Countdown
We've been
togerther for

ค้นหา
 
 

Display results as :
 


Rechercher Advanced Search


[OS] #DMBJdaily (แมว) A walk in the night[ผิงเสีย]

4 posters

Go down

[OS] #DMBJdaily (แมว) A walk in the night[ผิงเสีย] Empty [OS] #DMBJdaily (แมว) A walk in the night[ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by kuramajoy Tue 24 Feb 2015, 01:29

A walk in the night

Fic บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน

ตัวละคร – อู๋เสีย /ผิง/เฮย/ฮัว

ตั้งใจให้จบภายใน 17หน้าค่ะ

คุณเชื่อเรื่องมหัศจรรย์ไหม? ปีศาจ... ผีสางนางไม้ เรื่องแปลกประหลาด สัตว์ประหลาด สิ่งเหล่านี้ต่างอยู่รวมกับมนุษย์บนโลกใบนี้ มีเพียงน้อยคนนักที่จะพบการดำรงอยู่ของเขา

ตำนานผีสางนางไม้ที่เหล่าบรรพชนรุ่นหลังได้กล่าวเล่านั้นล้วนแต่มีตัวตนจริง เพียงแค่พวกเขาไม่อาจพบมันได้ ไม่ว่าจะเป็นผีสาง หรือ ปีศาจ

ผมถอนหายใจ จุดไฟแช็กเผาไหม้ปลายบุหรี่เพื่อสูดนิโคตินในหน้าหนาวของปักกิ่ง กระชับเสื้อคลุมเพื่อป้องกันความหนาวเย็นของลมหนาว ปลายเดือนธันวาคือช่วงเวลาช่วงกลางหน้าหนาว ผมดูดบุหรี่จนหมดมวน ก่อนที่จะเดินไปยังหน้าโรงพยาบาลชื่อดังของกรุงปักกิ่ง มันเป็นโรงพยาบาลเอกชนราคาแพงหูฉี่ ผมถูกเรียกตัวด่วนจากหังโจเพื่อมาเยี่ยมเยือนเป็นครั้งสุดท้ายของญาติห่างๆและเพื่อนสมัยเด็ก... เซี่ยอวี้ฮัว

ดูเหมือนว่าวันนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม ญาติของตระกูลเซี่ยมีไม่มากนัก ตระกูลอู๋และตระกูลเซี่ยเป็นลูกพี่ลูกน้องกันสืบสายร่วมกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ พวกเราสองตระกูลเจือจุนซึ่งกันและกัน ผมเองก็เคยเล่นกับเขาในยามเยาว์ ยังคงจำได้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กที่สวยราวกับเด็กผู้หญิงจนเคยเอ่ยขอแต่งงาน

ผมเดินไปยังห้องพิเศษที่ติดป้าย 609 เปิดเข้าไปกลับต้องย่นจมูกด้วยกลิ่นของยา พบเห็นพยาบาลและหมอกำลังปฏิบัติหน้าที่ตามเคย คุณหมอเมื่อหันมาเห็นผมก็ขอตัวไปพร้อมกับลุงเซี่ย ท่าทางอาการของเสี่ยวฮัวคงไม่ดีเท่าใดนัก ผมเดินไปยังข้างเตียง ก้มลงมองเจ้าชายนิทราแสนสวย เรือนร่างผอมบางใส่ชุดคนไข้ ดูเหมือนว่าจะผอมลงกว่าเมื่อปีที่แล้ว ใบหน้าหมดจดหลับสนิท

วันนี้ก็ยังคงเป็นเหมือนเช่นเคย เขายังไม่ตื่น... เมื่อสองปีก่อนผมได้รับข่าวว่าเขาประสบอุบัติเหตุกะทันหัน ถูกรถชนจนสมองได้รับการกระทบกระเทือน ทำให้เป็นเจ้าชายนินทรามาได้สองปีแล้ว คุณลุงเซี่ยเรียกผมมาดูเขา คาดว่าอาการของเขาคงจะแย่ลงกว่าเคย

ผมยังจำประโยคสุดท้ายที่คุยกับเขาได้ วันที่เขาประสบอุบัติเหตุผมกับเขาโทรศัพท์คุยกัน ก่อนหน้านั้นไม่นาน เขายังบอกกับผมว่ามีของจะอวด เจ้าตัวไปเก็บสิ่งน่าสนใจได้

อะไรน่าสนใจ... สุดท้ายมันก็เป็นคำถามที่ค้างคาจนทุกวันนี้

“เสี่ยวเสีย ขอบคุณที่มาเยี่ยมนะ ลุงมีธุระนิดหน่อย เอากุญแจเซฟเฮ้าส์ของเสี่ยวฮัวไปก่อนแล้วกัน” คุณลุงเซี่ยเหยียดยิ้มให้กับผม ไม่พบแค่หนึ่งปีเขาดูแก่ลงไปมาก
ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะเป็นห่วงลูกชาย ลุงเซี่ยเอ็นดูผมมาตั้งแต่เด็กเขาเป็นคู่ป่วนร่วมกับอาสาม สุดท้ายก็ถูกอารองไล่ตี ผมยังจำสมัยเก่าได้จึงเอื้อมมือไปรับกุญแจเซฟเฮ้าส์ของเสี่ยวฮัว

ผมทราบว่าเสี่ยวฮัวแยกตัวออกมาอยู่คนเดียวตั้งแต่มหาลัยทั้งที่บ้านกับมหาลัยก็ไม่ได้ไกลกันมาก เขาบอกว่ามันเป็นการฝึกเอาตัวรอดเพื่ออยู่คนเดียว ผมฟังแล้วก็รู้สึกแปลก แต่ในเมื่อเป็นธรรมเนียมของตระกูลผมจะไม่ถามให้มากความ สุดท้ายก็เดินออกมาจากห้องของเขา มองใบหน้าที่หลับใหลของเสี่ยวฮัวเป็นครั้งสุดท้ายด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า

“เขาอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว” น้ำเสียงทุ้มดังขึ้นพาให้ผมที่จับลูกบิดประตูหันไปมองยังด้านซ้าย พานพับเข้ากับเด็กหนุ่มสวมฮู้ดสีน้ำเงินเข้ม ใบหน้าของเขาซุกซ่อนอยู่ใต้ฮู้ด นัยน์ตาคมสีดำสนิทมองผม ใบหน้าคมคายหล่อเหลาจนผิดมนุษย์ เรือนร่างสูงสมส่วน เขาดูราวกับประติมากรรมของเทพเจ้า

คนเชี่ยอะไรหล่อขนาดนี้วะ

“นายว่าอะไรนะ” ผมเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มตรงหน้า เขาเหลือบตามองผมพูดประโยคเดิม

“เขาอยู่ได้ไม่อีกนานแล้ว ทางที่ดีนายควรจะดึงสายช่วยชีวิตนั้นทิ้งซะ”

“จะบ้าหรือไง” ผมตวาดเขากลับ การส่งเสียงดังในโรงพยาบาลพาให้พยาบาลที่อยู่อีกข้างของผมเรียก นิ้วเรียวของเธอแตะที่ริมฝีปาก ผมยิ้มแห้งไปให้เธอ ทำท่าขอโทษ ครั้นหันกลับมาอีกคราเจ้าหนุ่มสวมฮู้ดกลับไม่อยู่เสียแล้ว

คนอะไร? อยู่ๆมาให้ฆ่าญาติตนเอง

ผมเดินทางไปยังเซฟเฮ้าส์ของเสี่ยวฮัว ใช้กุญแจดอกเก่าไขห้องที่ไม่มีคนไขมานาน สภาพข้างในถูกจัดเอาไว้อย่างเป็นระเบียบสมกับเป็นนิสัยของเสี่ยวฮัวผู้รักความเป็นระเบียบ ทว่าการถูกทิ้งร้างมานานทำให้ฝุ่นจับไปหมด ผมทำความสะอาดอย่างง่ายเพียงพอให้ตนเองอยู่ได้ ผมทำความความสะอาดไปก็พบเข้ากับข้าวของที่แทบทำให้อดขำไมได้ ในตู้สี่ชั้นนั้นเต็มไปด้วยอาหารแมวหมดอายุ ของเล่นแมวที่ยังไม่แกะถุง เสื้อผ้าสำหรับแมว ผมรื้อลงไปมากกว่านั้นเจออัลบั้มรุปจึงหยิบมันมาดู ข้างในนั้นเป็นรูปของเจ้าแมวสีดำสนิทขนเงางามหางเหยียดยาว

เสี่ยวฮัวเลี้ยงแมว? ในความทรงจำของผม เสี่ยวฮัวไม่ใช่คนรักสัตว์นัก การที่เขาเลี้ยงแมวพาให้ผมรู้สึกแปลกใจ ผมเห็นเจ้าแมวดำแล้วก็นึกย้อนไปในวันวาน... จะว่าไปแล้วตอนที่ผมยังเด็กก็เคยเลี้ยงแมวเอาไว้หนึ่งตัว ทว่าอยู่ๆมันก็หายไป พ่อกับแม่บอกว่ามันคงจะจากไปแล้วเพราะแมวนั้นมีนิสัยชอบหนีเที่ยว อีกอย่างผ่านมาตั้งสิบกว่าปีคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว

“ตอนนี้จะเป็นยังไงนะ เหมือนเจ้าตัวนี้เลย” ผมพลิกภาพถ่ายของเสี่ยวฮัว เจ้าแมวสีดำท่าทางจะขี้อ้อนไม่เบา มันถึงกับนอนเกลือกกลิ้งให้ถ่ายในอิริยาบถต่างๆ

ผมเก็บอัลบั้มรูป ตัดสินใจว่าจะไปดูจุดที่เสี่ยวฮัวเกิดอุบัติเหตุเสียหน่อยอีกทั้งจะไปหาอะไรใส่ท้องด้วย ผมเดินออกมาจากห้อง ล็อกกุญแจก่อนที่จะหยิบกระเป๋าใส่ในเสื้อโค้ท เดินไปตามถนนยามค่ำคืน เมื่อสมัยก่อนผมกลัวความมืดและภูติผีปีศาจตามเรื่องเล่า ได้แต่นอนขดตัวในยามค่ำคืนออดอ้อนคุณปู่

ปู่เห็นผมเป็นดังนั้นจึงหัวเราะพลางบอกว่าสิ่งที่น่ากลัวกว่าภูติผีคือจิตใจของคน ภูติผีนั้นจะไม่ทำร้ายเราหากเราไม่เหยียบย่างไปในที่ของมันความหมายคือจะถูกทำร้ายหากหมายจะช่วงชิงสิ่งใดจากมัน แต่มนุษย์นั้นย้อมต้องการที่ช่วงชิงจากมนุษย์ด้วยกันเสมอ

“เอ๋?” มองเผลออุทานเมื่อสายตาเลื่อนไปเห็นยังหางยาวของแมวดำที่มุมตึก ขาของผมวิ่งไปโดยอัตโนมัติ เห็นยังเจ้าแมวขนสั้นสีดำตัวขนาดพอดีมือ ครั้นมันเห็นผมก็ตกใจวิ่งหนีไปอีกทาง ผมวิ่งตามมัน นึกถึงรูปถ่ายใบนั้นของเสี่ยวฮัว ผมวิ่งมาจนถึงเขตอาคารร้างจุดที่ใกล้กับที่เกิดอุบัติเหตุของเสี่ยวฮัว ข้างทางมืดสลัวราวกับจะมีอะไรโผล่มาได้ ผมถอนหายใจ รู้สึกเหนื่อยจนหายใจไม่ทัน

เจ้าแมวดำตัวนั้นหายไปเสียแล้ว?

ผมรู้สึกว่าตัวเองทั้งโง่และบ้า แมวสีดำก็หน้าตาคล้ายๆกันไปหมด ผมปาดเหงื่อตัวเอง มองรอบด้าน ท่าทางจะอยู่ที่เขตอุตสาหกรรมของโรงงาน เมื่อกลางปีก่อนเกิดภาวะเงินเพ้อทำให้โรงงานหลายโรงต้องล้มละลาย ท่าทางโรงงานนี้คงเป็นหนึ่งในนั้น อาคารที่เหลือแค่โครงกับหญ้าที่ขึ้นสูงบดบังทัศนียภาพ อากาศหนาวโอบล้อมตัวผมจนต้องหอบหายใจออกมาเป็นไอ

“มานี่สิ” เสียงเรียกที่คุ้นเคยดังขึ้น มันราวกับเสียงของปู่ของผมพาให้ขาของผมเดินเข้าไปทางทิศนั้น หากไม่มีสัมผัสเย็นเฉียบแตะเข้าข้างข้อมือพาให้สะดุ้ง

“ไปไม่ได้นะ!” เสียงทุ้มกรอกใส่หูของผมจนสะดุ้ง ผมหันไปมองคนที่คว้ามือของผมเอาไว้จากด้านหลัง เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาคมคายให้อารมณ์เถื่อนเล็กน้อย เรือนร่างสูงใหญ่อยู่ในชุดหนังสีดำสนิท มือที่ใส่ถุงมือจับข้อแขนผมเอาไว้แน่น นัยน์ตาสองสีดูเหม่อลอยราวกับเป็นต้อ

“นาย..” ผมครางเมื่อชายคนนั้นกดข้อแขนผม

“นายคงไม่อยากตายใช่ไหม?” เขาเอ่ยคำที่พาให้ผมเบิกตากว้าง

“ระวังหน่อยสิ นายเป็นเด็กที่น่ากินนะ ใครๆก็คงอยากพานายไปด้วย”

อะไรคือน่ากิน ผมอึ้งมองดูเขา ชายคนนั้นหัวเราะร่วน ปล่อยมือจากมือของผม

“นายเป็นใคร?” ครั้นถามไปผมก็นึกได้ว่ามาที่นี่เพราะอะไร “อ๊า จริงสิ นายเห็นแมวดำไหม?”

“ฉันชื่อเฮยเสียจื่อ ส่วนแมวดำน่ะหรือ แมวดำตัวไหนล่ะ ถ้าทั่วๆไปล่ะก็มีอยู่ตัวหนึ่งนะ” เฮยเสียจื่อแลบลิ้นใส่ผมท่าทีร่าเริง

“หา ไหนล่ะ” ผมหันซ้ายหันขวา พบพานแต่ทุ่งหญ้าขึ้นสูง ไม่เห็นแมวสักตัว หรือว่ามันจะกลืนไปกับความมืดมิดของป่าเสียแล้ว

“อยู่นี่ไง” เฮยเสียจื่อชี้นิ้วลงยังตัวเองพลางหัวเราะ “แมวดำหนึ่งตัว!”

“หา!” ผมถลึงตามองเขา ชายตรงหน้าโค้งกายราวกับรับคำเชิญชวน “น้อยๆหน่อย อย่ามาเล่นลิ้นแถวนี้ ฉันกำลังรีบ”

“ไมได้เล่นลิ้นสักหน่อย ฮึ นายให้คนอื่นแนะนำตัวแต่นายไม่แนะนำตัว นิสัยแย่ไปหน่อยไหม”

“อู๋เสีย” ถูกเขาต่อว่าหนักเข้าผมเลยจำเป็นต้องแนะนำตัว อย่างไรเสียผมก็เป็นฝ่ายให้เขาแนะนำตัวก่อน แต่เฮยเสียจื่อกลับเบิกตากว้าก่อนที่จะหัวเราะลั่น

“อ๊า นายคืออู่เสียหรือ ไม่เห็นจะน่ารักอย่างที่เขาบอกสักนิด หึหึ แต่นิสัยนายก็น่ารักอยู่นะ” เขายื่นมือมาให้ผมจับท่าทีขี้เล่นทำให้ผมถลึงตา

“นายรู้จักฉันได้อย่างไร”

“ความลับนะจ๊ะ” เฮยเสียจื่อหัวเราะท่าทีน่าสงสัยพาให้ผมโมโหจนเชิดหน้า “พอกันที ถ้านายไม่เห็นแมวฉันก็จะไปแล้ว”

“เดี๋ยวสิ ฉันช่วยนายเอาไว้นะ ถ้าไม่มีฉันนายตายไปแล้ว” เขาตะโกนขึ้นมา มือคว้าแขนของผมเอาไว้ ความเย็นเฉียบที่ได้สัมผัสพาให้ผมสะดุ้งสุดตัว สัมผัสเหมือนกับเอาผิวไปถูกับน้ำแข็งแห้ง

“ช่วยอะไร?” ผมขมวดคิ้วมองเขา แต่เฮยเสียจื่อกลับชี้ไปที่ข้างล่าง ครั้นหันไปดูก็พบกับตะขาบตัวขนาดเท่าข้อแขน... พระเจ้า! ไอ้นี่มันน่าจะอยู่มาเกิน 10 ปีเป็นแน่ถึงได้ตัวใหญ่ขนาดนี้ ไม่สิ ทำไมเมื่อครู่ผมจึงไม่เห็น ผมพยายามอยู่นิ่งให้มากที่สุดรอตะขาบเลื้อยผ่านไป หากเมื่อครู่เขาไม่ได้จับผมเอาไว้ผมคงจะเผลอเหยียบโดนมันและถูกกัดไปแล้ว

นี่มันอะไรกัน

“นายเป็นคนน่ารัก ตอนนี้ผู้คุ้มครองนายละมือจากนายชั่วคราวเพราะนายเข้ามาที่อาณาเขตของฉันนายจึงได้ถูกยื้อแย่ง”

“นายพูดอะไรไม่รู้เรื่อง” ผมต่อว่า เฮยเสียจื่อเพียงหัวเราะ ชายหนุ่มหยักยิ้มทำให้ใบหน้านั้นน่าดูยิ่งขึ้น เขาขยับเข้ามาใกล้ผม ริมฝีปากบางแนบลงที่ข้างลำหูก่อนที่จะกระซิบเสียงแผ่วเบา

“นายน้อยสามรู้ไหมว่าโลกใบนี้น่ะไม่ได้มีแต่มนุษย์หรอกนะ ยังมีเผ่าพันธุ์ที่กินมนุษย์หรือที่นายเรียกว่าปีศาจเยี่ยงไรล่ะ นายทั้งตัวหอมน่ากินจะตาย ปกติแล้วนายมีผู้คุ้มครองอยู่ พวกแสบจึงไม่มากล้ำกราย แต่ในที่นี้เขาไมได้มาด้วยดังนั้นถ้านายอยากจะเดินออกจากที่นี่ครบ 32 ต้องให้ฉันช่วย” มือของเขาตวัดลูบลำคอ ปลายนิ้วทั้งห้าแตะต้องผิวคอพาให้สะดุ้ง “นายน้อยสาม นับจากตอนแรก นายติดหนี้ชีวิตฉันสองครั้งแล้วนะ”

“นายต้องการอะไร” ผมหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่อาจปฏิเสธว่าไม่เชื่อเรื่องผีสาง ความแปลกประหลาดของที่นี่พาให้ผมไม่อาจก้าวเดินสุ่มสี่สุ่มห้า

“ช่วยฉันตามหาคนหน่อยเถอะ ได้โปรด ฉันไม่สามารถไปจากที่นี่ได้ ฉันรอเขามานานแสนนานเหลือเกิน” น้ำเสียงของเขาสั่นสะท้าน มันผสานไปด้วยความเศร้าสร้อยเสียจนผมรู้สึกได้ มือทั้งคู่โอบรั้งรอบกอดตัวตนของผมจมแนบกับแผ่น อกแกร่ง

“ใคร?” ขาของผมสั่นสะท้านไม่อาจก้าวเดินต่อไปได้

“เขาเป็นคนที่สวย เป็นเจ้าของสิ่งนี้” เฮยเสียจื่อกระซิบกับผมท่ามกลางความมืดมิดเขาล้วงมือมายกมือของผมขึ้นจากด้านหลัง วางสายสร้อยสีเงินห้อยกระดิ่งเอาไว้มันราวกับปลอกคอของแมว “ได้โปรด..”

“นี่คือ” ผมก้มลงมองมัน รู้สึกถึงสัมผัสด้านหลังที่สูญหายไป ผมกะพริบตาอีกครั้งเกือบจะหลุดเสียงร้องเมื่อทิวทัศน์โดยรอบแปรเปลี่ยนไป ไม่มีอาคารร้างและทุ่งหญ้าอีกต่อไป ผมกำลังยืนอยู่บนถนนก่อนหัวเลี้ยวที่วิ่งตามเจ้าแมวน้อย ผมฝันไปหรือทว่าน้ำหนักของสายสร้อยนั้นบอกผมว่าตนเองไม่ได้ฝันอยู่...

เกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่นี้กัน?

กริ้ง! เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมเก็บสายสร้อยเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ด กดรับมือถือเครื่องเล็ก ได้ยินเสียงร้อนรนของหมอ

“คุณอู๋เสียใช่ไหมครับ ผมโทรติดต่อคุณลุงของเขาไม่ได้ คุณจะช่วยมาที่โรงพยาบาลตอนนี้ได้ไหมครับ” น้ำเสียงของหมอพาให้ผมรีบเรียกแท็กซี่มุ่งหน้าไปโรงพยาบาล ผมวิ่งขึ้นลิฟต์ กดยังชั้น 24 ทันทีที่เข้ามาในโรงพยาบาล เหลือบมองนาฬิกาข้อมือมันบอกเวลาราว 5 ทุ่ม

เดี๋ยวนะ ผมเดินออกกจากห้องของเสี่ยวฮัวตอนเวลา 1 ทุ่ม ก่อนที่จะวิ่งตามแมวดำไป นี่หมายความว่าผมอยู่ที่สถานที่ร้างนั้นถึง 3 -4 ชั่วโมงเชียว? เป็นไปไม่ได้ ผมรู้สึกว่าช่วงเวลาที่อยู่ที่นั่นเป็นเวลาชั่วพริบตาเท่านั้นเอง ผมแตะลงยังสายสร้อยสีเงินกระดิ่งที่ติดอยู่กับสร้อย มันส่งเสียงไพเราะขึ้นในยามที่สัมผัส

“นายควรปล่อยเขาไป เขากำลังจะตาย” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นจากข้างหลัง ผมสะดุ้งสุดตัวหันไปมองยังนัยน์ตาดุจเหยี่ยวของเด็กหนุ่มสวมฮู้ดสีน้ำเงิน

“นายว่าอะไรนะ?” หัวใจของผมเต้นระรัว... เมื่อครู่นี้ในลิฟต์มีคนหรือ ไม่นี่ ผมกดลิฟต์ตั้งแต่ชั้น 1 แล้วเขามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง นั่นหมายความว่าเขาอยู่ในลิฟต์ก่อนผมจะเข้ามาหรือ ?

เด็กหนุ่มคนนั้นไม่แม้แต่จะตอบผม เรือนร่างที่สูงกว่าผมเล็กน้อยเดินเข้ามาใกล้ ผมถอยหลังจนติดมุมลิฟต์ นึกอยากให้ประตูลิฟต์เปิด แต่มันเพิ่งอยู่ชั้น 10 หมายความว่าอีก 10 ชั้นผมต้องอยู่กับเขา

“นายมีอะไร” ผมเขยิบหนีแต่กลับถูกแขนแข็งแกร่งของเขาขวางกั้น ครั้นจะหนีไปทางซ้ายมันก็เป็นเช่นเดียวกัน เรือนกายที่ทาบทับเข้ามาชิดใกล้จนได้กลิ่นของสมุนไพรหอมกรุ่น อา... กลิ่นนี้ผมเคยได้กลิ่นที่ไหนมาก่อนนะ... ผมรู้สึกคุ้นเคยกับมันเสียจนขมวดคิ้ว

“อย่ายุ่งกับเรื่องนี้ เจ้านั่นอันตรายเกินไป มันมีพลังและเรียกโชคร้าย” เสียงนั้นเรียกสติของผมให้มองใบหน้าคมคาย นัยน์ตาคู่สวยประดับด้วยแพขนตาจับจ้องผมราวกับเหยื่อ ใบหน้าที่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบพาให้ผมเผลอเอื้อมมือไปไล้พวงแก้มนั้น รู้สึกถึงจังหวะหัวใจ

“ใครอันตราย ใครจะตาย แล้วนายเป็นใคร” ผมสับสนไปหมด มีแต่คำถามในหัววิ่งวนไปมา ยิ่งมองดวงตาที่เป็นประกายเบื้องหน้าผมกลับรู้สึกยิ่งสับสน เคยเจอ ต้องเคยเจอแน่กับดวงตาคู่นี้

ปิ๊บ!

เสียงลิฟต์ดังขึ้นบ่งบอกว่าพวกเรามาถึงชั้น 24 ประตูลิฟต์เปิดออก โดยไม่ทันตั้งตัวมือใหญ่นั้นกระชากผมจนตัวปลิวผลักออกจากลิฟต์จนผมเสียหลักล้มก้นกระแทกพื้นเจ็บสุดๆ ผมเงยหน้าจะต่อว่าแต่ประตูลิฟต์กลับปิดลง มันขึ้นไฟแสดงสถานะว่ากลับลงไปข้างล่าง

“นี่มันอะไรกัน” ผมล้วงมือลงไปในเสื้อโค้ท นึกถึงคำพูดของเฮยเสียจื่อขึ้นมาได้... เขาต้องการตัวคนผู้หนึ่ง ผมออกมาจากที่นั่น เด็กหนุ่มสวมเสื้อฮู้ท นัยน์ตาคุ้นเคยกลับมาเตือนผมว่าอย่าเข้าใกล้ อย่าเข้าใกล้ใคร... เฮยเสียจื่อน่ะหรือ

ผมแตะลงยังลำคอของตนเอง สัมผัสเย็นวาบยังคงอยู่ที่ต้นคอ รู้สึกขนลุกในยามที่ไม่สามารถขยับได้ในวินาทีที่อ้อมกอดนั้นเข้ามา... อันตรายจริงๆนั่นล่ะ ทว่า... ผมนึกถึงน้ำเสียงที่ออดอ้อนในยามที่ร้องขอ

ขอให้ตามหาคนคนหนึ่งให้เขา เพราะเขาไม่อาจไปจากที่นั่นได้... ทำไมถึงไปไม่ได้ ดูเหมือนว่าเขาต้องอยู่ที่นั่นเท่านั้น... ผมแตะลงกระเป๋าเสื้อโค้ท เสียงกระพรวนส่งเสียงดังราวกับจะตอกย้ำยังคำขอนั้น

“คุณอู๋เสีย!” น้ำเสียงหวานใสดังขึ้นก่อนที่นางพยาบาลในชุดสีชมพูจะวิ่งตรงข้าง เธอย่อตัวมองสภาพดูไม่ได้ของผม “ตายจริง เป็นอะไรไปคะ”

“ไม่เป็นอะไร” ผมลุกขึ้นปัดฝุ่นตามลำตัว รู้สึกก้นกบจะโดนกระแทกกับพื้นกระเบื้องจนปวดระบม ผมปรามาสอาฆาตเจ้าเด็กหนุ่มหน้าใสนั้นไว้ก่อนที่จะเดินตามพยาบาลไปยังห้องเดิมที่ออกมาเมื่อเช้า

“อาการคุณชายเซี่ยแย่ลงมาก เราจึงต้องร้องขอความเห็นของญาติคนป่วยครับ ผมติดต่อคุณพ่อของเขาไม่ได้ ไม่ทราบว่าคุณพอติดต่อได้ไหม?” น้ำเสียงของหมอเจ้าของคนไข้ร้อนรนผมรีบกดโทรศัพท์ติดต่อยังคุณลุงเซี่ย ทว่ามันปิดเครื่องอยู่ ผมลองโทรเข้าบ้านของเขา สาวใช้คนหนึ่งเป็นผู้รับสาย เธอบอกว่าคุณลุงเซี่ยออกไปตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว

ออกไปไหน ถ้าตอนบ่ายนั้น ที่โรงพยาบาล?

“คุณอู๋เสียในเมื่อคุณเป็นญาติคนไข้ที่ติดต่อได้ในตอนนี้ หมอเลยขอความเห็นของคุณครับ ว่าคุณจะตัดสินใจอย่างไร” ผมเงยหน้ามองดูกราฟชีพจรของเสี่ยวฮัวที่อ่อนลงเรื่อยๆสลับกับเครื่องช่วยหายใจ พลังคำพูดของเด็กหนุ่มก็วาบเข้ามาในโสตประสาท

‘ปล่อยเขาไป เขากำลังจะตายแล้ว ‘

ปล่อยเขาไป... หมายถึงเสี่ยวฮัวหรือ ผมกลืนน้ำลายมองใบหน้าซูบเซียวของเสี่ยวฮัวอีกครั้งหนึ่ง สุดท้ายผมก็ทำใจไม่ได้ บอกให้หมอพยายามยื้อชีวิตเขาให้มากที่สุด ผมมองใบหน้าของเสี่ยวฮัว รู้สึกหดหู่มากถึงที่สุด ขนาดลับมาบ้านนอนไปตอนใดก็ไม่รู้ตัว

ผมมาถึงปักกิ่งได้ไม่นาน เรื่องราวทุกอย่างกลับถาโถมเข้าใส่ทำให้ผมหัวถึงหมอนก็หลับไปแทบทันที ในความมืดมิดที่ไร้ขอบเขตผมพลันได้ยินเสียงกระดิ่งมันดังขึ้นมาจากสายสร้อยสีเงินที่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียง ผมขยับตัวคิดจะลุกขึ้นไปหยิบมันทว่ากลับขยับตัวไม่ได้ ผมพยายามลืมตาขึ้นกลับพบว่าไม่สามารถจะกระดิกส่วนใดของร่างกายได้เลย... เอ๋ อะไรกัน เหน็บกินหรือ?

“อู๋เสีย นายสัญญากับฉันแล้ว เพราะงั้นห้ามลืม” เสียงคุ้นเคยของเฮยเสียจื่อดังขึ้นพร้อมกับปลายนิ้วเย็นเฉียบสัมผัสที่คอผมจนอึดอัด ผมรู้สึกหายใจไม่ออกชั่วนึ่งก่อนที่ความเจ็บจะถาโถมเข้ามา

“ถ้าไม่ทำตามสัญญาฉันจะเอาวิญญาณของนายไป” เสียงกระดิ่งดังขึ้นอย่างต่อเนื่องพาให้ผมปวดหัว ความเจ็บปวดแล่นริ้วจนผมต้องอ้าปากรู้สึกหายใจติดขัด

“เมี้ยว!” เสียงแมวร้องดังขึ้นพร้อมกับความเจ็บปวดที่สลายหายไป ความเย็นสบายเข้ามาแทนที่ ผมรู้สึกเหมือนร่างกายตนเองลอยขึ้น ใครบางคนประคองตัวของผมเอาไว้ กลิ่นกายสมุนไพรแตะจมูกมันหอมจนผมเคลิบเคลิ้ม

“อย่าแตะต้องเขา ถึงเขาจะมีกลิ่นคล้ายของของนายแต่เขาไม่ใช่ของนาย นายไม่มีสิทธิ์แตะ” ปลายนิ้วเรียวยาวลูบไล้ที่เปลือกตา ความรู้สึกคืนกลับมา ผมลืมตาขึ้นพบเข้ากับใบหน้าของเด็กหนุ่มสวมฮู้ดสีน้ำเงิน

“เอ๋... นาย?” ผมอ้าปากได้ประโยคเดียวเขาก็ปล่อยร่างของผมกระแทกพื้น... โอ๊ย! ไอ้เด็กบ้า ก้นกบฉัน สองรอบแล้ววันนี้

“กลับไปซะ!” น้ำเสียงทรงพลังออกคำสั่ง เขาโน้มตัวลงจับข้อมือผมกระชากให้เดินตามเขาไปอีกฝั่ง

โอ๊ย... เบาๆคนแก่หลังเดาะ

“อู๋เสีย พรุ่งนี้เอาสร้อยคืนมันไปซะ” เด็กหนุ่มนิรนามหันมาออกคำสั่งใส่ผมที่กระพริบตาปริบๆ เดี๋ยวก่อนสิเว้ย

“เอ๋ แต่...” ผมเหลียวหลังมองยังใบหน้าดูดีนั้น เห็นยังหยดน้ำตาที่ร่วงหล่นจากอัญมณีคู่สวย

“เอาไปคืน เดี๋ยวนี้! นายชอบดื้อมาตั้งแต่เด็กแล้ว” เด็กหนุ่มออกคำสั่งกับผมอีกครั้งก่อนที่จะกดศีรษะผมให้คว่ำลงกับพื้น

“โอ๊ย เจ็บ!” ผมกรีดร้องลั่นห้อง เงยหน้าขึ้นมาจากพื้น รู้สึกดั้งแทบจะยุบจากการจูบกับพื้นห้อง “นายมันบ้าที่สุดจะทำร้ายร่างกายฉันไปแค่ไหน... เอ๋?”

ผมกระพริบตาในยามที่ในห้องมีผมคนเดียว ร่างกายยังปวดร้าวจากการถูกกระแทก ผมเงยหน้าขึ้นเห็นเตียงอยู่ไม่ไกล... นี่ผมละเมอจนตกเตียง ถ้างั้นเมื่อครู่นี้ก็ฝัน

“ฝันบ้าอะไรประหลาดชะมัด” ผมลูบลำคอตัวเอง เดินเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองตนเองในกระจกกลับต้องชะงักเมื่อเห็นรอยนิ้วมือทั้งห้าอยู่บนลำคอ... รอยจ้ำสีแดงตำแหน่งเดียวกับจุดที่ถูกเฮยเสียจื่อสัมผัส

นี่มันบ้าอะไรกัน ?

“จริงสิ ต้องเอาไปคืน?” ผมมองไปยังสร้อยสีเงิน คว้าเอามันลงกระเป๋าเสื้อโค้ท รู้สึกไม่ชอบมาพากลหลายอย่างผมควรทำตามคำแนะนำของเด็กหนุ่มคนนั้นหรือไม่ หากสร้อยกระพรวนนี้ทำให้ผมถูกบีบคอผมก็ควรจะโยนมันไปให้พ้น แค่กลับไปยังจุดเดิมแล้วโยนมันเองน่าอู๋เสีย ผมกลืนน้ำลายเมื่อมองยังรูปใส่กรอบของเสี่ยวฮัว เมื่อคืนผมมัวแต่ยุ่งจึงไม่ได้สังเกต มันตั้งอยู่บนชั้นหนังสือ ผมเดินเข้าไปใกล้ก่อนที่จะคลี่ยิ้ม

เสี่ยวฮัวที่ผมรู้จักเป็นคนที่เหยียดยิ้มอยู่ตลอดเวลาก็จริง แต่ผมไม่เคยรู้สึกว่าเขายิ้มออกมาจากใจ ทว่าภาพนี้เสี่ยวฮัวฉีกรอยยิ้มกว้าง มืออีกข้างอุ้มเจ้าเหมียวสีดำเอาไว้ ผมลูบไล้ภาพในกรอบ รู้สึกคิดถึงแมวของตนเอง เมื่อก่อนผมก็เคยอุ้มเจ้าเหมียวสีดำแล้วหัวเราะไปตามทาง ตัวของมันหนักมากผมจึงใช้สองมืออุ้ม... ทว่าตอนนี้มันกลับหายไปเสียแล้ว

ผมปิดประตูบ้านไม่ลืมล็อกประตู ก่อนเดินออกไปตามถนน มือล้วงเอาสร้อยร้อยกระพรวนกำไว้ในกระเป๋าเสื้อ ผมก็แค่เอามันไปคืนไปยังจุดเดิมอีกครั้ง แล้วโยนสร้อยเจ้าปัญญาไปไกลๆ ตอนนี้ยังกลางวันอยู่ไม่เป็นอะไรหรอก ผมมองซ้ายขวา ในใจพลันคิดว่าอาจจะได้เจอเจ้าตัวดีอีกคราแล้วก็เป็นดังคาด สายตาของผมไปประทะกับร่างผอมบางของเจ้าเหมียวสีดำสนิท มันกำลังนั่งแกว่งหางมองดูผมบนกำแพงบ้านหลังหนึ่งข้างถนน

“เมี้ยวๆ” ผมร้องเรียกมัน ดูเป็นการกระทำที่ไร้สาระไปเสียหน่อยเจ้าแมวดำปรายตามองผมก่อนที่จะหันไปทางอื่นเมินผมโดยสมบูรณ์แบบ ผมถอนหายใจ จะเอาอะไรกับแมว ขนาดเจ้าของมันยังเมิน นับประสาอะไรกับคนอื่นอย่างผม

ใช่แมวของเสี่ยวฮัวหรือเปล่านะ?

kuramajoy
kuramajoy
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า

จำนวนข้อความ : 206
Points : 3793
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[OS] #DMBJdaily (แมว) A walk in the night[ผิงเสีย] Empty Re: [OS] #DMBJdaily (แมว) A walk in the night[ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by kuramajoy Tue 24 Feb 2015, 01:34

ใช่แมวของเสี่ยวฮัวหรือเปล่านะ?

“นี่ตอนนี้เสี่ยวฮัวไม่สบายมากเขาใกล้จะตายแล้ว นายจะไปหาเขาไหม” ผมไม่รู้ว่ามันเป็นแมวตัวเดียวกับที่เสี่ยวฮัวอุ้มหรือไม่เพราะเรื่องมันผ่านมาตั้งสองปีแล้ว อุปกรณ์แมวและภาพในห้องของเสี่ยวฮัวบ่งบอกว่าเขาเลี้ยงแมว หากเขาเลี้ยงตอนที่เสี่ยวฮัวเข้าโรงพยาบาลแล้วแมวตัวนั้นไปไหนกัน ผมโทรไปสอบถามคนใช้ที่บ้านใหญ่ของเสี่ยวฮัว ไม่มีคนพบเห็นแมวตัวนั้นสักคน ราวกับว่าเสี่ยวฮัวใช้เซฟเฮ้าส์นี้เป็นบ้านของเขากับแมวสองคน

“ฮะๆ ฉันก็บ้า ไม่รู้จะใช่ตัวเดียวกันไหม” ผมเอียงคอมองมันอีกรอบ มันเป็นแมวดำขนสั้นเหมือนกับแมวของเสี่ยวฮัว แต่ขอโทษเถอะ แมวมันหน้าโหลจะตาย อีกอย่าง ผมว่าแมวตัวนี้หน้ามันเบื่อชีวิตแปลกๆ ไม่เห็นสดใสร่าเริงแบบในรูปถ่าย ไม่ก็เพราะโดนเจ้านายทิ้งมันเลยเบื่อโลกกระมัง

“เมี้ยว” มันร้องเรียกผม ตวัดหางไปมาท่าทีน่ารัก ผมเดินเข้าไปใกล้ก่อนที่จะรวบตัวอุ้มเอาไว้ น้ำหนักของมันไม่มากนัก ดูผอมโซ ท่าทางจะเป็นแมวจรจัดมานาน

“เดี๋ยวฉันจะเลี้ยงข้าวนายสักมื้อนะ” ผมหัวเราะ ครั้นอุ้มเจ้าแมวมันก็ใช้อุ้งเท้าแตะลงยังกระเป๋าโค้ทของผม เสียงกระพรวนบนสายสร้อยดังลั่นพาให้ผมคิดได้
“แกน่ะไปเป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม”

“เมี้ยววว” มันร้องตอบ ผมไม่รู้ว่ามันเข้าใจผมไหม แต่ก็อุ้มมันเดินไปด้วย ผมเลี้ยวตรงหัวมุมวิ่งไปทางรถไฟมองเห็นอาคารรกร้างอันแสนคุ้นเคย กลิ่นเหม็นชวนอ้วกลอยเข้าประทะจมูก มันแตกต่างจากเมื่อวานโดยสิ้นเชิง ผมก้มลงมองเท้าจำได้ว่ามันมีตะขาบตัวโต

“วันนี้ท่าทางจะปลอดภัย” ผมถอนหายใจ มือหนึ่งอุ้มแมว อีกมือปิดจมูกตัวเอง กลิ่นเหม็นเหมือนมีตัวอะไรตายฟุ้งไปทั่ว ผมเหลียวซ้ายแลขวาไม่พบเจอกับเฮยเสียจื่อ จะว่าไปเจ้านั่นอาศัยอยู่ที่ไหนล่ะ อาคารร้างนั้นหรือ?

“เอาเถอะ คืนๆของไป” ผมวางเจ้าแมวสีดำลงกับพื้น รู้สึกโหวงเหวงเมื่อน้ำหนักที่อุ้มมาตลอดหายไป มือขวาล้วงเอาสร้อยกระพรวนออกมาจากเสื้อโค้ท ผมยกมันขึ้นหมายจะขว้างก่อนที่หูจะลั่นเมื่อได้ยินเสียงตะโกน

“นายเป็นคนใจร้าย ไม่เห็นใจดี น่ารักเหมือนอย่างที่เขาบอกเลยนายน้อยสาม” เสียงคุ้นเคยดังขึ้น ครั้นกะพริบตาผมก็เห็นบุรุษร่างสูงในชุดหนังสีดำ ใบหน้าหล่อเหลามุ่ยลงราวกับไม่สบอารมณ์ “นายสัญญาแล้วไม่ใช่หรือ”

“เอ่อ” ผมรู้สึกอึดอัดก่อนที่จะมองไปรอบ มันยังอาคารและทุ่งหญ้าขึ้นสูงเหมือนเดิม ทว่ากลับไม่มีกลิ่นกวนใจและทัศวิสัยโล่งโปร่งขึ้น

“นายรู้จักฉันหรือ?” ผมมองซ้ายมองขวาแล้วก็กลืนน้ำลาย เมื่อพบกับงูเห่าที่เลื้อยผ่านเท้าไป ขาแข้งสั่นสะท้านไม่กล้าขยับซี่ซั้ว

“รู้สิ เขาพูดให้ฉันฟังทุกวันว่านายเป็นเคยขอเขาแต่งงาน นายน่ารักอย่างงู้นอย่างี้ แต่นายไม่เห็นใจดีเหมือนที่เขาบอกสักนิด นายจะผิดสัญญา จะเอามาคืนทั้งที่ไม่ยอมหาคนให้ฉัน”

“เอ่อ..” ผมเดินถอยหลังโดยอัตโนมัติ รู้สึกอับจนคำพูด พลางปลายเท้าแตะเข้ากับอะไรนุ่มๆจนต้องเหลียวมองก่อนที่จะแทบกลั้นใจเมื่อมันคืองูเห่าขนาดใหญ่เท่าข้อแขน... พระเจ้า

“นายน้อยสาม ถ้าไม่อยากตายก็ยืนอยู่เฉยๆนั่นล่ะ ไม่งั้นฉันไม่รับประกันชีวิตของนาย เจ้าเหมียวที่นายพามาก็ช่วยไม่ได้หรอกนะ”

“เอ๋... เจ้าเหมียว” ผมก้มลงมองรอบด้าน จริงด้วย แมวหายไปแล้ว เจ้าแมวดำที่ผมอุ้มมาเป็นเพื่อนตั้งแต่เมื่อครู่หายไปราวกับไม่มีตัวตนมาแต่แรก

“นายน้อยสาม ถ้านายไม่ทำตามสัญญาอีก ฉันจะทำไรเช่นดีนะ” เฮยเสียจื่อเอียงคอ ปลายนิ้วเย็นเฉียบเอื้อมมาแตะที่ลำคอของเขา “ฉันจะเอาวิญญาณครึ่งหนึ่งของนายไปดีไหมนะ แล้วทำให้นายกลายเป็นทาสรับใช้?”

“อึก” ความอึดอัดจู่โจมในยามที่ปลายนิ้วทั้งห้านั้นกดลงลำคอ ผมขยับไม่ได้ ขัดขืนไม่ได้เสียเลย

“ฉันไม่อยากทำ... ฉันไม่ใช่พวกเดรัจฉานแถวนี้สักหน่อย อีกอย่างนายเป็นคนที่เขาชอบ ฉันไม่อยากทำร้าย” มือของเขากำรวบลำคอผม เฮยเสียจื่อยกตัวผมที่ขนาดตัวไม่ต่างกันมากนักได้อย่างง่ายดาย ปลายเท้าของผมแกว่งไปมา ถูกยกตัวลอยโดยลำคอถูกบีบ “แต่นายผิดสัญญา!”

“เดี๋ยว!” ผมกรีดร้องในใจลำคอพลันถูกบีบโดยแรงความอึดอัดถาโถมเข้ามาใส่ผมไอขโลกรับรู้ถึงอากาศที่หายไป มือของผมง้างนิ้วแข็งแกร่งทว่ามันกลับไม่กระทบกระเทือนแม้แต่น้อย

“ฉันจะให้โอกาสนายอีกครั้งนายน้อยสาม” เฮยเสียจื่อคลายนิ้วออกจากลำคอของผมปล่อยให้ร่างของผมร่วงหล่นอยู่บนพื้นหญ้า ผมกุมลำคอของตนเองไอขโลกอยู่นาน “อู๋เสีย ฉันชอบนายนะ เขาบอกว่านายเป็นคนใจดี นายจะไม่ผิดสัญญากับฉันอีกครั้งใช่ไหม?”

“มะ... ไม่” ผมไอเสียจนเสียงแห้ง สายตาพร่ามัวเจ็บปวดไปหมด เฮยเสียจื่อย่อตัวลงลูบศีรษะของผมอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะเหยียดยิ้ม ผมมองนัยน์ตาสองสีที่ส่อง
ประกายในความมืดมิดของเขาก่อนที่รู้สึกเหมือนเคยเห็นตาสองสีนี่จากที่ใดมาก่อน ผมกุมลำคอรู้สึกเจ็บหลับตาด้วยความเหนื่อยอ่อนก่อนที่จะหมดสติไป

**************************************************

ผมกำลังฝัน ท่ามกลางความมืดมิดที่ไร้ขอบเขต ผมฝันเห็นแมวดำตัวหนึ่ง เจ้าเหมียวขนสั้นเดินไปมารอบตัวของผม ผมเอื้อมมือไปหามันทว่ากลับจับไม่ได้ ความหงุดหงิดนั้นพาให้ผมเอื้อมมือไปมากกว่าเดิมไขว่คว้าอยู่หลายครั้งจนสัมผัสได้ถึงผิวเนียนนุ่ม

หือ ผิวเนียนนุ่มหรือ? ผมลืมตาขึ้นลืมตาตื่นจากฝัน สิ่งแรกที่พานพบคือใบหน้าหล่อเหลาไม่ธรรมดาของเด็กหนุ่มสวมฮู้ดสีน้ำเงิน ใบหน้านิ่งเฉยนั้นทอดมองมา นัยน์ตาคู่เรียวสวยที่สะกดผมไปวูบหนึ่งก่อนที่จะรู้สึกตนอยู่ว่าตนเองกำลังลอย ไม่... ไม่ได้ลอยอยู่ แค่กำลังถูกอุ้มโดยเด็กหนุ่มนิรนาม

“เอ่อ ปล่อยฉันลงได้แล้วมั้ง” ผมปิดหน้าตัวเอง รู้สึกอับอายในสายตาคนที่มองมาเหลือเกิน เด็กหนุ่มแสนดีคนนี้ช่วยอุ้มผมมาจากที่อันตรายก็ดีอยู่หรอก ทว่าเขากลับอุ้มผมด้วยท่าเจ้าสาว แถมยังเดินมาตามถนนที่คลาคลั่งไปด้วยผู้คนในปักกิ่ง ใบหน้าของเขานั้นเป็นสิ่งที่เรียกสายตาอยู่แล้ว ยิ่งประกอบกับการอุ้มผมทำให้พวกเราตกเป็นเป้าสายตากว่าเดิม

“นายเดินไหวหรือ” เขาเอ่ยถามผม มือแกร่งคู่นั้นประคองร่างกายของผม ครั้นขาแตะกับพื้นผมก็รู้สึกเหมือนร่างกายละลายเป็นเยลลี่อ่อนยวบ เด็กหนุ่มคนนั้นเหลือบมองผมอีกครั้ง ก่อนจะตวัดร่างกายอ่อนแอของผมขึ้นไปแนบอกนั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกอับอาย

อู๋เสียหนออู๋เสีย นายแก่กว่าเด็กหนุ่มคนนี้อีกแต่กลับเดินเองไม่ได้

“ช่วยไมได้ฉันจะแบ่งพลังให้ นายเสียพลังวิญญาณไปพอดู คนธรรมดาไม่ควรอยู่ในที่แบบนั้นมากนัก” เด็กหนุ่มใจดีคนนั้นอุ้มผมไปวางบนม้านั่งของสวนสาธารณะ ครั้นออกจากอ้อมกอดของเขา ผมก็รู้สึกว่าตัวเองหนาวสั่น เสื้อโค้ดของผมหายไปไหนแล้ว อา... คงจะตกอยู่ที่นั่นกระมัง ผมล้วงกระเป๋ากางเกง ได้ยินเสียงกระพรวนพร้อมกับคำสัญญากับเฮยเสียจื่อ

ใช่แล้ว ต้องตามหาคน ไม่งั้นหมอนั่นได้บีบคอผมอีกครั้งแน่

“ทำไมถึงไม่มีแรงกันนะ” ผมลองขยับขา ทว่ามันกลับชา ผมหอบหายใจรู้สึกอากาศโดยรอบช่างอึดอัดนัก

“อยู่นิ่งๆ” เด็กหนุ่มสวมฮู้ดต่อว่า จับผมให้นั่งตรงบนม้านั่ง เขาย่อตัวลงนั่งชันเข่าข้างหนึ่งตรงหน้าของผมก่อนที่มือสองข้างที่แสนอบอุ่นจะเอื้อมมาประคองใบหน้า

จุ๊บ...

สัมผัสนุ่มนวลชั่ววินาทีที่ได้สัมผัสผสานไปด้วยกลิ่นสมุนไพรหวานหอม รสสัมผัสที่ได้ตราตรึงเพียงเสี้ยววินาที ริมฝีปากคู่นั้นไม่ได้จาบจ้วง มันแตะลงแผ่วเบาราวกับแมลงปอแตะผืนน้ำ ก่อนที่จะละจากไป กว่าจะรู้ตัวเด็กหนุ่มปริศนาก็เปลี่ยนท่าทีมานั่งเคียงข้างผม ผมแตะยังริมฝีปากตนเอง มันให้ความรู้สึกราวกับฝัน

เมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้น?

จูบหรือ... จูบงั้นหรือ ผมนิ่งคิดไปนาน แต่เด็กหนุ่มกลับไม่สนใจผม เขาใช้มืออบอุ่นแตะลงที่หน้าผากของผม

“ดีที่ไม่เป็นไข้” ความอบอุ่นละไปจากใบหน้า ผมรู้สึกเหมือนว่าวันนี้อากาศมันร้อนไปเสียหน่อย ร้อนจนสมองแทบละลาย...

“นายจะทำอย่างไรต่อไป” เสียงนุ่มหูนั่นเรียกรั้งผมให้หลุดจากภวังค์ ผมอ้าปากพะงาบแต่ไร้เสียงอยู่สองครั้ง เด็กหนุ่มสวมฮู้ดเหลือบมองผมแล้วส่ายหน้าราวกับเบื่อหน่าย ใบหน้าราวกับประติมากรรมเข้ามาชิดใกล้อีกครั้ง คราวนี้ผมไม่ได้หลับตาจึงได้มองมันในระยะประชิด

อา... ความนุ่มนวลที่ทอดตัวลงยังริมฝีปากของผมพาให้หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาจากอก...

“ฉันแบ่งพลังให้แล้ว” เขาบอกเสียงเรียบ ผมตีหน้าตัวเองสองสามครั้งเพื่อเรียกสติที่กระจัดกระจาย แบ่งพลังหรือ... แบ่งพลัง อา แต่ผมก็ขยับได้แล้ว

“เมื่อกี้มันอะไร ทั้งนาย ทั้งหมดนั่นเป็นตัวอะไรกันแน่” ผมมองซ้ายมองขวา น่าเสียดายที่ไม่พบแมวดำ... แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงคิดว่าจะได้พบกับเจ้าแมวดำกัน

“ทั้งฉันและหมอนั่นไม่ใช่มนุษย์ พวกเราสามารถดูดกลืนวิญญาณมนุษย์ ช่วงชิงมันมาเป็นของตนเอง และถึงตอนนั้นนายจะกลายเป็นร่างที่ตกเป็นทาสมัน อย่าเข้าใกล้อีกจะดีกว่า แมวดำมีพลังในการเรียกโชคร้ายมาสู่เจ้าของ”

“เอ๋... เรียกโชคร้ายหรือ?” ไม่รู้ทำไมผมถึงได้นึกถึงเจ้าแมวน้อยที่เคยเลี้ยงเอาไว้ในกาลก่อน ตอนนี้มันจะเป็นเช่นไรแล้ว? แมวดำมีพลังในการเลี้ยงโชคร้ายหรือ?

“งั้นนายก็เป็นแบบเฮยเสียจื่อ?” ผมถลึงตามองใบหน้าได้รูป เรือนร่างสมส่วน นึกย้อนไปถึงใบหน้ารูปงามของเฮยเสียจื่อ ให้ตายเถอะ พวกนี้หน้าตาดีเกินไปแล้ว

“เมื่อก่อนใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่” มันเป็นคำตอบที่ไม่กระจ่างสักนิด ผมอ้าปากจะถามเขาอีกครั้งแต่เขากลับชี้ไปที่กระเป๋ากางเกง... ใช่แล้ว! ผมแตะลงยังกระพรวนที่ส่งเสียราวกับจะเร่งเร้าผม

ผมต้องตามหาคน ผมลุกพรวดขึ้นควักเอากระพรวนสีเงินออกมาไว้ในกำมือ หันไปหาเด็กหนุ่มปริศนาแต่เขากลับไม่อยู่เสียแล้ว
“ยังไม่ได้ขอบคุณเลย” อย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้พระคุณ ถึงจะอุตริจิตวิปลาสจูบผู้ชายถึงสองครั้งก็ตาม...

ผมเดินไปตามถนน แวะไปตามร้านสัตว์เลี้ยง ถือสร้อยที่มีกระดิ่งสีเงินถามไปตามถนนของปักกิ่ง รู้สึกว่าตนเองคล้ายคนบ้าเข้าไปทุกขณะ ได้แต่เดินถามคนทั่วไปว่าเคยเห็นสร้อยอันนี้หรือไม่ ผมตามหาไปจนถึงยามค่ำ ได้แต่ท้อแท้ รู้สึกหิวขึ้นมาจึงเดินไปร้านอาหารสำหรับครอบครัวที่อยู่ไม่ไกลมากนักเพื่อหาข้าวทาน สายตาพลันไปประทะกับนัยน์ตาสีดำสนิทคมของเจ้าแมวสีดำ มันคือแมวตัวเดียวกับที่ผมชวนคุยเมื่อเช้า ผมสั่งไส้กรอกกับปลาย่างใส่ห่อเดินออกมาจากร้านอาหาร

“มานี่มะ เมี้ยวๆ” ผมเดินไปยังสวนสาธารณะ มองเจ้าเหมียวที่นั่งอยู่เครื่องเล่นของเด็ก มันเงยหน้ามองผม หางสีดำสนิทกวัดแกว่งไปมา ผมย่อตัวลง วางห่อพลาสติกรอง ก่อนที่จะหยิบปลาย่างให้กับมัน เจ้าเหมียวแกว่งหางสองครั้งก่อนที่จะกระโดดลงทานปลาของผม

“เมื่อเช้าขอบคุณนะที่มาเป็นเพื่อน ยังไม่ได้ลานายเลย” ผมคลี่ยิ้ม รู้สึกว่าตัวเองบ้ามากที่คุยกับแมว ผมหยิบกระพรวนสีเงินขึ้นมา นี่ผมจะบ่นเรื่องคิดไม่ตกกับแมวใช่ไหม “ไม่รู้เจ้าของสิ่งนี้เป็นใคร ต่อให้พลิกปักกิ่งฉันจะหาเจอไหมนี่”

“เมี้ยว” เจ้าเหมียวกินปลาย่างของผมหมด มันร้องขึ้น ผมนึกว่ามันจะเอาของกินจึงรีบลนลานหยิบมันบด แต่เจ้าแมวดำกลับใช้หางเหยียดยาวพัวพันข้อมือของผม มันอ้าปากคาบสร้อยเงินในมือของผมวิ่งหนีพาให้ผมแทบกรีดร้อง

ชิบหาย เฮยเสียจื่อได้บีบคอผมอีกรอบแน่ถ้าผมทำมันหาย

ผมรีบวิ่งตามเจ้าเหมียวไป เจ้าตัวเล็กวิ่งเร็วเหลือเกิน ผมเลี้ยวหัวมุมถนนก่อนจะพบว่าตนเองกลับมายังจุดเริ่มต้นเมื่อเช้า เซฟเฮ้าส์ของเซี่ยอวี้ฮัว?

“นายจะทำอะไร” เจ้าแมวดำคาบสร้อยสีเงิน มันใช้อุ้งเท้านุ่มนิ่มเคาะประตูเซฟเฮ้าส์ ผมควักกุญแจขึ้นมาเปิดประตู ปล่อยให้เจ้าแมวตัวน้อยเข้าไปมันกระโดดขึ้นไปบนชั้น ก่อนเหวี่ยงสายสร้อยบนชั้น ผมรีบลนลานวิ่งเข้าไปรับแทบไม่ทัน สองมือกำรอบความเย็นของโลหะ รู้สึกว่าอีกนิดเฮยเสียจื่อได้ฆ่าผมแน่

“นายซนไปแล้ว” ผมต่อว่าเจ้าแมวเหมียว เหลือบไปเห็นลิ้นชักด้านบนเปิดออก ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ผมยังไม่ได้สำรวจข้าวของเสี่ยวฮัวมากนัก ลิ้นชักอันนี้ก็ไม่ได้ดู ผมเอื้อมมือไปเปิดบานประตูลิ้นชักตู้ พบอัลบั้มรูปถ่ายอีกสามสี่เล่ม มันหมือนกับอัลบั้มที่ผมดูไปแล้ว ผมมองปีที่เขียนอยู่บนอัลบั้ม อันนี้ใหม่กว่า ท่าทางจะเป็นรูปก่อนที่เสี่ยวฮัวจะประสบอุบัติเหตุ

ผมเปิดอัลบั้ม พบเข้ากับรูปถ่ายของเจ้าแมวน้อยสีดำ มันเป็นแมวสีดำขนสั้นที่เหมือนกับเจ้าตัวดีที่มาอยู่ในห้องตรงนี้ไม่มีผมลองเพ่งให้ดีอีกครั้งกลับพบจุดแตกต่างของมันทั้งสองตัว

แมวที่อยู่ในห้องมีนัยน์ตาสีดำสนิทราวกับราตรีกาล ส่วนแมวในอัลบั้มมีตาสองสี... ดวงตางดงามที่พาให้ผมคิดถึงใครบางคน ผมกำสร้อยสีเงินเอาไว้แน่นก่อนที่จะพลิกหน้าถัดไป สุดท้ายจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาเพราะรู้ดีว่าผมไม่อาจทำงานนี้ให้สำเร็จได้ ผมไม่สามารถหาคนที่เฮยเสียจื่อรอคอยมาได้... เพราะเขาคนนั้นไม่สามารถไปจากโรงพยาบาลได้

ผมหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งออกมาจากอัลบั้ม จ้องมองยังจุดจบของเรื่องนี้ ในรูปใบนี้เสี่ยวฮัวยิ้มได้งดงามที่สุด เขาอุ้มแมวสีดำตัวหนึ่ง บนคอของมันคล้องด้วยสร้อยสีเงินที่ร้อยด้วยกระพรวนสีเงิน มันคือกระพรวนเดียวกับที่ผมถืออยู่

“ฉันควรทำอย่างไรดี...”

“เมี้ยว” เจ้าแมวดำร้องราวกับจะล่วงรู้ความคิดของผม ไม่รู้ทำไมเมื่อมองนัยน์ตาของมันผมจึงนึกถึงเด็กหนุ่มคนนั้น... เด็กหนุ่มปริศนาที่เอาแต่บอกให้ผมเลิกยื้อชีวิตของเสี่ยวฮัว

ให้ปล่อยเขาไปงั้นหรือ... นายพูดง่าย แต่ฉันจะทำได้ไงเล่า นั่นเป็นเรื่องความเป็นความตายของเสี่ยวฮัวเลยนะ ผมกำโทรศัพท์โทรหายังคุณลุงเซี่ยอีกครั้งแต่ไร้การตอบรับ สุดท้ายจึงโทรไปทางโรงพยาบาล ไถ่ถามอาการของเสี่ยวฮัว โชคร้ายของผมเพราะเสี่ยวฮัวนั้นพ้นขีดอันตรายเสียแล้ว นั่นหมายความถ้าไม่เอาเครื่องช่วยหายใจออกเขาก็จะอยู่ได้อีกเป็นปี

แล้วจะให้ผมฆ่าเขาลงหรือ...

“สงสัยฉันต้องเอามันไปเขวี้ยงทิ้งแล้วล่ะ”

ผมไม่รู้ว่าเขาจะยอมฟังเหตุผลหรือไม่ แต่จากการที่เขามีโอกาสแต่ไม่ยอมทำอะไร ผมแปลว่าเขายังมีมโนธรรมในหัวใจอยู่บ้าง

“เมี้ยว” เจ้าแมวสีดำตะกุยประตู ผมหัวเราะก่อนที่จะอุ้มมันมาสวมกอดความอบอุ่นนั้นพาให้รู้สึกสบายใจ

“ขอบใจที่อยู่ด้วยนะ” ผมอุ้มมันไปปล่อยนอกบ้าน เจ้าแมวสีดำเหลียวหลังมามองผมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะวิ่งหายลับตาไป ผมเหยียดยิ้ม ยังไม่ได้ขอโทษมันเลยที่ไปจำมันผิดกับแมวอีกตัว ผมกำสร้อยเอาไว้ในกำมือแน่น เก็บมือถือลงในกระเป๋ากางเกงก่อนที่ออกไปกินอาหารมื้อที่ดีที่สุดในชีวิตก่อนที่จะไปเผชิญหน้ากับเจ้าคนเอาแต่ใจ ใช้เวลาไม่นานผมก็กลับมาถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวอันแสนวุ่นวาย ให้ตายเถอะ ปักกิ่งนี่อันตรายเสียจริง

“เฮ้ นายอยู่ไหม” ถึงแม้จะคิดว่าตัวเองไม่ควรมาที่เช่นนี้ในยามห้าทุ่ม แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะจัดการเรื่องให้จบสิ้นขนาดตอนกลางวันเขายังเกือบจะฆ่าผมได้นับประสาอะไรกับยามค่ำคืน

“นายนั่นล่ะหยุดอยู่ตรงนั้น” น้ำเสียงคุ้นเคยดังขึ้นก่อนที่ร่างของผมจะหยุดราวกับถูกตรึงแน่น รู้สึกว่ามีตัวอะไรเลื้อยผ่านเท้าผมไป “ให้ตายเถอะ นายน่ะน่ากินไปแล้ว พวกนี้อยากกินนายจะตาย”

“งั้นนายไม่อยากกินฉันหรือ” ผมเหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาของเฮยเสียจื่อที่เข้ามาใกล้ เรือนร่างสูงใหญ่ปรากฏตัวมาราวกับไม่มีตัวตนมาตั้งแต่แรก

“ฉันไม่กินหรอก ฉันไม่ใช่แบบพวกนั้นเสียหน่อย”

“เฮยเสียจื่อนายเคยบอกว่านายเป็นแมวใช่ไหม” ผมมองยังนัยน์ตาสองสีแสนสวยงามของเขา กำสร้อยสีเงินเอาไว้แน่น ดึงมันออกมายื่นไปทางเขา “อันนี้คือปลอกคอของนายใช่ไหม”

ถ้าเรื่องราวนี้ไม่มีเบื้องหลังอะไรอีกเฮยเสียจื่อก็คือแมวของเสี่ยวฮัว... แมวในรูปถ่าย เจ้าเหมียวสีดำที่เสี่ยวฮัวรักสุดใจ

“ใช่ นายเอามาคืนทำไม” ผมมองเขา ไม่รู้ว่าเฮยเสียจื่ออยู่ในที่แบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว... คงนับตั้งแต่ที่เสี่ยวฮัวประสบอุบัติเหตุ เด็กหนุ่มคนนั้นบอกว่าเขาตามกลิ่นของผมมา... ในตอนนี้ผมถึงเข้าใจว่าเฮยเสียจื่อไม่ได้ตามกลิ่นผม แต่เป็นกลิ่นของเสี่ยวฮัว เพราะผมเข้าไปอยู่ในห้องของเสี่ยวฮัว ใช้ข้าวของของเซี่ยอวี้ฮัว การจะมีกลิ่นติดมาคงไม่แปลก

“ทำไมนายถึงอยากเจอเขา” ครั้นถามออกไปร่างตรงหน้ากลับเม้มริมฝีปาก นัยน์ตาคู่สวยเสร้าสลดลง

“อยากเจออีกสักครั้ง” ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา เขาราวกับแมวตัวเล็กที่ถูกทำร้าย

“นายคงไม่ได้อยากเจอเฉยๆมั้ง” ผมมองยังสถานที่แสนน่าหดหู่ ในอัลบั้มเขาเคยถูกเสี่ยวฮัวเลี้ยงดูอย่างดี แต่ในท้ายสุดกลับต้องมาอยู่ที่นี่เพียงลำพัง

“อยากจะถามว่าทำไมถึงได้ทิ้ง...” น้ำเสียงนั้นอ่อนลง เขาก้มหน้าตัวเองลง มันทำให้ผมเดาอารมณ์ของเขาไม่ถูก “เขาพาฉันมาที่นี่ บอกกับฉันว่าให้เป็นเด็กดีรอเขาที่นี่ แต่รอแล้วรอเล่าเขาก็ไม่กลับมาอีกเลย”

“เอ๋?” ผมนึกถึงอัลบั้ม เสี่ยวฮัวยิ้มได้งดงามเหลือเกิน เขามีความสุขขนาดนั้นจะกล้าทิ้งแมวของตนได้เชียวหรือ “นายเข้าใจผิดไปมั้ง”

“ไม่หรอก ความจริงก็รู้เหตุผลแต่แรก เพราะว่าฉันมีพลัง ยิ่งมีพลังมากเท่าไรก็ยิ่งเรียกโชคร้ายมากเท่านั้น นายน้อยสามนายเคยได้ยินกฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมหรือเปล่า หากเราได้รับโชคดีมากเท่าไรโชคร้ายก็จะสะท้อนกลับมากขึ้นเป็นเท่าตัว ฉันเป็นตัวเช่นนั้น สามารถเรียกหายนะมาสู่เจ้าของได้ เขามีทรัพย์สินเงินทองอยู่แล้วเขาคงไม่ต้องการมันอีกดังนั้นการทิ้งฉันคงจะดีกว่า”

“เดี๋ยว...” ผมขยับตัวทว่าขาของผมกลับหยุดนิ่ง ดูเหมือนร่างกายผมจะไม่สามารถขยับได้ ผมมองชายเบื้องหน้าที่ราวกับแตกสลายอย่างเชื่องช้า

“เขาเคยบอกว่าไม่เป็นไร แต่สุดท้ายกลับทิ้งฉันเอาไว้ที่นี่ “เฮยเสียจื่อเหยียดยิ้มขมขื่นออกมา เขาผายมืออก “ฉันอยู่ที่นี่รอเขามานานแสนนาน แต่เขาก็ไม่มา ทั้งหิวทั้งเจ็บปวดทรมาน วันๆต้องเอาแต่วิ่งหนีพวกที่จะจับกิน แต่สุดท้ายฉันก็แข็งแกร่งขึ้น”

ผมมองไปยังอาคารร้างและทุ้งหญ้า นึกสภาพแมวตัวเล็กตัวหนึ่งที่วิ่งไปทั่วในที่ที่ไม่มีแม้แต่อาหาร แถมยังงูและตะขาบพวกนั้นอีก

“ถ้าจะทิ้งแต่แรกก็อย่ามาอยู่ด้วยกันตั้งนานสิ!” เขาคำราม เอื้อมมือมาคว้าสายสร้อยสีเงินจากมือของผม “ถ้าเจอเขาฉันคิดว่าจะเอาคืนให้ แต่สุดท้ายก็อยากพบสักที”

“ถ้านายคิดว่าเขาทิ้งทำไมยังรออยู่ที่นี่กันเล่า!” ผมดึงสายสร้อยนั้นกลับมา ไม่ยอมให้เขาเอาไป “เสี่ยวฮัวไม่ได้ทิ้งนายหรอกนะ”


แก้ไขล่าสุดโดย kuramajoy เมื่อ Tue 24 Feb 2015, 14:01, ทั้งหมด 1 ครั้ง
kuramajoy
kuramajoy
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า

จำนวนข้อความ : 206
Points : 3793
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[OS] #DMBJdaily (แมว) A walk in the night[ผิงเสีย] Empty Re: [OS] #DMBJdaily (แมว) A walk in the night[ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by kuramajoy Tue 24 Feb 2015, 01:34


ที่นี่อยู่ไม่ห่างจากจุดที่เขาเกิดอุบัติเหตุมานัก... ผมไม่เชื่อว่าคนที่ถ่ายรูปแมวเก็บใส่อัลบั้มตั้งเยอะจะทอดทิ้งมันลงคอ แถมถ้าเสี่ยวฮัวคิดอยากจะทิ้งจริงต้องไม่ใช่ที่นี่ เขาควรนำมันไปทิ้งที่คนพลุกพล่าน การทิ้งมันไว้ที่แบบนี้คือการบอกให้ไปตายชัดๆ

“นายน้อยสาม นายผิดสัญญา!” เฮยเสียจื่อมองผมพาให้รู้สึกอึดอัด นัยน์ตาสองสีนั้นสะท้อนกับแสงจันทร์ยามค่ำคืน

“เขามาหานายไมได้...” ผมไม่รู้จะพูดยังไงกับเขา “นายไปหาเขากับฉันเถอะ”

“ไปไม่ได้... เขาบอกให้รออยู่ที่นี่ อีกอย่างตอนนี้ฉันไปจากที่นี่ไม่ได้แล้ว” เขาพูดอะไรไม่รู้เรื่องสักนิด ผมรู้สึกว่าอากาศเบาบางลงเรื่อยๆจนได้ยินเสียงตะโกนของใครบางคน

“อู๋เสีย ลืมตาขึ้น! เรียกฉัน” น้ำเสียงคุ้นเคยดังขึ้นในโสตประสาทของผม... เรียกเขา... เรียกใคร ชั่วพริบตาผมคิดถึงชายหนุ่มสวมฮู้ดสีน้ำเงิน แต่ผมไม่รู้ชื่อของเขา อาชื่อของเขาคืออะไรกันนะ นัยน์ตาสีราตรีนั้นดูคุ้นเคยเหลือเกิน ปากของผมขยับไปเองโดยไม่ตั้งใจ “เสี่ยวเกอ”

เสี่ยวเกอ... นั่นมันชื่อแมวตัวเก่าของผมนี่

“อ๊ะ” มือใหญ่กำรวบข้อมือผม ดึงเอาร่างของผมเซวูบไปด้านหลัง อ้อมกอดแข็งแกร่งโอบอุ้มร่างของผมจากด้านหลัง มันอบอุ่นเสียจนต้องเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่กอดรัด “เสี่ยวเกอ...”

“ไม่เป็นไรใช่ไหม” ใบหน้างดงามราวกับประติมากรรมคือสิ่งที่ฉายชัดนัยน์ตาสีราตรีกาล ผมจ้องมอง มือใหญ่ลูบไปตามตัวราวกับจะหาบาดแผล

“อื้อ ไม่เป็นไร” ผมไม่ได้ต่อว่าเขาที่กอดรั้งผมไม่ปล่อย เพียงแค่มีเขากอดอยู่โลกของผมก็พลันอบอุ่น อาการหายใจติดขัดหายไปแล้วรู้สึกว่าร่างกายขยับได้

“นายเป็นมนุษย์ ไม่ควรจะอยู่ที่แบบนี้นาน” เสียงกระซิบนั้นพาให้ผมรู้สึกอุ่นใจ แตะลงยังแขนแกร่งของเขาความรู้สึกโหยหาเพิ่มพูน

“เสี่ยวเกอ... เสี่ยวเกอ” ผมได้แต่เรียกชื่อนั้นซ้ำไปมา เจ้าเหมียวที่ทำหายไปถึง 5 ปีได้กลับมาแล้ว

“อือ เงียบก่อน” เสี่ยวเกอดุผม มือใหญ่ลูบใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตา ผมขยับตัวรู้สึกว่าเฮยเสียจื่อทำหน้าตื่นตกใจพร้อมกับเสียงหัวเราะคุ้นเคยที่ดังขึ้นจากข้างหลัง

“ยังขี้แยไม่เปลี่ยนเลยนะอู๋เสีย” มันเป็นเสียงที่ผมไม่วันลืม เพราะเสียงนี้คือเสียงในโทรศัพท์เมื่อ 2 ปีก่อน

“เสี่ยวฮัว!” เซี่ยอวี้อัวหัวเราะ เขายังคงงดงาม ใบหน้าหมดจดเหยียดยิ้ม เรือนร่างผอมบางสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อน คุณชายเก้าหมุนวนโทรศัพท์มือถือท่าทีสบายราวกับวันเวลาเมื่อ 2 ปีก่อนได้กลับมา

“ขอโทษที่คนของฉันทำให้ลำบาก” เสี่ยวฮัวเดินผ่านผมไปข้างหน้า มองเฮยเสียจื่อที่จับจ้องเขาไม่ห่าง “สวัสดีเฮยเฮยไม่เจอตั้งนาน”

“อวี้ฮัว..” เฮยเสียจื่อครางในลำคอ นัยน์ตาสองสีทอประกายเจิดจ้า “มาทำไม?”

“ถามอะไรแบบนั้นเล่า “เสี่ยวฮัวเสียบโทรศัพท์สีชมพูลงในกระเป๋ากางเกง อ้าแขนทั้งสองข้างออก “ขอโทษที่ช้าไปหน่อย ฉันมารับแล้วนะเฮยเฮย”

“หา?” เฮยเสียจื่อชะงักไปไม่ยอมเข้าหาเสี่ยวฮัว “อวี้ฮัวไม่ได้ทิ้งฉันแล้วหรือ?”

“เคยบอกตอนไหนว่าจะทิ้งนายฮะ!” เซี่ยอวี้ฮัวขมวดคิ้วทำเสียงดุเจ้าแมวตรงหน้า “ฉันเคยโกหกนายหรือไงเฮยเฮย บอกว่าให้รอเดี๋ยวจะมารับก็มารับแล้วไง ถึงจะนานไปหน่อยก็ตาม”

“ไม่เคย อวี้ฮัวไม่เคยโกหก” ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม ผมได้ยินเสียงกระพรวนก่อนที่ร่างสีดำของเจ้าแมวสีดำจะโผเข้าหาอ้อมอกของเซี่ยอวี้ฮัว มันเป็นแมวดำขนสั้นหางเหยียดยาว ที่คอสวมสร้อยสีเงินคล้องกระพรวน นัยน์ตาสองสีนั้นปรือลงเสี่ยวฮัวรับเจ้าแมวตัวดีเอาไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง กอดซบคลอเคลียขนนุ่มนิ่ม

“ขอโทษนะที่ไปเดินเล่นซะนานทำให้นายต้องรอตั้งนาน ต่อไปนี้นายไม่ต้องรออีกแล้วนะ”เสี่ยวฮัวลูบศีรษะเจ้าแมวดำ “เป็นเด็กดีมากเฮยเฮย ขอบคุณที่เชื่อใจฉัน ขอบคุณที่ยังรออยู่นะ”

“ฉันนึกว่านายจะทิ้ง คิดว่าจะไปจากที่นี่หลายครั้ง แต่ก็... อยากรออวี้ฮัว” แมวเหมียวสีดำซบคลอเคลียออดอ้อนสุดขีดท่าทีน่ารักนั้นทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้

“บอกแล้วไงว่าไม่ทิ้งหรอก ถึงนายจะเรียกหายนะอะไรก็ช่าง อวี้ฮัวเคยบอกว่าจะทิ้งหรือ อวี้ฮัวเคยผิดสัญญาไหม?”

“ไม่เคย... อวี้ฮัวไม่เคยผิดสัญญา” เฮยเสียจื่อใช้หางตวัดพันมือที่อุ้มเขาเอาไว้ “ฉันรอนายมานานมาก นานจนคิดว่านายจะทิ้งไปอีกแล้ว รู้ว่าไม่ควรทำแบบนี้ แต่ก็อยากพบเลยทำให้คนอื่นลำบาก”

“ฮะๆ ขอโทษที่ไปเดินเล่นเสียนาน ตอนนี้เราไปด้วยกันนะเฮยเฮย” เซี่ยอวี้ฮัวกระชับอ้อมกอด รัดเจ้าแมวดำเอาไว้แน่น “อู๋เสียขอบใจสำหรับทุกอย่างนะ ฉันหวังว่านายจะเลิกขี้แยได้สักที”

“ขี้แยพ่อนายสิ! นั่นมันเรื่องสมัยไหนแล้ว” ผมโวยวายใส่เพื่อนสมัยเด็ก เขาหัวเราะเมินคำพูดของผม “นายหายดีแล้วหรือไงถึงออกมาจิกกัดชาวบ้านได้”

“อื้อ หายแล้วล่ะ... ตลอดกาล” คำพูดนั้นพาให้นัยน์ตาของผมเบิกกว้าง เข้าใจเรื่องทั้งหมดโดยทันที ผมกลั้นน้ำตาเอาไว้มองรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าของเขา

“นายมีอะไรจะบอกไหม?” มืออบอุ่นของเสี่ยวเกอกอดผมเอาไว้ สัมผัสที่พึ่งพิงได้ทำให้ผมรู้สึกสบายใจ

“ถ้างั้นรบกวนนายเอาของของฉันมาคืนด้วย” คุณชายเก้าอุ้มแมวเดินไปข้างหน้า เขาไม่เหลียวหลังเลยสักนิด ผมมองเจ้าแมวสีดำที่ถูกอุ้มพาดไหล่ มันใช้นัยน์ตาสองสีจับจ้องผมก่อนที่จะร้อง

“ขอโทษนะอู๋เสียที่ทำให้ลำบาก เพื่อเป็นการขอโทษฉันจะบอกอะไรดีๆให้นะ” เฮยเสียจื่อปัดหางไปมา เสียงของเขาแผ่วลงเรื่อยๆตามจังหวะการเดินของเสี่ยวฮัว “เสี่ยวเกอน่ะไม่เคยอยู่ห่างนายเลยนะ ปีศาจแมวอย่างพวกเราจะให้ทั้งโชคดีและโชคร้าย เขากลัวนายได้รับอันตรายจึงซ่อนตัวอยู่ไม่ห่างนายมาตลอด ต่อไปนายก็ตัดสินใจเอาแล้วกันว่าจะรับเขามาเลี้ยงอีกครั้งไหม เตรียมใจที่จะรับหายนะเหมือนกับอวี้ฮัวได้ไหม?”

“เฮยเฮยไม่ได้ทำให้ฉันตายเสียหน่อย” เสี่ยวฮัวหยุดเดินไปข้างหน้าพลางจับเจ้าแมวพูดแมวมาดีดหนึ่งที “คิดว่าตัวเองเป็นอะไร มีสิทธิ์เหนืออวี้ฮัวคนนี้ตั้งแต่เมื่อไร ฝันเฟื่องไปมั้ง”

ผมเอื้อมมือไปสอดนิ้วประสานกับมือใหญ่ที่กอดรั้งเอาไว้... เสี่ยวเกอ... เสี่ยวเกอที่หายไป 5 ปี มันไม่ได้ไปไหนกลับคอยปกป้องผมมาตลอดเวลา

“อื้ม! ไม่เป็นไร เสี่ยวเกอแค่ไปเดินเล่น ตอนนี้เขากลับมาบ้านแล้ว” น้ำตาของผมไหลตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้ ผมขยี้ตาสูดน้ำมูก ครั้นเงยหน้าขึ้นมาคนหัวเราะว่าผมขี้แยก็ไม่อยู่เสียแล้ว บรรยากาศรอบข้างสว่างไสวด้วยแสงของอาทิตย์ยามเช้า มีเพียงผมกับเสี่ยวเกอที่กุมมือกันอยู่สองคน ไม่ได้ยินเสียงแม้แต่เสียงของแมลง... ที่นี่เงียบถึงเพียงนี้เชียวหรือ

ค่ำคืนอันน่าเศร้าได้ผ่านพ้นไปแล้ว...

“นายรู้แต่แรกแล้วใช่ไหมว่าเฮยเสียจื่อตายไปแล้ว” เสี่ยวเกอเคยบอกว่าเมื่อก่อนเขาคล้ายกับเฮยเสียจื่อแต่ตอนนี้ไม่ใช่... แปลว่าพวกเขาต้องเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่ที่ไม่คล้ายในยามนี้คงเป็นเพราะคนหนึ่งยังมีชีวิตส่วนอีกคนได้ตายไปแล้ว ผมมองไปรอบด้านมันเป็นทุ่งหญ้ารกร้างกับอาคารทรุดโทรม ที่แบบนี้การปล่อยแมวตัวหนึ่งเอาไว้ถึงสองปีหากมันไม่ยอมไปจากที่นี่ก็คงต้องพบจุดจบ

เฮยเสียจื่อรอเซี่ยอวี้ฮัวด้วยความรู้สึกแบบใดในที่แบบนี้กันนะ แม้จะพบกับความสิ้นหวังหมอนั่นก็ยังรออยู่... รอเจ้านายเพียงคนเดียวตลอดมา... รอให้เซี่ยอวี้อัวมารับมันตามคำสัญญา แล้วเซี่ยอวี้อัวที่ไม่อาจไปรับได้จะรู้สึกแบบไหนกันนะ มันเป็นความรู้สึกที่ผมคิดว่าตนเองไม่อาจจินตนาการได้

“หมอนั่นตายมาได้ปีครึ่งแล้ว ถึงพวกเราจะมีพลังอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นอมตะ ที่นี่มีไอวิญญาณมากเกินไป ไหนจะสัตว์ร้าย ไหนจะพวกวิญญาณร้าย ฉันถึงบอกให้นายอย่าเข้าใกล้ที่นี่ พอเป็นวิญญาณแล้วเจ้านั่นมีพลังมากขึ้น ฉันจึงสู้ไม่ได้” เสี่ยวเกออธิบายให้ผมฟัง นั่นเป็นประโยคที่ยาวที่สุดนับตั้งแต่เราเจอกัน

“เมื่อตอนที่ฉันยังเด็กคุณปู่เคยบอกว่า วิญญาณที่มียังมีอาวรณ์กับโลกใบนี้จะมีพลังมาก ยิ่งมีความรู้สึกยึดติดมากเท่าไรก็ยิ่งมีพลังมาก หมอนั่นคงรอเซี่ยอวี้ฮัวมาสองปีแล้ว รออยู่ที่เดิมไม่เคยได้ไปไหน“ ผมย่อตัวลง มือควานไปตามพุ่มหญ้า ปกติผมมาตอนกลางคืนจึงไม่รู้ว่าที่นี่จะมีขยะกับสิงปฏิกูลเยอะขนาดนี้ ตัวของผมเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบโคลนผมคลานไปกับพื้นปัดหญ้าเพื่อตามหาของสิ่งหนึ่ง

“พวกนายก็แปลกนะ คนหนึ่งยอมรอจนตายมาสองปี อีกคนเอาแต่ตามมาได้ห้าปี” ผมหัวเราะเหยียดยิ้มออกมายามที่ควานเจอกับกองกระดูกสีขาว เอื้อมมือไปดึงเอาสร้อยสีเงินที่ห้อยกระพรวน มันชำรุดจนเสียงไม่อาจดังได้อีก แต่สร้อยเงินเป็นเงินแท้จึงยังคงความเงางามหากขัดเสียหน่อย ผมถอดเสื้อโค้ด โกยเอากระดูกที่เกือบจะป่นเป็นผงพร้อมกับสร้อยสีเงินมัดรวมกันไว้ มันเป็นกระดูกของเจ้าแมวตัวหนึ่ง...

ผมนึกถึงเสี่ยวฮัว รอยยิ้มของเขา วินาทีที่เขาหันมามองผมก็เข้าใจได้โดยทันที คนที่เป็นเจ้าชายนินทรามาตลอดมาที่นี่ได้หมายความว่าเขาได้ตายไปแล้วเช่นเดียวกัน ผมมองยังกระดูกสีขาวของแมว นี่คือคำร้องขอสุดท้ายของเซี่ยอวี้ฮัว เขาต้องการให้นำของของเขา นั่นก็คือเจ้าแมวตัวดีเฮยเฮยมาอยู่กับเขาในโลง

“นายไม่หนีแล้วหรอเจ้าเหมียว” ผมหันไปหยอกล้อเขา รู้ดีว่าที่เขาไม่อาจไปได้เพราะที่นี่อันตรายเกินกว่าจะให้ผมอยู่คนเดียว ผมมัดเสื้อโค้ด ถือเอาไว้ด้วยมือข้างซ้ายส่วน มือข้าวขวายื่นไปหาเขา “เสี่ยวเกอ ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ”

“...” เสี่ยวเกอไม่ยอมรับมือของผม เขามองมันอยู่นานราวกับตัดสินใจ

“เสี่ยวฮัวก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ตายเพราะเฮยเสียจื่อ ฉันเองก็เป็นคนซุ่มซ่าม ถ้าเดินมาที่แบบนี้ถูกจับกินคงแย่จริงไหม?”

“...” เสี่ยวเกอไม่ตอบผม เขาใช้สายตาคมกริบจับจ้องผมราวกับจะประท้วงในใจ

“ฉันให้ปลาอาทิตย์ละมื้อเลยเอ้า!” เสี่ยวเกอมองมือของผมสลับกับกระดูกของเฮยเสียจื่อที่ผมกอดเอาไว้ในที่สุดเขาก็เอื้อมมือมาคล้องมือของผม

“ปลาอาทิตย์ละสามมื้อ ...”

นี่คือคำตอบใช่ไหม... ผมหัวเราะ สอดประสานนิ้วนั้นจับเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ของที่หายไปห้าปีได้กลับคืนมาแล้ว

“ฉันขุนนายอ้วนแน่ เตรียมใจไว้ได้เลยเสี่ยวเกอ” สัมผัสที่ปลายนิ้วบอกให้รู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน “ขอบคุณที่ปกป้องมาตลอด ต่อไปก็ฝากตัวด้วยนะ”

“กลับมาแล้ว” เสี่ยวเกอไม่ตอบคำตอบของผมแต่เขากลับบอกกับผมว่ากลับมาแล้ว คำพูดนั้นทำให้ผมดีใจจนน้ำตาแทบซึม

“อื้ม ยินดีต้อนรับกลับ”

ในอนาคตนี้เสี่ยวเกอจะเรียกหายนะมาหาผมหรือไม่ ผมอาจจะตายเหมือนเซี่ยอวี้ฮัวหรือเปล่า เรื่องพวกนั้นผมไม่รู้ ผมรู้เพียงแค่เขาจะปกป้องผมตลอดไปเท่าที่เรายังสามารถจับมือกันได้อยู่

“ขอบคุณนะเสี่ยวเกอ” ดูเหมือนการมาปักกิ่งผมได้อะไรกลับบ้านไปมากมาย ได้แต่อวยพรให้เซี่ยอวี้ฮัวโชคดี ผมกำมือคู่นั้นเอาไว้แน่น ท่าทางกลับไปหังโจวผมคงต้องซื้อของสำหรับแมวหลายอย่าง แต่ต้องขุนเขาเสียก่อน เสี่ยวเกอผอมไปแล้ว

“อู๋เสีย ขอบคุณนะ” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นจนผมนึกว่าตัวเองหูฝาดได้แต่ถลึงตามองเขา เสี่ยวกอหันใบหน้ามาทางผม เขาคลี่ยิ้มอ่อนโยน ปกติเขาเป็นคนหน้าตาดีอยู่แล้ว พอมันประดับไปด้วยรอยยิ้มเล่นเอาผมเกือบอ่อนยวบทำกระดูกเฮยเสียจื่อหลุดมือ

“อู๋เสียหน้าแดง เป็นไข้หรือ?”

“เปล่าสักหน่อย” ผมบ่ายเบี่ยงก่อนที่จะแสร้งทำหน้าบึ้งไปตลอดทาง เอาเถอะ สำหรับพวกเรายังมีเวลาอีกมาก..”

The end

ไม่ทันเดลี่แมวจนได้จริงๆแค่อยากแต่งธีมใครสักคนออกไปเดินเล่นนานแล้วกลับมาพร้อมกับคำพุดว่ากลับมาแล้ว ชอบโมเม้มแบบนี้นะคะ


แก้ไขล่าสุดโดย kuramajoy เมื่อ Tue 24 Feb 2015, 14:03, ทั้งหมด 1 ครั้ง
kuramajoy
kuramajoy
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า

จำนวนข้อความ : 206
Points : 3793
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[OS] #DMBJdaily (แมว) A walk in the night[ผิงเสีย] Empty Re: [OS] #DMBJdaily (แมว) A walk in the night[ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by yakusoku Tue 24 Feb 2015, 08:45

แง้ สงสารเสี่ยวฮัวกับนายเฮย อ่านแล้วน้ำตาไหลเลย
แต่ก็ดีใจที่สุดท้ายสองคนนี้ก็ได้มาเจอกัน
เสี่ยวเกอชอบกินปลาสินะ มีการต่อรองด้วย555+
yakusoku
yakusoku
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ

จำนวนข้อความ : 369
Points : 3852
Join date : 05/11/2014
ที่อยู่ : โลงในสุสานโบราณ

ขึ้นไปข้างบน Go down

[OS] #DMBJdaily (แมว) A walk in the night[ผิงเสีย] Empty Re: [OS] #DMBJdaily (แมว) A walk in the night[ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by fufasleepy Wed 25 Feb 2015, 18:16

หนุกมากค่า ขอบคุณมากค่าสำหรับฟิคแจ่มๆ ><
ขอหิ้วเสี่ยวเกอกลับบ้านแทนนายน้อยได้มะ...//กร๊อบ
ไม่ก็เฮยเฮยก็ไ... //พลองลอยมาปะทะ
fufasleepy
fufasleepy
ด้วง
ด้วง

จำนวนข้อความ : 36
Points : 3495
Join date : 09/12/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[OS] #DMBJdaily (แมว) A walk in the night[ผิงเสีย] Empty Re: [OS] #DMBJdaily (แมว) A walk in the night[ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by Feran.FS Mon 02 Mar 2015, 19:19

แอร๊ยยย น่ารักกก/เพิ่งได้เข้าบอร์ด 555
Feran.FS
Feran.FS
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ

จำนวนข้อความ : 457
Points : 3964
Join date : 27/10/2014
Age : 28
ที่อยู่ : ใต้เตียงนอนเซี่ยจื่อหยาง...

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน

- Similar topics

 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ