวังว่าสะโพกจะไม่ครากไปเสียก่อน <<<<<<<<<< วิ่งหนี
Eli-kun- ด้วงตำหนักหลู่หวังเจ็ดดารา
- จำนวนข้อความ : 80
Points : 3438
Join date : 04/03/2015
Re: [OS] งานวิจัยว่าด้วยการศึกษาพฤติกรรมของจางฉี่หลิง (ผิงเสีย)
อร๊ายยยย น่ารักมากๆ อ่านไปยิ้มไปขำไปสิคะ
เสี่ยวเกอหึงหล่ะ ฮุๆๆ
แสดงว่าคนที่เจอก่อนหน้านั้นที่คุยๆแล้ว หันมาถามว่าเสี่ยวเกอเป็นใคร แล้วก็แยกไปเลยคงเพราะเก๊อๆท่านแผ่รังสีหักคอบ๊ะจ่างใส่แน่ๆ ฮาๆๆ
แล้วยิ่งตอนที่บอกนายน้อยว่าไม่รู้ทำไมถึงทำนี้ อุ้ยประหนึ่งเด็กหนุ่มเพิ่งหัดรัก
แล้วอยู่ๆเมื่อโดนนายน้อยรุก(กรี๊ดๆๆ นายน้อยรุกอะตัว คริๆ)ก็ข้ามมาโตอย่างรวดเร็วพอกิเลนปรากฏ ฮาๆๆๆๆๆ
เสี่ยวเกอหึงหล่ะ ฮุๆๆ
แสดงว่าคนที่เจอก่อนหน้านั้นที่คุยๆแล้ว หันมาถามว่าเสี่ยวเกอเป็นใคร แล้วก็แยกไปเลยคงเพราะเก๊อๆท่านแผ่รังสีหักคอบ๊ะจ่างใส่แน่ๆ ฮาๆๆ
แล้วยิ่งตอนที่บอกนายน้อยว่าไม่รู้ทำไมถึงทำนี้ อุ้ยประหนึ่งเด็กหนุ่มเพิ่งหัดรัก
แล้วอยู่ๆเมื่อโดนนายน้อยรุก(กรี๊ดๆๆ นายน้อยรุกอะตัว คริๆ)ก็ข้ามมาโตอย่างรวดเร็วพอกิเลนปรากฏ ฮาๆๆๆๆๆ
Luckey.B- ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา
- จำนวนข้อความ : 102
Points : 3308
Join date : 20/07/2015
ที่อยู่ : ใต้ถุนบ้านสกุลจาง ใต้ดินบ้านอาสาม
Re: [OS] งานวิจัยว่าด้วยการศึกษาพฤติกรรมของจางฉี่หลิง (ผิงเสีย)
ฟหกฟห แงงง ////w//// น่ารักกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หึงใช่ไหมล่าาาาา เสี่ยวเกออออ
แอบเห็นตรงหวังเหมิงกับคู่หู เอ จะใช่น้องหลีรึเปล่านะ-- /ผิดประเด็นมาก
หึงใช่ไหมล่าาาาา เสี่ยวเกออออ
แอบเห็นตรงหวังเหมิงกับคู่หู เอ จะใช่น้องหลีรึเปล่านะ-- /ผิดประเด็นมาก
Cathareen- ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา
- จำนวนข้อความ : 149
Points : 3597
Join date : 24/12/2014
Re: [OS] งานวิจัยว่าด้วยการศึกษาพฤติกรรมของจางฉี่หลิง (ผิงเสีย)
ง้าววววววววววว จางอากงนั่ลล้ากกกกกกก
หึงแต่ไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร วรั้ย น่าหยิกจริงๆ
นายน้อยควีนนนนน สิบปีนี้นายไปสนิทกับใครมาบ้าง นายอัพควีนได้กี่ระดับ//ผิดดด
หึงแต่ไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร วรั้ย น่าหยิกจริงๆ
นายน้อยควีนนนนน สิบปีนี้นายไปสนิทกับใครมาบ้าง นายอัพควีนได้กี่ระดับ//ผิดดด
Rozenkreuz- ด้วงอาณาจักรเจ้าแม่ซีหวังหมู่
- จำนวนข้อความ : 625
Points : 3850
Join date : 01/07/2015
Age : 31
ที่อยู่ : กองทัพผีเก็บเห็ดแห่งประตูสำริด
Re: [OS] งานวิจัยว่าด้วยการศึกษาพฤติกรรมของจางฉี่หลิง (ผิงเสีย)
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
นายน้อยคะ มีงานวิจัยภาคต่อไหมคะ
อยากอ่านงานวิจัยฉบับเต็ม
เสี่ยวเกอหึงน่ารักอ่ >///<
นายน้อยคะ มีงานวิจัยภาคต่อไหมคะ
อยากอ่านงานวิจัยฉบับเต็ม
เสี่ยวเกอหึงน่ารักอ่ >///<
falenda- ด้วง
- จำนวนข้อความ : 30
Points : 3229
Join date : 27/07/2015
Age : 29
Similar topics
» [OS] #dmbjdaily '520' (ผิงเสีย :: เหม่งจาง,ผิงเสีย)
» [OS] แสงสว่างและความมืด [ผิงเสีย]
» [OS] ความหนักใจของนายอ้วน [ผิงเสีย]
» [OS] ชอบ? [ผิงเสีย]
» [Fic] 002 [ผิงเสีย]
» [OS] แสงสว่างและความมืด [ผิงเสีย]
» [OS] ความหนักใจของนายอ้วน [ผิงเสีย]
» [OS] ชอบ? [ผิงเสีย]
» [Fic] 002 [ผิงเสีย]
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|
Fri 24 Jul 2020, 01:39 by gustoon
» [คู่มือด้วง] Keyword จีนสำหรับการขุด(แฟนดอม)สุสาน
Thu 21 Jun 2018, 00:29 by miskizfullmoon
» มังฮวาและภาคทิเบต
Thu 21 Jun 2018, 00:23 by miskizfullmoon
» [OS] Father is the best (ผิงเสีย)
Thu 03 Aug 2017, 16:12 by schneewittchen
» [Fic] สิ่งเล็กๆที่เชื่อมโลก5 [เมินโหยวผิง+อู่เสีย+เสี่ยอ้วน]+OC
Tue 01 Aug 2017, 12:30 by natsume
» [OS] #dmbjdaily (จูปาจุ๊บ) Bittersweet [ผิงเสีย AU]
Thu 06 Apr 2017, 15:58 by Zeth
» [OS] #dmbjdaily "โทรศัพท์มือถือ" - no Pairing [All]
Tue 04 Apr 2017, 22:27 by Zeth
» [OS] #DMBJDaily (แว่น): ระยะที่มองไม่เห็น [ฮัวเสีย]
Sat 01 Apr 2017, 16:55 by Zeth
» [OS] #DMBJdaily (5.20) ท่านยอดฝีมือ [หวังเหมิง (+เหมิงเสีย)(+ผิงเสีย)]
Thu 30 Mar 2017, 17:24 by Zeth