Countdown
We've been
togerther for
ค้นหา
Latest topics
Most active topics
[fic]บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน 1 [ผิงเสีย]
3 posters
หน้า 1 จาก 1
[fic]บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน 1 [ผิงเสีย]
Ficบันทึกจอมโจรแห่งสุสาน
Warnning -Spoil 1-6
NC สดใสกิ๊งเหมือนจิตใจอันใสซื่อบริสุทธิ์ของคนแต่ง
บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน...
(สาบานว่านี่ชื่อเรื่องมึง...)
ผมไม่เคยรู้สึกตัวมาก่อนว่าชีวิตนี้จะมีอะไรสำคัญไปกว่า อาหารการกินสามมื้อ ที่นอนนิ่มๆ และครอบครัวแสนอบอุ่น เมื่อก่อนผมไม่เคยคิดว่าใครจะพรากจากสิ่งเหล่านั้นได้ แต่ในเวลานี้ ผมกลับละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมชื่นชอบมายืนอยู่ใต้ดินที่ห่างไกลผืนแผ่นที่ครอบครัวผมอาศัยอยู่ ห่างไกลจากเมืองของผมเป็นพันๆไมล์
ผมมองไปรอบด้านด้วยความตื่นตระหนกก่อนที่จะผ่อนลมหายใจ ขาของผมเหยียบลงบนแอ่งน้ำขนาดใหญ่ การมาที่นี่ ผมเป็นคนตัดสินใจเอาไว้แล้วไม่ใช่หรือ ...
ทั้งที่ทุกคนห้ามผมยังดื้อดึงมา นี่คือผลลัพธ์ ผมถอนหายใจกับอาการตึงกล้ามเนื้อ รู้สึกได้ถึงความอ่อนแอของตัวเอง ในยามวิ่ง ผมกลับเป็นคนรั้งท้ายให้พวกเขาต้องวิ่งกลับมาเพื่อลากผม ในยามต่อสู้ ผมคือคนที่ถูกพวกเขาปกป้อง
ผมแหงนหน้าขึ้นไปมองนายอ้วนที่กำลังกรนอยู่บนกิ่งไม้ ที่นี่คือป่างูที่แสนน่าสะพรึงกลัว มันคือสุสานอันยิ่งใหญ่ของเจ้าแม่ซีหวังหมู่ บรรยากาศรอบตัวร้อนชื้นพาให้คนเมืองเช่นผมนอนไม่ค่อยจะหลับ ทว่าอย่างไรเสียผมก็เป็นเพียงคนเดียวที่ได้นอนจนเต็มอิ่ม ผมเงยหน้าขึ้นไปมองหาหนิงที่อยู่ไม่ห่างกันนัก เธอกำลังหลับอยู่บนกิ่งไม้ เธอเองก็ได้สิทธิ์ไม่ต้องเฝ้ายามเช่นเดียวกับผม แต่เดี๋ยวนะ ผมกำลังถูกจัดให้เป็นระดับสตรี ?
ความรู้สึกที่ถูกปฎิบัตินั้นพาให้ผมหงุดหงิด แต่ผมก็ไม่สามารถโต้เถียงอะไรได้ นายอ้วนกับพานจื่อปฎิเสธจะให้ผมเฝ้ายาม ขนาดนายอ้วนที่เห็นแต่ได้ยังเป็นแบบนี้ ผมปีนลงจากที่นอนของผมอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้นายอ้วนกับพานจื่อตื่น พวกเขาเพิ่งจะเสร็จสิ้นการเฝ้ายาม ตอนนี้คนที่เฝ้ายามเป็นคนที่ผมไม่จำเป็นต้องสน หรืออดทนความรู้สึกต่อหน้าเขาต่อให้ผมอยู่ๆตะโกนขึ้นมาว่า “ผมยังเป็นลูกผู้ชายอกสามศอกอยู่นะ” เชื่อได้ว่า ร้อยทั้งร้อย นายเมินโหยวผิง ก็คง เมิน เสียงนั้นไปราวกับว่ามันคือลมผ่านหู
สมชื่อ นายหน้ามึน จอมเมิน เรือพ่วงท้ายแสนน่าเบื่อ
เขาเป็นคนที่ผมเจอแล้วต้องเบ้ปากทุกครั้ง ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบเขา อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนที่ช่วยชีวิตจนผมไม่อาจจะชดใช้ให้ได้
ผมนอนไม่หลับจึงปีนลงมาข้างล่าง เห็นนายเรือพ่วงแสนน่าเบื่อเมินโหยงผิงใช้มีดจิ้มไปยังคราบงูที่เลื้อยพันตามต้นไม้
ตราบใดที่มีเขาอยู่ผมจะปลอดภัย ไม่รู้ว่าความคิดนี้ผุดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร ผมเดินลากขาจนมาถึงหน้าของเขา แน่นอนว่าหมอนี่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ราวกับทั้งโลกนี้มีเพียงเขาคนเดียว เขาเสมือนตัวตนที่ไม่มีส่วนใดยึดเหนี่ยวกับโลกใบนี้ หากจะหายหรือสลายตัวไปก็ราวกับไม่มีคนรู้
ผมถอนหายใจยามที่มองเสี้ยวหน้าหล่อเหลานั้น ความจริงเขาเป็นคนหน้าตาดีแต่เพราะนิสัยแบบนี้ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
“นอนไม่หลับ”
คำถามแผ่วเบาดังขึ้น ผมถึงกับอ้าปากค้าง พระเจ้าช่วยกล้วยทอดไม่สุก นายเมินโหยงผิง ที่สมชื่อว่า “เมิน” ทุกสรรพสิ่งรอบข้าง พูดกับผม
“อืม ฉันนอนจนพอแล้ว นายก็รู้ ฉันสลบไปตั้งเท่าไรแถมยังให้สิทธิ์นอนขนาดนี้เดี๋ยวก็เป็นแบบนายอ้วนพอดี” ผมหัวเราะ ก่อนที่จะมองเขา พบว่าเขาไม่ได้มองไปยังซากงูอีกแล้ว นัยน์ตาที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าคิดอะไรอยู่นั้นเงยหน้าขึ้นมองยังท้องฟ้า ผมเงยขึ้นตาม ท่ามกลางป่าดงดิบที่ไร้ตึกรามที่บดบัง ไม่มีควันพิษของท่อไอเสียรถยนต์ เป็นครั้งแรกที่ผมเหยียดยิ้มท่ามกลางความอันตราย ต้นไม้รอบด้านราวกับเป็นเครื่องประดับให้แก่ท้องฟ้าผู้ประดับด้วยหมื่นเพชร
ตรงกลางของผืนฟ้าสีนิลคือไข่มุกสีเหลืองนวลแสนล้ำค่า ผมเป็นคนประเมินวัตถุโบราณยังอดคิดไม่ได้ว่า ถึงแม้ว่ามนุษย์เราจะพยายามสร้างสรรค์ของให้แสงสว่างแก่โลกมากสักเท่าไรก็ไม่อาจเอื้อมถึงแสงสว่างที่แท้จริง ความงดงามตามธรรมชาติ คือที่สุดของศิลปะ มันอยู่มาช้านานก่อนที่โลกจะก่อกำเนิด งดงามจากภายใน ไม่ต้องเติมแต่งหรือเจียระไนแม้แต่นิดเดียว
ผมหันไปมองชายหนุ่มผู้นั่งมองดวงดาว ใบหน้าด้านข้างที่ถูกย้อมด้วยแสงของดวงดาวนั้นดูดีราวกับรูปสลัก โดยไม่รู้ตัวผมก็เผลอยิ้มออกมา เป็นจังหวะเดียวกับที่นัยน์ตาที่สงบนิ่งหันมามอง
เราประสานสายตากันอยู่ร่วมนาที นัยน์ตาสีดำขลับที่ราบเรียบนั้นสะท้อนภาพร่างของผม มันทำให้ผมต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าไปจากเขา
เป็นไรไป อู๋เสีย นายนี่ก็แค่มองนกมองไม้ มองอะไรก็ตาม แต่ผมรู้ดีว่า ถึงแม้เขาจะมองผมเขาก็ไม่เคยมองยังตัวตนของผมจริงๆ
ทุกครั้งสายตานั้นจะมองผ่านทุกคน ไปยังจุดใจกลางปริศนาที่เขาต้องการ เขาไล่ตามยังทุกสิ่งทุกอย่างที่จะนำพาความจริงมาหาเขาได้
“มีอะไร?” เมื่อกี้ผมใจลอยไปหน่อยพอหันกลับมาเขาก็ยังคงมองผมอยู่ ผมรีบตะปบใบหน้าตัวเอง เวลาที่เมินโหยวผิงทำอะไรสักอย่างมักหมายถึงอันตราย หรือว่าหน้าของผมมีตัวอะไรเกาะอยู่ พอลูบไปผมก็พบเข้ากับใบหน้าเกลี้ยงเกลาของตัวเอง
“มีอะไร นายพูดมา ฉันรับได้” หรือว่าผมจะโดนกาฝากอะไรเข้าไปสิงบนใบหน้า ตอนนี้หน้าของผมมันคงแย่มากจนนายเมินโหยวผิงขมวดคิ้ว มือใหญ่ของเขาแตะลงบนใบหน้าของผมลูบไล้บนพวงแก้ม นิ้วเรียวยาวที่เคยคีบไส้ของด้วงศพเกลี่ยลงบนผิวของผมอย่างอ่อนโยน
ราวกับเวลารอบตัวเราถูกหยุดลง ท่ามกลางผืนฟ้าที่ประดับไปด้วยดารา เรานั่งชิดใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน หน้าอกแข็งแกร่งของเมินโหยงผิงกระเพื่อมบ่งบอกถึงความเป็นมนุษย์ของเขา ร่างที่อบอวลไปด้วยกลิ่นสมุนไพรจนมึนหัวเข้ามาชิดใกล้ จมูกของผมได้กลิ่นที่ซุกซ่อนอยู่ใต้สมุนไพรของเขา มันคือกลิ่นของศพคนตาย
แม้จะรู้ถึงกลิ่นนั้นแต่ใบหน้าที่ราวกับประติมากรรมตรงหน้าตรึงผมให้หยุดอยู่กับที่ นิ้วของเขาเกลี่ยไล้พวงแก้มของผมอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาที่ไม่รู้คิดอะไรมองตรงมาที่ผม กลับเป็นผมเองที่ก้มหลบเขาอีกรอบ วินานี้ผมรู้สึกว่าตัวเองขยับตัวไม่ได้
ไม่ใช่ว่าไม่อยากขยับ เพียงแต่เสียงในใจกำลังเต้นราวกับไปวิ่งมาธาราธอน ร่างกายของผมเกร็ง ราวกับไม่ใช่ร่างกายของเอง
ราวกับต้องมนต์สะกด....
ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เมินโหยงผิงดึงมือออกจากพวงแก้มผม ใช้สองมือกอดรัดผม ก่อนที่จะซุกศีรษะลงกับอกของผม หูของเขาแนบกับหน้าอกราบเรียบของผม ฟังเสียงหัวใจที่กำลังจะระเบิดออกมาจากตัวของผม
“นาย” ผมพูดไม่ออก เมินโหยงผิงที่ไม่สนอะไรในโลกใบนี้กำลังซุกอยู่กับหน้าอกของผม มือของเขารวบรอบเอวผมไว้อย่างหลวมๆ ผมรู้ดีว่าคนอย่างเขาแค่ออกแรงนิดเดียวผมก็ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้ ผมนั่งนิ่งปล่อยให้ศรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นไหมสีดำแนบลงมา
“อุ่น”
ผมสะท้อนใจกับคำพูดของเขา ใบหน้าหล่อเหลานั้นซุกไซร้ลงกับอกของผม ราวกับโหยหา เมินโหยวผิงนายไม่ได้สัมผัสกับคนเป็นมานานเท่าใดกัน ผมจับมือของเขา มันเย็น เย็นราวกับซากศพ มันทำให้ผมเกือบร้องไห้เมื่อมองมือแข็งแกร่งที่สามารถหักคอคนได้
“อุ่นใช่ไหมล่ะ” ผมเอื้อมมือไปกอดรัดศีรษะของเขาไว้ โอบรัดยังตัวตนของชายหนุ่มที่แท้จริงแก่กว่าผมมากนัก “นี่คืออุณหภูมิของมนุษย์ นายเองก็มี”
ผมเลื่อนมือสอดเข้ากับนิ้วทั้งห้าของเขา เขามือใหญ่กว่าผม มันทั้งหยาบทั้งกร้าน มือของคุณปู่ผมเองก็เป็นเช่นนี้ มันคือมือของคนคว่ำกรวยมาทั้งชีวิต
“ดูสิ มือของนายอุ่นแล้ว” นายคนนี้ตามหาความทรงจำของตัวเอง ร่างกายของเขาผิดแผกกว่าคนธรรมดาทั่วไป ถึงแม้เขาจะแกร่งเกินคนแต่เขาก็ยังเป็นมนุษย์
เขาบีบมือของผมที่สอดประสานราวกับจะย้ำเตือนถึงอุณหภูมิ ร่างกายของเขาเย็นมาก เย็นราวกับไม่ใช่คน แต่เพราะผมกอดเขาเอาไว้ ถ่ายทอดความบอุ่นให้ทีละเล็กทีละน้อย เพียงไม่นาน ร่างกายที่ราวกับน้ำแข็งก็พลันอบอุ่นเขา ผมประคองใบหน้าของเขาขึ้นมาเป็นฝ่ายลงไปซบแผงอกแน่นแกร่ง ผมลูบมันก่อนที่จะยิ้มให้เขา
“นายอุ่นเหมือนกันนะ”
ความอบอุ่นของมนุษย์ ผมรู้ว่าหัวใจของเขาต้องยังคงอบอุ่น
“อืม” เสียงตอบรับของเขาพร้อมกับแขนแกร่งที่รัดตัวผมให้แนบไปกับแผงอกแน่นของเขา ให้ตาย นายเมินโหยงผิงนี่ต้องไปเล่นกล้ามมาแน่ ขนาดผมแอบฟิตร่างกายเตรียมความพร้อมคว่ำกรวยมาจนภูมิใจกับรูปร่างของตนเองยังไม่อาจทัดเทียมกับเขา ว่าแล้วผมก็หัวเราะ
เทียบอะไรไม่เทียบ เทียบกับตานี่ ให้ผมไปเทียบกับนายอ้วนยังดีเสียกว่า
“เอ๋” ช่วงเวลาที่ผมคิดอะไรไร้สาระอ้อมกอดใหญ่ที่ตวัดรอบร่างกายก็หายไปแล้ว พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เห็นเรือนร่างของเมินโหยงผิง นายเรือพ่วงน่าเบื่อ กำลังมองผมอย่างเงียบงัน ผมเกาแก้มตัวเอง ก่อนที่จะเอียงคอเมื่อเห็นเขายื่นมือมา
ผมหัวเราะก่อนที่จะวางมือลงบนมือนั้น ร่างของผมถูกเขาฉุดให้ยืนขึ้นไม่ยากนัก เมื่อลุกขึ้นพวกเราก็กำลังยืนข้างกันมองดูดวงดาวผืนเดียวกัน พอคิดได้ว่าผมกับเขาอยู่กันตามลำพังแถมยังก่ายกอดไปชั่วครู่ความร้อนก็แผดเผาใบหน้าของผม
ตอนที่กอดอาหนิงผมยังใจเต้นไม่เท่ากอดนายเมินโหยงผิง ..หรือเพราะตอนนั้นผมเหนื่อยเกินไปกว่าจะคิดอะไรเช่นนี้ การมีสาวงามในอ้อมกอดไม่ตื่นเต้นเร้าใจเท่ากับมีชายงามในอ้อมกอดเชียวหรืออู๋เสีย นายเป็นบ้าอะไรไป
ผมหยิกแก้มตัวเองเรียกสติหนึ่งทีก่อนที่จะหันไปยิ้มแห้งให้เขา ดวงตาของนายเมินโหยงผิงยังคงอยู่บนเรือนร่างของผม จะมาไม้ไหนอีกละ ผมเผลอถอยหลังโดยอัตโนมัติ พอผมทำแบบนั้นผมกลับรู้สึกเสียใจตัวเองเพราะอีกไม่กี่นาทีเขาก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่คล้ายกับพร่ามัวไปด้วยเสียงร่ำไห้
“นายไม่ควรมาที่นี่”
ผมขมวดคิ้วใส่เขา อะไรกันถึงผมจะรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ดันไปโมโหกับคำพูดของเขาจนมาถึงนี่ แต่ตอนนี้คนก็มาแล้วยังจะพูดอะไรอีก
“นายมีเวลาชั่วชีวิต แต่ฉันไม่ได้มีเวลาเท่านาย”
เขามักพูดอะไรที่ผมคิดไม่ออกอยู่เสมอ ผมคิดไปคิดมาคิดจนปวดสมอง จึงเดินเข้าไปหมายจะเขย่าคอไอ้นายเมิน แสนมึนนี่สักหน่อยให้เขาคายความลับออกมาสักสองสามเอะ แต่เพียงแค่ผมยกมือกลับถูกเขาจับเอาไว้ ข้อมือของผมถูกรวบไป ไม่ถึงชั่ววินาทีผมก็ถูกเขาล็อกเอาไว้จากด้านหลัง
ให้ตายเถอะอู๋เสีย มันเวลาเพียงแค่กระพริบตา แค่นี้นายก็ดิ้นไม่ได้แล้วจะไปเขย่าตัวเขาเพื่อสอบถาม แทบจะเป็นไปไม่ได้
ผมกัดฟัน แรงที่รวบตัวผมไม่ได้ออกแรงมาก ผมจึงไม่เจ็บมากนักแต่นั่นก็ทำให้ผมไม่สามารถขยับตัวได้ ลมหายใจอุ่นๆของเขาหายใจรดต้นคอของผม แผงอกแน่นตึงของเขาปะทะเข้ากับหลังของผม เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงหัวใจของเขา
“ไอ้บ้าเอ๊ย” ผมแหกปากใส่เขาเพียงพริบตาก็ถูกเขาปิดปาก เมินโหยงผิงใช้มือข้างเดียวรวบข้อมือทั้งสองของผม อีกข้างปิดปากผมแน่นราวกับไม่ต้องการให้ผมไปทำลายนิทรารมณ์ของใครสักคน ไม่ก็เรียกงูให้ตื่นตัว
“อย่าส่งเสียง” เขากระซิบข้างหูของผม ลมหายใจหนักๆพ่นลงใบหูของผมพาให้ผมรู้สึกจั๊กจี้ หนอย นายมายั่วโมโหแล้วไม่ให้พูดนี่โคตรจะเอาแต่ใจตัวเอง
ผมถลึงตาใส่เขา ดูเหมือนนายเมินโหยวผิงจะรับรู้ถึงความแค้นของผม เขาจึงกระซิบข้างหูผมอีกรอบ
“นายไม่สมควรเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ ถอนตัวไปซะ นายยังมีชีวิตข้างหน้าให้ก้าวต่อไป แต่อาสามของนายและฉันไม่มีอีกแล้ว”
ผมดิ้นสุดตัวแต่ก็ไม่อาจจะหลุดจากกำมือของเขาไปได้ หนอย ไอ้บ้า นึกว่าอยากจะพูดอะไรฝ่ายเดียวก็ได้หรอ
“ฉันไม่มีทั้งอดีตและอนาคตแตกต่างจากนาย ราวกับไม่อยู่บนโลกแต่แรก ฉันเกิดจากความไม่มีอะไร ยามที่สูญสลายไปอาจไม่มีแม้แต่คนรับรู้ ฉันเหมือนสิ่งแปลกปลอมที่โลกใบนี้ไม่ยอมรับ แตกต่างกับนาย คนอย่างฉันจะตายเมื่อไรก็ได้ แต่นายไมได้”
กับผีมึงน่ะสิ! ผมดิ้นอยู่ในมือของเขาแต่เมินโหยวผิงแรงเยอะขนาดหักคองูเหลือมยักษ์มาแล้ว อย่างผมมีหรือจะคณามือของเขา
ผมอยากจะร้องไห้ ไอ้บ้าเอ๊ย สักแต่พูดฝ่ายเดียว ถามคนอื่นบ้างไหม
“อู๋เสีย ทางข้างหน้านายไม่ควรลงไปต่อ”
คำพูดของเขาคืออยากให้ผมรอ รอพวกเขา ...ไม่เอานะ ความรู้สึกที่ต้องรอมันน่ากลัวกว่าไปตายด้วยกันเสียอีก ผมทวนคำพูดของเขา แล้วก็พลันอยากร้องไห้
เมินโหยวผิง นายไม่เห็นชีวิตของตนเองสำคัญ
ดูเหมือนตั้งแต่เขาได้ความทรงจำกลับคืนมาบางส่วนที่สุสานใต้ทะเล เขาก็รีบร้อน รีบร้อนจนทำผิดพลาดไปหมด ผมสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดจากเขา
ทำไมนายต้องรีบขนาดนี้...
ริมฝีปากผมไม่อาจพูดได้ ได้แต่ตกเป็นจำเลยให้เขาพูดอยู่ฝ่ายเดียว
“นายเป็นคนดี “ ศีรษะของเขาซบอยู่กับไหล่ของผม สัมผัสได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดคอ มันร้อนจนอยากจะร้องไห้ “เป็นคนแรกที่อบอุ่นถึงขนาดนี้ เป็นคนแรกที่บอกกับฉันว่า หากฉันหายไปนายจะรับรู้”
คนที่โลกปฎิเสธอย่างเขากลับได้รับการตอบรับจากผม ตอนแรกผมไม่คิดว่าเขาจะจดจำมันไว้ในใจด้วยซ้ำ แรงที่จับผมคลายลงแล้ว ผมดิ้นสุดตัวผละออกมาจากเขา ประจันหน้ากับเขา แสงจันทร์ที่สาดส่องบนใบหน้านั้นคือรอยยิ้มแสนเศร้า เขาพยายามยิ้มให้กับผม แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมน้ำตาซึม
“นาย” ผมอ้าปากไอ้เพียงแค่ครึ่งประโยคแรงประทะหนักก็กระแทกเข้าที่ท้องน้อย สติพร่ามัว ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือมือแข็งแกร่งที่รองรับร่างของผม และริมฝีปากหนาที่แตะเข้าที่หน้าผากของผมอย่างแผ่วเบา...
รอยจูบประทับอย่างเชื่องช้า แต่ทว่าเนิ่นนาน..
................................................................................
“นายน้อย นายน้อย ตื่นได้แล้ว” ท่ามกลางสติที่รางเลือนเสียงของพานจื่อดังชัด ผมรับรู้ถึงแรงของคนที่เขย่าตัว ในหัวตีกันจนเสียงดัง ผมลุกขึ้นมาลืมตาพบว่าที่นี่คือที่นอนของผม ผมสะดุ้งในยามที่เรื่องราวก่อนที่จะสลบฉายเข้ามาในศีรษะ เมื่อคืนนี้ผมคุยกับนายเมินโหยวผิง
พอคิดถึงผี ผีก็โผล่ขึ้นตรงหน้า เมื่อผมหันไปทางซ้ายผมก็เกือบสะดุ้งหล่นจากกิ่งไม้ นายเมินโหยวผิงพิงอยู่บนกิ่งไม้เดียวกับผม นัยน์ตาลึกลับนั้นปิดสนิท
ผมห้ามตัวเองไม่ให้วิ่งไปเขย่าเขาแบบเมื่อคืน เพราะมันจะต้องเป็นจุบจบแบบเดิม ในเวลาที่ผมกำลังมึนงงนายอ้วนก็แซวขึ้น
“นอนหลับสบายดีไหมนายน้อย นายมันคนเมืองสบายตัวจนเคยตัว เอาอย่างน้องเสี่ยวเกอของเราสิ นอกจากจะเป็นเวรยามให้แล้วเขาจะล่าเอาหลักฐานมาได้เพียบ นายอ้วนหยิบเอาซากงูและแมลงขึ้นมา มันทำให้ผมรู้สึกมึน เมื่อวานเจ้านี่กำลังคุยกับผมไม่ใช่หรือ
“เมื่อคืน ผมตื่นขึ้นมา” ผมอ้าปากพูดได้ไม่กี่ประโยคอาหนิงก็แตะบ่าของผม
“นายกับฉันอนใกล้กันถ้านายตื่น ด้วยฝีมือของฉันจะไม่รู้เลยหรือ”
“ใช่ คุณหนูอย่างนายขืนเดินเพ่นพ่านคนเดียวก็ตายพอดี เมื่อคืนน้องเสี่ยวเกอก็แอบเถลไถลพอดี ข้างล่างอันตรายจะตาย”
ผมหุบปากตัวเองนวดขมับ เรื่องเมื่อคืนผมฝันไปงั้นหรือ มือของผมแตะใบหน้าของตัวเองหันไปมองเมินโหยวผิงที่นอนพิงกิ่งไม้อยู่เคียงข้าง พอกับที่เขาลืมตาขึ้นมา นัยน์ตาเย็นชาที่ราวกับไม่ได้มองอะไรอยู่ทำให้ผมรู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ
อะไรกัน ... ผมฝันไป ?
“มีอะไรหรือนายน้อย” พานจื่นเห็นผมนิ่งไปจึงเดินเข้ามา
“ฝันอะไรลามกล่ะสิ ไม่ก็ไม่สบายหรือเปล่า” นายอ้วนเดินเข้ามาหาผมอีกคน ยกมือหมายจะแตะที่หน้าผากของผม
เพียะ...
วินาทีที่เสียงนี้ดังขึ้นทุกคนกลับหยุดนิ่ง แม้แต่ผมก็ยังต้องตกตะลึง เมินโหยวผิงที่นอนอยู่อย่างเฉยเมยลุกขึ้นมาปัดมือนายอ้วน เสียงตีมือดังลั่นทั้งป่า แม้มันจะไม่รุนแรงมาก แต่ก็ทำให้หนังมือนายอ้วนแดง..
เฮ้ย!
หน้าผากของผมมีอะไร นายเรือพ่วงแสนน่าเบื่อถึงห้ามนายอ้วนจับ ผมรีบคลำหน้าผากตัวเองราวกับจะหาหนอนแมลงปรสิต แต่มันกลับเป็นเนื้อเรียบเนียน ไม่มีอะไรทั้งนั้น พานจื่อก็ชะโงกมาหา มีแค่นายอ้วนที่ใบ้กินไปชั่วครู่
“เฮ้ น้องเสี่ยวเกอ อยากเล่นตบแปะกับเสี่ยอ้วนก็ไม่บอก หรือว่า เกิดหลงรักไขมันของเสี่ยอ้วน ตื่นยังไม่เต็มตาหรือไง”
นายอ้วนระเบิดอารมณ์ใส่เมินโหยวผิง แต่แน่นอนว่าเมินโหยวผิงนั้นมีความสามารถพิเศษ ที่จะไม่ตอบ ไม่สนใจ และเมินต่อทุกสรรพสิ่งของโลกอยู่แล้ว หากคุณต้องการจะได้คำตอบอะไรจากนายนี่ คุณมีแต่จะอกแตกตายเท่านั้น
ดูเหมือนนายอ้วนที่ร่วมผจญภัยกันมาระยะหนึ่งเองก็ยังจดจำคุณสมบัตินี้ของคนตรงนี้ได้ นายอ้วนสบถโครตตระกูลเมินโหยวผิงสองสามทีแล้วเลิกลาไปเอง
ผมแตะหน้าผากตัวเองมันไม่มีอะไร พานจื่นมาดูก็ไม่เห็นมีอะไรเช่นกัน ทุกคนเลยปลงตกว่าเสี่ยวเกอคงจะละเมอ ...
ทุกคนเก็บของเตรียมออกเดินทาง ผมยิ้มเจื่อนเมื่อนายอ้วนกับพานจื่อแบ่งสัมภาระในเป้ของผมไปแบกให้ ผมลุกขึ้นเมื่อจัดกระเป๋าเสร็จแล้วพลันสายตาสบเข้ากับนายเมินโหยวผิงเข้าพอดี เขากำลังมองผมอยู่จากมุมด้านขวา ร่างของนักคว่ำกรวยยืนผิงต้นไม้ นัยน์ตาคู่นั้นไม่สะท้อนสิ่งใด ราวกับไม่ได้มองผมอยู่
ผมสะดุ้งเมื่อนึกถึงในความฝัน แตะยังหน้าผากตัวเอง ...ท่ามกลางความฝันนั้นจุดนี้คือจุดที่เขาจูบผม...
หรือว่า... หรือว่า...
อกของผมเต้นสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่...มันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อเกินไป ผมอ้าปากหมายจะถามเขาแต่ร่างของเมินโหยวผิงกลับเดินไปด้านหน้าคณะ เขาคือผู้นำกลุ่ม พานจื่อคอยรั้งท้าย
“นายน้อยเป็นอะไรไป” มือของพานจื่อวางบนบ่าของผม ผมส่ายหน้าสะบัดความหวั่นไหวที่เป็นระลอกคลื่นในอกไป กัดฟันเก็บความสงสัยเพราะทางข้างหน้ามีอันตรายจึงไม่เหลือที่ให้ผมคิดมากกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ผมจ้องนายเมินโหยวผิงที่เดินนำหน้า ....หมายมาดในใจว่าจบงานนี้เมื่อไรจะจับมาต่อย เขย่ารีดเร้นคำพูดสักที
ไอ้บ้า นึกอยากพูดอะไรก็พูด ไม่ให้ชาวบ้านชาวช่องเขาพูดตอบสนทนาอีกต่างหาก พ่อแม่สอนนายมายังไง ถึงนายจะความจำเสื่อมแต่ไม่น่าจะนิสัยแย่ลงได้ขนาดนี้
ที่สำคัญ ...บ้าที่สุด นึกอยากจะจูบใครก็จูบงั้นหรือ
คนบ้า....
ผมแตะยังหน้าผากตัวเอง รับรู้ได้ถึงความร้อนที่แผ่ลามไปทั่วร่างกายบางทีมันอาจจะเป็นความร้อนที่มาจากอากาศของป่าดงดิบก็ได้
“เมินโหยวผิง” ผมเดินนำหน้าแซงเดินตามเขาข้างหลัง แม้จะเป็นเสียงกระซิบแต่ผมเชื่อว่าคนหูดีอย่างหมอนี่ต้องได้ยิน “จบเรื่องนี้นายต้องมากับฉัน”
“หือ?” เมินโหยวผิงเลิกคิ้ว แม้เขาจะไม่ได้หันกลับมา แต่ผมได้ยินเสียงของเขาชัดเจน
“จบเรื่องแล้วคุยกับฉัน” ผมยังยืนยันคำเดิม เขานิ่งไปนานมากจนผมนึกว่าเขาไม่สนใจคำพูดของผมแล้ว ก่อนที่เสี้ยวหน้าหล่อเหลานั้นจะหันกลับมา
“ถ้ายังอยู่”
เขาตอบแค่นั้นแล้วก็เป็นฝ่ายนำไปข้างหน้า เขาเดินเร็วจนผมแทบจะตามไม่ทัน สุดท้ายก็โดนพานจื่อกับนายอ้วนดันให้อยู่ตรงกลาง ราวกับถูกปกป้องอีกครั้ง
ถ้ายังอยู่หมายความว่ายังไง นายจะหายไปอีกแล้วใช่ไหม เมินโหยวผิง คอยดูนะ ฉันจะไม่ให้นายหายไปได้อีก !
คอยดูนะ จบเรื่องนี้ฉันเอาเรื่องนายแน่ ....
ตอนนั้นผมไม่ได้รับรู้เลยว่า จะไม่มีวันได้เอาเรื่องเมินโหยวผิงคนเดิมอีกต่อไป
TBC
Warnning -Spoil 1-6
NC สดใสกิ๊งเหมือนจิตใจอันใสซื่อบริสุทธิ์ของคนแต่ง
บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน...
(สาบานว่านี่ชื่อเรื่องมึง...)
ผมไม่เคยรู้สึกตัวมาก่อนว่าชีวิตนี้จะมีอะไรสำคัญไปกว่า อาหารการกินสามมื้อ ที่นอนนิ่มๆ และครอบครัวแสนอบอุ่น เมื่อก่อนผมไม่เคยคิดว่าใครจะพรากจากสิ่งเหล่านั้นได้ แต่ในเวลานี้ ผมกลับละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมชื่นชอบมายืนอยู่ใต้ดินที่ห่างไกลผืนแผ่นที่ครอบครัวผมอาศัยอยู่ ห่างไกลจากเมืองของผมเป็นพันๆไมล์
ผมมองไปรอบด้านด้วยความตื่นตระหนกก่อนที่จะผ่อนลมหายใจ ขาของผมเหยียบลงบนแอ่งน้ำขนาดใหญ่ การมาที่นี่ ผมเป็นคนตัดสินใจเอาไว้แล้วไม่ใช่หรือ ...
ทั้งที่ทุกคนห้ามผมยังดื้อดึงมา นี่คือผลลัพธ์ ผมถอนหายใจกับอาการตึงกล้ามเนื้อ รู้สึกได้ถึงความอ่อนแอของตัวเอง ในยามวิ่ง ผมกลับเป็นคนรั้งท้ายให้พวกเขาต้องวิ่งกลับมาเพื่อลากผม ในยามต่อสู้ ผมคือคนที่ถูกพวกเขาปกป้อง
ผมแหงนหน้าขึ้นไปมองนายอ้วนที่กำลังกรนอยู่บนกิ่งไม้ ที่นี่คือป่างูที่แสนน่าสะพรึงกลัว มันคือสุสานอันยิ่งใหญ่ของเจ้าแม่ซีหวังหมู่ บรรยากาศรอบตัวร้อนชื้นพาให้คนเมืองเช่นผมนอนไม่ค่อยจะหลับ ทว่าอย่างไรเสียผมก็เป็นเพียงคนเดียวที่ได้นอนจนเต็มอิ่ม ผมเงยหน้าขึ้นไปมองหาหนิงที่อยู่ไม่ห่างกันนัก เธอกำลังหลับอยู่บนกิ่งไม้ เธอเองก็ได้สิทธิ์ไม่ต้องเฝ้ายามเช่นเดียวกับผม แต่เดี๋ยวนะ ผมกำลังถูกจัดให้เป็นระดับสตรี ?
ความรู้สึกที่ถูกปฎิบัตินั้นพาให้ผมหงุดหงิด แต่ผมก็ไม่สามารถโต้เถียงอะไรได้ นายอ้วนกับพานจื่อปฎิเสธจะให้ผมเฝ้ายาม ขนาดนายอ้วนที่เห็นแต่ได้ยังเป็นแบบนี้ ผมปีนลงจากที่นอนของผมอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้นายอ้วนกับพานจื่อตื่น พวกเขาเพิ่งจะเสร็จสิ้นการเฝ้ายาม ตอนนี้คนที่เฝ้ายามเป็นคนที่ผมไม่จำเป็นต้องสน หรืออดทนความรู้สึกต่อหน้าเขาต่อให้ผมอยู่ๆตะโกนขึ้นมาว่า “ผมยังเป็นลูกผู้ชายอกสามศอกอยู่นะ” เชื่อได้ว่า ร้อยทั้งร้อย นายเมินโหยวผิง ก็คง เมิน เสียงนั้นไปราวกับว่ามันคือลมผ่านหู
สมชื่อ นายหน้ามึน จอมเมิน เรือพ่วงท้ายแสนน่าเบื่อ
เขาเป็นคนที่ผมเจอแล้วต้องเบ้ปากทุกครั้ง ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบเขา อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนที่ช่วยชีวิตจนผมไม่อาจจะชดใช้ให้ได้
ผมนอนไม่หลับจึงปีนลงมาข้างล่าง เห็นนายเรือพ่วงแสนน่าเบื่อเมินโหยงผิงใช้มีดจิ้มไปยังคราบงูที่เลื้อยพันตามต้นไม้
ตราบใดที่มีเขาอยู่ผมจะปลอดภัย ไม่รู้ว่าความคิดนี้ผุดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร ผมเดินลากขาจนมาถึงหน้าของเขา แน่นอนว่าหมอนี่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ราวกับทั้งโลกนี้มีเพียงเขาคนเดียว เขาเสมือนตัวตนที่ไม่มีส่วนใดยึดเหนี่ยวกับโลกใบนี้ หากจะหายหรือสลายตัวไปก็ราวกับไม่มีคนรู้
ผมถอนหายใจยามที่มองเสี้ยวหน้าหล่อเหลานั้น ความจริงเขาเป็นคนหน้าตาดีแต่เพราะนิสัยแบบนี้ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
“นอนไม่หลับ”
คำถามแผ่วเบาดังขึ้น ผมถึงกับอ้าปากค้าง พระเจ้าช่วยกล้วยทอดไม่สุก นายเมินโหยงผิง ที่สมชื่อว่า “เมิน” ทุกสรรพสิ่งรอบข้าง พูดกับผม
“อืม ฉันนอนจนพอแล้ว นายก็รู้ ฉันสลบไปตั้งเท่าไรแถมยังให้สิทธิ์นอนขนาดนี้เดี๋ยวก็เป็นแบบนายอ้วนพอดี” ผมหัวเราะ ก่อนที่จะมองเขา พบว่าเขาไม่ได้มองไปยังซากงูอีกแล้ว นัยน์ตาที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าคิดอะไรอยู่นั้นเงยหน้าขึ้นมองยังท้องฟ้า ผมเงยขึ้นตาม ท่ามกลางป่าดงดิบที่ไร้ตึกรามที่บดบัง ไม่มีควันพิษของท่อไอเสียรถยนต์ เป็นครั้งแรกที่ผมเหยียดยิ้มท่ามกลางความอันตราย ต้นไม้รอบด้านราวกับเป็นเครื่องประดับให้แก่ท้องฟ้าผู้ประดับด้วยหมื่นเพชร
ตรงกลางของผืนฟ้าสีนิลคือไข่มุกสีเหลืองนวลแสนล้ำค่า ผมเป็นคนประเมินวัตถุโบราณยังอดคิดไม่ได้ว่า ถึงแม้ว่ามนุษย์เราจะพยายามสร้างสรรค์ของให้แสงสว่างแก่โลกมากสักเท่าไรก็ไม่อาจเอื้อมถึงแสงสว่างที่แท้จริง ความงดงามตามธรรมชาติ คือที่สุดของศิลปะ มันอยู่มาช้านานก่อนที่โลกจะก่อกำเนิด งดงามจากภายใน ไม่ต้องเติมแต่งหรือเจียระไนแม้แต่นิดเดียว
ผมหันไปมองชายหนุ่มผู้นั่งมองดวงดาว ใบหน้าด้านข้างที่ถูกย้อมด้วยแสงของดวงดาวนั้นดูดีราวกับรูปสลัก โดยไม่รู้ตัวผมก็เผลอยิ้มออกมา เป็นจังหวะเดียวกับที่นัยน์ตาที่สงบนิ่งหันมามอง
เราประสานสายตากันอยู่ร่วมนาที นัยน์ตาสีดำขลับที่ราบเรียบนั้นสะท้อนภาพร่างของผม มันทำให้ผมต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าไปจากเขา
เป็นไรไป อู๋เสีย นายนี่ก็แค่มองนกมองไม้ มองอะไรก็ตาม แต่ผมรู้ดีว่า ถึงแม้เขาจะมองผมเขาก็ไม่เคยมองยังตัวตนของผมจริงๆ
ทุกครั้งสายตานั้นจะมองผ่านทุกคน ไปยังจุดใจกลางปริศนาที่เขาต้องการ เขาไล่ตามยังทุกสิ่งทุกอย่างที่จะนำพาความจริงมาหาเขาได้
“มีอะไร?” เมื่อกี้ผมใจลอยไปหน่อยพอหันกลับมาเขาก็ยังคงมองผมอยู่ ผมรีบตะปบใบหน้าตัวเอง เวลาที่เมินโหยวผิงทำอะไรสักอย่างมักหมายถึงอันตราย หรือว่าหน้าของผมมีตัวอะไรเกาะอยู่ พอลูบไปผมก็พบเข้ากับใบหน้าเกลี้ยงเกลาของตัวเอง
“มีอะไร นายพูดมา ฉันรับได้” หรือว่าผมจะโดนกาฝากอะไรเข้าไปสิงบนใบหน้า ตอนนี้หน้าของผมมันคงแย่มากจนนายเมินโหยวผิงขมวดคิ้ว มือใหญ่ของเขาแตะลงบนใบหน้าของผมลูบไล้บนพวงแก้ม นิ้วเรียวยาวที่เคยคีบไส้ของด้วงศพเกลี่ยลงบนผิวของผมอย่างอ่อนโยน
ราวกับเวลารอบตัวเราถูกหยุดลง ท่ามกลางผืนฟ้าที่ประดับไปด้วยดารา เรานั่งชิดใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน หน้าอกแข็งแกร่งของเมินโหยงผิงกระเพื่อมบ่งบอกถึงความเป็นมนุษย์ของเขา ร่างที่อบอวลไปด้วยกลิ่นสมุนไพรจนมึนหัวเข้ามาชิดใกล้ จมูกของผมได้กลิ่นที่ซุกซ่อนอยู่ใต้สมุนไพรของเขา มันคือกลิ่นของศพคนตาย
แม้จะรู้ถึงกลิ่นนั้นแต่ใบหน้าที่ราวกับประติมากรรมตรงหน้าตรึงผมให้หยุดอยู่กับที่ นิ้วของเขาเกลี่ยไล้พวงแก้มของผมอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาที่ไม่รู้คิดอะไรมองตรงมาที่ผม กลับเป็นผมเองที่ก้มหลบเขาอีกรอบ วินานี้ผมรู้สึกว่าตัวเองขยับตัวไม่ได้
ไม่ใช่ว่าไม่อยากขยับ เพียงแต่เสียงในใจกำลังเต้นราวกับไปวิ่งมาธาราธอน ร่างกายของผมเกร็ง ราวกับไม่ใช่ร่างกายของเอง
ราวกับต้องมนต์สะกด....
ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เมินโหยงผิงดึงมือออกจากพวงแก้มผม ใช้สองมือกอดรัดผม ก่อนที่จะซุกศีรษะลงกับอกของผม หูของเขาแนบกับหน้าอกราบเรียบของผม ฟังเสียงหัวใจที่กำลังจะระเบิดออกมาจากตัวของผม
“นาย” ผมพูดไม่ออก เมินโหยงผิงที่ไม่สนอะไรในโลกใบนี้กำลังซุกอยู่กับหน้าอกของผม มือของเขารวบรอบเอวผมไว้อย่างหลวมๆ ผมรู้ดีว่าคนอย่างเขาแค่ออกแรงนิดเดียวผมก็ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้ ผมนั่งนิ่งปล่อยให้ศรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นไหมสีดำแนบลงมา
“อุ่น”
ผมสะท้อนใจกับคำพูดของเขา ใบหน้าหล่อเหลานั้นซุกไซร้ลงกับอกของผม ราวกับโหยหา เมินโหยวผิงนายไม่ได้สัมผัสกับคนเป็นมานานเท่าใดกัน ผมจับมือของเขา มันเย็น เย็นราวกับซากศพ มันทำให้ผมเกือบร้องไห้เมื่อมองมือแข็งแกร่งที่สามารถหักคอคนได้
“อุ่นใช่ไหมล่ะ” ผมเอื้อมมือไปกอดรัดศีรษะของเขาไว้ โอบรัดยังตัวตนของชายหนุ่มที่แท้จริงแก่กว่าผมมากนัก “นี่คืออุณหภูมิของมนุษย์ นายเองก็มี”
ผมเลื่อนมือสอดเข้ากับนิ้วทั้งห้าของเขา เขามือใหญ่กว่าผม มันทั้งหยาบทั้งกร้าน มือของคุณปู่ผมเองก็เป็นเช่นนี้ มันคือมือของคนคว่ำกรวยมาทั้งชีวิต
“ดูสิ มือของนายอุ่นแล้ว” นายคนนี้ตามหาความทรงจำของตัวเอง ร่างกายของเขาผิดแผกกว่าคนธรรมดาทั่วไป ถึงแม้เขาจะแกร่งเกินคนแต่เขาก็ยังเป็นมนุษย์
เขาบีบมือของผมที่สอดประสานราวกับจะย้ำเตือนถึงอุณหภูมิ ร่างกายของเขาเย็นมาก เย็นราวกับไม่ใช่คน แต่เพราะผมกอดเขาเอาไว้ ถ่ายทอดความบอุ่นให้ทีละเล็กทีละน้อย เพียงไม่นาน ร่างกายที่ราวกับน้ำแข็งก็พลันอบอุ่นเขา ผมประคองใบหน้าของเขาขึ้นมาเป็นฝ่ายลงไปซบแผงอกแน่นแกร่ง ผมลูบมันก่อนที่จะยิ้มให้เขา
“นายอุ่นเหมือนกันนะ”
ความอบอุ่นของมนุษย์ ผมรู้ว่าหัวใจของเขาต้องยังคงอบอุ่น
“อืม” เสียงตอบรับของเขาพร้อมกับแขนแกร่งที่รัดตัวผมให้แนบไปกับแผงอกแน่นของเขา ให้ตาย นายเมินโหยงผิงนี่ต้องไปเล่นกล้ามมาแน่ ขนาดผมแอบฟิตร่างกายเตรียมความพร้อมคว่ำกรวยมาจนภูมิใจกับรูปร่างของตนเองยังไม่อาจทัดเทียมกับเขา ว่าแล้วผมก็หัวเราะ
เทียบอะไรไม่เทียบ เทียบกับตานี่ ให้ผมไปเทียบกับนายอ้วนยังดีเสียกว่า
“เอ๋” ช่วงเวลาที่ผมคิดอะไรไร้สาระอ้อมกอดใหญ่ที่ตวัดรอบร่างกายก็หายไปแล้ว พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เห็นเรือนร่างของเมินโหยงผิง นายเรือพ่วงน่าเบื่อ กำลังมองผมอย่างเงียบงัน ผมเกาแก้มตัวเอง ก่อนที่จะเอียงคอเมื่อเห็นเขายื่นมือมา
ผมหัวเราะก่อนที่จะวางมือลงบนมือนั้น ร่างของผมถูกเขาฉุดให้ยืนขึ้นไม่ยากนัก เมื่อลุกขึ้นพวกเราก็กำลังยืนข้างกันมองดูดวงดาวผืนเดียวกัน พอคิดได้ว่าผมกับเขาอยู่กันตามลำพังแถมยังก่ายกอดไปชั่วครู่ความร้อนก็แผดเผาใบหน้าของผม
ตอนที่กอดอาหนิงผมยังใจเต้นไม่เท่ากอดนายเมินโหยงผิง ..หรือเพราะตอนนั้นผมเหนื่อยเกินไปกว่าจะคิดอะไรเช่นนี้ การมีสาวงามในอ้อมกอดไม่ตื่นเต้นเร้าใจเท่ากับมีชายงามในอ้อมกอดเชียวหรืออู๋เสีย นายเป็นบ้าอะไรไป
ผมหยิกแก้มตัวเองเรียกสติหนึ่งทีก่อนที่จะหันไปยิ้มแห้งให้เขา ดวงตาของนายเมินโหยงผิงยังคงอยู่บนเรือนร่างของผม จะมาไม้ไหนอีกละ ผมเผลอถอยหลังโดยอัตโนมัติ พอผมทำแบบนั้นผมกลับรู้สึกเสียใจตัวเองเพราะอีกไม่กี่นาทีเขาก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่คล้ายกับพร่ามัวไปด้วยเสียงร่ำไห้
“นายไม่ควรมาที่นี่”
ผมขมวดคิ้วใส่เขา อะไรกันถึงผมจะรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ดันไปโมโหกับคำพูดของเขาจนมาถึงนี่ แต่ตอนนี้คนก็มาแล้วยังจะพูดอะไรอีก
“นายมีเวลาชั่วชีวิต แต่ฉันไม่ได้มีเวลาเท่านาย”
เขามักพูดอะไรที่ผมคิดไม่ออกอยู่เสมอ ผมคิดไปคิดมาคิดจนปวดสมอง จึงเดินเข้าไปหมายจะเขย่าคอไอ้นายเมิน แสนมึนนี่สักหน่อยให้เขาคายความลับออกมาสักสองสามเอะ แต่เพียงแค่ผมยกมือกลับถูกเขาจับเอาไว้ ข้อมือของผมถูกรวบไป ไม่ถึงชั่ววินาทีผมก็ถูกเขาล็อกเอาไว้จากด้านหลัง
ให้ตายเถอะอู๋เสีย มันเวลาเพียงแค่กระพริบตา แค่นี้นายก็ดิ้นไม่ได้แล้วจะไปเขย่าตัวเขาเพื่อสอบถาม แทบจะเป็นไปไม่ได้
ผมกัดฟัน แรงที่รวบตัวผมไม่ได้ออกแรงมาก ผมจึงไม่เจ็บมากนักแต่นั่นก็ทำให้ผมไม่สามารถขยับตัวได้ ลมหายใจอุ่นๆของเขาหายใจรดต้นคอของผม แผงอกแน่นตึงของเขาปะทะเข้ากับหลังของผม เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงหัวใจของเขา
“ไอ้บ้าเอ๊ย” ผมแหกปากใส่เขาเพียงพริบตาก็ถูกเขาปิดปาก เมินโหยงผิงใช้มือข้างเดียวรวบข้อมือทั้งสองของผม อีกข้างปิดปากผมแน่นราวกับไม่ต้องการให้ผมไปทำลายนิทรารมณ์ของใครสักคน ไม่ก็เรียกงูให้ตื่นตัว
“อย่าส่งเสียง” เขากระซิบข้างหูของผม ลมหายใจหนักๆพ่นลงใบหูของผมพาให้ผมรู้สึกจั๊กจี้ หนอย นายมายั่วโมโหแล้วไม่ให้พูดนี่โคตรจะเอาแต่ใจตัวเอง
ผมถลึงตาใส่เขา ดูเหมือนนายเมินโหยวผิงจะรับรู้ถึงความแค้นของผม เขาจึงกระซิบข้างหูผมอีกรอบ
“นายไม่สมควรเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ ถอนตัวไปซะ นายยังมีชีวิตข้างหน้าให้ก้าวต่อไป แต่อาสามของนายและฉันไม่มีอีกแล้ว”
ผมดิ้นสุดตัวแต่ก็ไม่อาจจะหลุดจากกำมือของเขาไปได้ หนอย ไอ้บ้า นึกว่าอยากจะพูดอะไรฝ่ายเดียวก็ได้หรอ
“ฉันไม่มีทั้งอดีตและอนาคตแตกต่างจากนาย ราวกับไม่อยู่บนโลกแต่แรก ฉันเกิดจากความไม่มีอะไร ยามที่สูญสลายไปอาจไม่มีแม้แต่คนรับรู้ ฉันเหมือนสิ่งแปลกปลอมที่โลกใบนี้ไม่ยอมรับ แตกต่างกับนาย คนอย่างฉันจะตายเมื่อไรก็ได้ แต่นายไมได้”
กับผีมึงน่ะสิ! ผมดิ้นอยู่ในมือของเขาแต่เมินโหยวผิงแรงเยอะขนาดหักคองูเหลือมยักษ์มาแล้ว อย่างผมมีหรือจะคณามือของเขา
ผมอยากจะร้องไห้ ไอ้บ้าเอ๊ย สักแต่พูดฝ่ายเดียว ถามคนอื่นบ้างไหม
“อู๋เสีย ทางข้างหน้านายไม่ควรลงไปต่อ”
คำพูดของเขาคืออยากให้ผมรอ รอพวกเขา ...ไม่เอานะ ความรู้สึกที่ต้องรอมันน่ากลัวกว่าไปตายด้วยกันเสียอีก ผมทวนคำพูดของเขา แล้วก็พลันอยากร้องไห้
เมินโหยวผิง นายไม่เห็นชีวิตของตนเองสำคัญ
ดูเหมือนตั้งแต่เขาได้ความทรงจำกลับคืนมาบางส่วนที่สุสานใต้ทะเล เขาก็รีบร้อน รีบร้อนจนทำผิดพลาดไปหมด ผมสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดจากเขา
ทำไมนายต้องรีบขนาดนี้...
ริมฝีปากผมไม่อาจพูดได้ ได้แต่ตกเป็นจำเลยให้เขาพูดอยู่ฝ่ายเดียว
“นายเป็นคนดี “ ศีรษะของเขาซบอยู่กับไหล่ของผม สัมผัสได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดคอ มันร้อนจนอยากจะร้องไห้ “เป็นคนแรกที่อบอุ่นถึงขนาดนี้ เป็นคนแรกที่บอกกับฉันว่า หากฉันหายไปนายจะรับรู้”
คนที่โลกปฎิเสธอย่างเขากลับได้รับการตอบรับจากผม ตอนแรกผมไม่คิดว่าเขาจะจดจำมันไว้ในใจด้วยซ้ำ แรงที่จับผมคลายลงแล้ว ผมดิ้นสุดตัวผละออกมาจากเขา ประจันหน้ากับเขา แสงจันทร์ที่สาดส่องบนใบหน้านั้นคือรอยยิ้มแสนเศร้า เขาพยายามยิ้มให้กับผม แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมน้ำตาซึม
“นาย” ผมอ้าปากไอ้เพียงแค่ครึ่งประโยคแรงประทะหนักก็กระแทกเข้าที่ท้องน้อย สติพร่ามัว ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือมือแข็งแกร่งที่รองรับร่างของผม และริมฝีปากหนาที่แตะเข้าที่หน้าผากของผมอย่างแผ่วเบา...
รอยจูบประทับอย่างเชื่องช้า แต่ทว่าเนิ่นนาน..
................................................................................
“นายน้อย นายน้อย ตื่นได้แล้ว” ท่ามกลางสติที่รางเลือนเสียงของพานจื่อดังชัด ผมรับรู้ถึงแรงของคนที่เขย่าตัว ในหัวตีกันจนเสียงดัง ผมลุกขึ้นมาลืมตาพบว่าที่นี่คือที่นอนของผม ผมสะดุ้งในยามที่เรื่องราวก่อนที่จะสลบฉายเข้ามาในศีรษะ เมื่อคืนนี้ผมคุยกับนายเมินโหยวผิง
พอคิดถึงผี ผีก็โผล่ขึ้นตรงหน้า เมื่อผมหันไปทางซ้ายผมก็เกือบสะดุ้งหล่นจากกิ่งไม้ นายเมินโหยวผิงพิงอยู่บนกิ่งไม้เดียวกับผม นัยน์ตาลึกลับนั้นปิดสนิท
ผมห้ามตัวเองไม่ให้วิ่งไปเขย่าเขาแบบเมื่อคืน เพราะมันจะต้องเป็นจุบจบแบบเดิม ในเวลาที่ผมกำลังมึนงงนายอ้วนก็แซวขึ้น
“นอนหลับสบายดีไหมนายน้อย นายมันคนเมืองสบายตัวจนเคยตัว เอาอย่างน้องเสี่ยวเกอของเราสิ นอกจากจะเป็นเวรยามให้แล้วเขาจะล่าเอาหลักฐานมาได้เพียบ นายอ้วนหยิบเอาซากงูและแมลงขึ้นมา มันทำให้ผมรู้สึกมึน เมื่อวานเจ้านี่กำลังคุยกับผมไม่ใช่หรือ
“เมื่อคืน ผมตื่นขึ้นมา” ผมอ้าปากพูดได้ไม่กี่ประโยคอาหนิงก็แตะบ่าของผม
“นายกับฉันอนใกล้กันถ้านายตื่น ด้วยฝีมือของฉันจะไม่รู้เลยหรือ”
“ใช่ คุณหนูอย่างนายขืนเดินเพ่นพ่านคนเดียวก็ตายพอดี เมื่อคืนน้องเสี่ยวเกอก็แอบเถลไถลพอดี ข้างล่างอันตรายจะตาย”
ผมหุบปากตัวเองนวดขมับ เรื่องเมื่อคืนผมฝันไปงั้นหรือ มือของผมแตะใบหน้าของตัวเองหันไปมองเมินโหยวผิงที่นอนพิงกิ่งไม้อยู่เคียงข้าง พอกับที่เขาลืมตาขึ้นมา นัยน์ตาเย็นชาที่ราวกับไม่ได้มองอะไรอยู่ทำให้ผมรู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ
อะไรกัน ... ผมฝันไป ?
“มีอะไรหรือนายน้อย” พานจื่นเห็นผมนิ่งไปจึงเดินเข้ามา
“ฝันอะไรลามกล่ะสิ ไม่ก็ไม่สบายหรือเปล่า” นายอ้วนเดินเข้ามาหาผมอีกคน ยกมือหมายจะแตะที่หน้าผากของผม
เพียะ...
วินาทีที่เสียงนี้ดังขึ้นทุกคนกลับหยุดนิ่ง แม้แต่ผมก็ยังต้องตกตะลึง เมินโหยวผิงที่นอนอยู่อย่างเฉยเมยลุกขึ้นมาปัดมือนายอ้วน เสียงตีมือดังลั่นทั้งป่า แม้มันจะไม่รุนแรงมาก แต่ก็ทำให้หนังมือนายอ้วนแดง..
เฮ้ย!
หน้าผากของผมมีอะไร นายเรือพ่วงแสนน่าเบื่อถึงห้ามนายอ้วนจับ ผมรีบคลำหน้าผากตัวเองราวกับจะหาหนอนแมลงปรสิต แต่มันกลับเป็นเนื้อเรียบเนียน ไม่มีอะไรทั้งนั้น พานจื่อก็ชะโงกมาหา มีแค่นายอ้วนที่ใบ้กินไปชั่วครู่
“เฮ้ น้องเสี่ยวเกอ อยากเล่นตบแปะกับเสี่ยอ้วนก็ไม่บอก หรือว่า เกิดหลงรักไขมันของเสี่ยอ้วน ตื่นยังไม่เต็มตาหรือไง”
นายอ้วนระเบิดอารมณ์ใส่เมินโหยวผิง แต่แน่นอนว่าเมินโหยวผิงนั้นมีความสามารถพิเศษ ที่จะไม่ตอบ ไม่สนใจ และเมินต่อทุกสรรพสิ่งของโลกอยู่แล้ว หากคุณต้องการจะได้คำตอบอะไรจากนายนี่ คุณมีแต่จะอกแตกตายเท่านั้น
ดูเหมือนนายอ้วนที่ร่วมผจญภัยกันมาระยะหนึ่งเองก็ยังจดจำคุณสมบัตินี้ของคนตรงนี้ได้ นายอ้วนสบถโครตตระกูลเมินโหยวผิงสองสามทีแล้วเลิกลาไปเอง
ผมแตะหน้าผากตัวเองมันไม่มีอะไร พานจื่นมาดูก็ไม่เห็นมีอะไรเช่นกัน ทุกคนเลยปลงตกว่าเสี่ยวเกอคงจะละเมอ ...
ทุกคนเก็บของเตรียมออกเดินทาง ผมยิ้มเจื่อนเมื่อนายอ้วนกับพานจื่อแบ่งสัมภาระในเป้ของผมไปแบกให้ ผมลุกขึ้นเมื่อจัดกระเป๋าเสร็จแล้วพลันสายตาสบเข้ากับนายเมินโหยวผิงเข้าพอดี เขากำลังมองผมอยู่จากมุมด้านขวา ร่างของนักคว่ำกรวยยืนผิงต้นไม้ นัยน์ตาคู่นั้นไม่สะท้อนสิ่งใด ราวกับไม่ได้มองผมอยู่
ผมสะดุ้งเมื่อนึกถึงในความฝัน แตะยังหน้าผากตัวเอง ...ท่ามกลางความฝันนั้นจุดนี้คือจุดที่เขาจูบผม...
หรือว่า... หรือว่า...
อกของผมเต้นสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่...มันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อเกินไป ผมอ้าปากหมายจะถามเขาแต่ร่างของเมินโหยวผิงกลับเดินไปด้านหน้าคณะ เขาคือผู้นำกลุ่ม พานจื่อคอยรั้งท้าย
“นายน้อยเป็นอะไรไป” มือของพานจื่อวางบนบ่าของผม ผมส่ายหน้าสะบัดความหวั่นไหวที่เป็นระลอกคลื่นในอกไป กัดฟันเก็บความสงสัยเพราะทางข้างหน้ามีอันตรายจึงไม่เหลือที่ให้ผมคิดมากกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ผมจ้องนายเมินโหยวผิงที่เดินนำหน้า ....หมายมาดในใจว่าจบงานนี้เมื่อไรจะจับมาต่อย เขย่ารีดเร้นคำพูดสักที
ไอ้บ้า นึกอยากพูดอะไรก็พูด ไม่ให้ชาวบ้านชาวช่องเขาพูดตอบสนทนาอีกต่างหาก พ่อแม่สอนนายมายังไง ถึงนายจะความจำเสื่อมแต่ไม่น่าจะนิสัยแย่ลงได้ขนาดนี้
ที่สำคัญ ...บ้าที่สุด นึกอยากจะจูบใครก็จูบงั้นหรือ
คนบ้า....
ผมแตะยังหน้าผากตัวเอง รับรู้ได้ถึงความร้อนที่แผ่ลามไปทั่วร่างกายบางทีมันอาจจะเป็นความร้อนที่มาจากอากาศของป่าดงดิบก็ได้
“เมินโหยวผิง” ผมเดินนำหน้าแซงเดินตามเขาข้างหลัง แม้จะเป็นเสียงกระซิบแต่ผมเชื่อว่าคนหูดีอย่างหมอนี่ต้องได้ยิน “จบเรื่องนี้นายต้องมากับฉัน”
“หือ?” เมินโหยวผิงเลิกคิ้ว แม้เขาจะไม่ได้หันกลับมา แต่ผมได้ยินเสียงของเขาชัดเจน
“จบเรื่องแล้วคุยกับฉัน” ผมยังยืนยันคำเดิม เขานิ่งไปนานมากจนผมนึกว่าเขาไม่สนใจคำพูดของผมแล้ว ก่อนที่เสี้ยวหน้าหล่อเหลานั้นจะหันกลับมา
“ถ้ายังอยู่”
เขาตอบแค่นั้นแล้วก็เป็นฝ่ายนำไปข้างหน้า เขาเดินเร็วจนผมแทบจะตามไม่ทัน สุดท้ายก็โดนพานจื่อกับนายอ้วนดันให้อยู่ตรงกลาง ราวกับถูกปกป้องอีกครั้ง
ถ้ายังอยู่หมายความว่ายังไง นายจะหายไปอีกแล้วใช่ไหม เมินโหยวผิง คอยดูนะ ฉันจะไม่ให้นายหายไปได้อีก !
คอยดูนะ จบเรื่องนี้ฉันเอาเรื่องนายแน่ ....
ตอนนั้นผมไม่ได้รับรู้เลยว่า จะไม่มีวันได้เอาเรื่องเมินโหยวผิงคนเดิมอีกต่อไป
TBC
kuramajoy- ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
- จำนวนข้อความ : 206
Points : 3770
Join date : 27/10/2014
Re: [fic]บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน 1 [ผิงเสีย]
นายน้อยผู้ใสซื่อ.........................
ช่างใสซื่อเหลือเกิน........ พ่อเทียนเจินของเจ่เจ๊!
มาๆๆๆๆ ขอกอดที่นุง อุฮิ!
ช่างใสซื่อเหลือเกิน........ พ่อเทียนเจินของเจ่เจ๊!
มาๆๆๆๆ ขอกอดที่นุง อุฮิ!
faliona01- ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
- จำนวนข้อความ : 261
Points : 3746
Join date : 02/11/2014
ที่อยู่ : เตียงหยกเย็นในถ้ำสุสานโบราณ
Re: [fic]บันทึกรักนายน้อยแสนซื่อ กับนายเมินแสนมึน 1 [ผิงเสีย]
แอบสงสารเสี่ยอ้วน ไม่ได้รู้เรื่องอะไรก็โดนฟาดซะงั้น ถถถ นายน้อยบอกกอดสาวไม่รู้สึกดีเท่ากอดเสี่ยวเกอ ระวังจบงานนี้แล้วจะหาเจ้าสาวไม่ได้ถาวร(เพราะได้สามีมาแทน)
SilverCloud- ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
- จำนวนข้อความ : 433
Points : 3939
Join date : 27/10/2014
ที่อยู่ : ตู้เสื้อผ้าของอารอง
Similar topics
» [OS] #dmbjdaily '520' (ผิงเสีย :: เหม่งจาง,ผิงเสีย)
» [OS] จากนี้ชั่วนิรันดร์ [ผิงเสีย]
» [OS] ความเหมือนในความต่าง[ผิงเสีย]
» [OS] All alone with you [ผิงเสีย]
» [OS-AU] วิธีสยบเด็กฉบับเฮยเสียจื่อ #ผิงเสีย + เฮย
» [OS] จากนี้ชั่วนิรันดร์ [ผิงเสีย]
» [OS] ความเหมือนในความต่าง[ผิงเสีย]
» [OS] All alone with you [ผิงเสีย]
» [OS-AU] วิธีสยบเด็กฉบับเฮยเสียจื่อ #ผิงเสีย + เฮย
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|
Fri 24 Jul 2020, 01:39 by gustoon
» [คู่มือด้วง] Keyword จีนสำหรับการขุด(แฟนดอม)สุสาน
Thu 21 Jun 2018, 00:29 by miskizfullmoon
» มังฮวาและภาคทิเบต
Thu 21 Jun 2018, 00:23 by miskizfullmoon
» [OS] Father is the best (ผิงเสีย)
Thu 03 Aug 2017, 16:12 by schneewittchen
» [Fic] สิ่งเล็กๆที่เชื่อมโลก5 [เมินโหยวผิง+อู่เสีย+เสี่ยอ้วน]+OC
Tue 01 Aug 2017, 12:30 by natsume
» [OS] #dmbjdaily (จูปาจุ๊บ) Bittersweet [ผิงเสีย AU]
Thu 06 Apr 2017, 15:58 by Zeth
» [OS] #dmbjdaily "โทรศัพท์มือถือ" - no Pairing [All]
Tue 04 Apr 2017, 22:27 by Zeth
» [OS] #DMBJDaily (แว่น): ระยะที่มองไม่เห็น [ฮัวเสีย]
Sat 01 Apr 2017, 16:55 by Zeth
» [OS] #DMBJdaily (5.20) ท่านยอดฝีมือ [หวังเหมิง (+เหมิงเสีย)(+ผิงเสีย)]
Thu 30 Mar 2017, 17:24 by Zeth