Countdown
We've been
togerther for
ค้นหา
Latest topics
Most active topics
[OS] #dmbjdaily the waiting is over : 带我回家 (Take me home) "I'm home" (ผิงเสีย ว่านวัง เฮยฮัว)
+3
Rozenkreuz
Luckey.B
susuwatari
7 posters
หน้า 1 จาก 1
[OS] #dmbjdaily the waiting is over : 带我回家 (Take me home) "I'm home" (ผิงเสีย ว่านวัง เฮยฮัว)
[OS] #dmbjdaily the waiting is over : 带我回家 (Take me home) "I'm home"
Paring : ผิงเสีย,ว่านวัง,เฮยฮัว
---------
ทุกอย่างรอบกายเงียบสงัด ผมกวาดสวมเสื้อเสร็จก็ตามองไปรอบๆตัว การเข้ามาตำหนักทิพย์พิมานเมฆครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนหน้าแทบจะเรียกว่าพลิกฝ่ามือเลยทีเดียว ตัวตำหนักด้านในไร้วี่แววของสัตว์ประหลาดที่เคยยิงถล่มกันแทบเป็นแทบตายเมื่อคราวก่อน บนพื้นยิ่งไม่มีร่องรอยของตะขาบเลยสักตัวเดียว คล้ายกับว่าในระยะเวลาช่วง10 ปีจากนั้น สัตว์ประหลาดเหล่านั้นได้ระเหยหายกลายเป็นอากาศไปหมดแล้ว
ทุกอย่างราวกับเป็นแค่เรื่องฝันไปเท่านั้น
ผมสูดหายใจลึกเอาอากาศอับชื้นในโพรงถ้ำผ่านเข้ามาในปอด กลิ่นสาบสางไม่ชวนพิสมัยนั้นเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าตรงหน้านั้นเป็นความจริง ความรู้สึกเจ็บปวดจากก้อนหินที่กำลังตำฝ่าเท้าอยู่ก็เช่นกัน ผมกรอกเสียงลงในวิทยุสื่อสารในมือ
“พวกนายคอยอยู่ข้างนอกนั่น จากนี้ฉันกับนายอ้วนหวังจะเข้าไปกันแค่สองคน”
เสียงตอบรับอย่างแข็งขันของปลายสายดังกลับมา ผมลดเครื่องมือสื่อสารในมือลงกดปิดมันและวางทิ้งไว้บนก้อนหินก้อนหนึ่งก่อนเปิดไฟฉายเหมืองแบบกันน้ำในมือส่องดูภาพรอบกาย อากาศในนี้หนาวจนทำให้ผมตัวสั่นไม่ได้ แม้จะมีเสื้ออับๆของเมินโหยวผิงปกคลุมร่างกายอยู่ก็ตาม
ผมนั่งรอให้นายอ้วนหวังตามมา ระหว่างรอก็มองดวงดาวระยิบระยิบระยับด้านนอกที่ค่อยๆจัดเรียงเป็นรูปใบหน้าของคนรู้จักทีละคนทีละคน ก่อนที่ทุกๆสิ่งจะเลือนหายไปพร้อมสายลมแรงเหลือเพียงใบหน้านิ่งที่กำลังจ้องมองตอบกลับมาด้วยแววตาเรียบนิ่งอันคุ้นเคย
ใบหน้าของคนที่เขาคิดถึงอย่างสุดหัวใจ
เมินโหยวผิง
นานมาแล้วเสี่ยวฮัวเคยถามคำถามประโยคหนึ่งกับผม “เสี่ยวเกอคนนั้นเป็นอะไรสำหรับนายกันแน่อู๋เสีย” ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง อ้าปากจะตอบว่าเพื่อนแต่ก็ปิดลงโดยไม่มีเสียงใดลอดออกมา ดวงตาสีน้ำตาลแหลมคมของเสี่ยวฮัวจ้องมองลึกลงไปในตาผมราวกับมองเห็นความคิดอ่านของผมอย่างทะลุปรุโปร่ง
“เขา....”
ผมสูดหายใจลึกยาวแล้วเปล่งเสียงออกมา
“เป็นคนสำคัญของฉัน”
คนที่สำคัญมากเสียจนผมยินยอมแลกสิ่งมีค่าหลายอย่างในชีวิตเพื่อให้เขากลับมายืนอยู่ใต้แสงสว่างอีกครั้งหนึ่ง
---------------
“โย่วเทียนเจิน ฉันมาแล้ว”
เสียงนายอ้วนหวังดังขึ้นในความมืดขัดจังหวะความคิดคำนึงทั้งหมดทั้งปวงของผม ก่อนร่างอวบพุงพลุ้ยในชุดรัดรูปที่ปลิ้นเป็นชั้นๆดูน่าเกลียดเหมือนหนอนเดินออกจากความมืดมาหาผม
“คิดถึงใครอ่ะ คิดถึงเสี่ยอ้วนอยู่อะป่าว นอกใจน้องเสี่ยวเกอแบบนี้ เดี๋ยวเจอหน้ากันเสี่ยอ้วนจะฟ้องให้หมด” ผมหันไปจ้องหน้าเขาพร้อมถลึงตาใส่เป็นเชิงให้หุบปากเสีย นายอ้วนหวังหวังหัวเราะชอบใจที่ได้แหย่ผมจัดแจงรื้อข้าวของในกระเป๋าเป้กันน้ำออกมาแต่งตัว ดูเขาจะรอบคอบยิ่งกว่าผมอีก
แต่งตัวเสร็จนายอ้วนหวังก็เดินมานั่งข้างๆผม เขาทำจมูกฟุดฟิดไปมาครู่หนึ่งพร้อมบ่นงึมงำว่าผมเอาเสื้อไม่ซักมาใส่ ก่อนจะหันไฟฉายมาสำรวจทั่วตัวแล้วอุทานเสียงดัง
“โว๊ะ ที่แท้เทียนเจินใส่ชุดของน้องเสี่ยวเกออยู่นี่นา แหม่ แล้วแบบนี้น้องเสี่ยวเกอจะเอาชุดอะไรใส่อะเนี่ย ชุดวันเกิดรึเปล่าก็ไม่รู้ เสี่ยต้องเตรียมถ่ายรูปเก็บไว้แบลคเมลล์ซะหน่อยแล้ว” คำพูดไร้สาระของนายอ้วนหวังทำเอาผมอดคิดภาพตามไม่ได้ รู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนเห่อขึ้นมาแปลกๆได้แต่นึกแก้ตัวอยู่ในใจ ก็แค่ขอยืมเสื้อผ้าที่เสี่ยวเกอถอดทิ้งไว้ให้มาใส่แค่นั้นเอง แค่มันเคยเป็นเสื้อผ้าที่เคยอยู่บนร่างของเมินโหยวผิงมาก่อนก็ทำให้หัวใจของผมอุ่นซ่านอย่างน่าประหลาด เหมือนว่าอ้อมกอดของเขาได้ติดตามผมไปทุกๆที่
นายอ้วนหวังจุ๊ปากเบาๆ
“น้องเสี่ยวเกอนี่ร้ายไม่เบา เห็นเงียบๆไม่นึกว่าจะคิดมากขนาดนี้” ผมหลุดจากภวังค์หันไปมองเขาอย่างสงสัย “ก็ทิ้งเสื้อผ้าเอาไว้เป็นคนปกติทั่วไปใครจะกล้าหยิบขึ้นมาใส่ มีแต่นายเท่านั้นล่ะ น้องเสี่ยวเกอรู้ใจนายไง นี่กะแสดงความเจ้าของกันเต็มที่เลยสินะ”
ในความมืดของโพรงถ้ำผมถึงกับรู้สึกหน้าแดงขึ้นมา บ้าจริงอายุไม่ใช่น้อยๆแค่โดนแซวไม่กี่คำก็เป็นถึงขนาดนี้น่าขายหน้าชะมัด
เราสองคนหยุดบทสนทนาลงปล่อยให้ความเงียบเข้าโอบล้อมรอบกาย ปล่อยให้เวลาและบรรยากาศเก่าๆไหลเลื่อนไปอย่างช้าๆ ดื่มด่ำบรรยากาศของปลายทางแห่งการรอคอยสิบปีที่กำลังจะสิ้นสุดลง
----------------
“พักพอแล้วเราไปกันเถอะ” นายอ้วนหวังหันมาบอกกับผม “ไปรับเสี่ยวเกอด้วยกัน” ผมพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นยืน เท้าที่ถูกหินตำจนระบมรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว พวกเราสองคนแกะรอยที่เมินโหยวผิงทิ้งเอาไว้มุ่งหน้าตรงไปยังที่ตั้งของประตูสำริดอย่างเงียบเชียบด้วยเหตุการณ์เฉียดใกล้ความตายเมื่อครั้งก่อนยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำเมื่อสิบปีก่อน
ฉับพลันโพรงถ้ำขยายขนาดออกเป็นลานโล่งกว้างใหญ่ โลงเก้ามังกรทูนพระศพที่ตกลงมาเอียงกะเท่เร่ปรากฏขึ้นทางซ้ายมือ แต่เมื่อมองไปก็พบว่าเก้ามังกรตัวยักษ์ที่เคยถูกล่ามโซ่เอาไว้หายตัวไปแล้ว หินใหญ่บางก้อนยังเหลือร่องรอยจากคมกระสุนเมื่อครั้งก่อนอยู่
เมื่อพวกเรากลั้นหายใจสาดไฟฉายไปรอบกายก็พบว่าแม้แต่นกผีพวกนั้นก็หายสาบสูญไปด้วย เหลือเพียงโครงกระดูกแห้งกรังโบกสะบัดอยู่ในสายลมอุ่นจากใต้พิภพ
นายอ้วนหวังหรี่ตามองซากร่างที่อยู่สูงขึ้นไปพลางพึมพำด้วยท่าทางแปลกใจ ดูจากซากที่ถูกแขวนอยู่ใกล้ที่สุด เหมือนกับว่านกผีพวกนั้นละทิ้งสถานที่แห่งนี้ไปนานแล้ว ที่แท้แล้วในหนึ่งสิบปีนี้เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่กันแน่
ระหว่างที่นายอ้วนหวังกำลังมองหาร่องรอยของนกผีเผื่อว่ามันเกิดนึกจะย้อนกลับมากินหัวพวกเราใหม่ ผมก็มุ่งหน้าตรงไปยังประตูสำริดซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ภายใต้แสงสลัวของไฟฉายกำลังสูงในมือ
ประตูสำริดใต้พิภพขนาดยักษ์ยังคงมีรูปลักษณ์เหมือนกับในความทรงจำจองผม ทั้งการแกะสลักทั้งการปิดทับด้วยหนังมนุษย์ราดด้วยเลือดสดๆ ทุกอย่างยังอยู่ในสภาพเดิมชวนให้รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง
ผมกุมกระชับลัญจกรหยกตัวแทนแห่งคำสัญญาเอาไว้ในมือแน่น ขณะที่นายอ้วนสาวเท้ามาสมทบพร้อมกับเทียนนิรันดร์หนึ่งมัดใหญ่ๆในมือที่เตรียมพร้อมมาอย่างดี
ชั่วขณะนั้นลมเย็นเฉียบเคล้ากลิ่นอายเก่าแก่พัดผ่านมาวูบหนึ่ง แม้ร่างกายของผมจะสั่นสะท้านขึ้นด้วยความหนาวแต่ว่าในหัวใจกลับร้อนรุ่มอย่างน่าประหลาด ชวนให้นึกถึงคำที่ใครบางคนเคยกล่าวไว้ว่า ความเย็นเยียบของหิมะพันปี ไม่อาจดับไฟอันร้อนรุ่มในหัวใจได้
เวลานี้ผมรู้สึกราวกับว่าได้ถูกความปรารถนาและความหวังที่ทับถมพอกพูนมาตลอดสิบปีดุจตะกอนดินในแม่น้ำกำลังระเบิดออกท่วมท้นร่าง ลัญจกรผีในมือสั่นสะท้านขณะจรดมันลงบนบานประตูยักษ์เบื้องหน้า
เสียงแกร๊งจากการกระทบกันดังสะท้อนไปทั่ว ผมกับนายอ้วนหวังต่างก็ถอยหลบฉากไปด้านข้างกลั้นหายใจรอให้หมอกอายสีฟ้าถาโถมมาท่วมทางเดิน และรอฟังเสียงแตรเขาสัตว์ชวนขนลุกของทัพผีที่จะพาเราผ่านเข้าไปด้านในปรากฏขึ้น
ทว่าทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่คิด แม้เฝ้ารอเท่าไหร่กลับไม่มีไอหมอกและเสียงแตร ไม่มีกองทัพผี ไม่มีอะไรปรากฏขึ้นแม้เพียงอย่างเดียว
เราสองคนมองหน้ากัน ความผิดหวังถาโถมเข้ามาในหัวใจของผมอย่างไม่ให้เวลาตั้งตัว
ผมทรุดลงกับพื้น แววตาเคว้งคว้างว่างเปล่า รู้สึกเหมือนพื้นโลกใต้ฝ่าเท้าถล่มจมลง เกราะแข็งกระด้างไร้หัวใจที่สวมเอาไว้บิดบังความอ่อนแอภายในพังครืนพร้อมพัดพาเอาความรู้สึกเจ็บปวดถาโถมออกจากรอยแยกนั้นเหมือนกับเขื่อนแตก
หนึ่งสิบปีที่ผมทุ่มเททำมามีตรงไหนผิดพลาดกัน
ผมคิดย้อนไปย้อนมาทุกเรื่องที่เคยทำลงไปตลอดสิบปีเหมือนเด็กหลงทางอยู่ในเขาวงกต แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก ทุกอย่างกลับกลายเป็นความว่างเปล่า นายอ้วนมองผมนิ่ง
“บางทีเราอาจจะมาถึงก่อนเวลาก็ได้ หรือน้องเสี่ยวเกอยังใส่เสื้อผ้าไม่เสร็จ นายก็รู้ว่าคนแบบน้องเสี่ยวเกอรักหน้าตาจะตายไป เขาไม่เคยทำอะไรไม่สมบูรณ์น่า” เขาพูดติดตลก แต่ผมกลับหัวเราะไม่ออก
“เรานั่งรอหน่อยก็แล้วกัน ไหนๆไอ้นกผีกับเด็กๆลูกของกษัตริย์ว่านหนูก็ชิ่งไปหมดแล้ว คิดซะว่ามาเปลี่ยนบรรยากาศใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์กันดีกว่า”
ผมจ้องมองเขาด้วยดวงตาเลื่อนลอย “เมื่อครู่ฉันเคาะไม่แรง บางทีเมินโหยวผิงอาจจะยังไม่ได้ยิน” พูดจบก็คลานเข้าไปเคาะลัญจกรในมือลงบนประตูสำริดอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง
เสียงแกร๊ง แกร๊ง ที่สะท้อนไปมาให้ความรู้สึกหม่นมัวอย่างประหลาด ตัวผมกำลังถูกความสิ้นหวังกัดกร่อน นายอ้วนนิ่งมองผมไม่ได้เอ่ยปากห้ามปราม
เวลาผ่านไปนานหลายนาที มือที่กำรอบลัญจกรหยกชาหนึบ ผมหยุดเคาะแล้วซบหน้าลงกับท่อนแขน จมูกยังได้กลิ่นขี้นกกับกลิ่นสาบบนตัวเสื้อ หากท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ผมกลับคล้ายได้กลิ่นอบอุ่นคุ้นเคยแทรกผ่านเข้ามา
รู้สึกเหมือนมีใครบางคนกำลังเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงทุ้มที่ได้ยินซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในความฝัน น้ำเสียงนั้นเป็นสิ่งที่ชั่วชีวิตผมก็ไม่มีวันลืม ผมได้ยินเสียงแกรกกรากข้างตัวแต่ก็รู้สึกสิ้นหวังเกินจะยกศีรษะขึ้นมอง
"ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะ อู๋เสีย”
ผมนิ่งค้างรวบรวมพลังเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย เป็นเมินโหยวผิงในชุดเกราะแบบโบราณกำลังทรุดตัวนั่งอยู่ข้างๆ
ท่ามกลางความเงียบงันจนได้ยินเสียงหยดน้ำตกกระทบก้อนหินเป็นจังหวะ เราทั้งคู่สบตากัน ผมไม่กล้าเคลื่อนไหว ไม่กล้าแม้กระทั่งจะหายใจแรงด้วยกลัวว่าลมหายใจของตัวเองจะทำให้ภาพตรงหน้าพังทลายลง
เมินโหยวผิงมองท่าทางของผมพลันแย้มรอยยิ้มออกมา
“นายดูแก่ลงกว่าแต่ก่อน”
จบคำผมตัวสั่นเหมือนได้สติถลาเข้าโอบกอดร่างในชุดเกราะเก่าคร่ำคร่าเอาไว้แน่นเหมือนคนจมน้ำอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลแล้วได้พบเจอกับชูชีพอันหนึ่งลอยผ่านมา
ผมกอดเขาแน่นไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว จากนั้นจึงสัมผัสได้ว่ามือของเมินโหยวผิงกำลังลูบไล้แผ่นหลังของผมเบาๆอย่างปลอบโยนกระซิบถ้อยคำหนึ่งเบาๆ
“ฉันกลับมาแล้ว”
ผมปล่อยให้น้ำตาแห่งความคิดถึงไหลรินลงมาอย่างเงียบๆ เราสองคนกอดกันกลมอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่ผมจะโดนมือหนักตบเข้าจนหลังแทบแอ่น
“อะไรกัน เสี่ยเผลอหลับไปนิดเดียวทำไมถึงพลาดฉากประวัติศาสตร์ไปได้อ่ะ น้องเสี่ยวเกอออกมาไม่ยอมทักทายเสี่ยบ้างเลย เสี่ยรู้สึกเป็นส่วนเกินโคตรๆเลยว่ะ”
นายอ้วนหวังลอบซับน้ำตาอย่างแนบเนียนก่อนจะเข้ามาร่วมวงด้วย เราสามคนต่างกอดกันอย่างยินดีเหมือนลูกบอลเอียงๆลูกใหญ่ ผมหัวเราะออกมาทั้งที่ใบหน้ายังเปื้อนน้ำตาเหมือนกับเด็กๆ
รู้สึกเหมือนว่าได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อสิบปีก่อนที่พวกเราบุกน้ำลุยไฟค้นหาความลับดำมืดนี้ไปด้วยกัน รู้สึกว่าตัวตนอันหนักแสนหนักที่วางอยู่บนบ่าทั้งสองตลอดสิบปีถูกปลดลง คล้ายเปลือกผิวส้มที่ถูกลอกออกไปจนเหลือแต่เนื้อใน เหมือนกับจั๊กจั่นลอกคราบเก่าแข็งทิ้งไป
หากมีเมินโหยวผิงอยู่ข้างตัว ผมก็สามารถกลับเป็นอู๋เสียคนเก่าได้ อู๋เสียคนที่อ่อนแอไม่ค่อยได้เรื่องแม้ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน อู๋เสียที่ช่างสงสัยและดื้อรั้นจนพาตัวเองเข้าไปตกอยู่ในอันตรายหลายครั้งหลายครา
ที่ผ่านมา กำลังคนมากมาย อำนาจที่ได้มาและทรัพย์สินเงินท้องล้วนไม่ใช่ปรารถนาของผมแม้แต่น้อย
ปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวของผมคือได้ทำตามคำสัญญากับเมินโหยวผิง ได้พบเจอเขาอีกสักครั้ง
เวลานี้ทุกสิ่งล้วนถูกเติมเต็มแล้ว ผมจึงสามารถปล่อยมือจากทุกอย่างที่ยึดถือเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์
จากนี้ไปผมกับเขาเราจะไม่พรากจากกันอีก
เราสบตากันครู่หนึ่ง ปล่อยให้ความคิดถึงห่วงหาไหลเวียนถ่ายทอดสู่กันอย่างเงียบงัน
“ได้ตัวเสี่ยวเกอแล้วเราก็ไปกันเถอะ” นายอ้วนหวังส่งเสียงบอก ผมลุกขึ้นรู้สึกได้ว่าสายตาของเมินโหยวผิงกำลังจ้องมองมายังเสื้อผ้าของเขาที่ผมถือวิสาสะหยิบมาสวมกันความหนาว
นายอ้วนหันมาเห็นเข้าพอดีก็หัวเราะร่วน “โดนเทียนเจินแย่งเสื้อผ้ามาใส่ซะหมดเลย แบบนี้ก็ต้องเดินโทงๆไม่มีกางเกงใส่ลงไปถึงเชิงเขาโน่นเลยนะ”
“ไม่เป็นไร เพราะของสำคัญได้มาครบแล้ว” เขาพูดพร้อมส่งยิ้มอันหายากมาให้ผม
“จริงสิ” นายอ้วนทำไม้ทำมือให้พวกผมหยุดเดิน เขาวางกระเป๋าเป้ลงแล้วเริ่มรื้อค้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นโยนเสื้อผ้าชุดหนึ่งมาทางเมินโหยวผิง
“นายยังมีเสื้ออีกชุดก็ไม่บอกกัน ปล่อยให้ฉันดมขี้นกอยู่ได้ตั้งนาน” ผมร้องขึ้น” ไม่อ่ะ เทียนเจินใส่เสื้อของน้องเสี่ยวเกอแล้วดูน่ารักดีออก” ผมหน้าแดงถึงหูพูดอะไรไม่ออกปล่อยให้นายอ้วนหัวเราะพุงกระเพื่อมอย่างได้ใจ
พอเมินโหยวผิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเดินตรงเข้ามาสมทบเขาก็พูดต่อ “ไหนๆน้องเสี่ยวเกอก็มีกางเกงใส่แล้วฉันขอแวะไปห้องคราวก่อนได้ไหม ขนเครื่องหมิงออกไปซักชุดสองชุดให้มันคุ้มทุนกันหน่อย” ผมยิ้มหันไปมองเมินโหยวผิงก็พบว่าเขาพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงเห็นด้วย เราหัวเราะให้แก่กันแล้วก้าวเดินไปตามโพรงถ้ำ
เมินโหยวผิงหยุดเดินหันกลับมาจับกุมมือของผมพร้อมกระซิบถ้อยคำ
"ฉันกลับมาแล้ว"
ผมยิ้มให้เขาแล้วสอดประสานนิ้วเข้าด้วยกัน
"ยินดีต้อนรับกลับนะ"
..............................
....................
บนยอดเขาฉางไป๋ซาน
เดือนปีเคลื่อนผ่านฝังกลบอดีต
บุคคลที่สิบปีรอคอยมาเนิ่นนานได้พานพบ
สุดท้าย.....ปล่อยวางทุกสิ่งยึดจับเพียงหนึ่ง
____
Talk
ครบสิบปีแล้วว จุดพลุฉลองกับนายน้อย เข้าคอร์สฝึกเจ้าสาวครบหมดแล้วสินะคะ/ผิด
ครบสิบปีทั้งทีต้องร่วมติดแท๊กเดลี่ให้ได้ค่ะ ฮาาา ทุกคนต่างก็กลับมายืนในที่ๆตัวเองควรอยู่แล้ว แอบใจหายนิดๆเหมือนกันนะคะ แต่ยังไงก็ยังมีซาไห่กับทิเบตรอให้เราอ่านอีกเพียบ คงอีกนานกว่าจะได้รู้สึกเหงาค่ะ ฮาาา
ยังมี Side story รั่วๆต่อข้างล่างนะคะ มาฮากันเถอะ
Paring : ผิงเสีย,ว่านวัง,เฮยฮัว
---------
ทุกอย่างรอบกายเงียบสงัด ผมกวาดสวมเสื้อเสร็จก็ตามองไปรอบๆตัว การเข้ามาตำหนักทิพย์พิมานเมฆครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนหน้าแทบจะเรียกว่าพลิกฝ่ามือเลยทีเดียว ตัวตำหนักด้านในไร้วี่แววของสัตว์ประหลาดที่เคยยิงถล่มกันแทบเป็นแทบตายเมื่อคราวก่อน บนพื้นยิ่งไม่มีร่องรอยของตะขาบเลยสักตัวเดียว คล้ายกับว่าในระยะเวลาช่วง10 ปีจากนั้น สัตว์ประหลาดเหล่านั้นได้ระเหยหายกลายเป็นอากาศไปหมดแล้ว
ทุกอย่างราวกับเป็นแค่เรื่องฝันไปเท่านั้น
ผมสูดหายใจลึกเอาอากาศอับชื้นในโพรงถ้ำผ่านเข้ามาในปอด กลิ่นสาบสางไม่ชวนพิสมัยนั้นเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าตรงหน้านั้นเป็นความจริง ความรู้สึกเจ็บปวดจากก้อนหินที่กำลังตำฝ่าเท้าอยู่ก็เช่นกัน ผมกรอกเสียงลงในวิทยุสื่อสารในมือ
“พวกนายคอยอยู่ข้างนอกนั่น จากนี้ฉันกับนายอ้วนหวังจะเข้าไปกันแค่สองคน”
เสียงตอบรับอย่างแข็งขันของปลายสายดังกลับมา ผมลดเครื่องมือสื่อสารในมือลงกดปิดมันและวางทิ้งไว้บนก้อนหินก้อนหนึ่งก่อนเปิดไฟฉายเหมืองแบบกันน้ำในมือส่องดูภาพรอบกาย อากาศในนี้หนาวจนทำให้ผมตัวสั่นไม่ได้ แม้จะมีเสื้ออับๆของเมินโหยวผิงปกคลุมร่างกายอยู่ก็ตาม
ผมนั่งรอให้นายอ้วนหวังตามมา ระหว่างรอก็มองดวงดาวระยิบระยิบระยับด้านนอกที่ค่อยๆจัดเรียงเป็นรูปใบหน้าของคนรู้จักทีละคนทีละคน ก่อนที่ทุกๆสิ่งจะเลือนหายไปพร้อมสายลมแรงเหลือเพียงใบหน้านิ่งที่กำลังจ้องมองตอบกลับมาด้วยแววตาเรียบนิ่งอันคุ้นเคย
ใบหน้าของคนที่เขาคิดถึงอย่างสุดหัวใจ
เมินโหยวผิง
นานมาแล้วเสี่ยวฮัวเคยถามคำถามประโยคหนึ่งกับผม “เสี่ยวเกอคนนั้นเป็นอะไรสำหรับนายกันแน่อู๋เสีย” ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง อ้าปากจะตอบว่าเพื่อนแต่ก็ปิดลงโดยไม่มีเสียงใดลอดออกมา ดวงตาสีน้ำตาลแหลมคมของเสี่ยวฮัวจ้องมองลึกลงไปในตาผมราวกับมองเห็นความคิดอ่านของผมอย่างทะลุปรุโปร่ง
“เขา....”
ผมสูดหายใจลึกยาวแล้วเปล่งเสียงออกมา
“เป็นคนสำคัญของฉัน”
คนที่สำคัญมากเสียจนผมยินยอมแลกสิ่งมีค่าหลายอย่างในชีวิตเพื่อให้เขากลับมายืนอยู่ใต้แสงสว่างอีกครั้งหนึ่ง
---------------
“โย่วเทียนเจิน ฉันมาแล้ว”
เสียงนายอ้วนหวังดังขึ้นในความมืดขัดจังหวะความคิดคำนึงทั้งหมดทั้งปวงของผม ก่อนร่างอวบพุงพลุ้ยในชุดรัดรูปที่ปลิ้นเป็นชั้นๆดูน่าเกลียดเหมือนหนอนเดินออกจากความมืดมาหาผม
“คิดถึงใครอ่ะ คิดถึงเสี่ยอ้วนอยู่อะป่าว นอกใจน้องเสี่ยวเกอแบบนี้ เดี๋ยวเจอหน้ากันเสี่ยอ้วนจะฟ้องให้หมด” ผมหันไปจ้องหน้าเขาพร้อมถลึงตาใส่เป็นเชิงให้หุบปากเสีย นายอ้วนหวังหวังหัวเราะชอบใจที่ได้แหย่ผมจัดแจงรื้อข้าวของในกระเป๋าเป้กันน้ำออกมาแต่งตัว ดูเขาจะรอบคอบยิ่งกว่าผมอีก
แต่งตัวเสร็จนายอ้วนหวังก็เดินมานั่งข้างๆผม เขาทำจมูกฟุดฟิดไปมาครู่หนึ่งพร้อมบ่นงึมงำว่าผมเอาเสื้อไม่ซักมาใส่ ก่อนจะหันไฟฉายมาสำรวจทั่วตัวแล้วอุทานเสียงดัง
“โว๊ะ ที่แท้เทียนเจินใส่ชุดของน้องเสี่ยวเกออยู่นี่นา แหม่ แล้วแบบนี้น้องเสี่ยวเกอจะเอาชุดอะไรใส่อะเนี่ย ชุดวันเกิดรึเปล่าก็ไม่รู้ เสี่ยต้องเตรียมถ่ายรูปเก็บไว้แบลคเมลล์ซะหน่อยแล้ว” คำพูดไร้สาระของนายอ้วนหวังทำเอาผมอดคิดภาพตามไม่ได้ รู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนเห่อขึ้นมาแปลกๆได้แต่นึกแก้ตัวอยู่ในใจ ก็แค่ขอยืมเสื้อผ้าที่เสี่ยวเกอถอดทิ้งไว้ให้มาใส่แค่นั้นเอง แค่มันเคยเป็นเสื้อผ้าที่เคยอยู่บนร่างของเมินโหยวผิงมาก่อนก็ทำให้หัวใจของผมอุ่นซ่านอย่างน่าประหลาด เหมือนว่าอ้อมกอดของเขาได้ติดตามผมไปทุกๆที่
นายอ้วนหวังจุ๊ปากเบาๆ
“น้องเสี่ยวเกอนี่ร้ายไม่เบา เห็นเงียบๆไม่นึกว่าจะคิดมากขนาดนี้” ผมหลุดจากภวังค์หันไปมองเขาอย่างสงสัย “ก็ทิ้งเสื้อผ้าเอาไว้เป็นคนปกติทั่วไปใครจะกล้าหยิบขึ้นมาใส่ มีแต่นายเท่านั้นล่ะ น้องเสี่ยวเกอรู้ใจนายไง นี่กะแสดงความเจ้าของกันเต็มที่เลยสินะ”
ในความมืดของโพรงถ้ำผมถึงกับรู้สึกหน้าแดงขึ้นมา บ้าจริงอายุไม่ใช่น้อยๆแค่โดนแซวไม่กี่คำก็เป็นถึงขนาดนี้น่าขายหน้าชะมัด
เราสองคนหยุดบทสนทนาลงปล่อยให้ความเงียบเข้าโอบล้อมรอบกาย ปล่อยให้เวลาและบรรยากาศเก่าๆไหลเลื่อนไปอย่างช้าๆ ดื่มด่ำบรรยากาศของปลายทางแห่งการรอคอยสิบปีที่กำลังจะสิ้นสุดลง
----------------
“พักพอแล้วเราไปกันเถอะ” นายอ้วนหวังหันมาบอกกับผม “ไปรับเสี่ยวเกอด้วยกัน” ผมพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นยืน เท้าที่ถูกหินตำจนระบมรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว พวกเราสองคนแกะรอยที่เมินโหยวผิงทิ้งเอาไว้มุ่งหน้าตรงไปยังที่ตั้งของประตูสำริดอย่างเงียบเชียบด้วยเหตุการณ์เฉียดใกล้ความตายเมื่อครั้งก่อนยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำเมื่อสิบปีก่อน
ฉับพลันโพรงถ้ำขยายขนาดออกเป็นลานโล่งกว้างใหญ่ โลงเก้ามังกรทูนพระศพที่ตกลงมาเอียงกะเท่เร่ปรากฏขึ้นทางซ้ายมือ แต่เมื่อมองไปก็พบว่าเก้ามังกรตัวยักษ์ที่เคยถูกล่ามโซ่เอาไว้หายตัวไปแล้ว หินใหญ่บางก้อนยังเหลือร่องรอยจากคมกระสุนเมื่อครั้งก่อนอยู่
เมื่อพวกเรากลั้นหายใจสาดไฟฉายไปรอบกายก็พบว่าแม้แต่นกผีพวกนั้นก็หายสาบสูญไปด้วย เหลือเพียงโครงกระดูกแห้งกรังโบกสะบัดอยู่ในสายลมอุ่นจากใต้พิภพ
นายอ้วนหวังหรี่ตามองซากร่างที่อยู่สูงขึ้นไปพลางพึมพำด้วยท่าทางแปลกใจ ดูจากซากที่ถูกแขวนอยู่ใกล้ที่สุด เหมือนกับว่านกผีพวกนั้นละทิ้งสถานที่แห่งนี้ไปนานแล้ว ที่แท้แล้วในหนึ่งสิบปีนี้เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่กันแน่
ระหว่างที่นายอ้วนหวังกำลังมองหาร่องรอยของนกผีเผื่อว่ามันเกิดนึกจะย้อนกลับมากินหัวพวกเราใหม่ ผมก็มุ่งหน้าตรงไปยังประตูสำริดซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ภายใต้แสงสลัวของไฟฉายกำลังสูงในมือ
ประตูสำริดใต้พิภพขนาดยักษ์ยังคงมีรูปลักษณ์เหมือนกับในความทรงจำจองผม ทั้งการแกะสลักทั้งการปิดทับด้วยหนังมนุษย์ราดด้วยเลือดสดๆ ทุกอย่างยังอยู่ในสภาพเดิมชวนให้รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง
ผมกุมกระชับลัญจกรหยกตัวแทนแห่งคำสัญญาเอาไว้ในมือแน่น ขณะที่นายอ้วนสาวเท้ามาสมทบพร้อมกับเทียนนิรันดร์หนึ่งมัดใหญ่ๆในมือที่เตรียมพร้อมมาอย่างดี
ชั่วขณะนั้นลมเย็นเฉียบเคล้ากลิ่นอายเก่าแก่พัดผ่านมาวูบหนึ่ง แม้ร่างกายของผมจะสั่นสะท้านขึ้นด้วยความหนาวแต่ว่าในหัวใจกลับร้อนรุ่มอย่างน่าประหลาด ชวนให้นึกถึงคำที่ใครบางคนเคยกล่าวไว้ว่า ความเย็นเยียบของหิมะพันปี ไม่อาจดับไฟอันร้อนรุ่มในหัวใจได้
เวลานี้ผมรู้สึกราวกับว่าได้ถูกความปรารถนาและความหวังที่ทับถมพอกพูนมาตลอดสิบปีดุจตะกอนดินในแม่น้ำกำลังระเบิดออกท่วมท้นร่าง ลัญจกรผีในมือสั่นสะท้านขณะจรดมันลงบนบานประตูยักษ์เบื้องหน้า
เสียงแกร๊งจากการกระทบกันดังสะท้อนไปทั่ว ผมกับนายอ้วนหวังต่างก็ถอยหลบฉากไปด้านข้างกลั้นหายใจรอให้หมอกอายสีฟ้าถาโถมมาท่วมทางเดิน และรอฟังเสียงแตรเขาสัตว์ชวนขนลุกของทัพผีที่จะพาเราผ่านเข้าไปด้านในปรากฏขึ้น
ทว่าทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่คิด แม้เฝ้ารอเท่าไหร่กลับไม่มีไอหมอกและเสียงแตร ไม่มีกองทัพผี ไม่มีอะไรปรากฏขึ้นแม้เพียงอย่างเดียว
เราสองคนมองหน้ากัน ความผิดหวังถาโถมเข้ามาในหัวใจของผมอย่างไม่ให้เวลาตั้งตัว
ผมทรุดลงกับพื้น แววตาเคว้งคว้างว่างเปล่า รู้สึกเหมือนพื้นโลกใต้ฝ่าเท้าถล่มจมลง เกราะแข็งกระด้างไร้หัวใจที่สวมเอาไว้บิดบังความอ่อนแอภายในพังครืนพร้อมพัดพาเอาความรู้สึกเจ็บปวดถาโถมออกจากรอยแยกนั้นเหมือนกับเขื่อนแตก
หนึ่งสิบปีที่ผมทุ่มเททำมามีตรงไหนผิดพลาดกัน
ผมคิดย้อนไปย้อนมาทุกเรื่องที่เคยทำลงไปตลอดสิบปีเหมือนเด็กหลงทางอยู่ในเขาวงกต แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก ทุกอย่างกลับกลายเป็นความว่างเปล่า นายอ้วนมองผมนิ่ง
“บางทีเราอาจจะมาถึงก่อนเวลาก็ได้ หรือน้องเสี่ยวเกอยังใส่เสื้อผ้าไม่เสร็จ นายก็รู้ว่าคนแบบน้องเสี่ยวเกอรักหน้าตาจะตายไป เขาไม่เคยทำอะไรไม่สมบูรณ์น่า” เขาพูดติดตลก แต่ผมกลับหัวเราะไม่ออก
“เรานั่งรอหน่อยก็แล้วกัน ไหนๆไอ้นกผีกับเด็กๆลูกของกษัตริย์ว่านหนูก็ชิ่งไปหมดแล้ว คิดซะว่ามาเปลี่ยนบรรยากาศใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์กันดีกว่า”
ผมจ้องมองเขาด้วยดวงตาเลื่อนลอย “เมื่อครู่ฉันเคาะไม่แรง บางทีเมินโหยวผิงอาจจะยังไม่ได้ยิน” พูดจบก็คลานเข้าไปเคาะลัญจกรในมือลงบนประตูสำริดอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง
เสียงแกร๊ง แกร๊ง ที่สะท้อนไปมาให้ความรู้สึกหม่นมัวอย่างประหลาด ตัวผมกำลังถูกความสิ้นหวังกัดกร่อน นายอ้วนนิ่งมองผมไม่ได้เอ่ยปากห้ามปราม
เวลาผ่านไปนานหลายนาที มือที่กำรอบลัญจกรหยกชาหนึบ ผมหยุดเคาะแล้วซบหน้าลงกับท่อนแขน จมูกยังได้กลิ่นขี้นกกับกลิ่นสาบบนตัวเสื้อ หากท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ผมกลับคล้ายได้กลิ่นอบอุ่นคุ้นเคยแทรกผ่านเข้ามา
รู้สึกเหมือนมีใครบางคนกำลังเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงทุ้มที่ได้ยินซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในความฝัน น้ำเสียงนั้นเป็นสิ่งที่ชั่วชีวิตผมก็ไม่มีวันลืม ผมได้ยินเสียงแกรกกรากข้างตัวแต่ก็รู้สึกสิ้นหวังเกินจะยกศีรษะขึ้นมอง
"ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะ อู๋เสีย”
ผมนิ่งค้างรวบรวมพลังเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย เป็นเมินโหยวผิงในชุดเกราะแบบโบราณกำลังทรุดตัวนั่งอยู่ข้างๆ
ท่ามกลางความเงียบงันจนได้ยินเสียงหยดน้ำตกกระทบก้อนหินเป็นจังหวะ เราทั้งคู่สบตากัน ผมไม่กล้าเคลื่อนไหว ไม่กล้าแม้กระทั่งจะหายใจแรงด้วยกลัวว่าลมหายใจของตัวเองจะทำให้ภาพตรงหน้าพังทลายลง
เมินโหยวผิงมองท่าทางของผมพลันแย้มรอยยิ้มออกมา
“นายดูแก่ลงกว่าแต่ก่อน”
จบคำผมตัวสั่นเหมือนได้สติถลาเข้าโอบกอดร่างในชุดเกราะเก่าคร่ำคร่าเอาไว้แน่นเหมือนคนจมน้ำอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลแล้วได้พบเจอกับชูชีพอันหนึ่งลอยผ่านมา
ผมกอดเขาแน่นไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว จากนั้นจึงสัมผัสได้ว่ามือของเมินโหยวผิงกำลังลูบไล้แผ่นหลังของผมเบาๆอย่างปลอบโยนกระซิบถ้อยคำหนึ่งเบาๆ
“ฉันกลับมาแล้ว”
ผมปล่อยให้น้ำตาแห่งความคิดถึงไหลรินลงมาอย่างเงียบๆ เราสองคนกอดกันกลมอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่ผมจะโดนมือหนักตบเข้าจนหลังแทบแอ่น
“อะไรกัน เสี่ยเผลอหลับไปนิดเดียวทำไมถึงพลาดฉากประวัติศาสตร์ไปได้อ่ะ น้องเสี่ยวเกอออกมาไม่ยอมทักทายเสี่ยบ้างเลย เสี่ยรู้สึกเป็นส่วนเกินโคตรๆเลยว่ะ”
นายอ้วนหวังลอบซับน้ำตาอย่างแนบเนียนก่อนจะเข้ามาร่วมวงด้วย เราสามคนต่างกอดกันอย่างยินดีเหมือนลูกบอลเอียงๆลูกใหญ่ ผมหัวเราะออกมาทั้งที่ใบหน้ายังเปื้อนน้ำตาเหมือนกับเด็กๆ
รู้สึกเหมือนว่าได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อสิบปีก่อนที่พวกเราบุกน้ำลุยไฟค้นหาความลับดำมืดนี้ไปด้วยกัน รู้สึกว่าตัวตนอันหนักแสนหนักที่วางอยู่บนบ่าทั้งสองตลอดสิบปีถูกปลดลง คล้ายเปลือกผิวส้มที่ถูกลอกออกไปจนเหลือแต่เนื้อใน เหมือนกับจั๊กจั่นลอกคราบเก่าแข็งทิ้งไป
หากมีเมินโหยวผิงอยู่ข้างตัว ผมก็สามารถกลับเป็นอู๋เสียคนเก่าได้ อู๋เสียคนที่อ่อนแอไม่ค่อยได้เรื่องแม้ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน อู๋เสียที่ช่างสงสัยและดื้อรั้นจนพาตัวเองเข้าไปตกอยู่ในอันตรายหลายครั้งหลายครา
ที่ผ่านมา กำลังคนมากมาย อำนาจที่ได้มาและทรัพย์สินเงินท้องล้วนไม่ใช่ปรารถนาของผมแม้แต่น้อย
ปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวของผมคือได้ทำตามคำสัญญากับเมินโหยวผิง ได้พบเจอเขาอีกสักครั้ง
เวลานี้ทุกสิ่งล้วนถูกเติมเต็มแล้ว ผมจึงสามารถปล่อยมือจากทุกอย่างที่ยึดถือเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์
จากนี้ไปผมกับเขาเราจะไม่พรากจากกันอีก
เราสบตากันครู่หนึ่ง ปล่อยให้ความคิดถึงห่วงหาไหลเวียนถ่ายทอดสู่กันอย่างเงียบงัน
“ได้ตัวเสี่ยวเกอแล้วเราก็ไปกันเถอะ” นายอ้วนหวังส่งเสียงบอก ผมลุกขึ้นรู้สึกได้ว่าสายตาของเมินโหยวผิงกำลังจ้องมองมายังเสื้อผ้าของเขาที่ผมถือวิสาสะหยิบมาสวมกันความหนาว
นายอ้วนหันมาเห็นเข้าพอดีก็หัวเราะร่วน “โดนเทียนเจินแย่งเสื้อผ้ามาใส่ซะหมดเลย แบบนี้ก็ต้องเดินโทงๆไม่มีกางเกงใส่ลงไปถึงเชิงเขาโน่นเลยนะ”
“ไม่เป็นไร เพราะของสำคัญได้มาครบแล้ว” เขาพูดพร้อมส่งยิ้มอันหายากมาให้ผม
“จริงสิ” นายอ้วนทำไม้ทำมือให้พวกผมหยุดเดิน เขาวางกระเป๋าเป้ลงแล้วเริ่มรื้อค้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นโยนเสื้อผ้าชุดหนึ่งมาทางเมินโหยวผิง
“นายยังมีเสื้ออีกชุดก็ไม่บอกกัน ปล่อยให้ฉันดมขี้นกอยู่ได้ตั้งนาน” ผมร้องขึ้น” ไม่อ่ะ เทียนเจินใส่เสื้อของน้องเสี่ยวเกอแล้วดูน่ารักดีออก” ผมหน้าแดงถึงหูพูดอะไรไม่ออกปล่อยให้นายอ้วนหัวเราะพุงกระเพื่อมอย่างได้ใจ
พอเมินโหยวผิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเดินตรงเข้ามาสมทบเขาก็พูดต่อ “ไหนๆน้องเสี่ยวเกอก็มีกางเกงใส่แล้วฉันขอแวะไปห้องคราวก่อนได้ไหม ขนเครื่องหมิงออกไปซักชุดสองชุดให้มันคุ้มทุนกันหน่อย” ผมยิ้มหันไปมองเมินโหยวผิงก็พบว่าเขาพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงเห็นด้วย เราหัวเราะให้แก่กันแล้วก้าวเดินไปตามโพรงถ้ำ
เมินโหยวผิงหยุดเดินหันกลับมาจับกุมมือของผมพร้อมกระซิบถ้อยคำ
"ฉันกลับมาแล้ว"
ผมยิ้มให้เขาแล้วสอดประสานนิ้วเข้าด้วยกัน
"ยินดีต้อนรับกลับนะ"
..............................
....................
บนยอดเขาฉางไป๋ซาน
เดือนปีเคลื่อนผ่านฝังกลบอดีต
บุคคลที่สิบปีรอคอยมาเนิ่นนานได้พานพบ
สุดท้าย.....ปล่อยวางทุกสิ่งยึดจับเพียงหนึ่ง
____
Talk
ครบสิบปีแล้วว จุดพลุฉลองกับนายน้อย เข้าคอร์สฝึกเจ้าสาวครบหมดแล้วสินะคะ/ผิด
ครบสิบปีทั้งทีต้องร่วมติดแท๊กเดลี่ให้ได้ค่ะ ฮาาา ทุกคนต่างก็กลับมายืนในที่ๆตัวเองควรอยู่แล้ว แอบใจหายนิดๆเหมือนกันนะคะ แต่ยังไงก็ยังมีซาไห่กับทิเบตรอให้เราอ่านอีกเพียบ คงอีกนานกว่าจะได้รู้สึกเหงาค่ะ ฮาาา
ยังมี Side story รั่วๆต่อข้างล่างนะคะ มาฮากันเถอะ
แก้ไขล่าสุดโดย susuwatari เมื่อ Tue 18 Aug 2015, 00:07, ทั้งหมด 1 ครั้ง
susuwatari- ด้วงตำหนักหลู่หวังเจ็ดดารา
- จำนวนข้อความ : 81
Points : 3588
Join date : 27/10/2014
Re: [OS] #dmbjdaily the waiting is over : 带我回家 (Take me home) "I'm home" (ผิงเสีย ว่านวัง เฮยฮัว)
Side Story
“เดี๋ยวนะ ฉันลืมของ” เดินไปครู่หนึ่งเมินโหยวผิงก็พูดขึ้น ผมกับเสี่ยอ้วนชะงักมองตามร่างสูงโปร่งของเขาที่เดินกลับไปยังประตูสำริด เราสองคนจ้องภาพเบื้องหน้าตาแทบถลน เมื่อจู่ๆประตูสำริดเปิดออกอย่างง่ายดายแล้วเมินโหยวผิงก็เดินหายเข้าไป ประตูเลื่อนปิดสนิทดังเดิม
“เดี๋ยวก่อน” อารามตกใจผมรีบถลาตามหลังเขาไปในทันที
เสียงหนักๆดังขึ้น ประตูเปิดออกอีกครั้งท่ามกลางความงุนงงของผม ข้างในเห็นเงาตะคุมของเมินโหยวผิงคุกเข่าอยู่กับพื้นทำท่าเหมือนกำลังกวาดรวบสิ่งของอย่างหนึ่ง
ยังไม่ทันที่ผมจะส่งเสียงประตูสำริดก็ปิดลงด้านหลัง ผมตกใจเล็กน้อย แว่วเสียงโหวกเหวกโวยวายของนายอ้วนจากด้านนอก ขณะเกินเข้าไปหาเมินโหยวผิงผมก็เปิดไฟฉายส่องไปรอบๆตัวเห็นเป็นผนังหินสีดำสนิท
ยังไม่ทันไปถึงตัวเขาดีประตูสำริดก็ส่งเสียงแล้วเปิดออกอีกครั้ง นายอ้วนหวังพร้อมเทียนนิรันดร์ในมือหนึ่งกำเดินเข้ามาอย่างกล้าหาญ เขาสบตากับผมแล้วประตูก็ปิดลง
ในที่ๆความมืดเป็นอากาศรอบตัวเช่นนี้ดูเหมือนว่าไฟฉายเหมืองรุ่นล่าสุดของผมจะใช้การได้ดีกว่าเทียนนิรันดร์ไขงูจูจิ่วยี่ในมือนายอ้วนเสียอีก
เขามีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย เพราะอุตส่าห์ดั้นด้นเสี่ยงอันตรายไปจับงูมาถลกหนังลนไขมันทำเทียนด้วยตัวเอง แถมเมื่อจุดไปพักหนึ่งกลิ่นสาบๆของงูยังลอยตลบอบอวลชวนคลื่นไส้อีกต่างหาก สุดท้ายเทียนนิรันดร์ที่เตรียมการมาอย่างดีก็ถูกปาทิ้งลงพื้น
เราสองคนเดินมาหยุดข้างเมินโหยวผิงก็พบว่าเขากำลังใช้ผ้าคลุมขาดๆจากเสื้อเกราะที่ถอดทิ้งห่อวัตถุสีน้ำตาลขนาดเล็กหนึ่งกอง
“น้องเสี่ยวเกอทำไรอ่ะ”
นายอ้วนหวังถามขึ้น แต่เมินโหยวผิงไม่ได้ตอบอะไร เขาลุกขึ้นแล้วเกินนำหน้าพวกเราไปยังประตูสำริด อีกครั้งที่มันเปิดออกอย่างง่ายดายจนผมกับนายอ้วนรู้สึกสงสัย
เราสามคนเดินออกมาจากประตูบานยักษ์นั่น ผมอาศัยแสงจากไฟฉายในมือพิจารณาของในห่อผ้า พบว่าเป็นเห็ดหลินจือดอกอวบใหญ่นับสิบดอกนั่นเอง ผมมองหน้าเขาอย่างงุนงง
“จะเอาไปของขวัญสู่ขอนายจากอาปาอามา” คำตอบเรียบง่ายที่ได้รับทำเอาผมถึงกับชะงัก นายอ้วนหวังชะโงกเข้ามาดูก็ร้องเสียงดัง “นี่มันเห็ดหลินจือพันปีนี่นา น้องเสี่ยวเกอเก็บมาจากตรงไหนเดี๋ยวเสี่ยจะไปเก็บมาบ้าง” ขาดคำเขาก็ถอยหลังก้าวหนึ่ง ประตูสำริดพลันส่งเสียงแล้วเปิดอ้าออกกว้าง
นายอ้วนจ้องมองบานประตูยักษ์ตาแทบถลนพร้อมสบถออกมา “เชี่ยแม่ง นี่ประตูสำริดรึประตูอัตโนมัติในห้างกันวะ วังฉางไห่รู้จักติดตั้งเซนเซอร์บนคานประตูตั้งแต่เมื่อไหร่”
สุดท้ายเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีของนายอ้วนหวังเราก็เดินๆถอยๆอยู่หน้าประตูสำริดอัตโนมัติหลายสิบรอบ ระหว่างนั้นเมินโหยวผิงก็ลอบคิดถึงอาหารที่จะทำให้พ่อตาแม่ยายกินหลังลงจากฉางไป๋ซานไปคารวะไม่ได้
เห็ดหลินจือตุ๋นตะขาบดีไหมหรือสเต๊กสมองลิง หรือจะเป็นปีกนกยักษ์น้ำแดง
อืม น่าจะต้องแวะหาวัตถุดิบระหว่างทางก่อน หวังว่าจะยังมีตกค้างอยู่แถวนี้บ้างสักตัวสองตัวนะ
---------------------------
คิงว่านเวอร์ชั่น
หลังจากตำหนักทิพย์พิมานเมฆกลับเข้าสู่ความเงียบสงบอีกครั้งประตูสำริดยักษ์ก็พลันเปิดขึ้น ร่างกายกำยำสูงใหญ่แบบคนโบราณในชุดเครื่องทรงเต็มยศปล่อยผมยาวสีดำก้าวเดินอย่างงามสง่าออกมา
“เวลา..ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วหรือ ทำไมวังฉางไห่ยังไม่มาอีก”
กษัตริย์ว่านหนูบ่นพลางเหลียวมองไปรอบตัวจากนั้นจึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังสะท้อนไปทั่วทุกโพรงถ้ำ “ลูกๆข้าล่ะ เสี่ยวหลิน เสี่ยวมี่ เสี่ยงเฉิงมาหาพ่อเร็ววว”
หากสิ่งที่ตอบกลับมาคือความเงียบงัน ไม่ใช่เสียงฝีเท้าแกรกกรากอย่างยินดีเหมือนที่เคย
กษัตริย์ว่านหนูส่งเสียงเรียกอีกครั้งแต่ผลลัพธ์ก็ยังไม่เปลี่ยน
“แม้แต่ลูกๆข้าก็หนีตามแม่ของเจ้าไปหมดแล้ว โถ่เอ้ย วังฉางไห่ที่รักเลิกงอนข้าสักทีเถอะ” กษัตริย์ว่านหนูครวญ เขาหมุนตัวไปทางซ้าย พลันเท้าข้างหนึ่งก็เหยียบลงบนกองขี้เถ้าเก่ากองหนึ่ง กลิ่นคุ้นเคยลอยฟุ้งขึ้นมา เมื่อลองใช้เท้าเขี่ยดูก็พบว่าในกองนี้มีเหล็กแหลมถูกทิ้งไว้หลายอัน ข้างๆกันมีหม้อเก่าๆอีกใบหนึ่ง ในหม้อมีร่องรอยการใช้งานอย่างโชกโชน ขอบเป็นสีแดงทั่วกันของเครื่องปรุงผสมพริกรสจัดจ้าน รอบๆมีเปลือกแตกร่วนอยู่เต็มไปหมด
กษัตริย์ว่านหนูซวนเซถอยหลัง เท้าเหยียบโดนกระดูกสัตว์ปีกขนาดใหญ่เข้า เมื่อหันไปดูก็พบว่าพื้นที่อยู่ต่ำลงไปต่างก็กองสุมด้วยกระดูกไม่ต่างกัน
“ม่ายยยย เมินโหยวผิงเจ้าทำอะไรลูกข้าาาาา”
“เจ้าบังอาจจับลูกข้ากินหมดอย่างนั้นหรือ ข้าจะแก้แค้นเจ้า โถ เสี่ยวลี่น้อยๆของพ่อ”
ระหว่างที่กำลังคร่ำครวญ ก็มีเสียงหน่ายๆดังขึ้น “กินเกลี้ยงน่ะดีแล้ว ข้าเบื่อเจ้าตัวพวกนี้จะแย่ ไม่มีพวกมันอากาศสดชื่นขึ้นเยอะ” กษัตริย์ว่านหนูจากที่คอตกกลับเปลี่ยนสีหน้า เขาพุ่งไปกอดร่างโปร่งที่ยืนอยู่กลางโถง
“วังฉางไห่เจ้ากลับมาหาข้าแล้วจริงๆ”
คนในอ้อมแขนที่ไม่ได้เจอกันนานแสนนานนั้นยังคงมีใบหน้างดงามไม่มีเปลี่ยน “หยุดกอดข้าแล้วรีบๆออกไปกันเถอะ ข้าไม่ถูกกับอากาศอับๆในนี้เลย”
“ดะ...เดี๋ยวก่อน”
“อะไรของท่านอีก” วังฉางไห่หันกลับมาด้วยสีหน้าหงุดหงิด กว่าจะแก้เรื่องยุ่งยากพวกนี้ได้เขาแทบจะหงอกขึ้นหัวอยู่แล้ว “ยังจะมาเดี๋ยวอะไรอีก”
“คือ..ในตำหนักทิพย์นี้ตัวข้าจะมีพลังอำนาจสูงสุด” คนฟังทำหน้าเบื่อหน่าย
“แล้วยังไง”
“ก็ลูกของข้าตายไปหมดแล้ว”
“ก็ดีนี่”
“แต่ข้าเหงานี่นา”
“มัวพิรี้พิไรอะไรกันหนักหนา มีอะไรจะพูดก็พูดมาตรงๆเลย ข้าเบื่อฟัง” วังฉางไห่แยกเขี้ยวใส่ด้วยอารมณ์รำคาญเต็มแก่
“ข้าอยากให้เจ้าตั้งท้องลูกให้ข้าซักคนก่อนออกไป ถ้าเป็นที่นี่จะต้องสำเร็จแน่นอน”
“ห๊ะ” วังฉางไห่ถลึงตา ริ้วสีแดงพาดผ่านแก้มเลยไปถึงใบหู แต่ดูท่ากษัตริย์ว่านหนูจะไม่สนอะไรทั้งนั้น
“ข้าไม่....อ๊ะ อย่าทึ้งเสื้อข้าสิ”
“ท่านบ้าไปแล้วรึไงข้าจะท้องได้...อื้อ ตรงนั้นไม่เอา ปล่อยข้า...อ๊า เบา...เบาหน่อย”
วังฉางไห่ที่ตกเป็นฝ่ายถูกกระทำได้แต่ครางไปนึกเคียดแค้นอยู่ในใจ
"แค้นนี้ต้องชำระแน่ๆ กษัตริย์ว่านหนูท่านจะต้องชดใช้"
...................
.................
/จบเถอะ สงสารคิง เดี๋ยวโดนเหยียบแบนแน่ๆ
____
เสี่ยวฮัวกับนายเฮย
“คุณชายเซี่ยครับ” เสียงเรียกเบาๆดังขึ้นจากข้างตัว แม้จะแสดงทีท่าว่าไม่สนใจแต่กลับตั้งใจฟังคำพูดของอีกฝ่าย “อู๋เสียคง....ไม่กลับมาหาพวกเราแล้วล่ะครับ” คนพูดลดเสียงลงพยายามเลือกใช้คำกลางๆไม่ให้ทำร้ายความรู้สึกของคนสวยที่กำลังนั่งสูบบุหรี่บนกระโปรงรถขับเคลื่อนสี่ล้อ
“เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้ว”
เซี่ยอวี่ฮัวเอ่ยตอบด้วยท่าทีสบายๆ “แล้วคุณชายไม่.....” คนใส่แว่นดำข้างตัวทำท่าจะถามด้วยท่าทางประหลาดใจแต่กลับถูกชายหนุ่มขัดขึ้นเสียก่อน “ก็ไม่อะไรทั้งนั้น เสี่ยวเกอกับอู๋เสียผูกพันธ์กันขนาดนั้นแม้แต่เด็กสามขวบก็ดูออกว่าแท้จริงพวกเขารู้สึกยังไงต่อกัน”
“แล้วก็นะ...”
เซี่ยอวี่ฮัวพูดยังไม่ทันจบเฮยเสียจื่อก็โอบเอวเขาอย่างถือวิสาสะ "จะเกิดอะไรขึ้นคุณชายก็ยังมีผมอยู่นะครับ" คนถูกโอบปรายตามองอีกฝ่ายแล้วทำท่าเบื่อหน่าย
"เฮยเสียจื่อ มือน่ะ" คนฟังทำท่าไม่เข้าใจแต่มือที่โอบเอวอยู่กลับขยับลูบไล้ส่วนโค้งเว้าไปมาไม่หยุด
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บิดตัวสลัดมือปลาหมึกซึ่งเลื้อยไปเลื้อยมาอยู่ตรงช่วงเอวอย่างรำคาญสุดท้ายอดไม่ได้ยันอีกฝ่ายเข้าโครมใหญ่ “น่ารำคาญชะมัด ไม่ต้องรู้มันจะดีกว่าไม๊” เสียงเฉียบขาดบ่งบอกว่าคุณชายเซี่ยกำลังหงุดหงิดเต็มที่
“คุณชายอย่าทำร้ายผมแบบนี้สิครับ นี่ผมกำลังปลอบคุณอยู่นะครับ ไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่นเลย” ท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเฮยเสียจื่อทำให้คนมองรู้สึกว่าเส้นเลือดตรงขมับกำลังเต้นตุบๆแทบจะทะลุผิวหนังออกมา สุดท้ายเซี่ยอวี่ฮัวเลยคว้าคอเสื้อกระชากให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้
"ที่ฉันทำไป...นายไม่รู้สึกหึงหน่อยเหรอ"
พูดจบประโยคดวงตาหวังแว่นสีชาเปล่งประกายวาววับ อาศัยทีเผลอลอบสอดเข้าไปสัมผัสผิวเนื้ออุ่นเรียบลื่นของคนตรงหน้า
"เฮย เสีย จื่อ"
"ครับผม"
เจ้าของชื่อฉีกยิ้มกว้างแต่ยังไม่หยุดมือ "ฉันไม่โรคจิตนิยมกลางแจ้งหรอกนะ" สมองที่เต็มไปด้วยเรื่องหื่นๆประมวลผลอย่างรวดเร็วเหมือนซูเปอร์คอมพิวเตอร์ สองตาโฟกัสเข้ากับภายในรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่ติดฟิล์มหนาทึบ รอยยิ้มหื่นกระหายประทับอยู่ตรงมุมปาก
"จัดให้ครับคุณชาย"
จบคำก็อุ้มร่างผอมของเซี่ยอวี้ฮัวยัดเข้าไปในรถแล้วเริ่มเปลื้องผ้าอีกฝ่ายพลางนึก นานๆทีเปลี่ยนบรรยากาศมั่งก็คึกคักดีเหมือนกัน
/พอเถอะ ทำไมยิ่งแต่งแว่นยิ่งดูไม่ค่อยเป็นคน....ตกลงแว่นเป็นอะไร
-------------
Talk
แต่งอย่างไร้สติ หวังว่าจะฮากันนะคะ
เอ๊ะ รู้สึกเหมือนลืมใครไปคนนึง....ใครน๊า ที่ใส่แว่นใส่ตุ้มหูด้วย แหม่นึกไม่ค่อยออกเลย ฮา
“เดี๋ยวนะ ฉันลืมของ” เดินไปครู่หนึ่งเมินโหยวผิงก็พูดขึ้น ผมกับเสี่ยอ้วนชะงักมองตามร่างสูงโปร่งของเขาที่เดินกลับไปยังประตูสำริด เราสองคนจ้องภาพเบื้องหน้าตาแทบถลน เมื่อจู่ๆประตูสำริดเปิดออกอย่างง่ายดายแล้วเมินโหยวผิงก็เดินหายเข้าไป ประตูเลื่อนปิดสนิทดังเดิม
“เดี๋ยวก่อน” อารามตกใจผมรีบถลาตามหลังเขาไปในทันที
เสียงหนักๆดังขึ้น ประตูเปิดออกอีกครั้งท่ามกลางความงุนงงของผม ข้างในเห็นเงาตะคุมของเมินโหยวผิงคุกเข่าอยู่กับพื้นทำท่าเหมือนกำลังกวาดรวบสิ่งของอย่างหนึ่ง
ยังไม่ทันที่ผมจะส่งเสียงประตูสำริดก็ปิดลงด้านหลัง ผมตกใจเล็กน้อย แว่วเสียงโหวกเหวกโวยวายของนายอ้วนจากด้านนอก ขณะเกินเข้าไปหาเมินโหยวผิงผมก็เปิดไฟฉายส่องไปรอบๆตัวเห็นเป็นผนังหินสีดำสนิท
ยังไม่ทันไปถึงตัวเขาดีประตูสำริดก็ส่งเสียงแล้วเปิดออกอีกครั้ง นายอ้วนหวังพร้อมเทียนนิรันดร์ในมือหนึ่งกำเดินเข้ามาอย่างกล้าหาญ เขาสบตากับผมแล้วประตูก็ปิดลง
ในที่ๆความมืดเป็นอากาศรอบตัวเช่นนี้ดูเหมือนว่าไฟฉายเหมืองรุ่นล่าสุดของผมจะใช้การได้ดีกว่าเทียนนิรันดร์ไขงูจูจิ่วยี่ในมือนายอ้วนเสียอีก
เขามีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย เพราะอุตส่าห์ดั้นด้นเสี่ยงอันตรายไปจับงูมาถลกหนังลนไขมันทำเทียนด้วยตัวเอง แถมเมื่อจุดไปพักหนึ่งกลิ่นสาบๆของงูยังลอยตลบอบอวลชวนคลื่นไส้อีกต่างหาก สุดท้ายเทียนนิรันดร์ที่เตรียมการมาอย่างดีก็ถูกปาทิ้งลงพื้น
เราสองคนเดินมาหยุดข้างเมินโหยวผิงก็พบว่าเขากำลังใช้ผ้าคลุมขาดๆจากเสื้อเกราะที่ถอดทิ้งห่อวัตถุสีน้ำตาลขนาดเล็กหนึ่งกอง
“น้องเสี่ยวเกอทำไรอ่ะ”
นายอ้วนหวังถามขึ้น แต่เมินโหยวผิงไม่ได้ตอบอะไร เขาลุกขึ้นแล้วเกินนำหน้าพวกเราไปยังประตูสำริด อีกครั้งที่มันเปิดออกอย่างง่ายดายจนผมกับนายอ้วนรู้สึกสงสัย
เราสามคนเดินออกมาจากประตูบานยักษ์นั่น ผมอาศัยแสงจากไฟฉายในมือพิจารณาของในห่อผ้า พบว่าเป็นเห็ดหลินจือดอกอวบใหญ่นับสิบดอกนั่นเอง ผมมองหน้าเขาอย่างงุนงง
“จะเอาไปของขวัญสู่ขอนายจากอาปาอามา” คำตอบเรียบง่ายที่ได้รับทำเอาผมถึงกับชะงัก นายอ้วนหวังชะโงกเข้ามาดูก็ร้องเสียงดัง “นี่มันเห็ดหลินจือพันปีนี่นา น้องเสี่ยวเกอเก็บมาจากตรงไหนเดี๋ยวเสี่ยจะไปเก็บมาบ้าง” ขาดคำเขาก็ถอยหลังก้าวหนึ่ง ประตูสำริดพลันส่งเสียงแล้วเปิดอ้าออกกว้าง
นายอ้วนจ้องมองบานประตูยักษ์ตาแทบถลนพร้อมสบถออกมา “เชี่ยแม่ง นี่ประตูสำริดรึประตูอัตโนมัติในห้างกันวะ วังฉางไห่รู้จักติดตั้งเซนเซอร์บนคานประตูตั้งแต่เมื่อไหร่”
สุดท้ายเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีของนายอ้วนหวังเราก็เดินๆถอยๆอยู่หน้าประตูสำริดอัตโนมัติหลายสิบรอบ ระหว่างนั้นเมินโหยวผิงก็ลอบคิดถึงอาหารที่จะทำให้พ่อตาแม่ยายกินหลังลงจากฉางไป๋ซานไปคารวะไม่ได้
เห็ดหลินจือตุ๋นตะขาบดีไหมหรือสเต๊กสมองลิง หรือจะเป็นปีกนกยักษ์น้ำแดง
อืม น่าจะต้องแวะหาวัตถุดิบระหว่างทางก่อน หวังว่าจะยังมีตกค้างอยู่แถวนี้บ้างสักตัวสองตัวนะ
---------------------------
คิงว่านเวอร์ชั่น
หลังจากตำหนักทิพย์พิมานเมฆกลับเข้าสู่ความเงียบสงบอีกครั้งประตูสำริดยักษ์ก็พลันเปิดขึ้น ร่างกายกำยำสูงใหญ่แบบคนโบราณในชุดเครื่องทรงเต็มยศปล่อยผมยาวสีดำก้าวเดินอย่างงามสง่าออกมา
“เวลา..ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วหรือ ทำไมวังฉางไห่ยังไม่มาอีก”
กษัตริย์ว่านหนูบ่นพลางเหลียวมองไปรอบตัวจากนั้นจึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังสะท้อนไปทั่วทุกโพรงถ้ำ “ลูกๆข้าล่ะ เสี่ยวหลิน เสี่ยวมี่ เสี่ยงเฉิงมาหาพ่อเร็ววว”
หากสิ่งที่ตอบกลับมาคือความเงียบงัน ไม่ใช่เสียงฝีเท้าแกรกกรากอย่างยินดีเหมือนที่เคย
กษัตริย์ว่านหนูส่งเสียงเรียกอีกครั้งแต่ผลลัพธ์ก็ยังไม่เปลี่ยน
“แม้แต่ลูกๆข้าก็หนีตามแม่ของเจ้าไปหมดแล้ว โถ่เอ้ย วังฉางไห่ที่รักเลิกงอนข้าสักทีเถอะ” กษัตริย์ว่านหนูครวญ เขาหมุนตัวไปทางซ้าย พลันเท้าข้างหนึ่งก็เหยียบลงบนกองขี้เถ้าเก่ากองหนึ่ง กลิ่นคุ้นเคยลอยฟุ้งขึ้นมา เมื่อลองใช้เท้าเขี่ยดูก็พบว่าในกองนี้มีเหล็กแหลมถูกทิ้งไว้หลายอัน ข้างๆกันมีหม้อเก่าๆอีกใบหนึ่ง ในหม้อมีร่องรอยการใช้งานอย่างโชกโชน ขอบเป็นสีแดงทั่วกันของเครื่องปรุงผสมพริกรสจัดจ้าน รอบๆมีเปลือกแตกร่วนอยู่เต็มไปหมด
กษัตริย์ว่านหนูซวนเซถอยหลัง เท้าเหยียบโดนกระดูกสัตว์ปีกขนาดใหญ่เข้า เมื่อหันไปดูก็พบว่าพื้นที่อยู่ต่ำลงไปต่างก็กองสุมด้วยกระดูกไม่ต่างกัน
“ม่ายยยย เมินโหยวผิงเจ้าทำอะไรลูกข้าาาาา”
“เจ้าบังอาจจับลูกข้ากินหมดอย่างนั้นหรือ ข้าจะแก้แค้นเจ้า โถ เสี่ยวลี่น้อยๆของพ่อ”
ระหว่างที่กำลังคร่ำครวญ ก็มีเสียงหน่ายๆดังขึ้น “กินเกลี้ยงน่ะดีแล้ว ข้าเบื่อเจ้าตัวพวกนี้จะแย่ ไม่มีพวกมันอากาศสดชื่นขึ้นเยอะ” กษัตริย์ว่านหนูจากที่คอตกกลับเปลี่ยนสีหน้า เขาพุ่งไปกอดร่างโปร่งที่ยืนอยู่กลางโถง
“วังฉางไห่เจ้ากลับมาหาข้าแล้วจริงๆ”
คนในอ้อมแขนที่ไม่ได้เจอกันนานแสนนานนั้นยังคงมีใบหน้างดงามไม่มีเปลี่ยน “หยุดกอดข้าแล้วรีบๆออกไปกันเถอะ ข้าไม่ถูกกับอากาศอับๆในนี้เลย”
“ดะ...เดี๋ยวก่อน”
“อะไรของท่านอีก” วังฉางไห่หันกลับมาด้วยสีหน้าหงุดหงิด กว่าจะแก้เรื่องยุ่งยากพวกนี้ได้เขาแทบจะหงอกขึ้นหัวอยู่แล้ว “ยังจะมาเดี๋ยวอะไรอีก”
“คือ..ในตำหนักทิพย์นี้ตัวข้าจะมีพลังอำนาจสูงสุด” คนฟังทำหน้าเบื่อหน่าย
“แล้วยังไง”
“ก็ลูกของข้าตายไปหมดแล้ว”
“ก็ดีนี่”
“แต่ข้าเหงานี่นา”
“มัวพิรี้พิไรอะไรกันหนักหนา มีอะไรจะพูดก็พูดมาตรงๆเลย ข้าเบื่อฟัง” วังฉางไห่แยกเขี้ยวใส่ด้วยอารมณ์รำคาญเต็มแก่
“ข้าอยากให้เจ้าตั้งท้องลูกให้ข้าซักคนก่อนออกไป ถ้าเป็นที่นี่จะต้องสำเร็จแน่นอน”
“ห๊ะ” วังฉางไห่ถลึงตา ริ้วสีแดงพาดผ่านแก้มเลยไปถึงใบหู แต่ดูท่ากษัตริย์ว่านหนูจะไม่สนอะไรทั้งนั้น
“ข้าไม่....อ๊ะ อย่าทึ้งเสื้อข้าสิ”
“ท่านบ้าไปแล้วรึไงข้าจะท้องได้...อื้อ ตรงนั้นไม่เอา ปล่อยข้า...อ๊า เบา...เบาหน่อย”
วังฉางไห่ที่ตกเป็นฝ่ายถูกกระทำได้แต่ครางไปนึกเคียดแค้นอยู่ในใจ
"แค้นนี้ต้องชำระแน่ๆ กษัตริย์ว่านหนูท่านจะต้องชดใช้"
...................
.................
/จบเถอะ สงสารคิง เดี๋ยวโดนเหยียบแบนแน่ๆ
____
เสี่ยวฮัวกับนายเฮย
“คุณชายเซี่ยครับ” เสียงเรียกเบาๆดังขึ้นจากข้างตัว แม้จะแสดงทีท่าว่าไม่สนใจแต่กลับตั้งใจฟังคำพูดของอีกฝ่าย “อู๋เสียคง....ไม่กลับมาหาพวกเราแล้วล่ะครับ” คนพูดลดเสียงลงพยายามเลือกใช้คำกลางๆไม่ให้ทำร้ายความรู้สึกของคนสวยที่กำลังนั่งสูบบุหรี่บนกระโปรงรถขับเคลื่อนสี่ล้อ
“เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้ว”
เซี่ยอวี่ฮัวเอ่ยตอบด้วยท่าทีสบายๆ “แล้วคุณชายไม่.....” คนใส่แว่นดำข้างตัวทำท่าจะถามด้วยท่าทางประหลาดใจแต่กลับถูกชายหนุ่มขัดขึ้นเสียก่อน “ก็ไม่อะไรทั้งนั้น เสี่ยวเกอกับอู๋เสียผูกพันธ์กันขนาดนั้นแม้แต่เด็กสามขวบก็ดูออกว่าแท้จริงพวกเขารู้สึกยังไงต่อกัน”
“แล้วก็นะ...”
เซี่ยอวี่ฮัวพูดยังไม่ทันจบเฮยเสียจื่อก็โอบเอวเขาอย่างถือวิสาสะ "จะเกิดอะไรขึ้นคุณชายก็ยังมีผมอยู่นะครับ" คนถูกโอบปรายตามองอีกฝ่ายแล้วทำท่าเบื่อหน่าย
"เฮยเสียจื่อ มือน่ะ" คนฟังทำท่าไม่เข้าใจแต่มือที่โอบเอวอยู่กลับขยับลูบไล้ส่วนโค้งเว้าไปมาไม่หยุด
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บิดตัวสลัดมือปลาหมึกซึ่งเลื้อยไปเลื้อยมาอยู่ตรงช่วงเอวอย่างรำคาญสุดท้ายอดไม่ได้ยันอีกฝ่ายเข้าโครมใหญ่ “น่ารำคาญชะมัด ไม่ต้องรู้มันจะดีกว่าไม๊” เสียงเฉียบขาดบ่งบอกว่าคุณชายเซี่ยกำลังหงุดหงิดเต็มที่
“คุณชายอย่าทำร้ายผมแบบนี้สิครับ นี่ผมกำลังปลอบคุณอยู่นะครับ ไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่นเลย” ท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเฮยเสียจื่อทำให้คนมองรู้สึกว่าเส้นเลือดตรงขมับกำลังเต้นตุบๆแทบจะทะลุผิวหนังออกมา สุดท้ายเซี่ยอวี่ฮัวเลยคว้าคอเสื้อกระชากให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้
"ที่ฉันทำไป...นายไม่รู้สึกหึงหน่อยเหรอ"
พูดจบประโยคดวงตาหวังแว่นสีชาเปล่งประกายวาววับ อาศัยทีเผลอลอบสอดเข้าไปสัมผัสผิวเนื้ออุ่นเรียบลื่นของคนตรงหน้า
"เฮย เสีย จื่อ"
"ครับผม"
เจ้าของชื่อฉีกยิ้มกว้างแต่ยังไม่หยุดมือ "ฉันไม่โรคจิตนิยมกลางแจ้งหรอกนะ" สมองที่เต็มไปด้วยเรื่องหื่นๆประมวลผลอย่างรวดเร็วเหมือนซูเปอร์คอมพิวเตอร์ สองตาโฟกัสเข้ากับภายในรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่ติดฟิล์มหนาทึบ รอยยิ้มหื่นกระหายประทับอยู่ตรงมุมปาก
"จัดให้ครับคุณชาย"
จบคำก็อุ้มร่างผอมของเซี่ยอวี้ฮัวยัดเข้าไปในรถแล้วเริ่มเปลื้องผ้าอีกฝ่ายพลางนึก นานๆทีเปลี่ยนบรรยากาศมั่งก็คึกคักดีเหมือนกัน
/พอเถอะ ทำไมยิ่งแต่งแว่นยิ่งดูไม่ค่อยเป็นคน....ตกลงแว่นเป็นอะไร
-------------
Talk
แต่งอย่างไร้สติ หวังว่าจะฮากันนะคะ
เอ๊ะ รู้สึกเหมือนลืมใครไปคนนึง....ใครน๊า ที่ใส่แว่นใส่ตุ้มหูด้วย แหม่นึกไม่ค่อยออกเลย ฮา
แก้ไขล่าสุดโดย susuwatari เมื่อ Tue 18 Aug 2015, 12:02, ทั้งหมด 1 ครั้ง
susuwatari- ด้วงตำหนักหลู่หวังเจ็ดดารา
- จำนวนข้อความ : 81
Points : 3588
Join date : 27/10/2014
Re: [OS] #dmbjdaily the waiting is over : 带我回家 (Take me home) "I'm home" (ผิงเสีย ว่านวัง เฮยฮัว)
ฉากพบกันนั้นอ่านกี่ทีก็ซึ้งใจ เค้าเจอกันแล้ว ฮิ้ววววว
นายน้อยคะ เตรียมรอขันหมากของเสี่ยวเกอได้เลย
ขำแรงมากเลยไม่คิดว่าเห็ดจะออกมา ฮาๆๆๆ แล้วเมนูที่เสี่ยวเกอคิดนี้คือ...เคล็ดลับหน้าอ่อนวัยรึเปล่าคะ
กษัตริย์ว่านหนูก็นะ ดีละที่เสี่ยวเกอเก็บลูกท่านไปกินหมด ไม่งั้นนายน้อยเข้ามาคงลำบาก
เอ๊ะหรือจริงๆ เป็นท่านวังฉางไห่บอกให้เสี่ยวเกอจัดการแลกกับการติดตั้งเซ็นเซอร์ที่ประตูกันนะ ฮาๆๆๆ
งานนี้ออกไปว่านวังไปอยู่กันที่ไหนคะ แต่คงไม่เหงาก็จะมีทายาทตัวน้อยมาวิ่งเล่นนิเนอะ อิอิ
ฮุๆๆ คุณชายเก้านี่จริงๆเลย อยากให้เค้าหึงอะตัว อร้ายยยยยย
พี่เฮยก็นะจริงๆก็หึงอะดิ แต่ไม่แสดงออกเอาแต่ยิ้ม นายแว่นเป็นหม้อคะ เอ๊ะหรือปลาหมึกด้วย ฮาๆๆ
ใครกันคะคนที่ใส่ตุ้มหู ใช่ที่พูด ตะ ตะ ติด อะ อ่าง รึเปล่านะ
ฮาๆๆๆๆๆๆๆๆ
นายน้อยคะ เตรียมรอขันหมากของเสี่ยวเกอได้เลย
ขำแรงมากเลยไม่คิดว่าเห็ดจะออกมา ฮาๆๆๆ แล้วเมนูที่เสี่ยวเกอคิดนี้คือ...เคล็ดลับหน้าอ่อนวัยรึเปล่าคะ
กษัตริย์ว่านหนูก็นะ ดีละที่เสี่ยวเกอเก็บลูกท่านไปกินหมด ไม่งั้นนายน้อยเข้ามาคงลำบาก
เอ๊ะหรือจริงๆ เป็นท่านวังฉางไห่บอกให้เสี่ยวเกอจัดการแลกกับการติดตั้งเซ็นเซอร์ที่ประตูกันนะ ฮาๆๆๆ
งานนี้ออกไปว่านวังไปอยู่กันที่ไหนคะ แต่คงไม่เหงาก็จะมีทายาทตัวน้อยมาวิ่งเล่นนิเนอะ อิอิ
ฮุๆๆ คุณชายเก้านี่จริงๆเลย อยากให้เค้าหึงอะตัว อร้ายยยยยย
พี่เฮยก็นะจริงๆก็หึงอะดิ แต่ไม่แสดงออกเอาแต่ยิ้ม นายแว่นเป็นหม้อคะ เอ๊ะหรือปลาหมึกด้วย ฮาๆๆ
ใครกันคะคนที่ใส่ตุ้มหู ใช่ที่พูด ตะ ตะ ติด อะ อ่าง รึเปล่านะ
ฮาๆๆๆๆๆๆๆๆ
Luckey.B- ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา
- จำนวนข้อความ : 102
Points : 3305
Join date : 20/07/2015
ที่อยู่ : ใต้ถุนบ้านสกุลจาง ใต้ดินบ้านอาสาม
Re: [OS] #dmbjdaily the waiting is over : 带我回家 (Take me home) "I'm home" (ผิงเสีย ว่านวัง เฮยฮัว)
เดี๊ยววววววว นี่พี่ท่านเก็บเห็ดกินอยู่หลังประตูจริงเหรอเนี่ย สงสัยมาตั้งนาน วันนี้ได้รับความกระจ่างเสียที 5555555
กร๊ากกกกก ว่าละตะขาบนกลิงหายไปไหน
ตั้งสิบปีแล้วนะ โดนเสี่ยวเกอจับแดกเกลี้ยงสุสาน ดีนะที่ไม่มีด้วง ฟฟฟฟ
แล้วไอถอยเข้าๆออกๆหน้าประตูสำริดคืออัลไลลลลล 55555555555
มโนแล้วน่าเกลียดมาก ผู้ชายตัวโตๆสามคนเล่นประตูอัตโนมัติหน้าเซเว่น แงงงงง5555555
กร๊ากกกกก ว่าละตะขาบนกลิงหายไปไหน
ตั้งสิบปีแล้วนะ โดนเสี่ยวเกอจับแดกเกลี้ยงสุสาน ดีนะที่ไม่มีด้วง ฟฟฟฟ
แล้วไอถอยเข้าๆออกๆหน้าประตูสำริดคืออัลไลลลลล 55555555555
มโนแล้วน่าเกลียดมาก ผู้ชายตัวโตๆสามคนเล่นประตูอัตโนมัติหน้าเซเว่น แงงงงง5555555
Rozenkreuz- ด้วงอาณาจักรเจ้าแม่ซีหวังหมู่
- จำนวนข้อความ : 625
Points : 3847
Join date : 01/07/2015
Age : 31
ที่อยู่ : กองทัพผีเก็บเห็ดแห่งประตูสำริด
Re: [OS] #dmbjdaily the waiting is over : 带我回家 (Take me home) "I'm home" (ผิงเสีย ว่านวัง เฮยฮัว)
555เสี่ยวเกอเก็บเห็ด เห็ดพันปีซะด้วย
yakusoku- ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
- จำนวนข้อความ : 369
Points : 3829
Join date : 05/11/2014
ที่อยู่ : โลงในสุสานโบราณ
Re: [OS] #dmbjdaily the waiting is over : 带我回家 (Take me home) "I'm home" (ผิงเสีย ว่านวัง เฮยฮัว)
[b]ทิ้งเสื้อผ้าเอาไว้เป็นคนปกติทั่วไปใครจะกล้าหยิบขึ้นมาใส่ มีแต่นายเท่านั้นล่ะ น้องเสี่ยวเกอรู้ใจนายไง นี่กะแสดงความเจ้าของกันเต็มที่เลยสินะ[/b] พิมพ์ว่า:
โอยยย กรี๊ดกับประโยคนี้มากค่ะ /กุมอก ฮื้ออออ อ้อมกอดของเสี่ยวเกอที่ตามติด
เรื่องหลักหน่วงๆพิกลแต่เขียน side story ออกมาได้ก๊าวใจด้วงมากเหลือเกินค่ะคุณขา แงวววว น่ารักมากเลยอ่ะ ขำกับมุกของทุกคู่เลย โดยเฉพาะที่เสี่ยวเกอจับสัตว์ประหลาดกินหมดดูแล้วโครตเป็นไปได้มากๆ แหมก็อยู่ในนั้นมันคงหิวนี่นะ
Re: [OS] #dmbjdaily the waiting is over : 带我回家 (Take me home) "I'm home" (ผิงเสีย ว่านวัง เฮยฮัว)
เดี๋ยวๆๆๆ เสี่ยวเกอดำรงขีพหลังประตูแบบนี้เองเรอะ
//สรั่ลลลลลลลลล
ออกมาคราวนี้ต้องจับตรวจแล้วนะนายน้อย
กินไปขนาดนั้น ทั้งตะขาบ ทั้งนก ทั้งเห็ด(?)
เลือดจะต้องมีคุณสมบัติเพิ่มขึ้นแน่ๆ
ดีไม่ดีจะเป็นยาอายุวัฒนะ -แค่ก-
ลั่นทุกมุกจริงแบบบ แงงงง ขามมมมมมม
อีคู่หลังๆก็ขำ คิงว่านกับนายช่างงี้ สอง ฮ. งี้
ชอบค่
//สรั่ลลลลลลลลล
ออกมาคราวนี้ต้องจับตรวจแล้วนะนายน้อย
กินไปขนาดนั้น ทั้งตะขาบ ทั้งนก ทั้งเห็ด(?)
เลือดจะต้องมีคุณสมบัติเพิ่มขึ้นแน่ๆ
ดีไม่ดีจะเป็นยาอายุวัฒนะ -แค่ก-
ลั่นทุกมุกจริงแบบบ แงงงง ขามมมมมมม
อีคู่หลังๆก็ขำ คิงว่านกับนายช่างงี้ สอง ฮ. งี้
ชอบค่
The_Dark_Lady- ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
- จำนวนข้อความ : 301
Points : 3633
Join date : 21/06/2015
Age : 29
ที่อยู่ : On the Land, Below the sky
Re: [OS] #dmbjdaily the waiting is over : 带我回家 (Take me home) "I'm home" (ผิงเสีย ว่านวัง เฮยฮัว)
susuwatari พิมพ์ว่า:“ก็ทิ้งเสื้อผ้าเอาไว้เป็นคนปกติทั่วไปใครจะกล้าหยิบขึ้นมาใส่ มีแต่นายเท่านั้นล่ะ น้องเสี่ยวเกอรู้ใจนายไง นี่กะแสดงความเจ้าของกันเต็มที่เลยสินะ”
ให้ตายสิ! แค่หยิบเสื้อมาใส่นี่ก็กาวมากแล้วนะ เจอประโยคนี้เข้าไปนี่แบบ 1))&$@$$^!)_812%$@%$! กรี๊ดสิคะรออะไร!! ไม่ไหวแล้ว ฟินมากอ่ะ ฮือออ //เอาหัวจุ่มถังกาว
Nlm1122- ด้วง
- จำนวนข้อความ : 33
Points : 3218
Join date : 07/08/2015
Re: [OS] #dmbjdaily the waiting is over : 带我回家 (Take me home) "I'm home" (ผิงเสีย ว่านวัง เฮยฮัว)
side story นี่เบรกอารมณ์อย่างแรง 55 อ่นแล้วฮาดีอ่ะ ชอบ
Nlm1122- ด้วง
- จำนวนข้อความ : 33
Points : 3218
Join date : 07/08/2015
Similar topics
» [OS] #dmbjdaily (Bathroom) Home [ผิงเสีย]
» [OS]#dmbjdaily the waiting is over : 带我回家 (Take me home)
» [OS] #dmbjdaily the waiting is over : 带我回家 (Take me home) "สุดท้าย"
» [OS] #DMBJdaily (带我回家) Take me home [ผิงเสีย]
» [Drabble] #dmbjdaily 52 days left : Kabe-don (壁ドン) [ว่านวัง,15,เอ้อร์เหลียน,พานสาม] *เพิ่ม* [เฮยฮัว/ฮัวเฮย, ผิงเสีย]
» [OS]#dmbjdaily the waiting is over : 带我回家 (Take me home)
» [OS] #dmbjdaily the waiting is over : 带我回家 (Take me home) "สุดท้าย"
» [OS] #DMBJdaily (带我回家) Take me home [ผิงเสีย]
» [Drabble] #dmbjdaily 52 days left : Kabe-don (壁ドン) [ว่านวัง,15,เอ้อร์เหลียน,พานสาม] *เพิ่ม* [เฮยฮัว/ฮัวเฮย, ผิงเสีย]
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|
Fri 24 Jul 2020, 01:39 by gustoon
» [คู่มือด้วง] Keyword จีนสำหรับการขุด(แฟนดอม)สุสาน
Thu 21 Jun 2018, 00:29 by miskizfullmoon
» มังฮวาและภาคทิเบต
Thu 21 Jun 2018, 00:23 by miskizfullmoon
» [OS] Father is the best (ผิงเสีย)
Thu 03 Aug 2017, 16:12 by schneewittchen
» [Fic] สิ่งเล็กๆที่เชื่อมโลก5 [เมินโหยวผิง+อู่เสีย+เสี่ยอ้วน]+OC
Tue 01 Aug 2017, 12:30 by natsume
» [OS] #dmbjdaily (จูปาจุ๊บ) Bittersweet [ผิงเสีย AU]
Thu 06 Apr 2017, 15:58 by Zeth
» [OS] #dmbjdaily "โทรศัพท์มือถือ" - no Pairing [All]
Tue 04 Apr 2017, 22:27 by Zeth
» [OS] #DMBJDaily (แว่น): ระยะที่มองไม่เห็น [ฮัวเสีย]
Sat 01 Apr 2017, 16:55 by Zeth
» [OS] #DMBJdaily (5.20) ท่านยอดฝีมือ [หวังเหมิง (+เหมิงเสีย)(+ผิงเสีย)]
Thu 30 Mar 2017, 17:24 by Zeth