Countdown
We've been
togerther for
ค้นหา
Latest topics
Most active topics
[Fic] My Snowflake (4)
3 posters
หน้า 1 จาก 1
[Fic] My Snowflake (4)
ยิ่งเขียนตอนรุ่นปู่เท่าไหร่ยิ่งรู้สึกดราม่าหนักขึ้นเรื่อย...จริงๆนะคะ ;w;
- Part 1 -
- Part 2 -
- Part 3 -
ว่ากันว่าเวลาของความสุขมักอยู่กับเราได้ไม่นาน
เอ้อร์ฮูหยินป่วยหนักด้วยโรคร้าย เสวี่ยจิงได้ข่าวเช่นนั้นจึงออกเดินทางไปต่างเมืองเพื่อตามหาสมุนไพรตามกรวยเก่าแก่ด้วยวิชาขุดสุสานอันล้ำเลิศที่ตนมี ครานั้นเธออายุสิบเจ็ด ชายในวัยเดียวกันอายุเท่านี้ก็เริ่มขุดดินกันแล้ว ตัวเธอเองก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลที่สืบทอดอาชีพนี้มาหลายชั่วอายุคน ครั้งนี้ลงดินเพื่อหาของช่วยชีวิต ต่อให้พ่อพระใหญ่เอาโซ่มาล่าม คนอย่างจางเสวี่ยจิงก็ต้องเสาะหาหนทางหนีออกไปจนได้
ตัวสมุนไพรที่ใช้รักษาเป็นหนึ่งในยารักษาศพ สมัยนี้ไม่มีอีกแล้วเพราะขาดการสืบทอด ใครต้องการได้มาจึงต้องบากหน้าขุดสุสานเปิดโลงคนอื่น
ออกจากฉางซาไปได้หนึ่งอาทิตย์ เสวี่ยจิงก็กลับมา ผิวกายที่เดิมซีดเผือดไร้สีเลือดอยู่แล้ว กลับมาคราวนี้ขาวไม่ต่างจากกระดาษฟอก ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลยิบย่อย แม้จะไม่อันตรายถึงชีวิตแต่อาการที่แสดงออกมากลับน่าเป็นห่วงยิ่ง
จางฉี่ซานกำลังจะเรียกคนรับใช้ให้พาบุตรสาวกลับห้อง ทว่าเธอกลับยุดแขนเสื้อบิดาเอาไว้ พลางส่ายหน้าด้วยอาการอ่อนแรง พูดเพียงคำเดียวว่า “ไปหาอาจารย์เอ้อร์...”
เขายากจะตัดสินใจ แต่รู้ดีว่าบุตรสาวดื้อรั้นเพียงใดจึงข่มใจอุ้มร่างบอบบางนั้นขึ้นรถ มุ่งหน้าไปยังบ้านของเอ้อร์เยว่หง พบเจ้าของบ้านออกมารอรับด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ทว่าเมื่อเห็นร่างเปราะบางราวตุ๊กตาแก้วในอ้อมแขนพ่อพระก็เข้าใจทุกอย่าง ไม่พูดอะไรสักคำ เดินนำพวกเขาเข้าไปข้างใน
เอ้อร์ฮูหยินนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเผือดไม่ต่างจากเสวี่ยจิง ริมฝีปากแห้งผาก ทว่าเหงื่อกลับผุดพรายเต็มใบหน้า
“ออกไปก่อน...”
ตอนนี้หญิงสาวแทบไม่มีแรงพยุงตัวเองแล้ว ได้แต่เกาะขอบเตียง เมื่อถึงขีดสุดก็ทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น
“เสี่ยวจิง!” จางฉี่ซานถลาเข้ามาประคองร่างบุตรสาว ทว่าเธอกลับยังส่ายหน้า บอกให้พวกเขาออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย นอกจากทำตามนั้น
แล้วจะทำอะไรอีกได้ สุดท้ายเขาก็ต้องเดินออกมาข้างนอกกับเอ้อร์เยว่หง ไม่นานนักอู๋เหล่าโก่วที่ทราบข่าวก็ตามมาถึง
เมื่อบานประตูปิดลง รอกระทั่งแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ในนี้อีก เสวี่ยจิงก็ดึงห่อผ้าดำคล้ำออกมาจากอกเสื้อ เปิดออกให้เห็นวัตถุคล้ายรากไม้บิดเบี้ยวสีดำที่ส่งกลิ่นยาจีนรวมถึงกลิ่นใต้ดินคละคลุ้ง เธอเอื้อมมือสั่นเทาไปยังชามดินเผาสำหรับบดยา เทน้ำจากเหยือกเพื่อล้างยาของเก่าออก แต่ด้วยมือที่สั่นเทาทำให้หกกระฉอกเปียกเสื้อด้านหน้าไปหมด
ไม่มีเวลาอีกแล้ว...
เธอเอารากไม้หน้าตาประหลาดใส่ในชาม สับให้เป็นชิ้นเล็กๆด้วยมีดเหล็กดำคู่กาย ก่อนจะใช้มันกรีดลงบนข้อมือตรงตำแหน่งของเส้นเลือดดำ
ริมฝีปากกัดแน่นจนได้กลิ่นคาวสนิม ทั้งนี้ก็เพื่อกลั้นเสียงร้องไม่ให้คนข้างนอกได้ยิน เธอเลือกกรีดในตำแหน่งที่เหนือชายแขนเสื้อขึ้นไปเพื่อจะได้
ไม่มีใครสังเกต โชคดีนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ใส่เสื้อแขนยาวออกบ้านไม่ใช่เรื่องแปลก กว่าจะถึงฤดูร้อนแผลคงหายสนิทพอดี ไม่มีอะไรต้องกังวล
เลือดแดงฉานยามสัมผัสกับของเหลวที่ไหลออกมาจากรากไม้จะส่งกลิ่นเหม็นฉุนชวนอาเจียนออกมา รอให้รากไม้แช่ในของเหลวแดงข้นพักหนึ่งจน
กระทั่งกลิ่นฉุนแทนที่ด้วยกลิ่นสมุนไพรหอมจางผสมกลิ่นคาวเลือด เสวี่ยจิงจึงค่อยๆลากตัวเองขึ้นไปตรงขอบเตียง ใช้มือบีบที่คางฮูหยินเอ้อร์เบาๆให้ปากเผยอออก จากนั้นจึงตักยาที่ได้ป้อนให้คนป่วย
แต่มือของเธอทำหน้าที่ได้ไม่ดีนัก ทำให้ยาที่ควรได้รับเต็มถ้วยกลับเสียไปเกือบครึ่ง ถึงกระนั้นใบหน้าซูบเซียวของหญิงวัยกลางคนก็เริ่มมีเลือดฝาดให้พอวางใจ
เธอยิ้มบาง ถึงจะไม่ได้รักษาให้หายขาดแต่ตัวยายังคงรักษาอาการไม่ให้ทรุดหนักลงไปกว่านี้ได้พักหนึ่ง นานพอให้เธอออกไปลงกรวยหาของมาอีก
ดีแล้ว......
เพล้ง!
เสียงแตกจากด้านในเรียกให้คนที่ยืนรออยู่ด้านนอกไม่คิดอะไรอีกต่อไป จางฉี่ซานเปิดประตูผางออก ตกใจจนแทบสิ้นสติเมื่อเห็นร่างบุตรสาวนอนอยู่กับพื้น ถ้วยยาเปื้อนเลือดแตกกระจายอยู่ข้างตัว นอกจากนั้นที่ข้อมือยังมีรอยกรีดลึกซึ่งเลือดยังไหลออกมาไม่หยุด
เขาไม่เคยรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบถล่มลงตรงหน้าอย่างนี้มาก่อน
เอ้อร์เยว่หงกึ่งลากกึ่งจูงเขาที่อุ้มเสี่ยวจิงเอาไว้ไปยังห้องรับรอง แขนที่ตกห้อยข้างตัวมีเลือดไหลหยดไปตลอดทาง สร้างความพรั่นพรึงให้แก่คนที่ตามมาทีหลังได้ไม่ยาก มาถึงห้องพักเสร็จเจ้าบ้านสองก็รุนหลังนายพลใหญ่ออกไปจากห้อง
จางฉี่ซานรู้สึกเหมือนถูกสาปเป็นหิน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครทำอะไรตรงหน้า ในหูอื้ออึงไปด้วยเสียงแตกของชามดินใบนั้น รู้สึกตัวอีกที...ใบหน้าของเขาก็ถูกทาบเอาไว้ด้วยฝ่ามืออุ่นของหมาแก่ห้า
“ไม่เป็นไรนะพ่อพระ” อู่เหล่าโก่วคลี่รอยยิ้ม “เด็กคนนั้นแกร่งกว่าที่ท่านคิด นางจะต้องไม่เป็นไร”
ไม่เป็นไร...
คำที่เขามักเอ่ยปลอบตัวเล็กเป็นประจำ...
“อืมม์” เพียงรับคำเสียงเรียบ หลับตาลงซึมซับความอบอุ่นจากฝ่ามือคู่นั้นอย่างเงียบงัน
สองวันถัดมา เสวี่ยจิงได้สติ
ถึงกระนั้นร่างกายที่ขาดน้ำและอาหารอย่างรุนแรง พร้อมทั้งเสียเลือดไปในปริมาณมากพอควรก็ยากที่จะออกมาเดินเหินได้ดังเดิม เพื่อให้ง่ายต่อการรักษา จางฉี่ซานยอมให้บุตรสาวพักอยู่ในบ้านสกุลสองภายใต้การดูแลของเอ้อร์เยว่หง
“เสี่ยวจิง นี่มันยาชนิดใดกัน เหตุใดข้าถึงไม่เคยเห็นเลย” เอ้อร์เยว่หงเดินเข้ามาในห้องพักของหญิงสาว ในมือถือห่อผ้าซึ่งเก็บเศษเหลือจากเศษที่แตกของชามดินเผาเอาไว้พลางดมกลิ่นอย่างพิจารณา
“เป็นหนึ่งในตำหรับที่สาบสูญไปแล้ว ตอนนี้คงพบได้แค่ในยารักษาศพ เลือดของข้าจะช่วยเปลี่ยนพิษศพให้กลายเป็นกลาง ไม่อย่างนั้นไม่สามารถนำมารักษาได้เจ้าค่ะ” เสวี่ยจิงตอบตามความจริง ไม่มีประโยชน์ที่ต้องปิดบัง ในเมื่อชีวิตของฮูหยินเอ้อร์ครึ่งหนึ่งอยู่ในกำมือเธอ
ชายวัยกลางคนเลิกคิ้ว ไม่นึกว่าคนตรงหน้าจะยอมเผยเรื่องสำคัญเช่นนี้ง่ายๆ
“เอาเถอะ...ข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้าแล้ว แต่อย่าทำเช่นนั้นอีกเลย เจ้าไม่ทันได้เห็นสีหน้าพ่อเจ้าตอนล้มลง ไม่รู้หรือว่าเขาเจ็บปวดเพียงใด”
เสวี่ยจิงนิ่งอึ้ง ใบหน้าก้มต่ำเสียจนผมทิ้งตัวลงปรก ไม่อาจรู้ได้ว่าใบหน้านั้นกำลังแสดงสิ่งใดออกมา
ครั้นหายดีได้อาทิตย์หนึ่ง เสวี่ยจิงก็เตรียมตัวออกไปลงกรวยหายามาให้ฮูหยินเอ้อร์อีกครั้ง โชคไม่ดีนักที่ช่วงนี้มีข่าวของทหารญี่ปุ่นอยู่รายรอบไปหมด
ตลอดสองสามปีที่ผ่านมา เสวี่ยจิงเริ่มสร้างฐานอำนาจของตัวเองขึ้นลับๆ เป็นหน่วยข่าวกรองใต้ดินและคณะลงดินของเธอเอง เตี่ยเองก็ดูจะระแคะระคายแล้วว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ แต่ยังไม่มีหลักฐานรัดตัวเท่านั้นจึงทำอะไรไม่ได้
ต้องรีบ...ลงกรวยครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว หลังจากนั้นเธอจะพาพวกเขาหายเข้าสู่เงามืด
ครึ่งหนึ่งของทีมลงดินเป็นพวกที่เคยตกต่ำถึงขีดสุดมาก่อน บางคนเคยเป็นขอทานบ้าง ขโมยบ้าง แต่ฝีมือที่ติดตัวมากลับเป็นเลิศเสียยิ่งกว่ายอดฝีมือ กระนั้นในยุคปฏิวัติเช่นนี้ความสามารถเหล่านั้นกลับกลายเป็นบ่วงหวนมารัดคอตนเอง เธอเล็งเห็นคุณค่าในแร่ดิบที่ถูกทิ้งขว้างจึงเก็บมา ฝึกฝนขัดเกลาเสียหน่อยก็จะกลายเป็นดาบชั้นดีที่ภักดีกับเธอคนเดียวเท่านั้น
เตี่ยสั่งปิดบ้าน เข้มงวดกระทั่งจะออกไปแค่ซื้อไข่ ตระกูลใหญ่เคลื่อนไหวทีราวน้ำกระเพื่อม ยิ่งพวกญี่ปุ่นอยู่ใกล้กว่าที่คิดยิ่งต้องระวังอย่างมากเสวี่ยจิงเลยตั้งใจจะลอบออกไปกลางดึก
ของทุกอย่างกระจายอยู่ตามบ้านของพวกลูกน้อง รอเพียงแค่เธอก้าวออกนอกกำแพงบ้านได้ทุกอย่างก็จะดำเนินไปตามแผนที่วางเอาไว้
ร่างบางซ่อนมิดชิดอยู่ในเสื้อผ้ารัดกุม เส้นผมดำขลับหั่นสั้นจนเหลือเพียงท้ายทอยเพื่อความสะดวก ใบหน้าทั้งหมดซ่อนอยู่ใต้เงาผ้าคลุม และการป้องกันอีกชั้นหนึ่งก็คือธูปจิ้นผอ เมื่อจุดแล้ว คนที่ได้กลิ่นจะสลบไปหลายชั่วยาม
คนรับใช้นอนก่ายกองกันอยู่ตรงทางเดิน เสวี่ยจิงคอยระวังไม่ให้โคมล้มจนไหม้บ้าน จากนั้นจึงเหวี่ยงตัวเองขึ้นไปบนหลังคา ไต่ไปตามเงามืดอย่างระมัดระวัง ก่อนดับธูปเมื่อเข้าใกล้พวกยาม ถ้ายามหลับบ้านนี้มีหวังถูกบุกแน่ๆ และเธอไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้นด้วย
ตรงกำแพงมีคนสองคนรออยู่แล้ว เป็นหนึ่งในสมาชิกคณะลงดินของเธอเอง
“ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วครับ” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งรายงาน ส่วนอีกคนเดินออกมาจากตรอกแคบ ในมือจูงม้าตัวใหญ่ออกมาสองตัว
การเดินทางโดยรถยนต์จะเสียงดังมาก ใช้ม้าจะรวดเร็วและเงียบเชียบกว่า
เสวี่ยจิงเหวี่ยงตัวขึ้นม้าสีดำสนิท ส่วนอีกสองคนผู้ติดตามซ้อนไปด้วยกัน ควบม้าออกจากเมืองมาทางชายป่าก็เห็นกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ในผ้าโพกปิดหน้าปิดตาคอยอยู่แล้ว
ภายหลังการเดินทางของจางเสวี่ยจิงได้รับการเล่าลือจากผู้คนที่พบเห็นว่าเป็นหน่วยทหารผี เคลื่อนไหวเงียบเชียบราวสายลม ทุกผู้ล้วนปิดหน้าปิดตา ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆ แต่นั่นก็คือเรื่องเล่าขานในอีกหลายสิบปีต่อมา
--------------------------------------------------------------------------
Talk : ต้นแบบเสวี่ยจิงได้มาจากนายเมินส่วนนึงนะคะ แต่เป็นนายเมินฉบับที่ทำยังไงก็ได้เพื่อคนรอบข้าง ถึงจะหน้าตาย แต่ทุกความอ่อนโยนแสดงออกมาทางการกระทำ ลักษณะของนางจะออกไปทางคนที่แสดงสีหน้าไม่เป็น ไม่รู้ว่าควรจะเข้าหาคนอื่นยังไง ดีอย่างเดียวคือทุ่มสุดตัวเพื่อช่วยเหลือคนอื่น
//เหมือนบ่นเลยเนอะ55555555
- Part 1 -
- Part 2 -
- Part 3 -
ว่ากันว่าเวลาของความสุขมักอยู่กับเราได้ไม่นาน
เอ้อร์ฮูหยินป่วยหนักด้วยโรคร้าย เสวี่ยจิงได้ข่าวเช่นนั้นจึงออกเดินทางไปต่างเมืองเพื่อตามหาสมุนไพรตามกรวยเก่าแก่ด้วยวิชาขุดสุสานอันล้ำเลิศที่ตนมี ครานั้นเธออายุสิบเจ็ด ชายในวัยเดียวกันอายุเท่านี้ก็เริ่มขุดดินกันแล้ว ตัวเธอเองก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลที่สืบทอดอาชีพนี้มาหลายชั่วอายุคน ครั้งนี้ลงดินเพื่อหาของช่วยชีวิต ต่อให้พ่อพระใหญ่เอาโซ่มาล่าม คนอย่างจางเสวี่ยจิงก็ต้องเสาะหาหนทางหนีออกไปจนได้
ตัวสมุนไพรที่ใช้รักษาเป็นหนึ่งในยารักษาศพ สมัยนี้ไม่มีอีกแล้วเพราะขาดการสืบทอด ใครต้องการได้มาจึงต้องบากหน้าขุดสุสานเปิดโลงคนอื่น
ออกจากฉางซาไปได้หนึ่งอาทิตย์ เสวี่ยจิงก็กลับมา ผิวกายที่เดิมซีดเผือดไร้สีเลือดอยู่แล้ว กลับมาคราวนี้ขาวไม่ต่างจากกระดาษฟอก ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลยิบย่อย แม้จะไม่อันตรายถึงชีวิตแต่อาการที่แสดงออกมากลับน่าเป็นห่วงยิ่ง
จางฉี่ซานกำลังจะเรียกคนรับใช้ให้พาบุตรสาวกลับห้อง ทว่าเธอกลับยุดแขนเสื้อบิดาเอาไว้ พลางส่ายหน้าด้วยอาการอ่อนแรง พูดเพียงคำเดียวว่า “ไปหาอาจารย์เอ้อร์...”
เขายากจะตัดสินใจ แต่รู้ดีว่าบุตรสาวดื้อรั้นเพียงใดจึงข่มใจอุ้มร่างบอบบางนั้นขึ้นรถ มุ่งหน้าไปยังบ้านของเอ้อร์เยว่หง พบเจ้าของบ้านออกมารอรับด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ทว่าเมื่อเห็นร่างเปราะบางราวตุ๊กตาแก้วในอ้อมแขนพ่อพระก็เข้าใจทุกอย่าง ไม่พูดอะไรสักคำ เดินนำพวกเขาเข้าไปข้างใน
เอ้อร์ฮูหยินนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเผือดไม่ต่างจากเสวี่ยจิง ริมฝีปากแห้งผาก ทว่าเหงื่อกลับผุดพรายเต็มใบหน้า
“ออกไปก่อน...”
ตอนนี้หญิงสาวแทบไม่มีแรงพยุงตัวเองแล้ว ได้แต่เกาะขอบเตียง เมื่อถึงขีดสุดก็ทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น
“เสี่ยวจิง!” จางฉี่ซานถลาเข้ามาประคองร่างบุตรสาว ทว่าเธอกลับยังส่ายหน้า บอกให้พวกเขาออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย นอกจากทำตามนั้น
แล้วจะทำอะไรอีกได้ สุดท้ายเขาก็ต้องเดินออกมาข้างนอกกับเอ้อร์เยว่หง ไม่นานนักอู๋เหล่าโก่วที่ทราบข่าวก็ตามมาถึง
เมื่อบานประตูปิดลง รอกระทั่งแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ในนี้อีก เสวี่ยจิงก็ดึงห่อผ้าดำคล้ำออกมาจากอกเสื้อ เปิดออกให้เห็นวัตถุคล้ายรากไม้บิดเบี้ยวสีดำที่ส่งกลิ่นยาจีนรวมถึงกลิ่นใต้ดินคละคลุ้ง เธอเอื้อมมือสั่นเทาไปยังชามดินเผาสำหรับบดยา เทน้ำจากเหยือกเพื่อล้างยาของเก่าออก แต่ด้วยมือที่สั่นเทาทำให้หกกระฉอกเปียกเสื้อด้านหน้าไปหมด
ไม่มีเวลาอีกแล้ว...
เธอเอารากไม้หน้าตาประหลาดใส่ในชาม สับให้เป็นชิ้นเล็กๆด้วยมีดเหล็กดำคู่กาย ก่อนจะใช้มันกรีดลงบนข้อมือตรงตำแหน่งของเส้นเลือดดำ
ริมฝีปากกัดแน่นจนได้กลิ่นคาวสนิม ทั้งนี้ก็เพื่อกลั้นเสียงร้องไม่ให้คนข้างนอกได้ยิน เธอเลือกกรีดในตำแหน่งที่เหนือชายแขนเสื้อขึ้นไปเพื่อจะได้
ไม่มีใครสังเกต โชคดีนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ใส่เสื้อแขนยาวออกบ้านไม่ใช่เรื่องแปลก กว่าจะถึงฤดูร้อนแผลคงหายสนิทพอดี ไม่มีอะไรต้องกังวล
เลือดแดงฉานยามสัมผัสกับของเหลวที่ไหลออกมาจากรากไม้จะส่งกลิ่นเหม็นฉุนชวนอาเจียนออกมา รอให้รากไม้แช่ในของเหลวแดงข้นพักหนึ่งจน
กระทั่งกลิ่นฉุนแทนที่ด้วยกลิ่นสมุนไพรหอมจางผสมกลิ่นคาวเลือด เสวี่ยจิงจึงค่อยๆลากตัวเองขึ้นไปตรงขอบเตียง ใช้มือบีบที่คางฮูหยินเอ้อร์เบาๆให้ปากเผยอออก จากนั้นจึงตักยาที่ได้ป้อนให้คนป่วย
แต่มือของเธอทำหน้าที่ได้ไม่ดีนัก ทำให้ยาที่ควรได้รับเต็มถ้วยกลับเสียไปเกือบครึ่ง ถึงกระนั้นใบหน้าซูบเซียวของหญิงวัยกลางคนก็เริ่มมีเลือดฝาดให้พอวางใจ
เธอยิ้มบาง ถึงจะไม่ได้รักษาให้หายขาดแต่ตัวยายังคงรักษาอาการไม่ให้ทรุดหนักลงไปกว่านี้ได้พักหนึ่ง นานพอให้เธอออกไปลงกรวยหาของมาอีก
ดีแล้ว......
เพล้ง!
เสียงแตกจากด้านในเรียกให้คนที่ยืนรออยู่ด้านนอกไม่คิดอะไรอีกต่อไป จางฉี่ซานเปิดประตูผางออก ตกใจจนแทบสิ้นสติเมื่อเห็นร่างบุตรสาวนอนอยู่กับพื้น ถ้วยยาเปื้อนเลือดแตกกระจายอยู่ข้างตัว นอกจากนั้นที่ข้อมือยังมีรอยกรีดลึกซึ่งเลือดยังไหลออกมาไม่หยุด
เขาไม่เคยรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบถล่มลงตรงหน้าอย่างนี้มาก่อน
เอ้อร์เยว่หงกึ่งลากกึ่งจูงเขาที่อุ้มเสี่ยวจิงเอาไว้ไปยังห้องรับรอง แขนที่ตกห้อยข้างตัวมีเลือดไหลหยดไปตลอดทาง สร้างความพรั่นพรึงให้แก่คนที่ตามมาทีหลังได้ไม่ยาก มาถึงห้องพักเสร็จเจ้าบ้านสองก็รุนหลังนายพลใหญ่ออกไปจากห้อง
จางฉี่ซานรู้สึกเหมือนถูกสาปเป็นหิน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครทำอะไรตรงหน้า ในหูอื้ออึงไปด้วยเสียงแตกของชามดินใบนั้น รู้สึกตัวอีกที...ใบหน้าของเขาก็ถูกทาบเอาไว้ด้วยฝ่ามืออุ่นของหมาแก่ห้า
“ไม่เป็นไรนะพ่อพระ” อู่เหล่าโก่วคลี่รอยยิ้ม “เด็กคนนั้นแกร่งกว่าที่ท่านคิด นางจะต้องไม่เป็นไร”
ไม่เป็นไร...
คำที่เขามักเอ่ยปลอบตัวเล็กเป็นประจำ...
“อืมม์” เพียงรับคำเสียงเรียบ หลับตาลงซึมซับความอบอุ่นจากฝ่ามือคู่นั้นอย่างเงียบงัน
สองวันถัดมา เสวี่ยจิงได้สติ
ถึงกระนั้นร่างกายที่ขาดน้ำและอาหารอย่างรุนแรง พร้อมทั้งเสียเลือดไปในปริมาณมากพอควรก็ยากที่จะออกมาเดินเหินได้ดังเดิม เพื่อให้ง่ายต่อการรักษา จางฉี่ซานยอมให้บุตรสาวพักอยู่ในบ้านสกุลสองภายใต้การดูแลของเอ้อร์เยว่หง
“เสี่ยวจิง นี่มันยาชนิดใดกัน เหตุใดข้าถึงไม่เคยเห็นเลย” เอ้อร์เยว่หงเดินเข้ามาในห้องพักของหญิงสาว ในมือถือห่อผ้าซึ่งเก็บเศษเหลือจากเศษที่แตกของชามดินเผาเอาไว้พลางดมกลิ่นอย่างพิจารณา
“เป็นหนึ่งในตำหรับที่สาบสูญไปแล้ว ตอนนี้คงพบได้แค่ในยารักษาศพ เลือดของข้าจะช่วยเปลี่ยนพิษศพให้กลายเป็นกลาง ไม่อย่างนั้นไม่สามารถนำมารักษาได้เจ้าค่ะ” เสวี่ยจิงตอบตามความจริง ไม่มีประโยชน์ที่ต้องปิดบัง ในเมื่อชีวิตของฮูหยินเอ้อร์ครึ่งหนึ่งอยู่ในกำมือเธอ
ชายวัยกลางคนเลิกคิ้ว ไม่นึกว่าคนตรงหน้าจะยอมเผยเรื่องสำคัญเช่นนี้ง่ายๆ
“เอาเถอะ...ข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้าแล้ว แต่อย่าทำเช่นนั้นอีกเลย เจ้าไม่ทันได้เห็นสีหน้าพ่อเจ้าตอนล้มลง ไม่รู้หรือว่าเขาเจ็บปวดเพียงใด”
เสวี่ยจิงนิ่งอึ้ง ใบหน้าก้มต่ำเสียจนผมทิ้งตัวลงปรก ไม่อาจรู้ได้ว่าใบหน้านั้นกำลังแสดงสิ่งใดออกมา
ครั้นหายดีได้อาทิตย์หนึ่ง เสวี่ยจิงก็เตรียมตัวออกไปลงกรวยหายามาให้ฮูหยินเอ้อร์อีกครั้ง โชคไม่ดีนักที่ช่วงนี้มีข่าวของทหารญี่ปุ่นอยู่รายรอบไปหมด
ตลอดสองสามปีที่ผ่านมา เสวี่ยจิงเริ่มสร้างฐานอำนาจของตัวเองขึ้นลับๆ เป็นหน่วยข่าวกรองใต้ดินและคณะลงดินของเธอเอง เตี่ยเองก็ดูจะระแคะระคายแล้วว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ แต่ยังไม่มีหลักฐานรัดตัวเท่านั้นจึงทำอะไรไม่ได้
ต้องรีบ...ลงกรวยครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว หลังจากนั้นเธอจะพาพวกเขาหายเข้าสู่เงามืด
ครึ่งหนึ่งของทีมลงดินเป็นพวกที่เคยตกต่ำถึงขีดสุดมาก่อน บางคนเคยเป็นขอทานบ้าง ขโมยบ้าง แต่ฝีมือที่ติดตัวมากลับเป็นเลิศเสียยิ่งกว่ายอดฝีมือ กระนั้นในยุคปฏิวัติเช่นนี้ความสามารถเหล่านั้นกลับกลายเป็นบ่วงหวนมารัดคอตนเอง เธอเล็งเห็นคุณค่าในแร่ดิบที่ถูกทิ้งขว้างจึงเก็บมา ฝึกฝนขัดเกลาเสียหน่อยก็จะกลายเป็นดาบชั้นดีที่ภักดีกับเธอคนเดียวเท่านั้น
เตี่ยสั่งปิดบ้าน เข้มงวดกระทั่งจะออกไปแค่ซื้อไข่ ตระกูลใหญ่เคลื่อนไหวทีราวน้ำกระเพื่อม ยิ่งพวกญี่ปุ่นอยู่ใกล้กว่าที่คิดยิ่งต้องระวังอย่างมากเสวี่ยจิงเลยตั้งใจจะลอบออกไปกลางดึก
ของทุกอย่างกระจายอยู่ตามบ้านของพวกลูกน้อง รอเพียงแค่เธอก้าวออกนอกกำแพงบ้านได้ทุกอย่างก็จะดำเนินไปตามแผนที่วางเอาไว้
ร่างบางซ่อนมิดชิดอยู่ในเสื้อผ้ารัดกุม เส้นผมดำขลับหั่นสั้นจนเหลือเพียงท้ายทอยเพื่อความสะดวก ใบหน้าทั้งหมดซ่อนอยู่ใต้เงาผ้าคลุม และการป้องกันอีกชั้นหนึ่งก็คือธูปจิ้นผอ เมื่อจุดแล้ว คนที่ได้กลิ่นจะสลบไปหลายชั่วยาม
คนรับใช้นอนก่ายกองกันอยู่ตรงทางเดิน เสวี่ยจิงคอยระวังไม่ให้โคมล้มจนไหม้บ้าน จากนั้นจึงเหวี่ยงตัวเองขึ้นไปบนหลังคา ไต่ไปตามเงามืดอย่างระมัดระวัง ก่อนดับธูปเมื่อเข้าใกล้พวกยาม ถ้ายามหลับบ้านนี้มีหวังถูกบุกแน่ๆ และเธอไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้นด้วย
ตรงกำแพงมีคนสองคนรออยู่แล้ว เป็นหนึ่งในสมาชิกคณะลงดินของเธอเอง
“ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วครับ” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งรายงาน ส่วนอีกคนเดินออกมาจากตรอกแคบ ในมือจูงม้าตัวใหญ่ออกมาสองตัว
การเดินทางโดยรถยนต์จะเสียงดังมาก ใช้ม้าจะรวดเร็วและเงียบเชียบกว่า
เสวี่ยจิงเหวี่ยงตัวขึ้นม้าสีดำสนิท ส่วนอีกสองคนผู้ติดตามซ้อนไปด้วยกัน ควบม้าออกจากเมืองมาทางชายป่าก็เห็นกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ในผ้าโพกปิดหน้าปิดตาคอยอยู่แล้ว
ภายหลังการเดินทางของจางเสวี่ยจิงได้รับการเล่าลือจากผู้คนที่พบเห็นว่าเป็นหน่วยทหารผี เคลื่อนไหวเงียบเชียบราวสายลม ทุกผู้ล้วนปิดหน้าปิดตา ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆ แต่นั่นก็คือเรื่องเล่าขานในอีกหลายสิบปีต่อมา
--------------------------------------------------------------------------
Talk : ต้นแบบเสวี่ยจิงได้มาจากนายเมินส่วนนึงนะคะ แต่เป็นนายเมินฉบับที่ทำยังไงก็ได้เพื่อคนรอบข้าง ถึงจะหน้าตาย แต่ทุกความอ่อนโยนแสดงออกมาทางการกระทำ ลักษณะของนางจะออกไปทางคนที่แสดงสีหน้าไม่เป็น ไม่รู้ว่าควรจะเข้าหาคนอื่นยังไง ดีอย่างเดียวคือทุ่มสุดตัวเพื่อช่วยเหลือคนอื่น
//เหมือนบ่นเลยเนอะ55555555
แก้ไขล่าสุดโดย schneewittchen เมื่อ Fri 15 May 2015, 14:04, ทั้งหมด 2 ครั้ง
Re: [Fic] My Snowflake (4)
;w; หงิง สงสารพ่อพระ ไม่เป็นไรนะคะมีปู่อู๋มาปลอบแล้ว /โอ๋ๆ
Cathareen- ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา
- จำนวนข้อความ : 149
Points : 3617
Join date : 24/12/2014
Re: [Fic] My Snowflake (4)
Cathareen พิมพ์ว่า:;w; หงิง สงสารพ่อพระ ไม่เป็นไรนะคะมีปู่อู๋มาปลอบแล้ว /โอ๋ๆ
รุ่นนี้ไม่ว่าจะตะแคง ตะกายฝาเขียน(?) ยังไงก็ดราม่าค่ะ
Re: [Fic] My Snowflake (4)
ดราม่า T T แต่ทำไมเราโฟกัสที่ปู่อู๋มาปลอบเป็นพิเศษล่ะ เอ๊ะ?
sup-pak- ด้วง
- จำนวนข้อความ : 39
Points : 3434
Join date : 10/04/2015
Re: [Fic] My Snowflake (4)
sup-pak พิมพ์ว่า:ดราม่า T T แต่ทำไมเราโฟกัสที่ปู่อู๋มาปลอบเป็นพิเศษล่ะ เอ๊ะ?
เหอๆ แถม 15 ให้ไงคะ ขอบคุณที่แวะเข้ามานะคะ^^
Similar topics
» [Fic] My Snowflake (5)
» [Fic] My Snowflake (2)
» [Fic] My Snowflake (3)
» [Fic] My Snowflake -บทส่งท้าย-
» [SF] My Snowflake [จางฉี่ซาน+OC]
» [Fic] My Snowflake (2)
» [Fic] My Snowflake (3)
» [Fic] My Snowflake -บทส่งท้าย-
» [SF] My Snowflake [จางฉี่ซาน+OC]
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|
Fri 24 Jul 2020, 01:39 by gustoon
» [คู่มือด้วง] Keyword จีนสำหรับการขุด(แฟนดอม)สุสาน
Thu 21 Jun 2018, 00:29 by miskizfullmoon
» มังฮวาและภาคทิเบต
Thu 21 Jun 2018, 00:23 by miskizfullmoon
» [OS] Father is the best (ผิงเสีย)
Thu 03 Aug 2017, 16:12 by schneewittchen
» [Fic] สิ่งเล็กๆที่เชื่อมโลก5 [เมินโหยวผิง+อู่เสีย+เสี่ยอ้วน]+OC
Tue 01 Aug 2017, 12:30 by natsume
» [OS] #dmbjdaily (จูปาจุ๊บ) Bittersweet [ผิงเสีย AU]
Thu 06 Apr 2017, 15:58 by Zeth
» [OS] #dmbjdaily "โทรศัพท์มือถือ" - no Pairing [All]
Tue 04 Apr 2017, 22:27 by Zeth
» [OS] #DMBJDaily (แว่น): ระยะที่มองไม่เห็น [ฮัวเสีย]
Sat 01 Apr 2017, 16:55 by Zeth
» [OS] #DMBJdaily (5.20) ท่านยอดฝีมือ [หวังเหมิง (+เหมิงเสีย)(+ผิงเสีย)]
Thu 30 Mar 2017, 17:24 by Zeth