Countdown
We've been
togerther for
ค้นหา
Latest topics
Most active topics
[Fic] Past to Future ในความทรงจำ (ว่านวัง)
2 posters
หน้า 1 จาก 1
[Fic] Past to Future ในความทรงจำ (ว่านวัง)
***แก้ไขชื่อฟิคนะคะ
[Fic] Past to Future ในความทรงจำ (ว่านวัง)
Fandom: บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน
Pairing: เมินโหยวผิงxอู๋เสีย, ว่านหนูxวังฉางไห่(c) **แต่รู้สึกจะเน้นหนักไปทางไอ้คู่หลังนะ**
Rate: PG
(เรื่องราวเริ่มต้นขึ้น 17 ปีก่อนนายน้อยลงกรวยนะคะ)
ตอนนั้นผมอายุได้แปดขวบ
เรื่องราวเกิดขึ้นกลางดึกของคืนหนึ่งในวันกลางฤดูหนาวที่หนาวเสียจนแทบไม่อยากยื่นปลายเท้าออกจากผ้านวม ขณะที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่ดีๆก็ได้ยินเสียงแผดร้องไห้จ้าของเด็กทารกดังมาจากที่ไหนซักแห่ง เตี่ย อารอง อาสามเป็นคนแรกที่ลุกจากเตียงและวิ่งลงไปข้างล่าง ตามด้วยปู่ที่มีม๊าคอยพยุง
ส่วนผม...ถึงไม่อยากออกไปเผชิญความหนาวข้างนอกนั่นเท่าไหร่นักแต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงคว้าเสื้อกันหนาวตัวที่หนาที่สุดแล้ววิ่งตามพวกผู้ใหญ่ลงไป พวกอากับเตี่ยเข้ามาในบ้านแล้ว แต่ละคนดูหน้าดำคร่ำเครียดแปลกๆ อีกทั้งในอ้อมแขนของอาสามยังประคองห่อผ้าขนสัตว์เนื้อหนาเอาไว้อีกด้วย
“แกจะอธิบายเรื่องนี้ยังไง” อารองเริ่มคาดคั้น ส่วนอาสามเอาแต่ก้มหน้า จ้องมอง ‘บางสิ่ง’ ที่อยู่ในห่อผ้านั้นไม่วางตา
“แล้วจะให้ฉันอธิบายยังไง” เสียงของอาสามสั่นเครือน้อยๆ คล้ายคนกำลังจะร้องไห้
ตอนที่อารองกำลังจะเปิดปากด่านั้นเอง ห่อผ้าในอ้อมแขนอาสามก็ขยับไหว ก่อนจะส่งเสียงร้องไห้จ้าออกมา คล้ายกับรับรู้ถึงบรรยากาศภายในห้องเป็นอย่างดี ตอนนั้นเองผมถึงได้รู้ว่าอาสามเอาอะไรเข้ามาในบ้าน
เป็นเด็กทารก
ภายหลังเตี่ยจึงมาเล่าให้ฟังว่าเป็นเด็กที่ถูกทิ้งเอาไว้หน้าบ้าน พร้อมจดหมายจ่าหน้าซองถึงอาสาม อาซันเสิ่งอ่านได้ไม่กี่บรรทัดก็ร้องไห้ออกมา สภาพเหมือนคนใจสลายไม่ต่างกับเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนที่อาหายตัวไปจากบ้านไม่มีผิด
การที่คนมุทะลุ โคตรเถื่อน ใจนักเลง หรืออะไรก็ช่างที่ออกไปทางนี้ ร้องไห้ได้แบบไม่อายใคร...แสดงว่าเนื้อความที่เขียนลงในจดหมายต้องเป็นสิ่งที่สะเทือนใจอาสามมากทีเดียว
อาสามรับเด็กคนนั้นเอาไว้เป็นลูก ตั้งชื่อให้ว่า ‘อู๋เฟิงเหลียน’ ผมเองก็ดีใจไม่น้อยที่ได้มีเด็กเพิ่มมาอีกคน การเป็นเด็กคนเดียวในบ้านท่ามกลางผู้ใหญ่น่ะมันทำให้ผมเหงามากทีเดียว
อีกอย่าง...เด็กคนนั้นเป็นเด็กผู้หญิงด้วยล่ะ!
ผมตั้งใจแล้วว่าจากนี้ไปจะทำตัวดีๆ ให้เป็นตัวอย่างกับ ‘น้องสาว’
อาสามก็ยังคงเป็นอาสามคนเดิม หลายครั้งที่เขามักจะหายตัวไปแบบไม่บอกไม่กล่าว ทิ้งให้ยัยหนูเหลียนเหลียนอยู่กับอารองผู้น่ากลัวที่สุดในตระกูลอู๋ (ผมคิดอย่างนั้นจริงๆนะ) จากที่เคยกลัวฝังใจตั้งแต่แรกที่พบกัน กลับกลายเป็นเคยชิน แล้วอาเหลียนของผมก็กลายเป็นลูกรักของอู๋เอ้อร์ไป๋ไปเสียอย่างนั้น
ไม่ใช่แค่อารองเท่านั้น ทุกคนในบ้านล้วนหลงเสน่ห์คุณหนูคนเล็กแห่งสกุลอู๋ทั้งสิ้น ผมเองก็ใช่ว่าจะเป็นข้อยกเว้น
ก็เธอน่ารักจริงๆนี่นา!
แก้มป่องๆเหมือนซาลาเปา ผิวขาวจัด จับตรงไหนก็นุ่มนิ่มไปหมด ถึงจะหน้านิ่งเกินมาตรฐานเด็กไปหน่อยแต่ถ้าจ้องด้วยดวงตากลมโตใสแป๋วแบบนั้น...ต่อให้เป็นโจรก็ยังวิ่งเข้ามากอดล่ะเอ้า!
ยกเว้นแต่เพียงดวงตาสีทองประหลาด...
ดวงตาของเธอไม่ได้เป็นสีดำหรือสีน้ำตาลเข้มแบบชาวเอเชีย แต่กลับเป็นสีทองซึ่งผมไม่คิดว่าจะมีใครในโลกที่เป็นแบบนี้ หมอบอกว่าเธอเป็นโรคเกี่ยวกับความผิดปกติของเมลานินในม่านตา ซึ่งดวงตาสีแบบนี้เรียกว่า amber eyes เป็นสีดวงตาที่หายากมากๆ
ก็คงจะรู้กันดีว่าบ้านผมน่ะมีอาชีพที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ นั่นก็คืออาชีพโจรขุดสุสาน หลังจากเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นทำให้ปู่ล้างมือ หนีออกจากฉางซามาที่หังโจว แต่งงานกับย่าแล้วก็มีเตี่ย มีอาและมีผม ก็ไม่เชิงว่าทิ้งไปหมดเสียทีเดียว คนที่ปู่วางแผนว่าจะให้สืบทอดกิจการของครอบครัวก็คืออารอง แต่อาสามผู้ไม่เคยอยู่ในการคาดเดากลับแหกทุกแผนที่ว่านั่น หนีออกจากบ้านไปลงกรวยตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่นไฟแรง สร้างชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาด้วยตัวเอง
และเฟิงเหลียนเองก็ดูจะเจริญรอยตามพ่อของเธอด้วยเช่นกัน
ตั้งแต่เด็กแล้วที่เขาเห็นอาเหลียนชอบนั่งเล่นไพ่นกกระจอกกับอาสาม (แล้วหลังจากนั้นอารองก็วิ่งเข้ามาตบกบาลคนหลัง) เล่นกลเก้าห่วงกับอารอง หรือไม่ก็เล่นหมากล้อมกับเตี่ยผม สำหรับเด็กอายุสิบสองอย่างผมมันไม่เห็นจะน่าสนุกตรงไหนเลย น่าเบื่อออก แต่คงไม่ใช่สำหรับอาเหลียน
เธอเป็นเด็กประหลาด
เด็กอะไรสามารถพูด อ่านและเขียนภาษาจีนโบราณได้คล่องแคล่วอย่างกับเกิดในยุคนั้น นอกจากนั้นยังติดใจกับพวกวัตถุโบราณในร้านอาสามเอามากๆ ชนิดที่ว่าถ้าได้เจอบันทึกเก่าๆหรือจารึกโบราณก็จะนั่งถอดความเป็นวันๆโดยไม่คิดกินข้าวกินน้ำเลยล่ะ
จากการสอนเขียนอักษร สอนคิดคำนวณในแบบฉบับเด็กประถม อาสามดันข้ามขั้น เอาเด็กหกขวบมาทำงานในร้านขายวัตถุโบราณ ตอนแรกก็ให้นั่งดูเวลาตีค่าของ ภายหลังก็เริ่มให้เรียนรู้ที่จะตีค่าสินค้าด้วยตัวเอง
ครั้งแรกที่อากล้าปล่อยลูกสาวให้อยู่โยงเฝ้าร้านเองก็ตอนที่อาเหลียนอายุสิบสามขวบ
แล้วตอนนั้นเองที่กลายเป็นที่มาของ พ่อลูกนักตักทรายแห่งฉางซา
นายฝรั่งคนหนึ่งเอาไหโบราณให้ตีราคา ปรากฏว่าราคาไม่ใช่แค่สิบล้านหยวนแต่ยังพุ่งสูงไปถึงห้าสิบล้านหยวน เพราะว่าไหใบนั้นสลักจารึกอักษรภาพเอาไว้ข้างๆ อีกทั้งยังเป็นสมบัติสมัยจ้านกั๋อีกด้วยว อาเหลียนแกะจารึกภาพนั้นให้กลายเป็นแผนที่กรวย ก่อนจะบอกทางให้นายฝรั่งกับพวกลงไปตามนั้น
อาสามโกรธแทบตายที่ลูกสาวดันบอกแผนที่สุสานให้คนต่างชาติ แต่ก็หายอย่างรวดเร็วเมื่อเธอพูดออกมาประโยคหนึ่ง
“กรวยนั่นถึงไม่ใช่กรวยอวบเท่าไหร่ มีสมบัติพอควรก็จริงแต่อันตราย คนสร้างใส่กับดักเอาไว้เยอะมาก ลงไปมีแต่ตายกับตาย”
นั่นล่ะครับ จากที่ลูกน้องอาสามได้แต่เรียก คุณหนูๆ เหมือนเสียงนกเสียงการ้องก็กลับเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา บางคนเชื่อมั่นเลื่อมใสในความสามารถ ขอจงรักภักดีไม่เปลี่ยนแปลง บางคนเริ่มระแวงว่าจะกลายเป็นเสี้ยนหนามในวันหน้า อาสามเห็นลางในอนาคตจึงส่งบุตรสาวไปฝึกการต่อสู้กับยอดฝีมือคนหนึ่งที่เคยเป็นทหารหน่วยพิเศษโดยอาศัยเส้นสายใต้ดินเล็กน้อย กลับมาอีกทีก็กลายเป็นดอกไม้อันตรายที่ยากจะเข้าใกล้ได้เสียแล้ว
หลังจากเธอขึ้นมัธยม ผมเข้าเรียนมหาลัย ต่างคนต่างเส้นทาง ผมก็ได้เจอเธอน้อยลงจนกระทั่งไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย
ชื่อของเธอคือ อู๋เฟิงเหลียน ลูกสาวคนเดียวของนายสามแห่งสกุลอู๋
ตั้งแต่ยังเด็กเธอรู้ว่าตัวเองมีอะไรบางอย่างที่แปลกไปจากเด็กทั่วๆไป
เธอสามารถอ่านจารึกภาษาโบราณได้โดยไม่ต้องมีใครสอน อ่านได้คล่องแคล่วเสียยิ่งกว่าอ่านภาษาปัจจุบันเสียอีก นอกจากนั้นตัวอักษรภาพที่ว่ากันว่าหาคนน้อยรายจะตีความออก เธอก็ยังสามารถแกะมันออกมาได้เป็นเรื่องเป็นราว เหมือนกับว่าเรื่องพวกนั้นได้สลักลงในความทรงจำมาเนิ่นนานแล้ว
แล้วเพราะอย่างนั้นเอง เตี่ยของเธอ อู๋ซันเสิ่ง จึงได้ตัดสินใจให้เธอตามรอยเขา...ตามรอยกิจการตักทรายขุดสุสานของครอบครัวที่ทำมากันไม่รู้กี่รุ่นกี่ชั่วอายุคน
เขาสอนเธอทุกอย่าง...ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการลงกรวย ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการปีนเขา การดำน้ำ หรือการป้องกันตัว กลเม็ดของค่ายกล หรือแม้กระทั่ง...บ๊ะจ่าง
ล้อเล่นน่า...เรียกกันในหมู่คนทั่วไปก็คือ ผีดิบ ดีๆนี่เอง
หลังจากขึ้นมัธยมได้ไม่นาน เตี่ยก็เริ่มวางใจให้เธออยู่เฝ้าร้าน และการเฝ้าร้านครั้งแรกของเธอก็ไม่โสภาเอาเสียเลย
มีนายฝรั่งคนหนึ่งมาจากอังกฤษ นำไหโบราณที่ไม่รู้ว่าเอาเข้าประเทศมาได้ยังไงมาให้ตีราคา ทีแรกเธอคิดว่าจะโทรหาเตี่ยแต่เกือบลืมไปสนิทว่าตอนนี้เขากำลังลงกรวย อาจไม่มีสัญญาณ หรือถ้ามีสัญญาณก็อาจจะถูกเสียงโทรศัพท์รบกวนจนถูกบ๊ะจ่างงาบหัวเอาได้ อีกอย่างก็ไม่อยากให้เตี่ยเสียเครดิตลูกค้า เด็กหญิงอู๋เฟิงเหลียนจึงได้เริ่มตั้งโต๊ะตีราคาเองเสียเลย
ไม่น่าเชื่อ! ไอ้ไหโทรมๆยิ่งกว่าไหผักดองของยายข้างบ้านดันกลายเป็นไหล้ำค่าเสียได้!!!
มันไม่ใช่แค่ไหเหล้าธรรมดา แต่เป็นไหที่ใช้ในการบูชายัญมนุษย์ เป็นผลงานในยุคจ้านกั๋ว พื้นผิวรอบข้างสลักอักษรภาพที่มักพบในโบราณวัตถุตั้งแต่ยุคจ้านกั๋วขึ้นไป ตีความออกได้คร่าวก็เป็นแผนที่สุสานนั่นเอง!
เธออธิบายคร่าวๆเกี่ยวกับแผนที่พร้อมจดรายละเอียดใส่กระดาษให้นายฝรั่งคนนั้น โชคยังดีที่ภาษาอังกฤษเธอได้รับการขัดเกลาจากการโต้วาทีกับลูกค้าของเตี่ยเป็นประจำ สามารถแปลความที่ถอดออกมาเป็นภาษาอังกฤษคร่าวๆส่งให้นายคนนั้นได้ ทำให้เงินก้อนแรกที่เธอได้นั้นมีมูลค่ารวมแล้วหกสิบล้านหยวน
ก็คนมันเก่ง...ช่วยไม่ได้ //โดนด้วงรุ่นพี่ถีบคว่ำข้อหาหมั่นไส้ 555 ล้อเล่นนะคะ
หลังจากที่เตี่ยกลับมาจากกรวยแล้วเธอก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ตอนแรกเกือบถูกเตี่ยเอาที่ทับกระดาษเขวี้ยงใส่แต่โชคดีหลบทัน และพี่พานก็เข้ามาล็อคคอเตี่ยไว้ ยื้อเวลาให้เธออธิบายสาเหตุทั้งหมด
“กรวยนั่นถึงไม่ใช่กรวยอวบเท่าไหร่ มีสมบัติพอควรก็จริงแต่อันตราย คนสร้างใส่กับดักเอาไว้เยอะมาก ลงไปมีแต่ตายกับตาย”
จริงๆนะ ขนาดในแผนที่ดูรู้เลยว่ามีแผนลวงซ่อนอยู่
เตี่ยจึงพอคลายความโมโหลงบ้าง แต่ก็ยังโกรธอยู่ดีที่เธอไม่โทรไปถามในตอนนั้นเผื่อว่าจะดูผิด จึงถูกลงโทษโดยการคัดอักษรโบราณในห้องตามลำพังหนึ่งอาทิตย์ แล้วไม่นานนักก็มีคนของเตี่ยที่ติดตามพวกฝรั่งนั้นกลับมารายงาน
คณะขุดดิน...ทั้งคณะหายสาบสูญไปในกรวย มีเพียงคนเดียวที่รอดออกมาได้แต่ก็ถูกพิษร้าย ตายในอีกไม่กี่วันต่อมาหลังจากนั้น
ฮึ! ทีนี้เชื่อหรือยังว่าตาไม่ได้ฝาด หูไม่ได้ฟาง
มันคล้ายกับสัญชาตญาณ ไม่ใช่ของโบราณทุกชิ้นที่เธอดูออกหมด แต่บางชิ้นก็สามารถระบุได้ด้วยซ้ำว่านายช่างที่ทำมันนิสัยเป็นเช่นไร สุสานที่ใดมีกลไกอย่างไร มีสมบัติมากน้อยหรือไม่ ด้วยสิ่งนี้เองที่เตี่ยพอวางใจ พาเธอไปทำงานด้วย
แล้วเธอก็ได้ลงกรวยด้วยตัวเองครั้งแรก...ตอนเธออายุสิบเจ็ด
หลังจากนั้นคนที่ชื่อว่า อู๋เฟิงเหลียน ก็หายสาบสูญไป
------------------------------------------------------------------------
รู้สึกว่าช่วงนี้จะเมาแดดไปหน่อย...แดดเมืองไทยทำร้ายข้าน้อยยิ่งนัก
[Fic] Past to Future ในความทรงจำ (ว่านวัง)
Fandom: บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน
Pairing: เมินโหยวผิงxอู๋เสีย, ว่านหนูxวังฉางไห่(c) **แต่รู้สึกจะเน้นหนักไปทางไอ้คู่หลังนะ**
Rate: PG
(เรื่องราวเริ่มต้นขึ้น 17 ปีก่อนนายน้อยลงกรวยนะคะ)
ตอนนั้นผมอายุได้แปดขวบ
เรื่องราวเกิดขึ้นกลางดึกของคืนหนึ่งในวันกลางฤดูหนาวที่หนาวเสียจนแทบไม่อยากยื่นปลายเท้าออกจากผ้านวม ขณะที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่ดีๆก็ได้ยินเสียงแผดร้องไห้จ้าของเด็กทารกดังมาจากที่ไหนซักแห่ง เตี่ย อารอง อาสามเป็นคนแรกที่ลุกจากเตียงและวิ่งลงไปข้างล่าง ตามด้วยปู่ที่มีม๊าคอยพยุง
ส่วนผม...ถึงไม่อยากออกไปเผชิญความหนาวข้างนอกนั่นเท่าไหร่นักแต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงคว้าเสื้อกันหนาวตัวที่หนาที่สุดแล้ววิ่งตามพวกผู้ใหญ่ลงไป พวกอากับเตี่ยเข้ามาในบ้านแล้ว แต่ละคนดูหน้าดำคร่ำเครียดแปลกๆ อีกทั้งในอ้อมแขนของอาสามยังประคองห่อผ้าขนสัตว์เนื้อหนาเอาไว้อีกด้วย
“แกจะอธิบายเรื่องนี้ยังไง” อารองเริ่มคาดคั้น ส่วนอาสามเอาแต่ก้มหน้า จ้องมอง ‘บางสิ่ง’ ที่อยู่ในห่อผ้านั้นไม่วางตา
“แล้วจะให้ฉันอธิบายยังไง” เสียงของอาสามสั่นเครือน้อยๆ คล้ายคนกำลังจะร้องไห้
ตอนที่อารองกำลังจะเปิดปากด่านั้นเอง ห่อผ้าในอ้อมแขนอาสามก็ขยับไหว ก่อนจะส่งเสียงร้องไห้จ้าออกมา คล้ายกับรับรู้ถึงบรรยากาศภายในห้องเป็นอย่างดี ตอนนั้นเองผมถึงได้รู้ว่าอาสามเอาอะไรเข้ามาในบ้าน
เป็นเด็กทารก
ภายหลังเตี่ยจึงมาเล่าให้ฟังว่าเป็นเด็กที่ถูกทิ้งเอาไว้หน้าบ้าน พร้อมจดหมายจ่าหน้าซองถึงอาสาม อาซันเสิ่งอ่านได้ไม่กี่บรรทัดก็ร้องไห้ออกมา สภาพเหมือนคนใจสลายไม่ต่างกับเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนที่อาหายตัวไปจากบ้านไม่มีผิด
การที่คนมุทะลุ โคตรเถื่อน ใจนักเลง หรืออะไรก็ช่างที่ออกไปทางนี้ ร้องไห้ได้แบบไม่อายใคร...แสดงว่าเนื้อความที่เขียนลงในจดหมายต้องเป็นสิ่งที่สะเทือนใจอาสามมากทีเดียว
อาสามรับเด็กคนนั้นเอาไว้เป็นลูก ตั้งชื่อให้ว่า ‘อู๋เฟิงเหลียน’ ผมเองก็ดีใจไม่น้อยที่ได้มีเด็กเพิ่มมาอีกคน การเป็นเด็กคนเดียวในบ้านท่ามกลางผู้ใหญ่น่ะมันทำให้ผมเหงามากทีเดียว
อีกอย่าง...เด็กคนนั้นเป็นเด็กผู้หญิงด้วยล่ะ!
ผมตั้งใจแล้วว่าจากนี้ไปจะทำตัวดีๆ ให้เป็นตัวอย่างกับ ‘น้องสาว’
อาสามก็ยังคงเป็นอาสามคนเดิม หลายครั้งที่เขามักจะหายตัวไปแบบไม่บอกไม่กล่าว ทิ้งให้ยัยหนูเหลียนเหลียนอยู่กับอารองผู้น่ากลัวที่สุดในตระกูลอู๋ (ผมคิดอย่างนั้นจริงๆนะ) จากที่เคยกลัวฝังใจตั้งแต่แรกที่พบกัน กลับกลายเป็นเคยชิน แล้วอาเหลียนของผมก็กลายเป็นลูกรักของอู๋เอ้อร์ไป๋ไปเสียอย่างนั้น
ไม่ใช่แค่อารองเท่านั้น ทุกคนในบ้านล้วนหลงเสน่ห์คุณหนูคนเล็กแห่งสกุลอู๋ทั้งสิ้น ผมเองก็ใช่ว่าจะเป็นข้อยกเว้น
ก็เธอน่ารักจริงๆนี่นา!
แก้มป่องๆเหมือนซาลาเปา ผิวขาวจัด จับตรงไหนก็นุ่มนิ่มไปหมด ถึงจะหน้านิ่งเกินมาตรฐานเด็กไปหน่อยแต่ถ้าจ้องด้วยดวงตากลมโตใสแป๋วแบบนั้น...ต่อให้เป็นโจรก็ยังวิ่งเข้ามากอดล่ะเอ้า!
ยกเว้นแต่เพียงดวงตาสีทองประหลาด...
ดวงตาของเธอไม่ได้เป็นสีดำหรือสีน้ำตาลเข้มแบบชาวเอเชีย แต่กลับเป็นสีทองซึ่งผมไม่คิดว่าจะมีใครในโลกที่เป็นแบบนี้ หมอบอกว่าเธอเป็นโรคเกี่ยวกับความผิดปกติของเมลานินในม่านตา ซึ่งดวงตาสีแบบนี้เรียกว่า amber eyes เป็นสีดวงตาที่หายากมากๆ
ก็คงจะรู้กันดีว่าบ้านผมน่ะมีอาชีพที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ นั่นก็คืออาชีพโจรขุดสุสาน หลังจากเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นทำให้ปู่ล้างมือ หนีออกจากฉางซามาที่หังโจว แต่งงานกับย่าแล้วก็มีเตี่ย มีอาและมีผม ก็ไม่เชิงว่าทิ้งไปหมดเสียทีเดียว คนที่ปู่วางแผนว่าจะให้สืบทอดกิจการของครอบครัวก็คืออารอง แต่อาสามผู้ไม่เคยอยู่ในการคาดเดากลับแหกทุกแผนที่ว่านั่น หนีออกจากบ้านไปลงกรวยตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่นไฟแรง สร้างชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาด้วยตัวเอง
และเฟิงเหลียนเองก็ดูจะเจริญรอยตามพ่อของเธอด้วยเช่นกัน
ตั้งแต่เด็กแล้วที่เขาเห็นอาเหลียนชอบนั่งเล่นไพ่นกกระจอกกับอาสาม (แล้วหลังจากนั้นอารองก็วิ่งเข้ามาตบกบาลคนหลัง) เล่นกลเก้าห่วงกับอารอง หรือไม่ก็เล่นหมากล้อมกับเตี่ยผม สำหรับเด็กอายุสิบสองอย่างผมมันไม่เห็นจะน่าสนุกตรงไหนเลย น่าเบื่อออก แต่คงไม่ใช่สำหรับอาเหลียน
เธอเป็นเด็กประหลาด
เด็กอะไรสามารถพูด อ่านและเขียนภาษาจีนโบราณได้คล่องแคล่วอย่างกับเกิดในยุคนั้น นอกจากนั้นยังติดใจกับพวกวัตถุโบราณในร้านอาสามเอามากๆ ชนิดที่ว่าถ้าได้เจอบันทึกเก่าๆหรือจารึกโบราณก็จะนั่งถอดความเป็นวันๆโดยไม่คิดกินข้าวกินน้ำเลยล่ะ
จากการสอนเขียนอักษร สอนคิดคำนวณในแบบฉบับเด็กประถม อาสามดันข้ามขั้น เอาเด็กหกขวบมาทำงานในร้านขายวัตถุโบราณ ตอนแรกก็ให้นั่งดูเวลาตีค่าของ ภายหลังก็เริ่มให้เรียนรู้ที่จะตีค่าสินค้าด้วยตัวเอง
ครั้งแรกที่อากล้าปล่อยลูกสาวให้อยู่โยงเฝ้าร้านเองก็ตอนที่อาเหลียนอายุสิบสามขวบ
แล้วตอนนั้นเองที่กลายเป็นที่มาของ พ่อลูกนักตักทรายแห่งฉางซา
นายฝรั่งคนหนึ่งเอาไหโบราณให้ตีราคา ปรากฏว่าราคาไม่ใช่แค่สิบล้านหยวนแต่ยังพุ่งสูงไปถึงห้าสิบล้านหยวน เพราะว่าไหใบนั้นสลักจารึกอักษรภาพเอาไว้ข้างๆ อีกทั้งยังเป็นสมบัติสมัยจ้านกั๋อีกด้วยว อาเหลียนแกะจารึกภาพนั้นให้กลายเป็นแผนที่กรวย ก่อนจะบอกทางให้นายฝรั่งกับพวกลงไปตามนั้น
อาสามโกรธแทบตายที่ลูกสาวดันบอกแผนที่สุสานให้คนต่างชาติ แต่ก็หายอย่างรวดเร็วเมื่อเธอพูดออกมาประโยคหนึ่ง
“กรวยนั่นถึงไม่ใช่กรวยอวบเท่าไหร่ มีสมบัติพอควรก็จริงแต่อันตราย คนสร้างใส่กับดักเอาไว้เยอะมาก ลงไปมีแต่ตายกับตาย”
นั่นล่ะครับ จากที่ลูกน้องอาสามได้แต่เรียก คุณหนูๆ เหมือนเสียงนกเสียงการ้องก็กลับเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา บางคนเชื่อมั่นเลื่อมใสในความสามารถ ขอจงรักภักดีไม่เปลี่ยนแปลง บางคนเริ่มระแวงว่าจะกลายเป็นเสี้ยนหนามในวันหน้า อาสามเห็นลางในอนาคตจึงส่งบุตรสาวไปฝึกการต่อสู้กับยอดฝีมือคนหนึ่งที่เคยเป็นทหารหน่วยพิเศษโดยอาศัยเส้นสายใต้ดินเล็กน้อย กลับมาอีกทีก็กลายเป็นดอกไม้อันตรายที่ยากจะเข้าใกล้ได้เสียแล้ว
หลังจากเธอขึ้นมัธยม ผมเข้าเรียนมหาลัย ต่างคนต่างเส้นทาง ผมก็ได้เจอเธอน้อยลงจนกระทั่งไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย
ชื่อของเธอคือ อู๋เฟิงเหลียน ลูกสาวคนเดียวของนายสามแห่งสกุลอู๋
ตั้งแต่ยังเด็กเธอรู้ว่าตัวเองมีอะไรบางอย่างที่แปลกไปจากเด็กทั่วๆไป
เธอสามารถอ่านจารึกภาษาโบราณได้โดยไม่ต้องมีใครสอน อ่านได้คล่องแคล่วเสียยิ่งกว่าอ่านภาษาปัจจุบันเสียอีก นอกจากนั้นตัวอักษรภาพที่ว่ากันว่าหาคนน้อยรายจะตีความออก เธอก็ยังสามารถแกะมันออกมาได้เป็นเรื่องเป็นราว เหมือนกับว่าเรื่องพวกนั้นได้สลักลงในความทรงจำมาเนิ่นนานแล้ว
แล้วเพราะอย่างนั้นเอง เตี่ยของเธอ อู๋ซันเสิ่ง จึงได้ตัดสินใจให้เธอตามรอยเขา...ตามรอยกิจการตักทรายขุดสุสานของครอบครัวที่ทำมากันไม่รู้กี่รุ่นกี่ชั่วอายุคน
เขาสอนเธอทุกอย่าง...ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการลงกรวย ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการปีนเขา การดำน้ำ หรือการป้องกันตัว กลเม็ดของค่ายกล หรือแม้กระทั่ง...บ๊ะจ่าง
ล้อเล่นน่า...เรียกกันในหมู่คนทั่วไปก็คือ ผีดิบ ดีๆนี่เอง
หลังจากขึ้นมัธยมได้ไม่นาน เตี่ยก็เริ่มวางใจให้เธออยู่เฝ้าร้าน และการเฝ้าร้านครั้งแรกของเธอก็ไม่โสภาเอาเสียเลย
มีนายฝรั่งคนหนึ่งมาจากอังกฤษ นำไหโบราณที่ไม่รู้ว่าเอาเข้าประเทศมาได้ยังไงมาให้ตีราคา ทีแรกเธอคิดว่าจะโทรหาเตี่ยแต่เกือบลืมไปสนิทว่าตอนนี้เขากำลังลงกรวย อาจไม่มีสัญญาณ หรือถ้ามีสัญญาณก็อาจจะถูกเสียงโทรศัพท์รบกวนจนถูกบ๊ะจ่างงาบหัวเอาได้ อีกอย่างก็ไม่อยากให้เตี่ยเสียเครดิตลูกค้า เด็กหญิงอู๋เฟิงเหลียนจึงได้เริ่มตั้งโต๊ะตีราคาเองเสียเลย
ไม่น่าเชื่อ! ไอ้ไหโทรมๆยิ่งกว่าไหผักดองของยายข้างบ้านดันกลายเป็นไหล้ำค่าเสียได้!!!
มันไม่ใช่แค่ไหเหล้าธรรมดา แต่เป็นไหที่ใช้ในการบูชายัญมนุษย์ เป็นผลงานในยุคจ้านกั๋ว พื้นผิวรอบข้างสลักอักษรภาพที่มักพบในโบราณวัตถุตั้งแต่ยุคจ้านกั๋วขึ้นไป ตีความออกได้คร่าวก็เป็นแผนที่สุสานนั่นเอง!
เธออธิบายคร่าวๆเกี่ยวกับแผนที่พร้อมจดรายละเอียดใส่กระดาษให้นายฝรั่งคนนั้น โชคยังดีที่ภาษาอังกฤษเธอได้รับการขัดเกลาจากการโต้วาทีกับลูกค้าของเตี่ยเป็นประจำ สามารถแปลความที่ถอดออกมาเป็นภาษาอังกฤษคร่าวๆส่งให้นายคนนั้นได้ ทำให้เงินก้อนแรกที่เธอได้นั้นมีมูลค่ารวมแล้วหกสิบล้านหยวน
ก็คนมันเก่ง...ช่วยไม่ได้ //โดนด้วงรุ่นพี่ถีบคว่ำข้อหาหมั่นไส้ 555 ล้อเล่นนะคะ
หลังจากที่เตี่ยกลับมาจากกรวยแล้วเธอก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ตอนแรกเกือบถูกเตี่ยเอาที่ทับกระดาษเขวี้ยงใส่แต่โชคดีหลบทัน และพี่พานก็เข้ามาล็อคคอเตี่ยไว้ ยื้อเวลาให้เธออธิบายสาเหตุทั้งหมด
“กรวยนั่นถึงไม่ใช่กรวยอวบเท่าไหร่ มีสมบัติพอควรก็จริงแต่อันตราย คนสร้างใส่กับดักเอาไว้เยอะมาก ลงไปมีแต่ตายกับตาย”
จริงๆนะ ขนาดในแผนที่ดูรู้เลยว่ามีแผนลวงซ่อนอยู่
เตี่ยจึงพอคลายความโมโหลงบ้าง แต่ก็ยังโกรธอยู่ดีที่เธอไม่โทรไปถามในตอนนั้นเผื่อว่าจะดูผิด จึงถูกลงโทษโดยการคัดอักษรโบราณในห้องตามลำพังหนึ่งอาทิตย์ แล้วไม่นานนักก็มีคนของเตี่ยที่ติดตามพวกฝรั่งนั้นกลับมารายงาน
คณะขุดดิน...ทั้งคณะหายสาบสูญไปในกรวย มีเพียงคนเดียวที่รอดออกมาได้แต่ก็ถูกพิษร้าย ตายในอีกไม่กี่วันต่อมาหลังจากนั้น
ฮึ! ทีนี้เชื่อหรือยังว่าตาไม่ได้ฝาด หูไม่ได้ฟาง
มันคล้ายกับสัญชาตญาณ ไม่ใช่ของโบราณทุกชิ้นที่เธอดูออกหมด แต่บางชิ้นก็สามารถระบุได้ด้วยซ้ำว่านายช่างที่ทำมันนิสัยเป็นเช่นไร สุสานที่ใดมีกลไกอย่างไร มีสมบัติมากน้อยหรือไม่ ด้วยสิ่งนี้เองที่เตี่ยพอวางใจ พาเธอไปทำงานด้วย
แล้วเธอก็ได้ลงกรวยด้วยตัวเองครั้งแรก...ตอนเธออายุสิบเจ็ด
หลังจากนั้นคนที่ชื่อว่า อู๋เฟิงเหลียน ก็หายสาบสูญไป
------------------------------------------------------------------------
รู้สึกว่าช่วงนี้จะเมาแดดไปหน่อย...แดดเมืองไทยทำร้ายข้าน้อยยิ่งนัก
แก้ไขล่าสุดโดย schneewittchen เมื่อ Sun 19 Apr 2015, 11:05, ทั้งหมด 1 ครั้ง (Reason for editing : รู้สึกเนื้อเรื่องแต่งไปแต่งมาแล้วไม่ค่อยเกี่ยวกับนายน้อยเทียนเจินเลย -_-)
Re: [Fic] Past to Future ในความทรงจำ (ว่านวัง)
อู้ววว น่าตื่นเต้นจังเลยค่ะ ว่านวังด้วยยยยย
วังฉางไห่เป็นสาวสวยไปซะแล้วว คิงว่านคงหวงน่าดู--
/ใช่มั้ย 5555
วังฉางไห่เป็นสาวสวยไปซะแล้วว คิงว่านคงหวงน่าดู--
/ใช่มั้ย 5555
Cathareen- ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา
- จำนวนข้อความ : 149
Points : 3596
Join date : 24/12/2014
Similar topics
» [Fic]Past to Future ในความทรงจำ (ว่านวัง)part2
» [Fic] Past to Future ในความทรงจำ (ว่านวัง) part3
» [SF] Ghoul [ว่านวัง]
» [Drabble] #dmbjdaily (เสื้อฮู้ด) From The Past [ผิงเสีย-ฮันนีมูนเซ็ท]
» [OS] #dmbjdaily (คิง) “ราตรีไร้รัก” [ว่านวัง]
» [Fic] Past to Future ในความทรงจำ (ว่านวัง) part3
» [SF] Ghoul [ว่านวัง]
» [Drabble] #dmbjdaily (เสื้อฮู้ด) From The Past [ผิงเสีย-ฮันนีมูนเซ็ท]
» [OS] #dmbjdaily (คิง) “ราตรีไร้รัก” [ว่านวัง]
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|
Fri 24 Jul 2020, 01:39 by gustoon
» [คู่มือด้วง] Keyword จีนสำหรับการขุด(แฟนดอม)สุสาน
Thu 21 Jun 2018, 00:29 by miskizfullmoon
» มังฮวาและภาคทิเบต
Thu 21 Jun 2018, 00:23 by miskizfullmoon
» [OS] Father is the best (ผิงเสีย)
Thu 03 Aug 2017, 16:12 by schneewittchen
» [Fic] สิ่งเล็กๆที่เชื่อมโลก5 [เมินโหยวผิง+อู่เสีย+เสี่ยอ้วน]+OC
Tue 01 Aug 2017, 12:30 by natsume
» [OS] #dmbjdaily (จูปาจุ๊บ) Bittersweet [ผิงเสีย AU]
Thu 06 Apr 2017, 15:58 by Zeth
» [OS] #dmbjdaily "โทรศัพท์มือถือ" - no Pairing [All]
Tue 04 Apr 2017, 22:27 by Zeth
» [OS] #DMBJDaily (แว่น): ระยะที่มองไม่เห็น [ฮัวเสีย]
Sat 01 Apr 2017, 16:55 by Zeth
» [OS] #DMBJdaily (5.20) ท่านยอดฝีมือ [หวังเหมิง (+เหมิงเสีย)(+ผิงเสีย)]
Thu 30 Mar 2017, 17:24 by Zeth