Countdown
We've been
togerther for

ค้นหา
 
 

Display results as :
 


Rechercher Advanced Search


[To my Secret] Mill

2 posters

Go down

Secret - [To my Secret] Mill Empty [To my Secret] Mill

ตั้งหัวข้อ by Mill Sun 28 Dec 2014, 00:43

รีเควสของเราค่ะ เป็นอะไรใสๆไม่เน้นความรักก็ได้น้า~


1. เสี่ยวฮัวกับอู๋เสีย บรรยากาศสบายๆของการเคาท์ดาวน์ปีใหม่

2. ปู่อู๋กับฮูหยิน แนวพ่อแง่แม่งอน น่ารัก<3

3. เรื่องราวของปู่เอ้อร์ ฮูหยิน และซื่ออากง อะไรก็ได้เลยค่ะ

4. หนึ่งวันของเฮยเสียจื่อกับอู๋เสีย จะฝึกวิชา เฮฮา มุ้งมิ้ง อะไรก็ได้ค่ะ

5. เสี่ยวเกอกับอู๋เสีย ฟรีสไตล์เลยค่ะ ใส่มาเผื่อให้ค่ะอันนี้ 5555



ประมาณนี้ล่ะค่ะ พลิกแพลงได้ตามความเหมาะสมเลยนะคะ
ขอบคุณล่วงหน้าด้วยค่าาา<3
Mill
Mill
ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา
ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา

จำนวนข้อความ : 190
Points : 3690
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

Secret - [To my Secret] Mill Empty Re: [To my Secret] Mill

ตั้งหัวข้อ by karnalone Sun 25 Jan 2015, 23:24

สวัสดีค่ะ  //โค้ง  มาส่งซีเคร็ทค่ะ เราเลือกข้อ 5 เสี่ยวเกอกับอู๋เสีย ค่ะ  ง่า...คิดว่าผิดคาร์ไปไม่น้อย  ขอผ่อนส่งทีละครึ่งนะคะ  ต้องขออภัยด้วยจริงๆ //กราบบ  ฟิคนี้เป็นฟิคที่ตั้งใจมากๆๆ เรื่องหนึ่ง  ขอฝากด้วยนะคะ



Title : อีกฝากของความทรงจำ
Pairing : เมินโหยวผิง (จางฉี่หลิง)*อู๋เสีย
Rate : PG
Author: karnalone


.
.
.




 “นับจากนี้อีกสิบปี  ถ้านายยังจำฉันได้  ให้นำสิ่งนี้มาที่นี่  ที่เปิดประตูสำริดบานนั้น  นายอาจเจอฉันอยู่ข้างใน”




รั้งไว้ไม่ได้  รั้งไว้ไม่ได้  ฉันรั้งเขาไว้ไม่ได้  ทั้งที่สำคัญถึงขนาดนั้น  แม้จะมาถึงขั้นนี้แล้วแท้ๆ  แต่กลับทำอะไรไม่ได้สักอย่าง




แค่รั้งคนสำคัญไว้ยังทำไม่ได้




อย่าไป  ได้ยินฉันไหม  อย่าไป












เฮือก!!! 


อู๋เสียสะดุ้งตื่นดึงกายขึ้นนั่งกะทันหัน  ความรู้สึกที่บีบรัดหน้าอกหายไปแล้ว  หัวใจที่เต้นถี่เมื่อครู่ค่อยปรับลงมาช้าลงจนปกติ  สูดหายใจเข้าลึกๆ อีกสองสามครั้งเขาก็สามารถคืนสติได้  กวาดมองไปรอบตัวก็เห็นว่ายังคงอยู่ในห้องของตน  ทุกสิ่งยังคงเหมือนเช่นก่อนเขาเข้านอน  ร่างโปร่งปิดตาลงเสยผมปกหน้าซึ่งเต็มไปด้วยเหงื่อลวกๆ 




นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาฝันเช่นนี้  ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงใครคนหนึ่ง  ไม่ใช่ครั้งแรกที่รู้สึกถึงความเสียใจที่ไม่อาจประมาณ  น้ำเสียงในความฝันนั้นช่างคุ้นเคย  แม้เขาจะมั่นใจว่าไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต  ทว่าสักส่วนในตัวเขากรีดร้องด้วยความเศร้าโศกหดหู่ยามได้ยินมัน  ว่านี่คือเสียงของใครสักคนที่เป็นคนสำคัญ...สำคัญมากๆ  แต่ไม่ว่าจะพยายามนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก  และเมื่อได้ยินเสียงนี้สิ่งที่เขามักจะรู้สึกได้เสมอคือความรู้สึกของตัวเองที่ต้องการจะรั้งคนๆ นั้นไว้  แต่ไม่ว่าครั้งใดก็ไม่อาจทำได้เลย...ไม่เลยสักครั้ง  แม้ว่าจะตื่นขึ้นมาเช่นตอนนี้ก็ใช่ว่าความรู้สึกยามนั้นจะหายไปหมดสิ้น  มันยังคงหลงเหลืออยู่ในห้วงความคิดของเขา




มือเรียวคว้าบุหรี่จากหัวโต๊ะขึ้นมาจุดสูบ  นาฬิกาบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาย่ำรุ่งเท่านั้น  ผ้าม่านริมหน้าต่างถูกสะบัดเปิดออกตามด้วยบานกระจก  ลมหนาวพัดเบาๆ เข้ามาด้านในห้องให้รู้สึกหนาวเยือกชั่วครู่  อู๋เสียเท้าแขนลงกับขอบหน้าต่างมองขอบฟ้าสีน้ำเงินที่เริ่มสว่างขึ้นทุกขณะ  เมื่อได้อัดนิโคตินเข้าไปสองเฮือกสมองเขาก็โล่งขึ้น  ความว้าวุ่น  สับสนปนหว้าเหว่ถูกไล่ออกไปด้วยกลิ่นมิ้นท์เย็นๆ ของบุหรี่ยี่ห้อประจำที่เขาติด  ด้วยอาชีพแล้วของแบบนี้นับว่าเป็นสิ่งที่เขาไม่สมควรแตะ...แต่ใครสน?  ตอนนี้เขายังไม่ได้เริ่มงานซะหน่อย  ในเวลาที่ต้องการอะไรสักอย่างมาผ่อนคลายตัวเองแต่ละคนก็ย่อมจะมีสิ่งที่บรรเทาตัวเองต่างกันไปไม่ใช่รึไงกันล่ะ




...คิดมากไปก็เท่านั้น  อนาคตเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้  มันจะเกิดอะไรขึ้นก็ให้มันเกิดเถอะ 




อู๋เสียขยี้บุหรี่กับที่เขี่ยบุหรี่  ยกมือขึ้นบิดขี้เกียจเล็กน้อย  คว้าผ้าเช็ดตัวเข้าไปอาบน้ำเตรียมตัวทำงาน 




.
.
.


“คุณหมออู๋คะ  คุณอาหนิงมาแล้วค่ะ”




“ให้เธอเข้ามาได้เลย”




“ค่ะ”




อู๋เสียสวมแว่นอ่านประวัติในชาร์ต  อาหนิงเป็นเพื่อนของเขา  ทั้งคู่เจอกันตอนเรียนมหาวิทยาลัย  เธอเรียนวิศวกรรมส่วนเขาเรียนกายภาพบำบัด...และแน่นอนว่าอาชีพที่เขาทำอยู่ตอนนี้ก็คือนักกายภาพบำบัด




“ไง”




หญิงสาวผมสั้นซอยระต้นคอเดินมาด้วยท่าทางสบายในชุดไปรเวทหลวมๆ  แขนข้างหนึ่งคล้องสะพายไว้กับคอบอกว่าเธอได้รับบาดเจ็บที่แขนมา  นัยน์ตาคมกริบบนใบหน้าแฉล้มมองเขาด้วยสายตาเกือบๆ เบื่อหน่าย 




“ฉันควรถามเธอมากกว่านะว่า ‘ไง’”




อาหนิงหัวเราะเบาๆ พลางเดินเข้ามาชะโงกดูชาร์ตในมือของร่างโปร่ง  วิศวกรสาวคนนี้โดนท่อนไม้หล่นลงมาทับและเธอยกแขนขึ้นรับ  แม้ว่าไม้น้ำหนักไม่มากนักแต่ก็ทำให้กระดูกของเธอหักอยู่ดี  นาทีที่เธอมาถึงโรงพยาบาลนั้นไม่มีเสียงคร่ำครวญแม้แต่น้อย  หลังจากเอกซเรย์พบว่ากระดูกในแขนเธอหักตามเฉียงท่อนหนึ่ง  ส่วนอีกท่อนนั้นเพียงร้าว  ด้วยมันหักตรงส่วนท่อนแขนจากที่เพียงเข้าเฝือกทำให้เธอต้องผ่าตัดใส่เหล็ก  เมื่อครบกำหนดที่ควรจึงได้ถอดเฝือกออก  ทว่าผลจากการผ่าตัดนั้นใช่ว่าไม่มี  ทำให้เธอไม่สามารถเคลื่อนไหวนิ้วมือได้ระยะหนึ่ง  และนั่นทำให้เธอต้องทำกายภาพบำบัด




“ก็โอเค  ดีขึ้น  ฉันคิดว่าอีกไม่นานคงจะหายดีแล้วล่ะ”




“ถ้างั้นลองขยับไล่นิ้วให้ฉันดูหน่อย  แล้วยังมีอาการชาบ้างหรือเปล่า”




“อืม  ก็ชาบ้างนะแต่ไม่ทุกนิ้วเหมือนเมื่อก่อน  เอาเข็มแทงก็ยังรู้สึกอยู่บ้างล่ะนะ”




มือเรียวตวัดปากกาตามคำบอกอาการของคนไข้  มองท่าทางขยับนิ้วที่ไม่ติดขัดนักของหญิงสาวแล้วจึงพยักหน้าลงน้อยๆ  อย่างน้อยอาการของเธอก็ดีขึ้นมาก 




“นายยังฝันอยู่อีกหรือเปล่า” 




อาหนิงถามขณะเดินไปยังเครื่องทำกายภาพมือและแขน  เรียกให้อู๋เสียขมวดคิ้วหน่อยพร้อมถอนหายใจขณะจัดท่าทางให้  ก็ใช่ว่าเขาจะอยากให้เธอรู้เรื่องนี้หรอกนะถ้าไม่บังเอิญว่าตอนที่เขาปรึกษาเรื่องนี้กับคนอื่นแล้วเธอมาบังเอิญได้ยินพอดี  แล้วน้ำหน้าอย่างเขาน่ะหรือจะขัดการสอบสวนของอาหนิงได้ 




“...ไม่มีอะไรหรอก”




“เหอะ  ปิดได้ปิดไปย่ะ  ฉันก็ไม่อยากจะรู้นักหรอกนะ”




“...แต่เธอเป็นคนซักฉันตอนนั้นนะ  มาพูดว่าไม่อยากรู้ตอนนี้ไม่สายเกินไปหน่อยเหรอ?”




“...เทียนเจินอู๋เสีย”




“เธอทำแบบเดิมนั่นแหละ  เดี๋ยวฉันไปดูคุณป้าทางนู้นหน่อย  โอเคนะ”




ร่างโปร่งรีบเดินออกไปทางคุณป้าที่กำลังเกาะราวค่อยๆ เดินอีกฝากของห้อง  ความฝันนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากพูดกับคนอื่นนัก  


คนเราย่อมมีความลับบ้างอย่างสองอย่างและความฝันนี่ก็คือหนึ่งในความลับเหล่านั้นของเขา...ถึงแม้จะไม่ค่อยลับแล้วเท่าไหร่ก็เถอะ  


ในสังคมที่มนุษย์ใช้ชีวิตให้หมุนไปตามกลไกนี้ต่างย่อมมีการคบหามิตรสหายและย่อมมีใครสักคนที่อยู่ในตำแหน่งพิเศษ...เป็นข้อยกเว้นในหลายกรณี  สำหรับเขาแล้วคนๆ นั้นคือคนที่กำลังเดินมาหาเขาตอนนี้




“เสี่ยวเสีย”  มือเรียววางบนบ่าของเขา  ขาเรียวในกางเกงแสลคก้าวขึ้นมายืนข้างเขา  ใบหน้างามประดับด้วยรอยยิ้มเล็กๆ  มือข้างนึงล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกาวน์หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นสไลด์ไปมาก่อนจะเก็บมันลงและมองหน้าเขา 




“ไง  เสี่ยวฮัว”  ขานชื่อคนที่เพิ่งมาถึง  ไหล่ทั้งคู่ยักขึ้นทีหนึ่ง  ก้าวไปยังเก้าอี้ที่จัดเตรียมให้คนในห้อง  นิ้วเรียวชี้ลงตรงหน้าตักเป็นสัญลักษณ์บอกว่าจะรอตรงนี้และหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาอีกครั้ง


 
เซี่ยอวี่ฮัว...หมอนี่เป็นเพื่อนสมัยเด็กของเขาควบตำแหน่งญาติและเพื่อนสนิทด้วยเช่นกัน  จริงๆ  แล้วเสี่ยวฮัวมีชื่อจริงคือเซี่ยวอวี่เฉิน  เมื่อครั้งยังเยาว์นั้นเจ้าตัวได้ถูกส่งไปเรียนงิ้วด้วยความจำเป็นของทางตระกูลที่ต้องการความช่วยเหลือจากอาจารย์ผู้สอนของเสี่ยวฮัว  ด้วยใบหน้าที่งามเกินชายและอาจจะยิ่งกว่าสตรีนั้นทำให้เขาต้องเล่นในบทฮวาตั้นหรือชิงอี  แต่เมื่อเวลาผ่านไปประจวบกับฐานะทางบ้านที่ไม่ขัดสนเช่นเมื่อครั้งก่อนเขาจึงขอเลิกการเล่นงิ้วออกมาเรียนแพทย์  ถึงอย่างนั้นถ้ามีงานใหญ่เสี่ยวฮัวยังคงถูกเรียกตัวให้ไปร่วมแสดงด้วยอยู่ดี...ก็นะ  ใครใช้ให้เก่งจนเป็นตัวนางอันดับหนึ่งของฉางซากันล่ะ




ปัจจุบันเซี่ยอวี่ฮัวมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในทางการแพทย์ในฐานะมือศัลยกรรมอันดับสองของที่นี่  ด้วยนิสัยแม่นยำรอบคอบประจำตระกูลบวกกับความชอบของตนเองทำให้ก้าวมาถึงจุดนี้ได้ไม่ยาก  นี่คือเรื่องเซี่ยอวี่ฮัวที่ทุกคนรู้
หากจะมีใครสักที่เขาไว้ใจพอๆ กับตัวเองหรือมากกว่าล่ะก็...เสี่ยวฮัวคือคนๆ นั้น




ทุกครั้งที่เขามีปัญหาไม่ว่าเรื่องใดเสี่ยวฮัวคือคนแรกที่เขาโทรหา  เช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายมีเรื่องใดๆ  เบอร์ของเขาคือเบอร์แรกที่หมอนั่นโทรออก




เขาเล่าให้เสี่ยวฮัวฟังถึงความฝันที่เขาฝันถึงในครั้งที่สี่หรือห้า  ความฝันที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเขาแม้แต่น้อย  มันจะมีปัจจัยอะไรได้บ้างที่จะทำให้คนๆ นึงฝันถึงเรื่องเดียวกันในระยะเวลาใกล้เคียงกันทั้งๆ ที่ไม่มีเหตุให้ต้องคิดถึงแม้แต่น้อย  ทุกอย่างมันจริงเกินไป  ชัดเจนเกินไป  ราวกับว่าสิ่งเหล่านั้นเคยเกิดขึ้นจริง  เสียงที่เขาได้ยินนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหู  ครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงนั้นเขาก็เผลอจดจำมันโดยไม่รู้ตัว  รู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อยามเข้านอนที่มีเสียงๆ นั้นวนเวียนอยู่ในความคิด




คนๆ นั้นเป็นใครกัน?




ทั้งน้ำเสียง  ทั้งความรู้สึก  ทั้งสัมผัสที่เลือนรางนั่น  มันฝังแน่นอยู่ภายในตัวเขา 




ที่ไหนสักแห่งที่ลึกที่สุดของเขา 




ครั้งแรกที่เขาฝัน...ภาพในนั้นคือความมืดมิดและหนาวเย็น  เขานั้นปลงตกต่อสภาพของตัวเองแล้วและไม่คิดว่าจะมีชีวิตรอดอีก  จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งดึงเขาขึ้นมาสู่แสงสว่างด้านบน  เสียดายที่เขาไม่สามารถมองเห็นภาพเบื้องหน้าตนได้ชัดนัก  จำได้เพียงสัมผัสที่อบอุ่นของฝ่ามือในถุงมือที่กระชับเข้ากับเขา 




“นายกลับมาทำไม”  ได้ยินเสียงตัวเองเอ่ยถามไปเช่นนั้น




“ฉันได้ยินเสียงนายร้องให้ช่วย”  คนๆ นั้นตอบกลับมาด้วยความราบเรียบ




แต่ว่านั่นก็ทำให้เขาดีใจที่สุด...




หลังจากครั้งนั้นฝันครั้งต่อๆ มาก็คล้ายจะต่อเนื่องกัน  แต่บางครั้งก็ราวกับคนละเหตุการณ์  เช่นฉากละครที่ถูกตัดแปะวางสลับผิดที่  ทุกครั้งมีจุดเชื่อมโยงกันจุดเดียวคือคนๆ นั้น  ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงไม่เคยเห็นหน้าของคนๆ นั้น  อย่างมากที่สุดคือแผ่นหลังใต้เสื้อฮู้ดสีน้ำเงินและถุงผ้าคล้ายที่ใส่ดาบเล่มใหญ่คาดบนหลังของหมอนั่น  ไม่ว่าจะกี่ครั้งหรืออย่างไรก็ไม่สามารถจะมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้สักครั้ง




เสี่ยวฮัวหัวเราะขำในครั้งแรกที่ได้ยินและครั้งต่อมา  ทว่าเมื่อผมฝันบ่อยขึ้นและทุกครั้งที่รายละเอียดของความฝันมันเชื่อมโยงกันนั้น  เขาเองก็ชะงักไปชั่วครู่เช่นกัน  ในทางทฤษฎีแล้วความฝันเป็นสิ่งที่เกิดจากจิตสำนึกเป็นสิ่งที่เราเคยเห็นและอยากให้เป็น  นั่นคือไม่ว่าอย่างไรย่อมต้องมีพื้นฐานมาจากสิ่งที่เราพบเจอบ้าง  อาจจะคน  สถานที่  หรือสิ่งของ  หากแต่ในรูปแบบที่เขาประสบอยู่นี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีใครเจอมาก่อน 




“นายเชื่อเรื่องอดีตชาติมั้ย”  เสี่ยวฮัวถามขณะยกถ้วยชาขึ้นจิบ  ไขว้ขาข้างนึงและเท้าคางลงบนหัวเข่า  สายตาคมกริมสีน้ำตาลอ่อนมองมาทางเขาอย่างนึกสนุก 




“อดีตชาติเหรอ” 




“ก็แบบว่า...”  ใบหน้างามเอียงไปด้านข้างเล็กน้อย  นิ้วชี้ไล้ริมฝีปากราวกับใช้ความคิด  “...นายเคยเจอกับหมอนั่นแล้ว  แต่ในชาติก่อนน่ะนะ”




“หืม  เรื่องแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้หรอกน่า”  อู๋เสียส่ายหน้าหยิบช็อกโกแลตก้อนเล็กเข้าปาก 




“ก็ใช้ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียวไม่ใช่เหรอ  ดวงจิตของคนเราน่ะไม่ได้ลืมทุกอย่างสักหน่อย  มันก็แค่เก็บความทรงจำเหล่านั้นไว้ในลิ้นชักที่ลึกที่สุด  เหลือแค่นายจะหาทางไขมันได้หรือเปล่าเท่านั้น”




“เฮ้ย  นี่นายเป็นหมอศัลย์จริงๆ รึเปล่าน่ะเสี่ยวฮัว”  เขาถามขำๆ  ขณะที่อีกฝ่ายยังคงยิ้มแต่ไม่มีวี่แววของการล้อเล่นแม้แต่น้อย 




“เรื่องแบบนี้เนี่ย  จู่ๆ บอกไปก็คงแปลกๆ ล่ะเนาะ  มันอาจจะเป็นลางอะไรสักอย่างก็ได้นะ”  ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนกล่าวพลางยักไหล่น้อยๆ  โน้มตัวลงไปตักเค้กสตรอว์เบอร์รี่เข้าปาก




“นายจะบอกว่าตัวนายเองเชื่ออะไรแบบนี้อย่างนั้นเหรอ  ฟังดูไม่ใช่นายเลยนะ”




“งั้นเหรอ...”  เสี่ยวฮัวเลิกคิ้ว  “...นั่นสินะ  อย่างฉันน่ะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้เห็นก็เท่านั้นแหละ”




“ค่อยสมกับเป็นนายหน่อย”




“แต่ว่านะเสี่ยวเสีย  เรื่องทุกอย่างน่ะมีกำหนดเวลาที่เหมาะสมทั้งนั้นแหละ”  คนงามประจำโรงพยาบาลพูด  มือเรียวยกน้ำชาของจิบ  “...มันก็แค่นั้น”




วันนั้นเสี่ยวฮัวตอบกลับมาแค่นั้น  เขาเองกำลังคิดจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแต่กลับต้องสะดุ้งกับเสียงโทรศัพท์ของอีกคนเสียก่อน  เคสด่วนที่เข้ามาวันนั้นทำให้จำสิ่งที่เสี่ยวฮัวพูดได้เพียงเท่านี้  ถึงแม้จะบอกว่าไม่เชื่อในสิ่งไร้สาระอย่างเรื่องของอดีตชาติ  แต่หากว่ามันมีจริง




...อะไรก็ตามที่ทำให้เขาเห็นความฝันเหล่านั้นก็ช่วยเฉลยมาสักทีเถอะ 




...คนที่เขาได้ยินเพียงเสียงคนนั้น




...คนที่เป็นคนสำคัญของ’ตัวเขา’นั้นคือใคร




.
.
.


17.00  น.  คือเวลาเลิกงานของอู๋เสีย  เขาและเสี่ยวฮัวนัดไปดื่มกันก่อนกลับห้อง  เสี่ยวฮัวอยู่อพาร์ตเม้นท์ถัดไปจากเขาสองช่วงตึกดังนั้นจึงหากไม่ติดขึ้นเวรทั้งเขาและเสี่ยวฮัวมักเดินกลับด้วยกัน  การจราจรที่คับคั่งในตัวเมืองทำให้พวกเขาเลือกที่จะเช่าอพาร์ตเม้นท์ใกล้โรงพยาบาลที่สุดเท่าที่ทำได้เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องออกมารบราฆ่าฟันกับเหล่าคนทำงานผู้โดยสารทั้งหลาย 




เงาร่างคนสองคนเดินเรื่อยๆ  ไปตามฟุตบาธ  ควันบุหรี่ลอยเอื่อยจางมาจากในมือของอู๋เสีย  อู๋เสียติดบุหรี่และนั่นเป็นสิ่งที่เซี่ยอวี่ฮัวมักใช้เป็นเรื่องให้ด่าเตือนตลอด...ทั้งๆ ที่ตัวเซี่ยอวี่ฮัวเองก็สูบเช่นกันถึงจะไม่มากเท่าอู๋เสียก็ตาม 




“ฉันไปล่ะ”  คนงามหยุดเท้าลงหน้าอพาร์ตเม้นต์เพื่อนสนิทตน  อู๋เสียโบกมือให้อีกฝ่ายพลางแตะคีย์การ์ดเข้าไปในตัวตึก  ร่างโปร่งสูบบุหรี่อีกเฮือกและดับมันกับซองทิ้งบุหรี่ที่พกติดตัว  ความเหนื่อยล้าของวันนี้ทำให้เขาไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น  จำนวนคนไข้ในแต่ละวันมากพอที่จะทำให้เขาหลับได้ทันทีที่หัวแตะหมอน  มือปลดกระดุมเชิ้ตออกทีละเม็ด  รูดเข็มขัดออกมาตามด้วยกางเกงแสลคเข้ารูปที่เป็นยูนิฟอร์ม  คว้าผ้าขนหนูเข้าไปอาบน้ำ...อย่างน้อยการได้แช่ในน้ำอุ่นหลังทำงานหนักก็เป็นสิ่งที่ไม่เลว 

 
“ฉันเป็นคนที่ไม่มีอดีตและอนาคต  ทุกเรื่องที่ฉันทำก็คือตามหาความเกี่ยวโยงระหว่างฉันกับโลกใบนี้  ฉันมาจากไหน  ฉันอยู่ที่นี่ได้ยังไง”




คนๆ นั้นก้มลงมองมือตัวเอง  คำพูดเรียบเรื่อยหากสอดแทรกความหนักอึ้งหลุดออกมาเหมือนได้ปลดปล่อยเศษเสี้ยวบางสิ่งที่ต้องเก็บงำไว้ตลอด




“นายนึกภาพดูได้  คนอย่างฉัน  หากหายตัวไปจากโลกก็ไม่มีใครรู้  เหมือนกับว่าฉันไม่เคยมีตัวตนบนโลกใบนี้มาก่อน...”




ไม่ใช่




“...บางครั้งฉันส่องกระจกยังมักสงสัยว่าตัวเองมีตัวอยู่จริงหรือเปล่า  หรือเป็นแค่ภาพลวงตาของใครสักคน”




ไม่ใช่สักนิด  ตัวตนของนายก็อยู่ต่อหน้าฉันไม่ใช่รึไง




“ไม่ได้ถึงขั้นที่นายพูด...”  ได้ยินเสียงตัวเองตอบเขา  “...ไม่ได้ถึงขั้นที่นายพูด  ถ้านายหายตัวไป  อย่างน้อยฉันจะรู้”










 
เฮือก!!


อู๋เสียสะดุ้งตัวโยนกระทบกับน้ำในอ่าง  กระพริบตามองรอบตัวด้วยอาการตกใจ  เมื่อเห็นว่านี่คือห้องอาบน้ำของตนจึงค่อยๆ สูดลมหายใจและผ่อนมันออก  มือสองข้างวักน้ำขึ้นใส่หน้าพร้อมเรียกสติ 




อีกแล้ว...เป็นอย่างนี้อีกแล้ว




ความถี่ของมันเริ่มเพิ่มขึ้น  ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน  หากว่าเขาได้หลับลงภาพฝันเหล่านี้จะเข้ามาแวะเวียนในห้วงคิดของเขาเสมอ  แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นภาพที่ชัดขึ้น  เป็นรูปร่างมากขึ้น  ภาพที่มักเป็นเพียงสีดำมีแสงสว่างเล็กน้อยฉายรางๆ  กลับเป็นภาพสีชัดเจน  กลิ่นควันไฟยังติดจมูกราวกับเมื่อครู่เขาได้ไปนั่งข้างกองไฟนั่นจริงๆ  บรรยากาศ  บทสนทนาที่ปรากฏขึ้นมานั้นบอกเขานี่เป็นครั้งแรกที่คนๆ นั้นยอมเสียเวลาอธิบายกับเขาเช่นนี้  กับคนที่เก็บปากคำซะขนาดนั้นนับเป็นเรื่องน่าตกใจใช่เล่น




...คนที่เก็บปากเก็บคำ...งั้นเหรอ




เขารู้ได้ยังไงกันว่านั่นเป็นครั้งแรกที่คนๆ นั้นพูดกับเขายาวขนาดนั้น  และรู้ได้ยังไงว่าหมอนั่นเป็นคนเก็บปากเก็บคำ
อู๋เสียกุมขมับ  อะไรบางอย่างเริ่มเด่นชัด  ราวกับประตูที่ถูกปิดตายมาตลอดกำลังแง้มออกช้าๆ  สิ่งที่อยู่เบื้องหลังประตูบานนั้นกำลังเข้ามาหาเขาทีละน้อยโดยที่เขาไม่รู้ตัว  ส่วนลึกของเขากำลังกรีดร้องรับมัน  มันไม่ใช่สิ่งไม่ดี  แต่ก็ใช่จะเป็นเรื่องน่าพึงใจนัก




เจ็บแปลบในอกซ้าย  ปวดหัวแทบบ้า  ลมหายใจติดขัดตรงปลายจมูก 




...หยาดน้ำตาร่วงลงมาอย่างเงียบงัน




.
.
.


“นายน้อยสาม  คุณมาช้านะ”




เสียงร่าเริงทักเขามาจากข้างตัว  อู๋เสียพยักหน้าให้พลางนั่งลง  เรียกวอดก้ามาสาดเข้าลำคอหนึ่งช็อต  แก้วใบน้อยวางลงพร้อมกับแก้วใหม่ที่วางต่อกัน  เขาเลิกคิ้วขึ้นหันไปเผชิญหน้ากับคนที่นั่งเท้าคางมองเขาอยู่  เฮยเสียจื่อ... ชายหนุ่มผู้ใส่แว่นตากันแสงตลอดวันและคืน  นึกสงสัยเช่นกันว่าหมอนี่จะถอดออกตอนไหนบ้าง...ขนาดนั่งอยู่ในผับที่มืดสลัวเช่นนี้ยังไม่ถอด




“ขอบใจที่เลี้ยง”




“เพื่อคนน่ารักล่ะโอเคเสมอนะนายน้อย”




เฮยเสียจื่อตอบกลับด้วยเสียงหยอกล้อ  หยิบแก้วมาร์ตินี่ขึ้นมาจรดปากขณะมองดูนายน้อยสามแห่งตระกูลอู๋ซัดเอาๆ ประหนึ่งเก็บกดจากอะไรสักอย่าง




นายน้อยสามแห่งตระกูลอู๋หรืออู๋เสีย  เป็นที่รู้กันว่าตระกูลอู๋นั้นนับเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลตระกูลหนึ่งในเมืองหัวโจวไม่ว่าจะทั้งด้านบนดินหรือใต้ดิน  คุณชายใหญ่ของตระกูล...อู๋อีฉยงคือผู้ที่ถูกกันให้อยู่ในฝั่งของแสงสว่างโดยสมบูรณ์  คุณชายรอง...อู๋เอ้อร์ไป๋นั้นยังคงก้าวคาบเกี่ยวเส้นระหว่างทั้งสองฝั่งอยู่  ทว่าด้วยความฉลาดปราดเปรื่องและความเฉียบขาดก็ทำให้คุณชายสามประจำตระกูล...อู๋ซันเสิ่งขยาดได้ไม่น้อย  อู๋ซันเสิ่งคือผู้ที่ก้าวเข้าสู่อีกฝั่งของแดนใต้ดินโดยไร้ทางหวนกลับ  และแน่นอนว่าเขาไม่ใช่สามัญชน  ระดับของอู๋ซันเสิ่งนั้นคือประมุขผู้นั่งบัลลังก์มองลงมายังเหล่าบริวารเท่านั้น




ด้วยเหตุนี้...หลานชายหนึ่งเดียวของประมุขแห่งโลกมืดผู้นั้นถูกเรียกขานด้วยนาม  นายน้อยสาม 




ทว่าดูเหมือนว่าตัวนายน้อยสามเองนั้นจะไม่ระแคะระคายเรื่องนี้เท่าไหร่...เอาเถอะอย่างไรเสียก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญเท่าไหร่นี่นะตราบใดที่นายน้อยสามยังไม่ก้าวข้ามมาฝั่งนี้




“วันนี้ไม่มีงานรึไง  ถึงมานั่งเหล่สาวอยู่ที่นี่ได้”




“มานั่งเหล่นายน้อยสามต่างหากล่ะครับ”  คนใส่แว่นดำตอบกลับท่าทางร่าเริงขยิบตาให้ร่างโปร่งต้องถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายแบบไม่ปิดบัง




อู๋เสียรู้จักเฮยเสียจื่อเมื่อครั้งยังเด็กน้อยตอนที่เขาแอบตามอาสามไปยังโกดังร้างนอกเมืองหลังจากที่เขาได้ยินกิตติศัพท์ของอาสามของเขามา  เขาต้องการจะรู้ว่าจริงไม่ที่อู๋ซันเสิ่งคือประมุขใต้ดินแห่งเมืองหังโจว  ด้วยเหตุนั้นจึงแอบลักลอบติดตามรถอาสามไปโดยแอบในกระโปรงท้ายรถ...และเกือบได้กลายเป็นผีเฝ้ารถคันนั้นหากว่าเฮยเสียจื่อไม่มาเปิดซะก่อน  แน่นอนว่าอีกฝ่ายรู้อยู่แล้วว่าเด็กชายแอบตามมาหากรอจนทุกคนเข้าไปเคลียร์ธุระนองเลือดด้านในโกดังนั้นเสียก่อนแล้วแอบดอดมาเปิดกระโปรงรถพร้อมสั่งสอนเขาถึงสิ่งที่จะเจอหากศัตรูที่มาด้วยกันนั้นเจอเขาเสียก่อน  หลังจากเหตุการณ์นั้นทำให้เขามาพูดคุยถามตอบสิ่งต่างๆ  กับชายหนุ่มเนืองๆ  กลายเป็นสนิทกันโดยไม่รู้ตัว  อู๋เสียรู้ว่าเฮยเสียจื่อเป็นคนใต้ดินสังกัดอาสาม  แต่ดูเหมือนว่าคนรอบตัวเขาจะไม่ต้องการให้เขารู้เรื่องเหล่านี้มากนัก...ดังนั้นเขาจึงต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปซะ  ทั้งที่ความจริงแล้วเรื่องราวต่างๆ ของโลกฝั่งนู้น...เขาได้รับรู้ผ่านทางนายบอดดำคนนี้ทั้งสิ้น  ถึงจะต้องหารเอาความจริงเอาเองน่ะนะ




“นายน้อยสามโดนสาวน้อยหักอกมาเหรอ  มาถึงก็ซัดเอาๆ แบบนี้น่ะ”




“จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยเหรอที่คนๆ นึงจะอยากเมาน่ะ”




“คนที่อยากเมาโดยไร้สาเหตุน่ะไม่มีหรอกนะนายน้อย”




อู๋เสียปรายตามองอีกฝ่ายครุ่นคิดว่าควรจะเล่าออกไปให้หมอนี่ฟังดีหรือไม่  ด้วยประสบการณ์ในด้านต่างๆ  และผ่านโลกมาเยอะของมันอาจจะบอกเขาได้ว่าสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่นี้คืออะไร  เขาคงจะไม่ลำบากใจจะเล่านักหากว่าเรื่องนี้มันจะไม่คล้ายกับพล็อตนิยายน้ำเน่าที่เกลื่อนตลาดในทุกวันนี้  หากเปิดปากเล่าออกไปหมอนี่คงหัวเราะเขาแหงๆ




“มันก็แค่เรื่องไร้สาระ  ไม่จำเป็นต้องสนใจหรอกน่ะ”




“ฮืม...”  เฮยเสียจื่อครางในลำคอ  ปลายนิ้วไล้วนปากแก้วใส  “...เรื่องไร้สาระอะไรกันนะถึงทำให้นายน้อยสามต้องหม่นหมองถึงขนาดนี้”




“หม่นหมองบ้าบออะไร...”




“นายน้อยสามน่ะช่างพูดกว่านี้  วุ่นวายกว่านี้  และมีรอยยิ้มมากกว่านี้นะครับ”




“คนเราก็ต้องมีโหมดดาร์กกันบ้างไม่ใช่เหรอ”




“เห...”  นายบอดดำเอียงคอมองร่างโปร่งน้อยพลางจิบของเหลวในแก้ว  ดีกรีร้อนแรงไหลผ่านลำคอให้รู้สึกร้อนวาบในลำคอก่อนจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความมึนเมา  “...ตั้งแต่รู้จักกันมา  โหมดดาร์กของนายน้อยคือความขี้โวยวาย  นั่งน้ำตาไหลพรากนี่ครับ”




“ไอ้เชี่...อ๊ะ!”  อู๋เสียด่าไม่ทันจบคำกลับโดนแก้วใบเล็กจ่อริมฝีปากอยู่  ตรงหน้าคือรอยยิ้มของอีกฝ่ายที่เขาไม่เคยดูออกว่ามันหมายความว่ายังไง




“สักหน่อยสิครับ  แล้วเล่าให้ผมฟัง”  ถอนหายใจคว้าเอาแก้วตรงนั้นมากระดกรวดเดียวหมด  วางกระแทกลงต่อหน้าอีกฝ่าย




...ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดนะ  นายน้อยสาม




.
.

 
to be con.



ตอนต่อไปจะมาเร็วๆ นี้ค่ะ  ขอแปะไว้ก่อนนะคะ  สุดท้ายนี้ขออภัยจริงๆ ค่ะที่ลงช้าแล้วยังไม่ครบอีก //กราบบบบบ

karnalone
ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา
ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา

จำนวนข้อความ : 115
Points : 3609
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน

- Similar topics

 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ