Countdown
We've been
togerther for
ค้นหา
Latest topics
Most active topics
[Fic] #DMBJdaily 'Lose' ผู้แพ้ที่แท้จริง (อู๋เสีย)
หน้า 1 จาก 1
[Fic] #DMBJdaily 'Lose' ผู้แพ้ที่แท้จริง (อู๋เสีย)
เป็นฟิคที่ต่อมาจากเรื่อง ความกลุ้มใจของเถ้าแก่อู๋ค่ะ
https://dmbjth.thai-forum.net/t1219-topic
“เสี่ยวอู๋ ตื่น ตื่นได้แล้ว”
ฝ่ามือหนาอวบอ้วนตบผัวะลงมาบนใบหน้าของผม เจ็บปวดจนแยกเขี้ยวยิงฟัน
“นายมัวฝันอะไรอยู่ ตื่นได้แล้ว ยังมีงานต้องทำ”
ผมลุกไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำ พลันนึกถึงความฝันเมื่อสักครู่
ผมมีลูก แล้วลูกของผมก็ไปชอบเมินโหยวผิง ผมพยายามที่จะกีดกันพวกเขาออกจากกัน
เฮ้อ ผมถอนหายใจยาว พอจะเข้าใจถึงสาเหตุที่ฝันแบบนั้น
เมื่อห้าปีที่แล้ว พวกเราเดินทางไปฉางไป๋ซาน จุดประสงค์เพื่อพาเมินโหยวผิงกลับมา แต่พอเข้าไปในประตูสำริด กลับพบว่าภายในว่างเปล่า เมินโหยวผิงไม่ได้อยู่ในนั้น
“เชี่ย เสี่ยอ้วนว่าแล้ว น้องเสี่ยวเกอแม่งหนีออกไปแล้วจริงๆ”
“ยังไม่แน่ว่าเสี่ยวเกอจะหนีไป” ลำคอผมตีบตันอย่างไม่มีสาเหตุ ไม่อยากจะยอมรับถึงความเป็นไปได้อีกอย่างว่าเมินโหยวผิงอาจจะตายไปแล้ว
“หาดูให้ทั่ว เป็นต้องเจอตัว ตายต้องเจอศพ”
พวกเราแยกย้ายกันค้นหาแทบจะพลิกก้อนหินทุกก้อน แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่พบร่องรอยของเมินโหยวผิง ราวกับว่าเขาไม่เคยอยู่ที่นั่นด้วยซ้ำ จนผมต้องตัดใจ พวกเราเดินทางกลับ ผมรู้สึกพ่ายแพ้อย่างประหลาด สิบปีที่ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ นี่น่ะหรือคือผลตอบแทนที่ได้มา
สองเดือนก่อน เสี่ยวฮัวเดินทางมาหาผม พอเขามาถึง ก็โยนรูปถ่ายใบหนึ่งมาตรงหน้าผม
“นายดูสิ ว่านี่ใคร”
ผมหยิบขึ้นมาดู แล้วก็เห็นว่ารูปใบนั้นเป็นรูปถ่ายของผู้ชายคนหนึ่ง ผมอ้าปากค้าง ตะลึงงัน
“เสี่ยวฮัว นายไปได้รูปนี้มาจากไหน”
“ลูกน้องของฉันคนหนึ่งจำเขาได้ เลยสะกดรอยตามไป แล้วแอบถ่ายรูปนี้มา นายคงเห็นแล้วสินะว่าจางฉี่หลิงที่นายตามหายังไม่ตาย”
“พาฉันไป พาฉันไปหาเขาเดี๋ยวนี้” ผมมือไม้สั่น ทำอะไรไม่ถูก อยากจะกราบขอบคุณเสี่ยวฮัวและลูกน้องคนนั้นของเขาเป็นพันครั้ง
“ฉันพานายไปหาเขาได้ แต่นายต้องเตรียมใจไว้บ้าง”
ผมพยักหน้า ไม่สนใจแล้วว่าเสี่ยวฮัวพยายามจะบอกอะไร เวลานั้นผมอยากเจอเมินโหยวผิงเป็นที่สุด เรื่องอื่นไม่สำคัญ
“นายเป็นใคร” นั่นคือประโยคแรกที่เขาพูดกับผม
“นี่อู๋เสียไง จำไม่ได้เหรอ”
ไม่เป็นไร อาการความจำเสื่อมของเขาคงจะกลับมาอีกรอบ แค่นี้ผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอก
“ฉันเอง อู๋เสีย เป็นเพื่อนของนาย นายลองนึกดูให้ดีสิ”
“อาป๊า” เสียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น แล้วร่างเล็กๆที่กำลังอยู่ในวัยน่ารักก็วิ่งดุ๊กๆออกมา เธอเข้ามากอดเอวเมินโหยวผิงไว้
หน้าตาของเธอคล้ายเมินโหยวผิงมาก ดวงตาสีดำใสกระจ่าง ดูน่ารักน่าเอ็นดู
“เด็กคนนี้คือ”
“ลูกสาวฉันเอง” เมินโหยวผิงตอบเรียบๆ
ผมตะลึงงัน เสี่ยวเกอมีลูกแล้วเหรอ มีลูกได้ยังไง
“มีอะไรกันหรือเปล่าคะ” ในขณะที่ผมกำลังอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก ผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินออกมาจากในบ้าน เธอเป็นผู้หญิงที่หน้าตาธรรมดามาก ดูไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรเลย
“มีธุระอะไรกับเขาหรือเปล่าคะ” เธอถามอีกครั้ง “พูดกับฉันแทนก็ได้ ฉันเป็นภรรยาของเขาเอง”
หลังจากนั้น ผมก็นั่งคุยกับผู้หญิงที่อ้างตัวว่าเป็นภรรยาของเสี่ยวเกอคนนั้น เธอบอกว่าเธอเคยทำงานให้กับองค์กรแห่งหนึ่ง วันหนึ่งเมื่อราวๆ 6 ปีก่อน องค์กรได้นำตัวผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งมาหาเธอ แล้วให้เธอช่วยดูแลเขา ชายคนนั้นจำอะไรไม่ได้เลย เธอรู้สึกสงสารเขามาก ช่วงแรกๆเขาแทบไม่เคยพูดกับเธอเลยด้วยซ้ำ
แต่เพราะเธอให้ความใส่ใจเขา คอยดูแลทุกวันโดยไม่เคยถอดใจ ชายคนนั้นจึงเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเธอ เขาเริ่มพูดคุย พูดจาโต้ตอบกับเธอ เธอบอกว่าเขาจดจำอดีตไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ต่อจากนี้เธอจะเป็นสิ่งเชื่อมโยงกับโลกใบนี้ให้เขาเอง
พอเธอเล่ามาถึงตรงนี้ ผมแทบจะทนฟังต่อไปไม่ได้ ผมไม่อยากเชื่อว่าผมจะแพ้ผู้หญิงหน้าตาบ้านๆแบบนี้
แล้วเธอก็เล่าต่อไปว่าพวกเขาทั้งคู่เกิดความรู้สึกดีๆต่อกัน ดังนั้นจึงแต่งงานและอยู่กินกันอย่างเงียบๆ นับจากนั้นมา
พอจะสรุปได้คร่าวๆว่า ก่อนจะครบสิบปีมีคนกลุ่มหนึ่งชิงตัดหน้าไปพาเมินโหยวผิงออกมาจากประตู ผมรู้ว่าคนกลุ่มนั้นเป็นใคร ผมช้ากว่าพวกเขาไปก้าวหนึ่งเสมอ
ผมออกมาจากบ้านหลังนั้นด้วยหัวใจที่แห้งผาก ผมไม่เคยรู้สึกสิ้นหวังขนาดนี้มาก่อนเลย ผมควรจะยินดีกับเสี่ยวเกอถึงจะถูก จริงไหม แต่ผมรู้ความรู้สึกของตัวเองดี ผมหลอกตัวเองไม่ได้หรอก
........................................................................................................................................................................................
“เสี่ยวฮัว นายชอบฉันไหม”
“นายหมายความว่ายังไง อาเฮีย”
“ปกติเห็นนายหัวไวนะ ทำไมวันนี้ถึงสมองช้าไปได้ล่ะ ก็หมายความตามที่พูดนั่นล่ะ”
เสี่ยวฮัวดูลังเลก่อนจะพยักหน้าตอบผม “ฉันชอบนาย”
“ดี” ผมหันไปมองเขา พูดอย่างจริงจัง “เรามาคบกันมั้ย”
“คบอะไรนะ” เสี่ยวฮัวเลิกคิ้ว สีหน้าเขาดูตลกมาก
“คบเป็นคนรักไงล่ะ นายแอบชอบฉันมาเป็นสิบปีแล้วไม่ใช่เหรอ ตอนนี้เสี่ยวเกอมีครอบครัวไปแล้ว ศัตรูอันดับหนึ่งของนายจากไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้ความปรารถนาของนายก็เป็นจริง นายควรจะดีใจสิ”
“ทำไมฉันต้องดีใจ” เสี่ยวฮัวย้อนถามผม
“เพราะนายรักฉันมากๆไงล่ะ”
“อาเฮีย” เขาเดินมานั่งตรงหน้าผม เอื้อมมือมาตบไหล่ผมเบาๆ “สิบปีที่ผ่านมานี้ นายเจ็บปวดมามาก พอจางฉี่หลิงไม่อยู่ นายก็เลยจินตนาการว่าอย่างน้อยก็ยังมีฉันที่อยู่ข้างๆ คอยดูแลนาย แอบรักนาย แต่นายไม่เคยสนใจฉัน เพราะนายยังมั่นคงต่อจางฉี่หลิง ตอนนี้พอจางฉี่หลิงจากไปแล้ว นายก็เลยคิดจะเลื่อนลำดับตัวสำรองอย่างฉันให้กลายเป็นตัวจริงสินะ”
“จริงอยู่ที่ฉันคอยช่วยเหลือนาย ส่วนหนึ่งเพราะเราสองคนเป็นญาติกัน แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือ นายทำให้ฉันนึกถึงตัวเองในสมัยก่อน เพราะอย่างนี้ฉันจึงพยายามช่วยนายอย่างเต็มที่ ไม่ว่ายังไงฉันก็เห็นใจนายนะ อาเฮีย”
“นายไม่ได้หลงรักฉันเหรอ” ผมถาม
“นายเป็นผู้ชาย แล้วฉันก็ไม่ได้เป็นเกย์ หากฉันมีความรักให้นายจริง มันก็คงเป็นความรักแบบพี่น้อง ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น”
“แล้วนายไม่ได้อิจฉาจางฉี่หลิงอยู่หรือไง นายต้องอิจฉาเขามากๆสิ เพราะฉันชอบเขามาก”
เฮ้อ เสี่ยวฮัวถอนหายใจ “ฉันจะอิจฉาจางฉี่หลิงไปทำไม เขามีชีวิตที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก ต้องเข้าไปอยู่หลังประตูเป็นสิบปี คนคนนั้นมีอะไรให้น่าอิจฉาตรงไหน ชีวิตของฉันแม้ไม่ได้สุขสบาย แต่ถ้าเทียบกับเขา ยังดีกว่ากันเยอะ”
“เสี่ยวฮัว นายมันคนทรยศ”
“ฉันไม่เคยทรยศนาย”
“นั่นแหละที่เรียกว่าทรยศ”
“เสี่ยวเสีย” เสี่ยวฮัวเรียกผมเสียงแข็ง “นายควรจะลืมตาตื่นแล้วมองความจริงได้แล้ว นายเจ็บปวดที่ถูกพระเอกทอดทิ้ง ดังนั้นจึงจินตนาการไอ้หน้าโง่สักคนมารับบทเป็นพระรองของนาย แม้จะถูกหมางเมินแค่ไหน แต่ก็ยังก้มหน้าก้มตาทำทุกอย่างให้นายโดยไม่ปริปากบ่น พอนายเสียจางฉี่หลิงไปอย่างไม่มีวันได้คืน นายก็คิดจะเอาพระรองคนนั้นขึ้นมาเป็นพระเอกอยู่เคียงข้างนายแทน นายคิดว่านายเป็นใคร นางเอกนิยายน้ำเน่าอย่างนั้นเหรอ”
“อาเฮีย ฉันรู้มาตลอดว่านายคิดกับฉันแบบไหน แต่ฉันไม่เคยพูดออกมา อะไรที่นายสบายใจ ถ้ามันไม่เดือดร้อนฉัน นายก็ทำไป แต่ตอนนี้มันเกินทนแล้ว นายเรียกร้องในสิ่งที่ฉันให้นายไม่ได้จริงๆ”
เสี่ยวฮัวหันหลังให้ผม เดินจากไป ก่อนไปเขายังพูดว่า
“ต่อไปนี้ ถ้าเดือดร้อน ไม่ว่าจะเรื่องเงินหรืออะไร ฉันยังช่วยนายได้ แต่เรื่องที่ว่าฉันรักนายอะไรนั่น นายจินตนาการเอาเองทั้งนั้น ลาก่อน”
เสียงประตูปิดดังปัง ผมฝังใบหน้าลงบนฝ่ามือ รู้สึกได้ถึงน้ำตาร้อนๆ ที่ไหลริน
สุดท้ายผมก็ไม่เหลือใครสักคน
ใครคนหนึ่งเดินมานั่งข้างๆผม น้ำหนักตัวของเขาทำให้โซฟายุบฮวบลงไป เขาเอื้อมมือมากอดผมไว้ ผมร้องไห้สะอื้นกับอกเขาเหมือนเด็กๆ
“ไม่เป็นไรแล้วนะ เทียนเจิน เสี่ยวอ้วนอยู่นี่ ยังอยู่ข้างๆนายนะ”
“นายอ้วน” ผมเรียกเขา ใช่ ผมลืมไปได้ยังไง ผมยังมีเขาอีกคน เขาที่คอยอยู่เคียงข้างผมเสมอ และก็เป็นเขาที่มักจะถูกมองข้ามอยู่เสมอเช่นกัน
“ฉันเคยจินตนาการว่าถ้าช่วยเสี่ยวเกอออกมาจากประตูสำริดได้ ฉันกับเขาจะได้อยู่ด้วยกัน แม้จะลำบากแค่ไหน แต่พอนึกว่าเราจะได้ครองคู่กันอย่างมีความสุข มันก็ทำให้ฉันก้าวต่อไปได้” ผมระบายทุกอย่างที่อัดอั้นออกมาให้นายอ้วนฟังจนหมด
“เพราะฉันน้อยใจในตัวเสี่ยวเกอ และเพราะไม่อยากดูเหมือนคนแพ้ ได้แต่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง จึงหลอกตัวเองมาตลอดว่า ยังมีคนคนหนึ่งวิ่งไล่ตามฉันมาข้างหลัง ยินดีจะทุ่มเททุกอย่างให้ฉัน เป็นคนที่พ่ายแพ้ให้กับความรักอย่างหมดรูป คนคนนั้นก็คือเสี่ยวฮัว”
“นายคิดว่าฉันผิดด้วยเหรอ ฉันก็แค่เหงามาก ฉันเจ็บปวดมาก ทำไมสองคนนั้นไม่เคยเข้าใจฉันเลย”
“เสี่ยวอู๋” นายอ้วนดันผมออก เช็ดน้ำตาให้ผมอย่างแผ่วเบา “นายไม่ผิด สองคนนั้นก็ไม่ผิด ผิดก็แค่พวกนายคิดต่างกันก็แค่นั้น ทำไมนายไม่ลองมองหาใครสักคนที่คิดตรงกับนาย”
“คนคนนั้นคือ” ผมพอจะเดาออกแล้ว แอบยิ้มกริ่มอยู่ในใจ
“ฉันก็ไม่รู้ แต่ถ้านายตั้งใจหาหน่อย เสี่ยอ้วนว่า มันก็คงไม่ยากจนเกินกำลังหรอก”
“แล้วคนคนนั้นไม่ใช่นายหรอกเหรอ นายก็แอบชอบฉันมาตลอดเหมือนกันนี่”
“ฉัน” นายอ้วนชี้ตัวเอง ส่ายหน้ารัวๆ “ไม่ใช่ ไม่ใช่ เสี่ยอ้วนไม่เคยคิดเกินเลยกับเทียนเจินเกินคำว่าเพื่อนเลย”
“นายมันแย่ พวกนายทั้งสามคน แย่พอกันทั้งนั้น ไปให้ไกลๆ เลย ต่อไปนี้ฉันไม่อยากเห็นหน้าพวกนายอีกแล้ว”
........................................................................................................................................................................................
พอล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำแล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าเหตุใดจึงฝันแบบนั้น
ในความเป็นจริง เสี่ยวเกอมีครอบครัว มีลูกสาว
แต่ในความฝัน เป็นผมที่มีครอบครัวอบอุ่น แม้ลูกสาวผมจะชอบเขา หรือผมจะมีครอบครัวแล้ว เขาก็ไม่ใส่ใจ ยังยึดมั่นรักผมไม่เปลี่ยน เขาไม่อาจเดินหน้าต่อไปได้เมื่อไม่มีผม เมินโหยวผิง จางฉี่หลิง หรือเสี่ยวเกอ ไม่ว่าเขาจะมีกี่ชื่อก็ตาม เป็นคนที่พ่ายแพ้ให้กับความรักอย่างสมบูรณ์
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ใครกันแน่ที่พ่ายแพ้ให้กับความรัก
เสี่ยวเกอจำผมไม่ได้ เส้นทางของเขากับผมคงไม่มีวันได้กลับมาบรรจบกันตลอดกาล ส่วนนายอ้วนกับเสี่ยวฮัวก็ไม่ได้จากไปไหน พวกเขาพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างผมในฐานะเพื่อนเสมอ แต่ไม่ใช่คนรัก
ผมเรียกร้องมากไปหรือ น้ำตาของผมไหลลงมาอย่างเงียบๆ
เป็นน้ำตาของคนแพ้อย่างแท้จริง
ได้เวลาต้องมองหาคนใหม่แล้วสิ
Talk: หลบหม้อ ไห กะละมังที่ปามา ความจริงแล้วเรื่องความกลุ้มใจของเถ้าแก่อู๋มีตอนต่อที่แตกต่างออกไปจากนี้ แต่พอดีอยากลองเล่นเดลี่ดูบ้างค่ะ เลยเข็นตอนนี้ออกมาแทน อยากเห็นอู๋เสียในมาดแบบนี้ดูบ้าง อย่าโกรธเค้าเลย อ่านกันขำๆ ไม่ต้องจริงจังนะคะ อากาศร้อนเกินไปเลยแต่งฟิคแปลกๆออกมา ต้องขออภัยด้วยค่ะ ฮิฮิ
SPECIAL
https://dmbjth.thai-forum.net/t1219-topic
“เสี่ยวอู๋ ตื่น ตื่นได้แล้ว”
ฝ่ามือหนาอวบอ้วนตบผัวะลงมาบนใบหน้าของผม เจ็บปวดจนแยกเขี้ยวยิงฟัน
“นายมัวฝันอะไรอยู่ ตื่นได้แล้ว ยังมีงานต้องทำ”
ผมลุกไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำ พลันนึกถึงความฝันเมื่อสักครู่
ผมมีลูก แล้วลูกของผมก็ไปชอบเมินโหยวผิง ผมพยายามที่จะกีดกันพวกเขาออกจากกัน
เฮ้อ ผมถอนหายใจยาว พอจะเข้าใจถึงสาเหตุที่ฝันแบบนั้น
เมื่อห้าปีที่แล้ว พวกเราเดินทางไปฉางไป๋ซาน จุดประสงค์เพื่อพาเมินโหยวผิงกลับมา แต่พอเข้าไปในประตูสำริด กลับพบว่าภายในว่างเปล่า เมินโหยวผิงไม่ได้อยู่ในนั้น
“เชี่ย เสี่ยอ้วนว่าแล้ว น้องเสี่ยวเกอแม่งหนีออกไปแล้วจริงๆ”
“ยังไม่แน่ว่าเสี่ยวเกอจะหนีไป” ลำคอผมตีบตันอย่างไม่มีสาเหตุ ไม่อยากจะยอมรับถึงความเป็นไปได้อีกอย่างว่าเมินโหยวผิงอาจจะตายไปแล้ว
“หาดูให้ทั่ว เป็นต้องเจอตัว ตายต้องเจอศพ”
พวกเราแยกย้ายกันค้นหาแทบจะพลิกก้อนหินทุกก้อน แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่พบร่องรอยของเมินโหยวผิง ราวกับว่าเขาไม่เคยอยู่ที่นั่นด้วยซ้ำ จนผมต้องตัดใจ พวกเราเดินทางกลับ ผมรู้สึกพ่ายแพ้อย่างประหลาด สิบปีที่ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ นี่น่ะหรือคือผลตอบแทนที่ได้มา
สองเดือนก่อน เสี่ยวฮัวเดินทางมาหาผม พอเขามาถึง ก็โยนรูปถ่ายใบหนึ่งมาตรงหน้าผม
“นายดูสิ ว่านี่ใคร”
ผมหยิบขึ้นมาดู แล้วก็เห็นว่ารูปใบนั้นเป็นรูปถ่ายของผู้ชายคนหนึ่ง ผมอ้าปากค้าง ตะลึงงัน
“เสี่ยวฮัว นายไปได้รูปนี้มาจากไหน”
“ลูกน้องของฉันคนหนึ่งจำเขาได้ เลยสะกดรอยตามไป แล้วแอบถ่ายรูปนี้มา นายคงเห็นแล้วสินะว่าจางฉี่หลิงที่นายตามหายังไม่ตาย”
“พาฉันไป พาฉันไปหาเขาเดี๋ยวนี้” ผมมือไม้สั่น ทำอะไรไม่ถูก อยากจะกราบขอบคุณเสี่ยวฮัวและลูกน้องคนนั้นของเขาเป็นพันครั้ง
“ฉันพานายไปหาเขาได้ แต่นายต้องเตรียมใจไว้บ้าง”
ผมพยักหน้า ไม่สนใจแล้วว่าเสี่ยวฮัวพยายามจะบอกอะไร เวลานั้นผมอยากเจอเมินโหยวผิงเป็นที่สุด เรื่องอื่นไม่สำคัญ
“นายเป็นใคร” นั่นคือประโยคแรกที่เขาพูดกับผม
“นี่อู๋เสียไง จำไม่ได้เหรอ”
ไม่เป็นไร อาการความจำเสื่อมของเขาคงจะกลับมาอีกรอบ แค่นี้ผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอก
“ฉันเอง อู๋เสีย เป็นเพื่อนของนาย นายลองนึกดูให้ดีสิ”
“อาป๊า” เสียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น แล้วร่างเล็กๆที่กำลังอยู่ในวัยน่ารักก็วิ่งดุ๊กๆออกมา เธอเข้ามากอดเอวเมินโหยวผิงไว้
หน้าตาของเธอคล้ายเมินโหยวผิงมาก ดวงตาสีดำใสกระจ่าง ดูน่ารักน่าเอ็นดู
“เด็กคนนี้คือ”
“ลูกสาวฉันเอง” เมินโหยวผิงตอบเรียบๆ
ผมตะลึงงัน เสี่ยวเกอมีลูกแล้วเหรอ มีลูกได้ยังไง
“มีอะไรกันหรือเปล่าคะ” ในขณะที่ผมกำลังอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก ผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินออกมาจากในบ้าน เธอเป็นผู้หญิงที่หน้าตาธรรมดามาก ดูไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรเลย
“มีธุระอะไรกับเขาหรือเปล่าคะ” เธอถามอีกครั้ง “พูดกับฉันแทนก็ได้ ฉันเป็นภรรยาของเขาเอง”
หลังจากนั้น ผมก็นั่งคุยกับผู้หญิงที่อ้างตัวว่าเป็นภรรยาของเสี่ยวเกอคนนั้น เธอบอกว่าเธอเคยทำงานให้กับองค์กรแห่งหนึ่ง วันหนึ่งเมื่อราวๆ 6 ปีก่อน องค์กรได้นำตัวผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งมาหาเธอ แล้วให้เธอช่วยดูแลเขา ชายคนนั้นจำอะไรไม่ได้เลย เธอรู้สึกสงสารเขามาก ช่วงแรกๆเขาแทบไม่เคยพูดกับเธอเลยด้วยซ้ำ
แต่เพราะเธอให้ความใส่ใจเขา คอยดูแลทุกวันโดยไม่เคยถอดใจ ชายคนนั้นจึงเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเธอ เขาเริ่มพูดคุย พูดจาโต้ตอบกับเธอ เธอบอกว่าเขาจดจำอดีตไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ต่อจากนี้เธอจะเป็นสิ่งเชื่อมโยงกับโลกใบนี้ให้เขาเอง
พอเธอเล่ามาถึงตรงนี้ ผมแทบจะทนฟังต่อไปไม่ได้ ผมไม่อยากเชื่อว่าผมจะแพ้ผู้หญิงหน้าตาบ้านๆแบบนี้
แล้วเธอก็เล่าต่อไปว่าพวกเขาทั้งคู่เกิดความรู้สึกดีๆต่อกัน ดังนั้นจึงแต่งงานและอยู่กินกันอย่างเงียบๆ นับจากนั้นมา
พอจะสรุปได้คร่าวๆว่า ก่อนจะครบสิบปีมีคนกลุ่มหนึ่งชิงตัดหน้าไปพาเมินโหยวผิงออกมาจากประตู ผมรู้ว่าคนกลุ่มนั้นเป็นใคร ผมช้ากว่าพวกเขาไปก้าวหนึ่งเสมอ
ผมออกมาจากบ้านหลังนั้นด้วยหัวใจที่แห้งผาก ผมไม่เคยรู้สึกสิ้นหวังขนาดนี้มาก่อนเลย ผมควรจะยินดีกับเสี่ยวเกอถึงจะถูก จริงไหม แต่ผมรู้ความรู้สึกของตัวเองดี ผมหลอกตัวเองไม่ได้หรอก
........................................................................................................................................................................................
“เสี่ยวฮัว นายชอบฉันไหม”
“นายหมายความว่ายังไง อาเฮีย”
“ปกติเห็นนายหัวไวนะ ทำไมวันนี้ถึงสมองช้าไปได้ล่ะ ก็หมายความตามที่พูดนั่นล่ะ”
เสี่ยวฮัวดูลังเลก่อนจะพยักหน้าตอบผม “ฉันชอบนาย”
“ดี” ผมหันไปมองเขา พูดอย่างจริงจัง “เรามาคบกันมั้ย”
“คบอะไรนะ” เสี่ยวฮัวเลิกคิ้ว สีหน้าเขาดูตลกมาก
“คบเป็นคนรักไงล่ะ นายแอบชอบฉันมาเป็นสิบปีแล้วไม่ใช่เหรอ ตอนนี้เสี่ยวเกอมีครอบครัวไปแล้ว ศัตรูอันดับหนึ่งของนายจากไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้ความปรารถนาของนายก็เป็นจริง นายควรจะดีใจสิ”
“ทำไมฉันต้องดีใจ” เสี่ยวฮัวย้อนถามผม
“เพราะนายรักฉันมากๆไงล่ะ”
“อาเฮีย” เขาเดินมานั่งตรงหน้าผม เอื้อมมือมาตบไหล่ผมเบาๆ “สิบปีที่ผ่านมานี้ นายเจ็บปวดมามาก พอจางฉี่หลิงไม่อยู่ นายก็เลยจินตนาการว่าอย่างน้อยก็ยังมีฉันที่อยู่ข้างๆ คอยดูแลนาย แอบรักนาย แต่นายไม่เคยสนใจฉัน เพราะนายยังมั่นคงต่อจางฉี่หลิง ตอนนี้พอจางฉี่หลิงจากไปแล้ว นายก็เลยคิดจะเลื่อนลำดับตัวสำรองอย่างฉันให้กลายเป็นตัวจริงสินะ”
“จริงอยู่ที่ฉันคอยช่วยเหลือนาย ส่วนหนึ่งเพราะเราสองคนเป็นญาติกัน แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือ นายทำให้ฉันนึกถึงตัวเองในสมัยก่อน เพราะอย่างนี้ฉันจึงพยายามช่วยนายอย่างเต็มที่ ไม่ว่ายังไงฉันก็เห็นใจนายนะ อาเฮีย”
“นายไม่ได้หลงรักฉันเหรอ” ผมถาม
“นายเป็นผู้ชาย แล้วฉันก็ไม่ได้เป็นเกย์ หากฉันมีความรักให้นายจริง มันก็คงเป็นความรักแบบพี่น้อง ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น”
“แล้วนายไม่ได้อิจฉาจางฉี่หลิงอยู่หรือไง นายต้องอิจฉาเขามากๆสิ เพราะฉันชอบเขามาก”
เฮ้อ เสี่ยวฮัวถอนหายใจ “ฉันจะอิจฉาจางฉี่หลิงไปทำไม เขามีชีวิตที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก ต้องเข้าไปอยู่หลังประตูเป็นสิบปี คนคนนั้นมีอะไรให้น่าอิจฉาตรงไหน ชีวิตของฉันแม้ไม่ได้สุขสบาย แต่ถ้าเทียบกับเขา ยังดีกว่ากันเยอะ”
“เสี่ยวฮัว นายมันคนทรยศ”
“ฉันไม่เคยทรยศนาย”
“นั่นแหละที่เรียกว่าทรยศ”
“เสี่ยวเสีย” เสี่ยวฮัวเรียกผมเสียงแข็ง “นายควรจะลืมตาตื่นแล้วมองความจริงได้แล้ว นายเจ็บปวดที่ถูกพระเอกทอดทิ้ง ดังนั้นจึงจินตนาการไอ้หน้าโง่สักคนมารับบทเป็นพระรองของนาย แม้จะถูกหมางเมินแค่ไหน แต่ก็ยังก้มหน้าก้มตาทำทุกอย่างให้นายโดยไม่ปริปากบ่น พอนายเสียจางฉี่หลิงไปอย่างไม่มีวันได้คืน นายก็คิดจะเอาพระรองคนนั้นขึ้นมาเป็นพระเอกอยู่เคียงข้างนายแทน นายคิดว่านายเป็นใคร นางเอกนิยายน้ำเน่าอย่างนั้นเหรอ”
“อาเฮีย ฉันรู้มาตลอดว่านายคิดกับฉันแบบไหน แต่ฉันไม่เคยพูดออกมา อะไรที่นายสบายใจ ถ้ามันไม่เดือดร้อนฉัน นายก็ทำไป แต่ตอนนี้มันเกินทนแล้ว นายเรียกร้องในสิ่งที่ฉันให้นายไม่ได้จริงๆ”
เสี่ยวฮัวหันหลังให้ผม เดินจากไป ก่อนไปเขายังพูดว่า
“ต่อไปนี้ ถ้าเดือดร้อน ไม่ว่าจะเรื่องเงินหรืออะไร ฉันยังช่วยนายได้ แต่เรื่องที่ว่าฉันรักนายอะไรนั่น นายจินตนาการเอาเองทั้งนั้น ลาก่อน”
เสียงประตูปิดดังปัง ผมฝังใบหน้าลงบนฝ่ามือ รู้สึกได้ถึงน้ำตาร้อนๆ ที่ไหลริน
สุดท้ายผมก็ไม่เหลือใครสักคน
ใครคนหนึ่งเดินมานั่งข้างๆผม น้ำหนักตัวของเขาทำให้โซฟายุบฮวบลงไป เขาเอื้อมมือมากอดผมไว้ ผมร้องไห้สะอื้นกับอกเขาเหมือนเด็กๆ
“ไม่เป็นไรแล้วนะ เทียนเจิน เสี่ยวอ้วนอยู่นี่ ยังอยู่ข้างๆนายนะ”
“นายอ้วน” ผมเรียกเขา ใช่ ผมลืมไปได้ยังไง ผมยังมีเขาอีกคน เขาที่คอยอยู่เคียงข้างผมเสมอ และก็เป็นเขาที่มักจะถูกมองข้ามอยู่เสมอเช่นกัน
“ฉันเคยจินตนาการว่าถ้าช่วยเสี่ยวเกอออกมาจากประตูสำริดได้ ฉันกับเขาจะได้อยู่ด้วยกัน แม้จะลำบากแค่ไหน แต่พอนึกว่าเราจะได้ครองคู่กันอย่างมีความสุข มันก็ทำให้ฉันก้าวต่อไปได้” ผมระบายทุกอย่างที่อัดอั้นออกมาให้นายอ้วนฟังจนหมด
“เพราะฉันน้อยใจในตัวเสี่ยวเกอ และเพราะไม่อยากดูเหมือนคนแพ้ ได้แต่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง จึงหลอกตัวเองมาตลอดว่า ยังมีคนคนหนึ่งวิ่งไล่ตามฉันมาข้างหลัง ยินดีจะทุ่มเททุกอย่างให้ฉัน เป็นคนที่พ่ายแพ้ให้กับความรักอย่างหมดรูป คนคนนั้นก็คือเสี่ยวฮัว”
“นายคิดว่าฉันผิดด้วยเหรอ ฉันก็แค่เหงามาก ฉันเจ็บปวดมาก ทำไมสองคนนั้นไม่เคยเข้าใจฉันเลย”
“เสี่ยวอู๋” นายอ้วนดันผมออก เช็ดน้ำตาให้ผมอย่างแผ่วเบา “นายไม่ผิด สองคนนั้นก็ไม่ผิด ผิดก็แค่พวกนายคิดต่างกันก็แค่นั้น ทำไมนายไม่ลองมองหาใครสักคนที่คิดตรงกับนาย”
“คนคนนั้นคือ” ผมพอจะเดาออกแล้ว แอบยิ้มกริ่มอยู่ในใจ
“ฉันก็ไม่รู้ แต่ถ้านายตั้งใจหาหน่อย เสี่ยอ้วนว่า มันก็คงไม่ยากจนเกินกำลังหรอก”
“แล้วคนคนนั้นไม่ใช่นายหรอกเหรอ นายก็แอบชอบฉันมาตลอดเหมือนกันนี่”
“ฉัน” นายอ้วนชี้ตัวเอง ส่ายหน้ารัวๆ “ไม่ใช่ ไม่ใช่ เสี่ยอ้วนไม่เคยคิดเกินเลยกับเทียนเจินเกินคำว่าเพื่อนเลย”
“นายมันแย่ พวกนายทั้งสามคน แย่พอกันทั้งนั้น ไปให้ไกลๆ เลย ต่อไปนี้ฉันไม่อยากเห็นหน้าพวกนายอีกแล้ว”
........................................................................................................................................................................................
พอล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำแล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าเหตุใดจึงฝันแบบนั้น
ในความเป็นจริง เสี่ยวเกอมีครอบครัว มีลูกสาว
แต่ในความฝัน เป็นผมที่มีครอบครัวอบอุ่น แม้ลูกสาวผมจะชอบเขา หรือผมจะมีครอบครัวแล้ว เขาก็ไม่ใส่ใจ ยังยึดมั่นรักผมไม่เปลี่ยน เขาไม่อาจเดินหน้าต่อไปได้เมื่อไม่มีผม เมินโหยวผิง จางฉี่หลิง หรือเสี่ยวเกอ ไม่ว่าเขาจะมีกี่ชื่อก็ตาม เป็นคนที่พ่ายแพ้ให้กับความรักอย่างสมบูรณ์
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ใครกันแน่ที่พ่ายแพ้ให้กับความรัก
เสี่ยวเกอจำผมไม่ได้ เส้นทางของเขากับผมคงไม่มีวันได้กลับมาบรรจบกันตลอดกาล ส่วนนายอ้วนกับเสี่ยวฮัวก็ไม่ได้จากไปไหน พวกเขาพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างผมในฐานะเพื่อนเสมอ แต่ไม่ใช่คนรัก
ผมเรียกร้องมากไปหรือ น้ำตาของผมไหลลงมาอย่างเงียบๆ
เป็นน้ำตาของคนแพ้อย่างแท้จริง
ได้เวลาต้องมองหาคนใหม่แล้วสิ
FIN
Talk: หลบหม้อ ไห กะละมังที่ปามา ความจริงแล้วเรื่องความกลุ้มใจของเถ้าแก่อู๋มีตอนต่อที่แตกต่างออกไปจากนี้ แต่พอดีอยากลองเล่นเดลี่ดูบ้างค่ะ เลยเข็นตอนนี้ออกมาแทน อยากเห็นอู๋เสียในมาดแบบนี้ดูบ้าง อย่าโกรธเค้าเลย อ่านกันขำๆ ไม่ต้องจริงจังนะคะ อากาศร้อนเกินไปเลยแต่งฟิคแปลกๆออกมา ต้องขออภัยด้วยค่ะ ฮิฮิ
SPECIAL
- Spoiler:
“พวกนายทั้งคู่ ทำได้ดีมาก”
“ที่แผนครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ต้องกล่าวว่าเป็นเพราะความปราดเปรื่องของนายน้อยต่างหากล่ะครับ”
คนถูกชมไม่ได้พูดอะไร สีหน้าไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม
“ตามที่ได้สัญญาไว้ เงินส่วนที่เหลือได้ถูกโอนเข้าบัญชีของพวกนายแล้ว”
“ขอบคุณมากครับ/ค่ะ นายน้อย”
“ต่อจากนี้ก็ให้ทำตามแผนเดิม ถึงแม้เบื้องต้นเราจะตบตาเถ้าแก่สามได้แล้ว แต่เพื่อความไม่ประมาท นายยังต้องสวมบทบาทเป็นจางฉี่หลิงต่อไป เวลาที่ออกข้างนอกต้องระวังตัวเป็นพิเศษ”
“แล้วพวกเราจะต้องเล่นบทพวกนี้ไปอีกนานเท่าไหร่หรือคะ นายน้อย” ฝ่ายหญิงเอ่ยถาม
“เรื่องนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หากงานนี้สำเร็จ พวกนายทั้งคู่ได้กลายเป็นมหาเศรษฐีแน่นอน”
พวกเขาทั้งสองมองหน้ากันแล้วลอบยิ้มอย่างยินดี
“แต่ถ้าผิดพลาดขึ้นมา พวกนายคงจะรู้ผลของมันสินะ”
“เราจะพยายามเต็มที่เพื่อไม่ให้ผิดพลาดครับ นายน้อย”
“ดี”
ขณะนี้เป็นเวลาดึกสงัด รอบด้านเงียบเชียบ ผู้คนหลับใหล เห็นได้ชัดว่านายน้อยของพวกเขาระวังตัวเป็นพิเศษ จึงนัดพบในเวลาเช่นนี้
“จะไปที่ไหนต่อหรือเปล่าครับ นายน้อย”
“ตรงกลับที่พักที่โรงแรมก่อน รอถึงตอนเช้าค่อยพาฉันกลับบ้าน” เอ่ยกับคนขับเพียงเท่านั้น แล้วเขาก็เอนหลังพิงกับเบาะ หลับตาพักผ่อนสายตา
เขาเลือกเฟ้นอยู่นานมาก กว่าจะหาคนที่ตรงกับความต้องการได้ คนที่เลือกต้องเป็นชายที่มีรูปร่างและน้ำเสียงคล้ายคลึงกับจางฉี่หลิงมากที่สุด หลังจากนั้นก็ให้สวมหน้ากากหนังมนุษย์ อุปโลกน์ครอบครัวปลอมๆขึ้นมา หาเด็กผู้หญิงมาสักคนรับบทบาทเป็นลูกสาว
ชายคนนั้นยังต้องจดจำลักษณะท่าทาง นิสัย แม้กระทั่งวิธีการพูดของจางฉี่หลิงให้ได้อย่างแม่นยำ เรื่องนี้เขาที่เป็นนายน้อยของตระกูลลงมือฝึกฝนชายคนนั้นเองกับมือ
และก็เป็นดังที่เขาคาด หลังจากวางแผนให้จางฉี่หลิงตัวปลอมปรากฏตัวให้ลูกน้องของคุณชายตระกูลเซี่ยเห็น สองสามวันหลังจากนั้นเถ้าแก่สามก็รีบแจ้นมาพบจางฉี่หลิงทันที
ใครจะไปคิดว่าเถ้าแก่สามจะตกหลุมพรางตื้นๆแบบนี้ แต่แผนนี้คงตบตาคนอย่างเถ้าแก่สามตระกูลอู๋ได้ไม่นาน บางทีสิ่งที่เขาอยากเห็นมากที่สุดคงจะเป็นสีหน้ายามรู้ความจริงของอู๋เสียแค่นั้นเองก็ได้
‘เอาล่ะ รอดูเรื่องสนุกกันดีกว่า’ ริมฝีปากของเขาปรากฏรอยยิ้มประหลาด
เช้าวันต่อมารถคันหนึ่งก็เลี้ยวเข้ามาในคฤหาสน์ ด้านหน้าคฤหาสน์มีคนรับใช้ออกมาต้อนรับอย่างเนืองแน่น
“ยินดีต้อนรับกลับครับ/ค่ะ นายน้อย”
เขาพยักหน้า เดินตรงเข้าไปในคฤหาสน์ เอ่ยถามพ่อบ้านคนสนิท “เขาเป็นยังไงบ้าง”
“ยังเหมือนเดิมครับนายน้อย”
“ไม่เป็นไร นายให้คนจัดอาหารไปที่ห้อง วันนี้ฉันจะกินข้าวเช้าที่ห้อง”
“ครับ”
เขาก้าวเข้ามาในห้องพักของตัวเอง ห้องนั้นกว้างมาก แต่การออกแบบภายในเรียบง่าย แทบไร้การตกแต่งใดๆ แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่ชอบการตกแต่งที่หรูหรามากเกินไปอยู่แล้ว
เขาขยับหนังสือเล่มหนึ่งบนชั้นวาง ชั้นหนังสือเลื่อนเปิดออก ด้านหลังปรากฏเส้นทางลับ ด้านในเส้นทางลับยังมีประตูที่ต้องใส่รหัสอีกบานหนึ่ง รหัสของห้องนี้มีเพียงเขาและพ่อบ้านคนสนิทเท่านั้นที่รู้ เขากดหมายเลขที่จำได้ขึ้นใจ แล้วเดินเข้าไป
ภายในห้องลับ คนคนนั้นยังคงหลับใหลไม่ได้สติ เขาเดินเข้าไป นั่งลงที่ข้างตียง สายตาที่ทอดมองคนบนเตียงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน แตกต่างจากแววตาตามปกติของเขา เขาไล้มือไปตามโครงหน้าได้รูป สัมผัสเปลือกตาที่ปิดสนิท ริมฝีปากพึมพำแผ่วเบา
"เมื่อไหร่นายจะตื่นขึ้นมาสักที จางฉี่หลิง"
Eli-kun- ด้วงตำหนักหลู่หวังเจ็ดดารา
- จำนวนข้อความ : 80
Points : 3583
Join date : 04/03/2015
Similar topics
» [OS] #DMBJdaily ( lose ) : LOSER [เฮยฮัว]
» [OS] #dmbjdaily (สูท) ก็แค่สูท [อู๋เสีย]
» [OS] #dmbjdaily 'lose' (39 :: ป้านเจี๋ยหลี่,เซี่ยจิ่วเย๋ + 24)
» [drabble] #dmbjdaily 'lose' : silence [ผิงเสีย]
» [OS] #dmbjdaily "PRESENT" [ ??? x อู๋เสีย ]
» [OS] #dmbjdaily (สูท) ก็แค่สูท [อู๋เสีย]
» [OS] #dmbjdaily 'lose' (39 :: ป้านเจี๋ยหลี่,เซี่ยจิ่วเย๋ + 24)
» [drabble] #dmbjdaily 'lose' : silence [ผิงเสีย]
» [OS] #dmbjdaily "PRESENT" [ ??? x อู๋เสีย ]
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|
Fri 24 Jul 2020, 01:39 by gustoon
» [คู่มือด้วง] Keyword จีนสำหรับการขุด(แฟนดอม)สุสาน
Thu 21 Jun 2018, 00:29 by miskizfullmoon
» มังฮวาและภาคทิเบต
Thu 21 Jun 2018, 00:23 by miskizfullmoon
» [OS] Father is the best (ผิงเสีย)
Thu 03 Aug 2017, 16:12 by schneewittchen
» [Fic] สิ่งเล็กๆที่เชื่อมโลก5 [เมินโหยวผิง+อู่เสีย+เสี่ยอ้วน]+OC
Tue 01 Aug 2017, 12:30 by natsume
» [OS] #dmbjdaily (จูปาจุ๊บ) Bittersweet [ผิงเสีย AU]
Thu 06 Apr 2017, 15:58 by Zeth
» [OS] #dmbjdaily "โทรศัพท์มือถือ" - no Pairing [All]
Tue 04 Apr 2017, 22:27 by Zeth
» [OS] #DMBJDaily (แว่น): ระยะที่มองไม่เห็น [ฮัวเสีย]
Sat 01 Apr 2017, 16:55 by Zeth
» [OS] #DMBJdaily (5.20) ท่านยอดฝีมือ [หวังเหมิง (+เหมิงเสีย)(+ผิงเสีย)]
Thu 30 Mar 2017, 17:24 by Zeth