Countdown
We've been
togerther for
ค้นหา
Latest topics
Most active topics
[Fic] Till We Meet Again [เสียผิง] - Chapter 01
+4
meanato
Lin_ChaCHa
lvlelody
hiyuura
8 posters
หน้า 1 จาก 1
[Fic] Till We Meet Again [เสียผิง] - Chapter 01
Title: Till We Meet Again
Pairing: เสียผิง
Rating: PG-13
Warning: BL, มีสปอยเล่ม 10 นะคะ
Setting: กำหนดทามไลน์ให้เรื่องนี้เกิดขึ้น 1 ปีก่อนภาคทิเบตค่ะ
...
Till We Meet Again
Chapter 01
ผมไม่เคยเชื่อว่าความคิดถึงจะฆ่าคนได้
สมัยก่อนผมชอบไปนั่งเล่นในห้องหนังสือของอารอง เวลาพวกผู้ใหญ่คุยกันมือก็มักจะซนหยิบนั่นโน่นนี่มาอ่านตามประสาเด็กอยากรู้อยากเห็น บางเล่มที่หยิบมาทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าไม่เข้ากับนิสัยของอารอง แต่เวลาสอนให้ผมเข้าใจว่าเราไม่สามารถตัดสินคนจากมุมมองเพียงมุมมองเดียวได้เสมอ เรื่องของอาสามทำให้ผมจำบทเรียนนี้ไว้ไม่มีวันลืมทีเดียว ตอนไหนบ้างที่คนที่ผมเจอคืออาสาม ตอนไหนบ้างที่คนที่คุยกับผมคือเซี่ยเหลียนหวน ผมแทบไม่อยากคิด เอาเป็นว่าตอนนี้ ผมจะขอพูดถึงแต่เรื่องหนังสือที่ผมได้เปิดอ่านในห้องของอารอง
หนังสือหลายเล่มเป็นนิยายรักอมตะประเภทที่เด็กในวัยผมตอนนั้นไม่ควรอ่าน หรืออาจจะพูดได้ว่าถึงอ่านไปก็ไม่ค่อยจะเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งในตัวหนังสือ ผมจำได้เลาๆถึงความประหลาดใจของตัวเองตอนที่ตัวเอกในเรื่องคิดถึงนางอันเป็นที่รักจะเป็นจะตาย คำบรรยายพรรณนาสารพัดถึงความเจ็บปวด ความโศกเศร้า ทุกข์ระทม ตอนที่คุณปู่จากไป ผมเองก็เศร้า คิดถึงคุณปู่ อย่าหาว่าผมเป็นไอ้หลานอกตัญญูอย่างนั้นอย่างนี้เลย แต่ระดับความเสียใจของผมเทียบกับเนื้อหาที่ผมได้เคยอ่านในหนังสือของอารอง มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นไอ้หลานชั่วเสียใจไม่พอกับพระคุณอันล้นพ้นของญาติผู้ใหญ่ เป็นหลานผู้เย็นชาไร้น้ำใจสิ้นดี
ผมไม่เคยเชื่อว่าความคิดถึงจะฆ่าคนได้
เพราะตอนที่เราเสียใจ คิดถึงเราเจ็บปวด แต่มนุษย์เราอาจจะมีกลไกบางอย่างที่ช่วยรักษาตัวเอง พอเวลาผ่านไป ความเจ็บปวดก็บรรเทาลง จนสุดท้ายเราก็มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เหมือนสำนวนฝรั่งที่เขาพูดว่า life goes on จากเหตุการณ์หลายอย่างที่ผมได้เผชิญมานับตั้งแต่ลงกรวยครั้งแรกที่ตำหนักหลู่ซังหวัง ตัวผมเองเปลี่ยนไปมาก ผมนิ่งเฉยกับหลายๆสิ่ง ไม่คิดจะวิ่งไล่ตามหาคำตอบที่สุดท้ายแล้วมันอาจจะเป็นการดีกว่าที่ทิ้งให้เรื่องราวมันจบลงเงียบๆ แต่…เว้นเสียแต่ความตายของคนใกล้ชิดบางคน ผมเองก็ไม่นึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปเหมือนกัน
ชื่อของพานจื่อเป็นชื่อต้นๆที่ทำให้ผมรู้สึกผิด ทุกปีผมกับนายอ้วนจะไปเยี่ยมที่หลุมศพที่ไร้ร่างของเขา เอาเหล้ากับบุหรี่ที่เขาชอบไปเซ่น พานจื่อไม่มีเมียไม่มีญาติดังนั้นผมกับนายอ้วนจึงจ้างคนคอยดูแลสุสาน ปัดกวาดทำความสะอาดให้มิได้ขาด บางทีถ้าอาสามอยู่ข้างล่างนั่น จะได้ไม่มาว่าผมได้ว่านอกจากบีบน้ำตาไม่พอแล้วยังเป็นไอ้คนเณรคุณ
ยังมีอีกคนหนึ่งที่ผมเคยไปเคารพที่ที่เขาจากไปทุกปี สี่ปีแล้วที่คนที่เหมือนไม่มีความเชื่อมต่อกับโลกใบนี้คนนั้นหายเข้าไปหลังประตูสำริดที่ใต้ภูเขาฉางไป๋ซาน ผมพูดว่าเคย เพราะปีนี้เป็นปีแรกที่ผมไม่ได้กลับไปที่นั่น สี่ปีก่อน ตอนที่เขาบอกผมว่าเขาจะหายตัวไป จางฉี่หลิงบอกผมว่า อีกสิบปีให้หลังนับจากวันนั้น ถ้าผมยังจำเขาได้ ให้นำตราลัญจกรผีกลับไปรอเขาที่หน้าประตูสำริด ผมไม่เคยลืมคำพูดของเขา
สามปี…ผมกลับไปที่นั่นเพียงคนเดียว พยายามตามหาที่ที่ผมแยกกับเขา เฝ้ารอหวังว่าไอ้คนสีหน้าไร้อารมณ์ที่ใจอ่อนกว่าหน้าตาคนนั้นจะเปลี่ยนใจ ผมนอนอยู่ในเต๊นท์โดยไม่หลับตลอดทั้งคืน สายตาเฝ้ามองไปที่ทางเข้า หูคอยเงี่ยฟังเสียที่อาจจะเป็นเสียงฝีเท้าของเขา เพียงแค่คิดว่าก่อนถึงรุ่งเช้าเขาจะกลับมา ไอ้คนชอบหายตัวไปคนนั้น เมินโหยวผิง จางฉี่หลิง…แค่คิดว่าเขาอาจจะกลับมา ถามผมด้วยสีหน้านิ่งเฉยเหมือนไม่ทุกข์ไม่ร้อนว่า ‘อู๋เสีย นายมาทำอะไรที่นี่’ หัวใจผมก็พองโตอย่างประหลาด
ผมไปรอพบเขาด้วยความหวังลมๆแล้งๆอยู่สามปี แต่ไม่เคยมีแม้แต่เงาของหมอนั่น จะมีก็แต่เสียงกระซิบของลมหนาวแห่งฉางไป๋ซานที่พัดผ่านดินแดนสีขาวโพลนยาวสุดลูกหูลูกตา สีขาวที่แทบไม่มีสีอื่นแซมคอยเตือนสติผม บอกผมว่าคนอย่างจางฉี่หลิงถ้าไม่มีเหตุสุดวิสัย เขาพูดว่าควรจะมาหรือจะไปเวลาไหนย่อมเป็นไปตามนั้น ผมไม่อาจจินตนาการได้ว่าเบื้องหลังประตูสำริดใต้ภูเขาแห่งนี้เป็นสถานที่ยังไง แต่ผมได้แต่เชื่อใจเสี่ยวเกอ เชื่อใจคำที่เขาบอก ถ้าเขาบอกว่าสิบปี ผมก็จะใช้เวลาที่เหลือของสิบปีเตรียมการทุกอย่างเพื่อวันที่เราจะได้พบกัน
ผมเริ่มสานต่อกิจการของอาสาม แม้อารองจะเตือนผมไม่อยากให้ผมแส่ยื่นเท้ากลับไปในที่ที่ไม่ควร แต่เมื่อหลานชายคนเดียวที่เคยหัวอ่อนอย่างผมดื้อดึง สุดท้ายอารองก็ใจอ่อนหันมาช่วยสนับสนุนผมแทน ยังมีนายอ้วน เสี่ยวฮัวที่ช่วยให้ทุกอย่างราบรื่นขึ้น แต่รายละเอียดผมจะขอไม่เล่า
ผมไม่เคยเชื่อว่าความคิดถึงจะฆ่าคนได้
ผมเคยคิดอย่างนั้น แต่เวลาสามปีกว่านับตั้งแต่วันที่ผมจากกับเขา ความรู้สึกหนึ่งมันค่อยๆเติบโตในจิตใจของผม เติบใหญ่ยิ่งกว่ากิ่งก้านของต้นสำริดที่ไม่รู้ว่าปลายสุดทะลุไปถึงไหน ความรู้สึกนี้เป็นเหมือนตัวกระตุ้นให้ผมลุกขึ้นมาทำทุกอย่างที่จำเป็นต้องทำ หน้ากากถ้าสวมนานเกินไปก็จะถอดไม่ออก บางครั้ง ผมก็รู้สึกว่าผมเริ่มจะคล้ายอาสามเข้าไปทุกที จนบางทีเวลาตื่นนอนผมก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองเข้าไปในกระจก สัมผัสใบหน้าของผม บอกตัวเองว่าผมยังเป็นอู๋เสีย แม้ว่าหลายๆอย่างจะเปลี่ยนไป หลายครั้งที่ผมฝันถึงเรื่องช่วงที่ผมได้เปิดหูเปิดตาคว่ำกรวยตักทรายเป็นครั้งแรก และเหตุการณ์หลายเรื่องที่ผมได้บันทึกเอาไว้
น่าแปลก…ที่วันนี้แทนที่จะเป็นความฝันถึงเหตุการณ์พวกนั้น ผมกลับเห็นกองจดหมายจำนวนมาก บางซองสีซีดจางไปแล้ว แต่ลายมือที่จ่าหน้ายังคงเด่นชัด ในกองจดหมายมีแม้แต่ซองที่จ่าหน้าถึงคุณปู่ส่งมาจากท่านย่าฮั่ว ผมเห็นแล้วก็นึกขำ แต่ซองที่สะดุดตาผมที่สุดกลับเป็นซองจดหมายจากเพื่อนรักที่จากไปแล้วของผม “เหลาหย่าง” จนถึงตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะเรียกเขาว่าเหลาหย่างดีรึเปล่า มาถึงวันนี้เขาอาจจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่เรื่องของผมไปแล้วก็ได้ แต่จดหมายที่เขาส่งมายังมีสภาพสมบูรณ์ดี ผมหยิบมันขึ้นมาและเปิดออก มือผมสั่นน้อยๆด้วยกลัวว่าจะต้องเห็นภาพของแม่เขาที่ส่วนใบหน้าให้ความรู้สึกน่าขนลุกอย่างประหลาด หากแต่…
ภาพในซองจดหมายนั่นกลับเป็นรูปของเสี่ยวเกอ ใบหน้าที่คุ้นเคยในรูปนั้นขยับ จ้องตรงมาที่ผม
ผมสะดุ้งตื่นลุกพรวดขึ้น หนังหัวผมชายิบจากสิ่งที่เห็นในความฝัน ไม่ใช่ว่าผมกลัวเสี่ยวเกอหรอกนะ แต่ถ้าคนในรูปภาพอยู่ๆขยับได้ เป็นใครก็ต้องตกใจทั้งนั้น นี่คงไม่ใช่ลางไม่ดีว่าหมอนั่นจะไม่กลับมาอีกแล้วหรอกใช่ไหม ผมใช้หลังมือปาดเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายบนใบหน้า ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะปลอบตัวเองให้สงบลง เมื่อตั้งสติได้ สิ่งแรกที่ผมทำคือตรงไปยังห้องหนังสือเพื่อหาจดหมายฉบับนั้นของเหลาหย่าง ทว่า…เสียงแกรกๆของอะไรบางอย่างกลับทำให้ผมหยุดฝีเท้าลงที่หน้าห้อง
ที่นี่ ตอนนี้เป็นบ้านของนายน้อยสามแห่งสกุลอู๋ เวลาดึกดื่นแบบนี้หากไม่ใช่คนในย่อมไม่มีสิทธิเข้ามาเพ่นพ่าน ความคิดแรกของผมคือหวังเหมิงอาจจะรีบเข้ามาเพราะมีธุระด่วนบางอย่างแต่ไม่กล้าปลุกผม แต่ต่อให้หวังเหมิงรีบแค่ไหน ยังไงก็ควรจะส่งข้อความถึงผมในมือถือก่อน ผมผ่อนลมหายใจ ก่อนจะค่อยๆแง้มประตูอย่างเงียบเชียบ
โคมไฟในห้องเปิดอยู่ แสงไฟสีนวลส่องให้เห็นร่างเงาดำมืดผอมบางร่างหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของผม ความกลัวที่ไม่ได้สัมผัสนานแล่นผ่านกระดูกสันหลังของผม กอบกุมจิตใจของผมแน่นราวกับอ้อมกอดของเพื่อนเก่า หนังหัวผมชาวาบเมื่อเห็นว่าคอของร่างนั้นยาวและบิดเบี้ยวผิดปกติ มือที่เหมือนมีแต่กระดูกของเจ้าสิ่งนั้นกำลังรื้อค้นหาอะไรบางอย่างจากบรรดากล่องจดหมายในห้อง ผมกลืนน้ำลายหนืดลงคอ ในห้องนอนของผมยังมีปืนพกขนาดเล็กสำหรับป้องกันตัวเก็บเอาไว้ แต่ถ้าสิ่งที่ผมเห็นคือสิ่งที่ผมคิดว่าผมเห็น ผมก็ไม่น่าใจว่าแค่ปืนพกของผมจะจัดการมันอยู่หมัด นึกแล้วก็ให้รู้สึกเสียใจอย่างหาที่สุดมิได้ขึ้นมาที่ตัวเองปฏิเสธความหวังดีของนายอ้วน
“AK47 ถูกและดี เสี่ยอ้วนได้มาฟรีๆแบ่งให้นายกระบอกนึงยังทำหยิ่งไม่รับ เดี๋ยววันดีคืนดีมีโจรขึ้นบ้านนายขึ้นมา อย่าหาว่าเสี่ยอ้วนใจดำไม่แบ่งไม่เตือน ทรัพย์หายอย่ามาร้องไห้กระซิกๆกับเสี่ยอ้วนละกัน”
นึกถึงสีหน้าท่าทางนายอ้วนแล้วก็ให้อยากสะอื้นพลางกัดฟันกรอดๆ ทรัพย์ไม่หายแต่หัวจะหายก่อนน่ะสิอีแบบนี้!
อย่าหาว่าผมอ่อนหัดเลย แต่ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของบ้านสกุลอู๋ คว่ำกรวยตักทรายมาก็หลายชั่วคนอยู่ แต่คงไม่เคยมีใครคนไหนดวงซวยเจอผีแม่ย่ามาหาถึงเรือนตัวเองแบบผมแน่ๆ ผมกล้ำกลืนความเจ็บแค้นระคนหวาดหวั่นกลับลงในอก เริ่มนับหนึ่งถึงสิบในใจ เตรียมจะเดินถอยหลังกลับไปเอาปืนพกที่ห้อง แต่นับนับยังไม่ทันถึงสาม ไอ้เงาตะคุ่มในห้องตรงหน้าก็หายไป ผมหน้าซีด รีบหันกลับไป แต่ยังไม่ทันเห็นใบหน้าของเจ้าสิ่งนั้น ความเจ็บปวดก็แล่นปลาบจากท้ายทอยของผม ทุกสิ่งทุกอย่างค่อยๆมืดลง และผมก็หมดสติไป…
…
ผมไม่รู้ว่าตัวเองสลบไปนานเท่าไหร่…ในความมืดมิดผมได้ยินเสียงที่คุ้นหู…เสียงนั้นอยู่ไกลมาก ฟังขาดๆหายๆจนแทบฟังไม่ออกว่าพูดว่าอะไร
“ตัวนายก็มี…ด้วย…ส่งผลกระทบ…รักษาตัว…ตกค้างอยู่…หลายปี…ไม่รู้สึกตัว”
เสียงนั้นพูดวนซ้ำไปซ้ำมา ผมพยายามใช้ความคิด แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก หัวของผมปวดตุบๆโดยเฉพาะจากตรงท้ายทอยที่ถูกทุบ จากนั้น…เสียงอื่นก็ดังมาจากรอบตัวผม มีเสียงตะโกนเป็นภาษาเวียดนาม…น่าจะภาษาเวียดนาม ผมไม่แน่ใจ เสียงนั้นห่างออกไปทุกที ตามมาด้วยเสียงครืดๆที่ชวนขนหัวลุก เสียงโครมครามและอีกหลายเสียงที่ดังขึ้นๆ หมุนวนอยู่รอบตัวผม เร็วขึ้นๆจนราวกับมีคนมาตะโกนอยู่ข้างหู ผมตกใจจะลุกขึ้น แต่หัวกับกระแทกกับของแข็งด้านบนจนเห็นดาว ผมคู้ตัวกลับลงไปด้วยความเจ็บ และพบว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่มืดแคบลักษณะสี่เหลี่ยม จากประสบการณ์ของผมสิ่งที่ควรทำเวลาเจอเรื่องแปลกประหลาดไม่ใช่การตกใจหรือพยายามปลุกตัวเองจากความฝันแต่คือการตั้งสติ ผมใช้มือคลำไปยังพื้นที่รอบๆ กะขนาดของพื้นที่รอบตัวและวิเคราะห์สถานการณ์
ตอนนี้ผมน่าจะอยู่ในโลงศพ ผมถูกทำร้ายในบ้านตัวเอง คงมีคนมาพบผมเข้า คิดว่าผมตายแล้วจึงนำผมใส่โลง ปัญหาก็คือ…ทำไมถึงมีเสียงเอะอะและเสียงตะโกนภาษาเวียดนาม ในสายคีบลามะที่ผมหามาได้อาจจะมีคนต่างชาติปะปนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่พวกที่จะเข้ามาในงานศพของนายน้อยสาม ถ้าเกิดว่าตอนนี้ผมอยู่ในงานศพ…
ผมเลื่อนมือไปตามขอบฝาโลง ตรวจดูว่ายังสามารถออกไปได้ไหม นึกหวังในใจอยู่ลึกๆว่านายอ้วนคงไม่รอบคอบเกินไปขนาดให้ปิดฝาโลงมิดชิดกลัวกรรมที่ทำไว้จะมาสนองผมในภายหลังหรอกนะ เคราะห์ดีที่ผมพบว่ามุมของโลงศพมีรอยแยกเล็กๆอยู่ ใจหนึ่งก็นึกอยากด่าในใจไอ้คนสะเพร่าที่ใช้โลงศพราคาถูกกับลูกชายคนเดียวของสกุลอย่างผม แต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะรีบๆออกไปจากไอ้โลงบ้านี่เหลือเกิน ผมออกแรงดันฝาโลงที่แง้มเอาไว้ออก
ไม่มีงานศพยิ่งใหญ่สมฐานะ ไม่มีใบหน้าของคนที่ผมรู้จัก ไม่มีเสียงร้องไห้คร่ำครวญ…
ไม่มีแม้แต่คนที่มางานศพ
สิ่งแรกที่ต้อนรับผมทันทีที่โผล่พ้นออกมาจากโลงนั่น คือกลิ่นเหม็นคลุ้งพันปีที่ผมรู้จักดีของสุสานใต้ดิน กับศพบ๊ะจ่างไร้หัวนับสิบที่นอนเรียงรายอยู่บนพื้นด้วยท่าบิดเบี้ยวน่าสะอิดสะเอียน แสงของคบไฟชุ่มน้ำมันบอกให้ผมว่ามีคนที่ยังมีชีวิต…หรืออย่างน้อยก็เคยมีชีวิตอยู่ที่นี่ ผมกวาดสายตามองหา แต่ไม่นึกว่าคนที่ผมกำลังหากลับเข้ามาประชิดตัวผมอย่างรวดเร็ว สองนิ้วยาวที่ผิดปกติกดลงที่ต้นคอของผมราวกับจะตรวจจับชีพจร
ถ้าเมื่อครู่ผมเป็นคนใกล้ตายแทบตรวจชีพจรไม่ได้ที่นอนอยู่ในโลง ตอนนี้หมอที่ไหนก็คงก้มหัวขอโทษเรื่องที่ตรวจผิด ชีพจรของผมเต้นเร็วขึ้นมาก เมื่อภาพของคนตรงหน้าเด่นชัดต่อสายตาของผม เขาอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าไม่สวมเสื้อผ้า ผมเผ้ายาวรุงรังไม่เหมือนกับเขาที่ผมเคยรู้จัก แต่ใบหน้าไร้อารมณ์กับรอยสักกิเลนที่ปรากฎบนตัวของเขาบอกให้ผมรู้ว่า…ไม่ผิดตัวแน่
“นายเป็นใคร…”
คนคนนี้คือเสี่ยวเกอของผม
To be continued...
Pairing: เสียผิง
Rating: PG-13
Warning: BL, มีสปอยเล่ม 10 นะคะ
Setting: กำหนดทามไลน์ให้เรื่องนี้เกิดขึ้น 1 ปีก่อนภาคทิเบตค่ะ
...
Till We Meet Again
Chapter 01
ผมไม่เคยเชื่อว่าความคิดถึงจะฆ่าคนได้
สมัยก่อนผมชอบไปนั่งเล่นในห้องหนังสือของอารอง เวลาพวกผู้ใหญ่คุยกันมือก็มักจะซนหยิบนั่นโน่นนี่มาอ่านตามประสาเด็กอยากรู้อยากเห็น บางเล่มที่หยิบมาทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าไม่เข้ากับนิสัยของอารอง แต่เวลาสอนให้ผมเข้าใจว่าเราไม่สามารถตัดสินคนจากมุมมองเพียงมุมมองเดียวได้เสมอ เรื่องของอาสามทำให้ผมจำบทเรียนนี้ไว้ไม่มีวันลืมทีเดียว ตอนไหนบ้างที่คนที่ผมเจอคืออาสาม ตอนไหนบ้างที่คนที่คุยกับผมคือเซี่ยเหลียนหวน ผมแทบไม่อยากคิด เอาเป็นว่าตอนนี้ ผมจะขอพูดถึงแต่เรื่องหนังสือที่ผมได้เปิดอ่านในห้องของอารอง
หนังสือหลายเล่มเป็นนิยายรักอมตะประเภทที่เด็กในวัยผมตอนนั้นไม่ควรอ่าน หรืออาจจะพูดได้ว่าถึงอ่านไปก็ไม่ค่อยจะเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งในตัวหนังสือ ผมจำได้เลาๆถึงความประหลาดใจของตัวเองตอนที่ตัวเอกในเรื่องคิดถึงนางอันเป็นที่รักจะเป็นจะตาย คำบรรยายพรรณนาสารพัดถึงความเจ็บปวด ความโศกเศร้า ทุกข์ระทม ตอนที่คุณปู่จากไป ผมเองก็เศร้า คิดถึงคุณปู่ อย่าหาว่าผมเป็นไอ้หลานอกตัญญูอย่างนั้นอย่างนี้เลย แต่ระดับความเสียใจของผมเทียบกับเนื้อหาที่ผมได้เคยอ่านในหนังสือของอารอง มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นไอ้หลานชั่วเสียใจไม่พอกับพระคุณอันล้นพ้นของญาติผู้ใหญ่ เป็นหลานผู้เย็นชาไร้น้ำใจสิ้นดี
ผมไม่เคยเชื่อว่าความคิดถึงจะฆ่าคนได้
เพราะตอนที่เราเสียใจ คิดถึงเราเจ็บปวด แต่มนุษย์เราอาจจะมีกลไกบางอย่างที่ช่วยรักษาตัวเอง พอเวลาผ่านไป ความเจ็บปวดก็บรรเทาลง จนสุดท้ายเราก็มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เหมือนสำนวนฝรั่งที่เขาพูดว่า life goes on จากเหตุการณ์หลายอย่างที่ผมได้เผชิญมานับตั้งแต่ลงกรวยครั้งแรกที่ตำหนักหลู่ซังหวัง ตัวผมเองเปลี่ยนไปมาก ผมนิ่งเฉยกับหลายๆสิ่ง ไม่คิดจะวิ่งไล่ตามหาคำตอบที่สุดท้ายแล้วมันอาจจะเป็นการดีกว่าที่ทิ้งให้เรื่องราวมันจบลงเงียบๆ แต่…เว้นเสียแต่ความตายของคนใกล้ชิดบางคน ผมเองก็ไม่นึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปเหมือนกัน
ชื่อของพานจื่อเป็นชื่อต้นๆที่ทำให้ผมรู้สึกผิด ทุกปีผมกับนายอ้วนจะไปเยี่ยมที่หลุมศพที่ไร้ร่างของเขา เอาเหล้ากับบุหรี่ที่เขาชอบไปเซ่น พานจื่อไม่มีเมียไม่มีญาติดังนั้นผมกับนายอ้วนจึงจ้างคนคอยดูแลสุสาน ปัดกวาดทำความสะอาดให้มิได้ขาด บางทีถ้าอาสามอยู่ข้างล่างนั่น จะได้ไม่มาว่าผมได้ว่านอกจากบีบน้ำตาไม่พอแล้วยังเป็นไอ้คนเณรคุณ
ยังมีอีกคนหนึ่งที่ผมเคยไปเคารพที่ที่เขาจากไปทุกปี สี่ปีแล้วที่คนที่เหมือนไม่มีความเชื่อมต่อกับโลกใบนี้คนนั้นหายเข้าไปหลังประตูสำริดที่ใต้ภูเขาฉางไป๋ซาน ผมพูดว่าเคย เพราะปีนี้เป็นปีแรกที่ผมไม่ได้กลับไปที่นั่น สี่ปีก่อน ตอนที่เขาบอกผมว่าเขาจะหายตัวไป จางฉี่หลิงบอกผมว่า อีกสิบปีให้หลังนับจากวันนั้น ถ้าผมยังจำเขาได้ ให้นำตราลัญจกรผีกลับไปรอเขาที่หน้าประตูสำริด ผมไม่เคยลืมคำพูดของเขา
สามปี…ผมกลับไปที่นั่นเพียงคนเดียว พยายามตามหาที่ที่ผมแยกกับเขา เฝ้ารอหวังว่าไอ้คนสีหน้าไร้อารมณ์ที่ใจอ่อนกว่าหน้าตาคนนั้นจะเปลี่ยนใจ ผมนอนอยู่ในเต๊นท์โดยไม่หลับตลอดทั้งคืน สายตาเฝ้ามองไปที่ทางเข้า หูคอยเงี่ยฟังเสียที่อาจจะเป็นเสียงฝีเท้าของเขา เพียงแค่คิดว่าก่อนถึงรุ่งเช้าเขาจะกลับมา ไอ้คนชอบหายตัวไปคนนั้น เมินโหยวผิง จางฉี่หลิง…แค่คิดว่าเขาอาจจะกลับมา ถามผมด้วยสีหน้านิ่งเฉยเหมือนไม่ทุกข์ไม่ร้อนว่า ‘อู๋เสีย นายมาทำอะไรที่นี่’ หัวใจผมก็พองโตอย่างประหลาด
ผมไปรอพบเขาด้วยความหวังลมๆแล้งๆอยู่สามปี แต่ไม่เคยมีแม้แต่เงาของหมอนั่น จะมีก็แต่เสียงกระซิบของลมหนาวแห่งฉางไป๋ซานที่พัดผ่านดินแดนสีขาวโพลนยาวสุดลูกหูลูกตา สีขาวที่แทบไม่มีสีอื่นแซมคอยเตือนสติผม บอกผมว่าคนอย่างจางฉี่หลิงถ้าไม่มีเหตุสุดวิสัย เขาพูดว่าควรจะมาหรือจะไปเวลาไหนย่อมเป็นไปตามนั้น ผมไม่อาจจินตนาการได้ว่าเบื้องหลังประตูสำริดใต้ภูเขาแห่งนี้เป็นสถานที่ยังไง แต่ผมได้แต่เชื่อใจเสี่ยวเกอ เชื่อใจคำที่เขาบอก ถ้าเขาบอกว่าสิบปี ผมก็จะใช้เวลาที่เหลือของสิบปีเตรียมการทุกอย่างเพื่อวันที่เราจะได้พบกัน
ผมเริ่มสานต่อกิจการของอาสาม แม้อารองจะเตือนผมไม่อยากให้ผมแส่ยื่นเท้ากลับไปในที่ที่ไม่ควร แต่เมื่อหลานชายคนเดียวที่เคยหัวอ่อนอย่างผมดื้อดึง สุดท้ายอารองก็ใจอ่อนหันมาช่วยสนับสนุนผมแทน ยังมีนายอ้วน เสี่ยวฮัวที่ช่วยให้ทุกอย่างราบรื่นขึ้น แต่รายละเอียดผมจะขอไม่เล่า
ผมไม่เคยเชื่อว่าความคิดถึงจะฆ่าคนได้
ผมเคยคิดอย่างนั้น แต่เวลาสามปีกว่านับตั้งแต่วันที่ผมจากกับเขา ความรู้สึกหนึ่งมันค่อยๆเติบโตในจิตใจของผม เติบใหญ่ยิ่งกว่ากิ่งก้านของต้นสำริดที่ไม่รู้ว่าปลายสุดทะลุไปถึงไหน ความรู้สึกนี้เป็นเหมือนตัวกระตุ้นให้ผมลุกขึ้นมาทำทุกอย่างที่จำเป็นต้องทำ หน้ากากถ้าสวมนานเกินไปก็จะถอดไม่ออก บางครั้ง ผมก็รู้สึกว่าผมเริ่มจะคล้ายอาสามเข้าไปทุกที จนบางทีเวลาตื่นนอนผมก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองเข้าไปในกระจก สัมผัสใบหน้าของผม บอกตัวเองว่าผมยังเป็นอู๋เสีย แม้ว่าหลายๆอย่างจะเปลี่ยนไป หลายครั้งที่ผมฝันถึงเรื่องช่วงที่ผมได้เปิดหูเปิดตาคว่ำกรวยตักทรายเป็นครั้งแรก และเหตุการณ์หลายเรื่องที่ผมได้บันทึกเอาไว้
น่าแปลก…ที่วันนี้แทนที่จะเป็นความฝันถึงเหตุการณ์พวกนั้น ผมกลับเห็นกองจดหมายจำนวนมาก บางซองสีซีดจางไปแล้ว แต่ลายมือที่จ่าหน้ายังคงเด่นชัด ในกองจดหมายมีแม้แต่ซองที่จ่าหน้าถึงคุณปู่ส่งมาจากท่านย่าฮั่ว ผมเห็นแล้วก็นึกขำ แต่ซองที่สะดุดตาผมที่สุดกลับเป็นซองจดหมายจากเพื่อนรักที่จากไปแล้วของผม “เหลาหย่าง” จนถึงตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะเรียกเขาว่าเหลาหย่างดีรึเปล่า มาถึงวันนี้เขาอาจจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่เรื่องของผมไปแล้วก็ได้ แต่จดหมายที่เขาส่งมายังมีสภาพสมบูรณ์ดี ผมหยิบมันขึ้นมาและเปิดออก มือผมสั่นน้อยๆด้วยกลัวว่าจะต้องเห็นภาพของแม่เขาที่ส่วนใบหน้าให้ความรู้สึกน่าขนลุกอย่างประหลาด หากแต่…
ภาพในซองจดหมายนั่นกลับเป็นรูปของเสี่ยวเกอ ใบหน้าที่คุ้นเคยในรูปนั้นขยับ จ้องตรงมาที่ผม
ผมสะดุ้งตื่นลุกพรวดขึ้น หนังหัวผมชายิบจากสิ่งที่เห็นในความฝัน ไม่ใช่ว่าผมกลัวเสี่ยวเกอหรอกนะ แต่ถ้าคนในรูปภาพอยู่ๆขยับได้ เป็นใครก็ต้องตกใจทั้งนั้น นี่คงไม่ใช่ลางไม่ดีว่าหมอนั่นจะไม่กลับมาอีกแล้วหรอกใช่ไหม ผมใช้หลังมือปาดเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายบนใบหน้า ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะปลอบตัวเองให้สงบลง เมื่อตั้งสติได้ สิ่งแรกที่ผมทำคือตรงไปยังห้องหนังสือเพื่อหาจดหมายฉบับนั้นของเหลาหย่าง ทว่า…เสียงแกรกๆของอะไรบางอย่างกลับทำให้ผมหยุดฝีเท้าลงที่หน้าห้อง
ที่นี่ ตอนนี้เป็นบ้านของนายน้อยสามแห่งสกุลอู๋ เวลาดึกดื่นแบบนี้หากไม่ใช่คนในย่อมไม่มีสิทธิเข้ามาเพ่นพ่าน ความคิดแรกของผมคือหวังเหมิงอาจจะรีบเข้ามาเพราะมีธุระด่วนบางอย่างแต่ไม่กล้าปลุกผม แต่ต่อให้หวังเหมิงรีบแค่ไหน ยังไงก็ควรจะส่งข้อความถึงผมในมือถือก่อน ผมผ่อนลมหายใจ ก่อนจะค่อยๆแง้มประตูอย่างเงียบเชียบ
โคมไฟในห้องเปิดอยู่ แสงไฟสีนวลส่องให้เห็นร่างเงาดำมืดผอมบางร่างหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของผม ความกลัวที่ไม่ได้สัมผัสนานแล่นผ่านกระดูกสันหลังของผม กอบกุมจิตใจของผมแน่นราวกับอ้อมกอดของเพื่อนเก่า หนังหัวผมชาวาบเมื่อเห็นว่าคอของร่างนั้นยาวและบิดเบี้ยวผิดปกติ มือที่เหมือนมีแต่กระดูกของเจ้าสิ่งนั้นกำลังรื้อค้นหาอะไรบางอย่างจากบรรดากล่องจดหมายในห้อง ผมกลืนน้ำลายหนืดลงคอ ในห้องนอนของผมยังมีปืนพกขนาดเล็กสำหรับป้องกันตัวเก็บเอาไว้ แต่ถ้าสิ่งที่ผมเห็นคือสิ่งที่ผมคิดว่าผมเห็น ผมก็ไม่น่าใจว่าแค่ปืนพกของผมจะจัดการมันอยู่หมัด นึกแล้วก็ให้รู้สึกเสียใจอย่างหาที่สุดมิได้ขึ้นมาที่ตัวเองปฏิเสธความหวังดีของนายอ้วน
“AK47 ถูกและดี เสี่ยอ้วนได้มาฟรีๆแบ่งให้นายกระบอกนึงยังทำหยิ่งไม่รับ เดี๋ยววันดีคืนดีมีโจรขึ้นบ้านนายขึ้นมา อย่าหาว่าเสี่ยอ้วนใจดำไม่แบ่งไม่เตือน ทรัพย์หายอย่ามาร้องไห้กระซิกๆกับเสี่ยอ้วนละกัน”
นึกถึงสีหน้าท่าทางนายอ้วนแล้วก็ให้อยากสะอื้นพลางกัดฟันกรอดๆ ทรัพย์ไม่หายแต่หัวจะหายก่อนน่ะสิอีแบบนี้!
อย่าหาว่าผมอ่อนหัดเลย แต่ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของบ้านสกุลอู๋ คว่ำกรวยตักทรายมาก็หลายชั่วคนอยู่ แต่คงไม่เคยมีใครคนไหนดวงซวยเจอผีแม่ย่ามาหาถึงเรือนตัวเองแบบผมแน่ๆ ผมกล้ำกลืนความเจ็บแค้นระคนหวาดหวั่นกลับลงในอก เริ่มนับหนึ่งถึงสิบในใจ เตรียมจะเดินถอยหลังกลับไปเอาปืนพกที่ห้อง แต่นับนับยังไม่ทันถึงสาม ไอ้เงาตะคุ่มในห้องตรงหน้าก็หายไป ผมหน้าซีด รีบหันกลับไป แต่ยังไม่ทันเห็นใบหน้าของเจ้าสิ่งนั้น ความเจ็บปวดก็แล่นปลาบจากท้ายทอยของผม ทุกสิ่งทุกอย่างค่อยๆมืดลง และผมก็หมดสติไป…
…
ผมไม่รู้ว่าตัวเองสลบไปนานเท่าไหร่…ในความมืดมิดผมได้ยินเสียงที่คุ้นหู…เสียงนั้นอยู่ไกลมาก ฟังขาดๆหายๆจนแทบฟังไม่ออกว่าพูดว่าอะไร
“ตัวนายก็มี…ด้วย…ส่งผลกระทบ…รักษาตัว…ตกค้างอยู่…หลายปี…ไม่รู้สึกตัว”
เสียงนั้นพูดวนซ้ำไปซ้ำมา ผมพยายามใช้ความคิด แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก หัวของผมปวดตุบๆโดยเฉพาะจากตรงท้ายทอยที่ถูกทุบ จากนั้น…เสียงอื่นก็ดังมาจากรอบตัวผม มีเสียงตะโกนเป็นภาษาเวียดนาม…น่าจะภาษาเวียดนาม ผมไม่แน่ใจ เสียงนั้นห่างออกไปทุกที ตามมาด้วยเสียงครืดๆที่ชวนขนหัวลุก เสียงโครมครามและอีกหลายเสียงที่ดังขึ้นๆ หมุนวนอยู่รอบตัวผม เร็วขึ้นๆจนราวกับมีคนมาตะโกนอยู่ข้างหู ผมตกใจจะลุกขึ้น แต่หัวกับกระแทกกับของแข็งด้านบนจนเห็นดาว ผมคู้ตัวกลับลงไปด้วยความเจ็บ และพบว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่มืดแคบลักษณะสี่เหลี่ยม จากประสบการณ์ของผมสิ่งที่ควรทำเวลาเจอเรื่องแปลกประหลาดไม่ใช่การตกใจหรือพยายามปลุกตัวเองจากความฝันแต่คือการตั้งสติ ผมใช้มือคลำไปยังพื้นที่รอบๆ กะขนาดของพื้นที่รอบตัวและวิเคราะห์สถานการณ์
ตอนนี้ผมน่าจะอยู่ในโลงศพ ผมถูกทำร้ายในบ้านตัวเอง คงมีคนมาพบผมเข้า คิดว่าผมตายแล้วจึงนำผมใส่โลง ปัญหาก็คือ…ทำไมถึงมีเสียงเอะอะและเสียงตะโกนภาษาเวียดนาม ในสายคีบลามะที่ผมหามาได้อาจจะมีคนต่างชาติปะปนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่พวกที่จะเข้ามาในงานศพของนายน้อยสาม ถ้าเกิดว่าตอนนี้ผมอยู่ในงานศพ…
ผมเลื่อนมือไปตามขอบฝาโลง ตรวจดูว่ายังสามารถออกไปได้ไหม นึกหวังในใจอยู่ลึกๆว่านายอ้วนคงไม่รอบคอบเกินไปขนาดให้ปิดฝาโลงมิดชิดกลัวกรรมที่ทำไว้จะมาสนองผมในภายหลังหรอกนะ เคราะห์ดีที่ผมพบว่ามุมของโลงศพมีรอยแยกเล็กๆอยู่ ใจหนึ่งก็นึกอยากด่าในใจไอ้คนสะเพร่าที่ใช้โลงศพราคาถูกกับลูกชายคนเดียวของสกุลอย่างผม แต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะรีบๆออกไปจากไอ้โลงบ้านี่เหลือเกิน ผมออกแรงดันฝาโลงที่แง้มเอาไว้ออก
ไม่มีงานศพยิ่งใหญ่สมฐานะ ไม่มีใบหน้าของคนที่ผมรู้จัก ไม่มีเสียงร้องไห้คร่ำครวญ…
ไม่มีแม้แต่คนที่มางานศพ
สิ่งแรกที่ต้อนรับผมทันทีที่โผล่พ้นออกมาจากโลงนั่น คือกลิ่นเหม็นคลุ้งพันปีที่ผมรู้จักดีของสุสานใต้ดิน กับศพบ๊ะจ่างไร้หัวนับสิบที่นอนเรียงรายอยู่บนพื้นด้วยท่าบิดเบี้ยวน่าสะอิดสะเอียน แสงของคบไฟชุ่มน้ำมันบอกให้ผมว่ามีคนที่ยังมีชีวิต…หรืออย่างน้อยก็เคยมีชีวิตอยู่ที่นี่ ผมกวาดสายตามองหา แต่ไม่นึกว่าคนที่ผมกำลังหากลับเข้ามาประชิดตัวผมอย่างรวดเร็ว สองนิ้วยาวที่ผิดปกติกดลงที่ต้นคอของผมราวกับจะตรวจจับชีพจร
ถ้าเมื่อครู่ผมเป็นคนใกล้ตายแทบตรวจชีพจรไม่ได้ที่นอนอยู่ในโลง ตอนนี้หมอที่ไหนก็คงก้มหัวขอโทษเรื่องที่ตรวจผิด ชีพจรของผมเต้นเร็วขึ้นมาก เมื่อภาพของคนตรงหน้าเด่นชัดต่อสายตาของผม เขาอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าไม่สวมเสื้อผ้า ผมเผ้ายาวรุงรังไม่เหมือนกับเขาที่ผมเคยรู้จัก แต่ใบหน้าไร้อารมณ์กับรอยสักกิเลนที่ปรากฎบนตัวของเขาบอกให้ผมรู้ว่า…ไม่ผิดตัวแน่
“นายเป็นใคร…”
คนคนนี้คือเสี่ยวเกอของผม
To be continued...
แก้ไขล่าสุดโดย hiyuura เมื่อ Wed 26 Nov 2014, 17:00, ทั้งหมด 1 ครั้ง
Re: [Fic] Till We Meet Again [เสียผิง] - Chapter 01
นายน้อยขี้ตู่... ใครเสี่ยวเกอของนายยะ //ของด้วงหรอก #แทะโลม(...) #โดนจับหงายท้องตาย
lvlelody- ด้วงฝึกหัด
- จำนวนข้อความ : 5
Points : 3488
Join date : 01/11/2014
Re: [Fic] Till We Meet Again [เสียผิง] - Chapter 01
นายน้อยคือโฟกัสร่างเปลือยก่อนเลย....... เสี่ยวเสียทำไมโตมาเป็นเด็กแบบนี้ยยย์ //แว่วเสียงอาเตี่ยร่ำไห้
เสี่ยวเกอต้องแบ่งๆกันแทะกันมุด?ให้เท่่เทียมเนอะคะะะะ ฟฟฟฟฟฟฟฟ
ปล.ตอนแรกนึกว่าเสี่ยวเกอจะดึงกระดูกคอนายน้อยออกมาแล้วค่ะ ฟฟฟฟฟฟ
เสี่ยวเกอต้องแบ่งๆกันแทะกันมุด?ให้เท่่เทียมเนอะคะะะะ ฟฟฟฟฟฟฟฟ
ปล.ตอนแรกนึกว่าเสี่ยวเกอจะดึงกระดูกคอนายน้อยออกมาแล้วค่ะ ฟฟฟฟฟฟ
Lin_ChaCHa- ด้วง
- จำนวนข้อความ : 44
Points : 3561
Join date : 27/10/2014
ที่อยู่ : ทีมสกุลอู๋
Re: [Fic] Till We Meet Again [เสียผิง] - Chapter 01
เปลือยเปล่าไม่สวมเสื้อผ้า....///หลังจากนั้นเสี่ยวเกอจะทำอะไรต่อค้าาาาาาา///แว่วเสียงในใจ
แต่ความเป็นจริงช่างทำร้าย" นายเป็นใคร..."
แต่ความเป็นจริงช่างทำร้าย" นายเป็นใคร..."
meanato- ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
- จำนวนข้อความ : 487
Points : 3972
Join date : 27/10/2014
Age : 26
ที่อยู่ : หลังประตูสัมฤทธิ์
Re: [Fic] Till We Meet Again [เสียผิง] - Chapter 01
ไม่สวมเสื้อผ้าาาาาาา*0* //โฟกัสผิดประเด็นนแล้ววว
เสี่ยวเกอกลับมาแล้ววว
เสี่ยวเกอกลับมาแล้ววว
bloodnine- ด้วงตำหนักหลู่หวังเจ็ดดารา
- จำนวนข้อความ : 77
Points : 3578
Join date : 27/10/2014
Re: [Fic] Till We Meet Again [เสียผิง] - Chapter 01
ตายแล้วววว มโนของนายน้อยไปสร้างอะไรไว้้้้
Feran.FS- ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
- จำนวนข้อความ : 457
Points : 3953
Join date : 27/10/2014
Age : 28
ที่อยู่ : ใต้เตียงนอนเซี่ยจื่อหยาง...
Re: [Fic] Till We Meet Again [เสียผิง] - Chapter 01
กรี๊ดดดด นายน้อยยยยยย ท่านโฟกัสอะไรคะเนี่ยยยยย ///-/// *โฟกัสด้วย*
แต่งได้สนุกมากเลยค่า ขอบคุณมากค่ะ
แต่งได้สนุกมากเลยค่า ขอบคุณมากค่ะ
Ahhhhhh- ด้วงฝึกหัด
- จำนวนข้อความ : 5
Points : 3446
Join date : 08/12/2014
Age : 24
ที่อยู่ : 1014/34
Re: [Fic] Till We Meet Again [เสียผิง] - Chapter 01
โฟกัสร่างเปลือยก่อนเลยนะครัชนายน้อยยยยย ถถถถถ
ถูกต้องอย่างที่สุดดดด ในเมื่อมันคือแพเสียผิง เพราะฉะนั้นต้องแบ่งๆกันแทะด้วยนะนายน้อย //เป็นด้วงก็อดอยาก แฮ่ก
ถูกต้องอย่างที่สุดดดด ในเมื่อมันคือแพเสียผิง เพราะฉะนั้นต้องแบ่งๆกันแทะด้วยนะนายน้อย //เป็นด้วงก็อดอยาก แฮ่ก
Rozenkreuz- ด้วงอาณาจักรเจ้าแม่ซีหวังหมู่
- จำนวนข้อความ : 625
Points : 3859
Join date : 01/07/2015
Age : 31
ที่อยู่ : กองทัพผีเก็บเห็ดแห่งประตูสำริด
Similar topics
» [Drabble]Waiting till the end {เฮยฮัว,ฮัวเสีย}
» [SF] Take Care [เสียผิง]
» [SF] 思凡 [เสียผิง]
» [OS] CAT & DOG [ผิงเสีย or เสียผิง]
» [OS] JUST YOU [ผิงเสีย or เสียผิง]
» [SF] Take Care [เสียผิง]
» [SF] 思凡 [เสียผิง]
» [OS] CAT & DOG [ผิงเสีย or เสียผิง]
» [OS] JUST YOU [ผิงเสีย or เสียผิง]
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|
Fri 24 Jul 2020, 01:39 by gustoon
» [คู่มือด้วง] Keyword จีนสำหรับการขุด(แฟนดอม)สุสาน
Thu 21 Jun 2018, 00:29 by miskizfullmoon
» มังฮวาและภาคทิเบต
Thu 21 Jun 2018, 00:23 by miskizfullmoon
» [OS] Father is the best (ผิงเสีย)
Thu 03 Aug 2017, 16:12 by schneewittchen
» [Fic] สิ่งเล็กๆที่เชื่อมโลก5 [เมินโหยวผิง+อู่เสีย+เสี่ยอ้วน]+OC
Tue 01 Aug 2017, 12:30 by natsume
» [OS] #dmbjdaily (จูปาจุ๊บ) Bittersweet [ผิงเสีย AU]
Thu 06 Apr 2017, 15:58 by Zeth
» [OS] #dmbjdaily "โทรศัพท์มือถือ" - no Pairing [All]
Tue 04 Apr 2017, 22:27 by Zeth
» [OS] #DMBJDaily (แว่น): ระยะที่มองไม่เห็น [ฮัวเสีย]
Sat 01 Apr 2017, 16:55 by Zeth
» [OS] #DMBJdaily (5.20) ท่านยอดฝีมือ [หวังเหมิง (+เหมิงเสีย)(+ผิงเสีย)]
Thu 30 Mar 2017, 17:24 by Zeth