Countdown
We've been
togerther for
ค้นหา
Latest topics
Most active topics
[OS] 'Time' in 10 years [จางฉี่หลิงxอู๋เสีย :: ผิงเสีย]
+6
Tang_An-An
Duke_of_Florence
patri_perry
MinMin
sinnerdarker
velvetronica
10 posters
หน้า 1 จาก 1
[OS] 'Time' in 10 years [จางฉี่หลิงxอู๋เสีย :: ผิงเสีย]
'Time' in 10 years [จางฉี่หลิงxอู๋เสีย :: ผิงเสีย]
*มีการอ้างอิงการแปลเรื่อง'วันที่12 เดือน5 ปี1999'ของคุณด้วงโกะค่ะ*
อากาศหนาวเย็นทำให้ผมรู้สึกแสบในโพรงจมูก แม้ว่าครั้งนี้การเตรียมตัวจะดีกว่าครั้งก่อนมากแต่ผมก็ยังรู้สึกว่าไอ้คนอย่างผมมันไม่ควรมาทำอะไรแบบนี้เลยจริงๆ สองเท้าที่ใส่รองเท้าลุยหิมะอย่างดีย่ำลงไปแบบทุลักทุเลสุดๆ
ประสบการณ์สองครั้งก่อนในการมาเยือนฉางไป๋ซานทำให้ผมสามารถหาตำแหน่งตั้งแคมป์ได้ในที่สุด ก่อนจะลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเองเพียงลำพัง ตั้งสมาธิให้จดจ่ออยู่กับงานตรงหน้ามากขึ้นก่อนที่อุณหภูมิจะลดต่ำจนทำอะไรไม่ไหว
ในที่สุดทุกอย่างก็เรียบร้อย ผมซุกตัวอยู่ในความอบอุ่นอันน้อยนิดพร้อมกับเล็มอาหารที่เตรียมมาแบบไม่ค่อยรู้รส
ผมคงจะอวดดีเกินไปที่กล้าเดินข้ามสโนว์ไลน์มาด้วยตัวคนเดียว...
เสียงหัวเราะเยาะเย้ยตัวเองดังขึ้นในความเงียบ ทำให้ย้อนไปถึงบทสนทนาและความคิดงี่เง่าที่เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อน
"นายคิดว่าไง"
"ก็คงผี"
"นี่คิดอย่างอื่นไม่ออกแล้วหรือไง"
"นายถามเสี่ยอ้วน เสี่ยอ้วนก็ตอบแบบเสี่ยอ้วนสิวะ"
นั่นเป็นบทสนทนาทางโทรศัพท์ของผมกับนายอ้วน ผมที่รู้สึกฟุ้งซ่านเป็นกำลังโทรไปนั่งคุยเรื่องเก่าๆ กับเขาเพื่อหยุดตัวเอง พอคุยไปคุยมาเลยพาลไปถึงเรื่องของซุ่นจื่อ ทหารชาวเกาหลีที่เป็นไกด์ให้พวกผมตอนขึ้นฉางไป๋ซานครั้งแรก
"ไอ้ทหารเกาหลีนั่นตายห่าไปแล้ว4ปี มันก็ต้องเป็นผีอยู่แล้วสิวะ" นายอ้วนยังคงยืนยันความคิดของตัวเอง
"แล้วตอนที่หมอนั่นนอนหงิกจะตายมิตายแหล่นั่นคือเราคืนชีพให้ผีกันหรือไง" ผมค้าน "ผีที่ไหนจะหนาวตายได้อีกรอบ"
"งั้นนายก็เสนออย่างอื่นมาสิ"
ตอนแรกบทสนทนาของผมกับนายอ้วนสิ้นสุดลงแค่นั้น อันที่จริงผมอยากจะยกตัวอย่างคนตายที่ลุกขึ้นมาเดินเล่นได้อย่างเหลาหย่างแต่นั่นมันกรณีพิสดารเกินกว่าจะเอามาเป็นบรรทัดฐาน
ประเด็นนั้นคงจะถูกทิ้งไว้ตลอดกาลถ้าเมื่อเดือนต่อมาผมไม่ได้ไปเจอเพื่อนเก่าคนหนึ่งซึ่งกำลังเป็นอาจารย์สอนอยู่คณะวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์ ผมกับหมอนั่นสายงานไม่ใกล้กันสักนิด บทสนทนาเลยเก้ๆ กังๆ ไม่น้อย จนกระทั่งผมลองเปิดประเด็นเรื่องเหนือธรรมชาติ
"คงไม่ใช่ผีหรอก" เพื่อนคนนั้นกล่าว
"หืม?" ผมเลิกคิ้วอย่างสนใจ
"ก็นายบอกเองว่าผีคงไม่แข็งตายอีกรอบ ฉันเองก็คิดเหมือนกัน เพราะงั้น...ไอ้ที่นายเจอนั่นคงเป็นคนเป็นๆ แน่ๆ"
"แต่หมอนั่นตายไปสี่ปีแล้วนะ"
"ตรงนี้ต่างหากที่น่าสนใจ...นายรู้จักทฤษฎีสัมพันธภาพมั๊ย" ผมส่ายหัวพรืด "อา...เอาอย่างนี้"
เพื่อนนักฟิสิกส์หยิบกระดาษขึ้นมาขีดเส้นที่เรียกว่าเส้นเวลาให้ผมดู
"อันนี้คือเวลาของนาย" ชี้ดูก่อนจะลากอีกเส้นที่สั้นกว่าไว้ขนานกันแล้วกากบาทตรงปลาย "นี่คือของนายซุ่นจื่ออะไรนั่น...ซึ่งจบลงตรงนี้"
ผมพยักหน้าตามเมื่อปลายปากกาเคาะลงตรงกากบาท แล้วจึงเลื่อนมือมาอีกหน่อยก่อนจะวงลงที่เส้นเวลาของผม
"อันนี้คือตอนที่นายไปฉางไป๋ซาน" ค่อยๆ อธิบายไปเรื่อยๆ "ซึ่งตรงนี้มันไม่มีเวลาของซุ่นจื่อแล้ว แต่นายยังเจอซุ่นจื่อแบบมีชีวิตจริงๆ ดังนั้น..."
อาจารย์ฟิสิกส์วางปากกาลง แล้วพับกระดาษจนวงเวลาของผมที่ฉางไป๋ซานมาแตะเข้ากับช่วงเวลาหนึ่งของซุ่นจื่อ
"มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เกิดการทับซ้อนของเส้นเวลาแบบนี้"
"แล้วมันคืออะไร?"
"จะไปรู้หรือ" ว่าแล้วก็หัวเราะ ทำเอาผมร้องอ้าว สรุปที่ฟังมายาวยืดคืออะไรกันแน่ "ก็จากที่นายเล่าที่ตรงนั้นมันแปลกประหลาดจะตาย ถ้าเกิดมันมีสนามแม่เหล็กยิ่งใหญ่อะไรแบบที่นายว่าว่าดึงดูดเข็มทิศได้ มันก็อาจจะมีอะไรที่ทำให้มิติเวลามันบิดเบี้ยวทับซ้อนจนเป็นแบบนั้นได้เหมือนกัน"
ผมกลอกตาไปมากับคำพูดไร้ความรับผิดชอบของอีกฝ่าย เพราะสุดท้ายหมอนี่ก็บอกว่าอาจจะเกิดจากแรงปรารถนายิ่งใหญ่ที่อยากตามหาพ่อให้เจอจนเหนี่ยวนำจนเกิดการทะลุมิติก็เป็นได้...ผมจึงได้ข้อสรุปว่ามันเมาเบียร์
แต่หลังจากนั้นผมก็ไม่สามารถสลัดความคิดบ้าบอนี่ออกจากหัวได้ จนนึกอยากจะบุกไปหาถึงคณะแล้วเค้นคอออกมาให้ได้ว่าทฤษฎีบ้าบออะไรนั่นมันจริงหรือเปล่า
แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่ได้ทำ...แต่ก็หยุดคิดไม่ได้เช่นกัน
เหมือนคนจมน้ำแล้วเห็นฟางยังต้องคว้าไว้ เวลาสิบปีที่เมินโหยวผิงบอกผมมันยาวนานเกินไป แค่ยังไม่ครบขวบปีแรกก็ทำเอาผมแทบเป็นบ้า
ผมคิดถึงเขา...จนจะตาย
กว่าจะรู้ตัวอีกที ผมก็สั่งให้หวังเหมิงไปซื้อของสำหรับลุยหิมะมาโดยไม่ลืมกำชับให้ทุกอย่างเป็นความลับ
เหตุผลของผมมันไม่เรียกว่าเหตุผลด้วยซ้ำ แล้วจะให้ผมเอาหน้าที่ไหนไปอธิบายให้คนอื่นฟัง ขืนเสี่ยวฮัวได้ยินเรื่องนี้คงจับผมหักคอแล้วมัดไว้กับเก้าอี้ในร้านแน่ๆ
ผมจึงมาที่นี่คนเดียว...โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมาทำอะไร
ภาพภูเขาหิมะอาบไล้ด้วยแสงอาทิตย์ทำให้ผมรู้สึกปวดในกระบอกตา ผมเบือนหน้าหนีจากทัศนียภาพงดงามด้วยความรู้สึกหลากหลาย ความทรงจำทับซ้อนเกี่ยวกับเมินโหยวผิงในเวลานี้เป็นสิ่งที่โหดร้ายเกินไป ผมนึกดีใจที่ตนเองใส่แว่นป้องกันตาบอดหิมะ เพราะมันทำให้ผมเห็นอะไรๆ ไม่เหมือนคราวก่อนจนเกินไป
การเดินเท้าของผมล้วนน่าเบื่ออย่างยิ่ง ย่ำหิมะเพียงลำพังเป็นสิบๆ กิโลเมตร กดปิดปุ่มความคิดแล้วจดจ่ออยู่กับความหวังลมๆ แล้งๆ ที่ไร้ตรรกะ
...ผมคิดว่าตัวเองคงเป็นบ้าแล้วจริงๆ
ผมย้อนเส้นทางของตัวเองทุกอย่างจนไปถึงจุดเห็นว่ามีหิมะละลายอยู่โดยรอบแล้วจึงค่อยๆ คลำทางเลียนแบบเมินโหยวผิงจนทางแยกถ้ำน้ำพุร้อนที่เคยมา แล้วลงแรงขุดลงไปด้วยตัวคนเดียว
ผมมุดลงไปในนั้นทันที และโดยที่ไม่หยุดพักผมเดินไปจนถึงจุดรอยแยกที่ปิดตาย
ผมทรุดตัวลงและนั่งร้องไห้
นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่? วิ่งตามภาพเงาความฝันที่ไม่มีอยู่จริง ผมกำลังคาดหวังอะไร?
หลังจากร้องไห้จนพอใจก็รู้สึกเหมือนโดนความอ่อนล้าซัดโถมใส่ อุณหภูมิที่สูงกว่าภายนอกทำให้ผ่อนคลายกว่าการพักแรมหลายๆ วันที่ผ่านมา
ผมขดตัวลงในถุงนอน แล้วทิ้งสติให้จมลงไปกับห้วงนิทราไร้ก้นบึ้ง
เสียงเตาไร้ควันที่ถูกจุดทำให้ผมสะดุ้งตื่น สัญชาตญาณระแวดระวังของผมดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากจึงพลันรู้สึกเครียดขึ้นเฉียบพลัน
ใคร?
สายตาของผมยังไม่ชินกับแสงสว่าง แต่ภาพเงาที่ชะโงกมาเหนือตัวทำให้ผมผงะถอยหนี ถ้าไม่ติดว่ามือมีหนึ่งคว้าเข้าที่ไหล่
มือที่มีสองนิ้วซึ่งยาวกว่าปกติ
"นาย..."
เมื่อสายตาของผมปรับจนรับแสงได้มันก็กลับพร่าเลือนอีกครั้งด้วยม่านน้ำตา...น้ำตาที่ผมร้องออกไปเมื่อวานจนคิดว่าจะไม่เหลืออีกแล้วไหลอาบแก้ม
ปลายนิ้วที่จัดการกลไกสุสานมานับไม่ถ้วนปาดแผ่วเบาที่หางตา ใบหน้าที่ผมเห็นแม้ในยามฝันกำลังลอยอยู่ตรงหน้า
"ร้องไห้ทำไม"
เสียงของเมินโหยวผิงแสดงความกังวลใจ แต่มันทำให้ผมยิ่งทะลักน้ำตาใส่เขาแบบหยุดไม่อยู่ ลำคอตีบตันไปหมดพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ
สองมือเอื้อมไปคว้าตัวอีกฝ่ายไว้แน่น ผมสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิของเมินโหยวผิง ทั้งสัมผัสและและลมหายใจ
เขาอยู่ตรงหน้าผม...เขาอยู่ตรงหน้าผมจริงๆ ใช่ไหม
พอเห็นว่าผมเอาแต่สะอื้นจนตัวโยน เมินโหยวผิงเลยโอบตัวผมมากอดไว้หลวมๆ
"ฉี่หลิง...จางฉี่หลิงจริงๆ ใช่ไหม"
นั่นคือคำแรกที่ผมพูดออกไปได้ นิ้วมือของอีกฝ่ายเกลี่ยแผ่นหลังผมเบาๆ ราวกับจะปลอบโยน
"ฉัน 'ตอนนี้' อยู่หลังประตูสำริด" คำอธิบายนั้นไม่ชวนให้กระจ่าง แต่คำยืนยันที่ตามมามีความหมายยิ่งกว่า "แต่ฉันคือจางฉี่หลิง"
ผมคิดถึงซุ่นจื่อ...ถ้านี่คือปรากฎการณ์แบบเดียวกันที่เกิดขึ้น...ถ้านี่คือเมินโหยวผิงของผมจริงๆ
ผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้ารูปสลักนั้น ดวงตาของอีกฝ่ายก็จ้องตอบมา แรงดึงดูดประหลาดทำให้เราขยับตัวเข้ามากัน ริมฝีปากอุ่นร้อนของเมินโหยวผิงที่บดเบียดลงมาบอกผมให้รู้ว่านี่คือเขาจริงๆ
อากาศในถ้ำน้ำพุร้อนอุ่นสบายกว่าภายนอกแต่ก็ยังคงเยีนเยียบ อุณหภูมิจากร่างกายของเมินโหยวผิงทำให้ผมรู้สึกดี ทั้งอ้อมกอดของเขาและลวดลายกิเลน...
"นายจะกลับไปด้วยกันได้ไหม"
ผมกระซิบถาม แต่เขาไม่ตอบ ซึ่งผมก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว
"...แล้วนายจะหายไปเมื่อไหร่"
"เมื่อความปรารถนาสัมฤทธิ์ผล"
เหมือนเรื่องราวของซุ่นจื่อ...หมอนั่นหายตัวไปหลังจากเจอจุดจบของบิดา อำนาจลึกลับของตำหนักทิพย์พิมานเมฆอนุญาตอย่างมีเงื่อนไข
ผมนอนลืมตาในอ้อมแขนที่รัดอยู่รอบตัว ทุกประสาทสัมผัสที่ทำได้...ผมอยากบันทึกตัวตนของเขาเอาไว้ทั้งหมด
"ถ้ากลับมาอีก...จะได้เจอกันอีกไหม"
อีกครั้งที่ความเงียบเป็นคำตอบ ผมที่ถึงจะเตรียมตัวรับไว้แล้วก็อดรู้สึกเจ็บแปล๊บในอกไม่ได้
"สิบปี...นายคิดว่าฉันจะอยู่ได้ยังไง เสี่ยวเกอ" คำถามนั้นผมถามทั้งเขาและตัวเอง
"...ที่หลังประตูนั่น ฉันคงกำลังคิดเหมือนนาย" คำตอบนั้นทำให้ผมเห็นสายตาที่รวดร้าว
ผมรู้สึกเหมือนจะร้องไห้อีกครั้งในตอนที่ริมฝีปากแนบลงมาที่หน้าผากพร้อมคำกระซิบแผ่วเบา
"ฉันที่หลังประตูสำริด...อยู่เพื่อนายคนเดียว อีกสิบปี...นายอาจจะลืมจางฉี่หลิงคนนี้แล้วก็ได้"
สองมือคว้าตัวอีกฝ่ายจนแน่น ความเจ็บปวดที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันทำให้ผมอยากกอดเขาให้แน่นกว่าเดิม
"ไม่ลืม...ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ลืม"
คำสัญญาประหนึ่งคำสัตย์ที่ผมให้กับเขา...มันอาจจะไปไม่ถึงตัวเขาที่หลังประตู แต่ผมก็อยากบอกให้รู้...ไม่ว่าอย่างไร ผมก็จะไม่ลืม
เมินโหยวผิงก้มลงแตะจูบแผ่วเบาตอบรับคำมั่น ผมซึมซับทุกความรู้สึกในวินาทีนี้...เพราะมันคือสิ่งที่จะหล่อเลี้ยงผมไปอีกเก้าปี...เก้าปีที่ไม่มีเขา
"ฉันต้องไปแล้ว...หลับซะอู๋เสีย"
นั่นคือคำที่ทำให้ผมยอมหลับตา อ้อมกอดอุ่นร้อนยังคงโอบกอดไว้ไม่คลาย ผมกระซิบถามออกไปเป็นคำสุดท้ายในตอนที่สติเริ่มเลือนลาง
"ความปรารถนาของนายคืออะไร"
"สิ่งเดียวที่ฉันปรารถนา...คือนาย อู๋เสีย"
เมื่อลืมตาตื่นเขาก็หายสาบสูญไปเสียแล้ว
ผมไม่ตามหาเขาเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนคราวก่อน แค่เก็บข้าวของอย่างสงบและเริ่มเดินทางกลับลงไป ตลอดเวลาผมไม่คิดตั้งคำถามแม้แต่น้อยว่านั่นคือความฝัน ภาพหลอนหรือความจริง
เมื่อลงมาถึงเอ้อเต้าไป๋เหอ...ผมก็เจอเสี่ยวฮัวรออยู่พร้อมคำจิกกัดเชือดเฉือนนอนสต๊อปยาวไปจนถึงหังโจว หมอนี่คงเกลียดผมเต็มแก่...เพราะผมไม่มีแม้แต่เหตุผลดีๆ สักข้อให้เขากับการรนหาที่ตายในครั้งนี้
ส่วนหวังเหมิงก็ทำหน้าดีใจราวกับเห็นเทพเจ้าเมื่อผมก้าวมาถึงหน้าร้าน...ทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้จ่ายเงินเดือนเขาล่วงหน้าก่อนไป
เมื่อจบเรื่องวุ่นวายที่ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ก่อนไป ผมก็ทิ้งตัวนั่งลงตรงที่นั่งทำงานประจำ ปล่อยให้อารมณ์และความคิดล่องลอยและเลือกเอาความทรงจำมีค่าขึ้นมาเป็นหลักยึด
'สิ่งเดียวที่ฉันปรารถนา...คือนาย อู๋เสีย'
อีกเก้าปี...ถ้าเมินโหยวผิงยังรอ ผมก็จะรอเขาเหมือนกัน
::talk::
คลานมาแปะฟิคผิงเสียเยียวยาจิตใจตนเอง เราตั้งใจให้มันหวานซึ้งนะคะ...แต่นี่มันทำร้ายตัวเองกว่าเดิมรึเปล่า แงงงงง //โดนทุกคนรุมตี
โอ่ยยยยย คือสิบปีมันคงทรมานมากสำหรับนายน้อยค่ะ แต่จุดที่แน่ที่สุดน่าจะเป็นช่วงปีแรก เราเลยอยากปลอบใจนายน้อยนิดนึง //ความจริงคือปลอบใจตัวเองด้วย
ส่วนเรื่องหลักฟิสิกส์อะไรนั่น...อย่าเชื่อนะคะ เราขุดสิ่งที่เคยเรียนเมื่อนานมาแล้วมามั่วค่ะ แอร้ ขอบคุณคุณด้วงโกะมาใน ณ ที่นี้ ยืมเนต้ามาใช้ไม่ได้ขอก่อน //โดนตบ แล้วก็ขอบคุณทวิตจุดประกายจากอัคคุงค่ะ //คาดว่าอ่านถึงตรงนี้อัคคุงคงงงหนักว่าเกี่ยวกับตูยังไง หลังไมค์แล้วกันนะคะ ฮาาาา
หวังว่าทุกคนจะชอบผิงเสียในแบบของเรานะคะ ขอบคุณค่า
*มีการอ้างอิงการแปลเรื่อง'วันที่12 เดือน5 ปี1999'ของคุณด้วงโกะค่ะ*
อากาศหนาวเย็นทำให้ผมรู้สึกแสบในโพรงจมูก แม้ว่าครั้งนี้การเตรียมตัวจะดีกว่าครั้งก่อนมากแต่ผมก็ยังรู้สึกว่าไอ้คนอย่างผมมันไม่ควรมาทำอะไรแบบนี้เลยจริงๆ สองเท้าที่ใส่รองเท้าลุยหิมะอย่างดีย่ำลงไปแบบทุลักทุเลสุดๆ
ประสบการณ์สองครั้งก่อนในการมาเยือนฉางไป๋ซานทำให้ผมสามารถหาตำแหน่งตั้งแคมป์ได้ในที่สุด ก่อนจะลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเองเพียงลำพัง ตั้งสมาธิให้จดจ่ออยู่กับงานตรงหน้ามากขึ้นก่อนที่อุณหภูมิจะลดต่ำจนทำอะไรไม่ไหว
ในที่สุดทุกอย่างก็เรียบร้อย ผมซุกตัวอยู่ในความอบอุ่นอันน้อยนิดพร้อมกับเล็มอาหารที่เตรียมมาแบบไม่ค่อยรู้รส
ผมคงจะอวดดีเกินไปที่กล้าเดินข้ามสโนว์ไลน์มาด้วยตัวคนเดียว...
เสียงหัวเราะเยาะเย้ยตัวเองดังขึ้นในความเงียบ ทำให้ย้อนไปถึงบทสนทนาและความคิดงี่เง่าที่เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อน
"นายคิดว่าไง"
"ก็คงผี"
"นี่คิดอย่างอื่นไม่ออกแล้วหรือไง"
"นายถามเสี่ยอ้วน เสี่ยอ้วนก็ตอบแบบเสี่ยอ้วนสิวะ"
นั่นเป็นบทสนทนาทางโทรศัพท์ของผมกับนายอ้วน ผมที่รู้สึกฟุ้งซ่านเป็นกำลังโทรไปนั่งคุยเรื่องเก่าๆ กับเขาเพื่อหยุดตัวเอง พอคุยไปคุยมาเลยพาลไปถึงเรื่องของซุ่นจื่อ ทหารชาวเกาหลีที่เป็นไกด์ให้พวกผมตอนขึ้นฉางไป๋ซานครั้งแรก
"ไอ้ทหารเกาหลีนั่นตายห่าไปแล้ว4ปี มันก็ต้องเป็นผีอยู่แล้วสิวะ" นายอ้วนยังคงยืนยันความคิดของตัวเอง
"แล้วตอนที่หมอนั่นนอนหงิกจะตายมิตายแหล่นั่นคือเราคืนชีพให้ผีกันหรือไง" ผมค้าน "ผีที่ไหนจะหนาวตายได้อีกรอบ"
"งั้นนายก็เสนออย่างอื่นมาสิ"
ตอนแรกบทสนทนาของผมกับนายอ้วนสิ้นสุดลงแค่นั้น อันที่จริงผมอยากจะยกตัวอย่างคนตายที่ลุกขึ้นมาเดินเล่นได้อย่างเหลาหย่างแต่นั่นมันกรณีพิสดารเกินกว่าจะเอามาเป็นบรรทัดฐาน
ประเด็นนั้นคงจะถูกทิ้งไว้ตลอดกาลถ้าเมื่อเดือนต่อมาผมไม่ได้ไปเจอเพื่อนเก่าคนหนึ่งซึ่งกำลังเป็นอาจารย์สอนอยู่คณะวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์ ผมกับหมอนั่นสายงานไม่ใกล้กันสักนิด บทสนทนาเลยเก้ๆ กังๆ ไม่น้อย จนกระทั่งผมลองเปิดประเด็นเรื่องเหนือธรรมชาติ
"คงไม่ใช่ผีหรอก" เพื่อนคนนั้นกล่าว
"หืม?" ผมเลิกคิ้วอย่างสนใจ
"ก็นายบอกเองว่าผีคงไม่แข็งตายอีกรอบ ฉันเองก็คิดเหมือนกัน เพราะงั้น...ไอ้ที่นายเจอนั่นคงเป็นคนเป็นๆ แน่ๆ"
"แต่หมอนั่นตายไปสี่ปีแล้วนะ"
"ตรงนี้ต่างหากที่น่าสนใจ...นายรู้จักทฤษฎีสัมพันธภาพมั๊ย" ผมส่ายหัวพรืด "อา...เอาอย่างนี้"
เพื่อนนักฟิสิกส์หยิบกระดาษขึ้นมาขีดเส้นที่เรียกว่าเส้นเวลาให้ผมดู
"อันนี้คือเวลาของนาย" ชี้ดูก่อนจะลากอีกเส้นที่สั้นกว่าไว้ขนานกันแล้วกากบาทตรงปลาย "นี่คือของนายซุ่นจื่ออะไรนั่น...ซึ่งจบลงตรงนี้"
ผมพยักหน้าตามเมื่อปลายปากกาเคาะลงตรงกากบาท แล้วจึงเลื่อนมือมาอีกหน่อยก่อนจะวงลงที่เส้นเวลาของผม
"อันนี้คือตอนที่นายไปฉางไป๋ซาน" ค่อยๆ อธิบายไปเรื่อยๆ "ซึ่งตรงนี้มันไม่มีเวลาของซุ่นจื่อแล้ว แต่นายยังเจอซุ่นจื่อแบบมีชีวิตจริงๆ ดังนั้น..."
อาจารย์ฟิสิกส์วางปากกาลง แล้วพับกระดาษจนวงเวลาของผมที่ฉางไป๋ซานมาแตะเข้ากับช่วงเวลาหนึ่งของซุ่นจื่อ
"มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เกิดการทับซ้อนของเส้นเวลาแบบนี้"
"แล้วมันคืออะไร?"
"จะไปรู้หรือ" ว่าแล้วก็หัวเราะ ทำเอาผมร้องอ้าว สรุปที่ฟังมายาวยืดคืออะไรกันแน่ "ก็จากที่นายเล่าที่ตรงนั้นมันแปลกประหลาดจะตาย ถ้าเกิดมันมีสนามแม่เหล็กยิ่งใหญ่อะไรแบบที่นายว่าว่าดึงดูดเข็มทิศได้ มันก็อาจจะมีอะไรที่ทำให้มิติเวลามันบิดเบี้ยวทับซ้อนจนเป็นแบบนั้นได้เหมือนกัน"
ผมกลอกตาไปมากับคำพูดไร้ความรับผิดชอบของอีกฝ่าย เพราะสุดท้ายหมอนี่ก็บอกว่าอาจจะเกิดจากแรงปรารถนายิ่งใหญ่ที่อยากตามหาพ่อให้เจอจนเหนี่ยวนำจนเกิดการทะลุมิติก็เป็นได้...ผมจึงได้ข้อสรุปว่ามันเมาเบียร์
แต่หลังจากนั้นผมก็ไม่สามารถสลัดความคิดบ้าบอนี่ออกจากหัวได้ จนนึกอยากจะบุกไปหาถึงคณะแล้วเค้นคอออกมาให้ได้ว่าทฤษฎีบ้าบออะไรนั่นมันจริงหรือเปล่า
แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่ได้ทำ...แต่ก็หยุดคิดไม่ได้เช่นกัน
เหมือนคนจมน้ำแล้วเห็นฟางยังต้องคว้าไว้ เวลาสิบปีที่เมินโหยวผิงบอกผมมันยาวนานเกินไป แค่ยังไม่ครบขวบปีแรกก็ทำเอาผมแทบเป็นบ้า
ผมคิดถึงเขา...จนจะตาย
กว่าจะรู้ตัวอีกที ผมก็สั่งให้หวังเหมิงไปซื้อของสำหรับลุยหิมะมาโดยไม่ลืมกำชับให้ทุกอย่างเป็นความลับ
เหตุผลของผมมันไม่เรียกว่าเหตุผลด้วยซ้ำ แล้วจะให้ผมเอาหน้าที่ไหนไปอธิบายให้คนอื่นฟัง ขืนเสี่ยวฮัวได้ยินเรื่องนี้คงจับผมหักคอแล้วมัดไว้กับเก้าอี้ในร้านแน่ๆ
ผมจึงมาที่นี่คนเดียว...โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมาทำอะไร
ภาพภูเขาหิมะอาบไล้ด้วยแสงอาทิตย์ทำให้ผมรู้สึกปวดในกระบอกตา ผมเบือนหน้าหนีจากทัศนียภาพงดงามด้วยความรู้สึกหลากหลาย ความทรงจำทับซ้อนเกี่ยวกับเมินโหยวผิงในเวลานี้เป็นสิ่งที่โหดร้ายเกินไป ผมนึกดีใจที่ตนเองใส่แว่นป้องกันตาบอดหิมะ เพราะมันทำให้ผมเห็นอะไรๆ ไม่เหมือนคราวก่อนจนเกินไป
การเดินเท้าของผมล้วนน่าเบื่ออย่างยิ่ง ย่ำหิมะเพียงลำพังเป็นสิบๆ กิโลเมตร กดปิดปุ่มความคิดแล้วจดจ่ออยู่กับความหวังลมๆ แล้งๆ ที่ไร้ตรรกะ
...ผมคิดว่าตัวเองคงเป็นบ้าแล้วจริงๆ
ผมย้อนเส้นทางของตัวเองทุกอย่างจนไปถึงจุดเห็นว่ามีหิมะละลายอยู่โดยรอบแล้วจึงค่อยๆ คลำทางเลียนแบบเมินโหยวผิงจนทางแยกถ้ำน้ำพุร้อนที่เคยมา แล้วลงแรงขุดลงไปด้วยตัวคนเดียว
ผมมุดลงไปในนั้นทันที และโดยที่ไม่หยุดพักผมเดินไปจนถึงจุดรอยแยกที่ปิดตาย
ผมทรุดตัวลงและนั่งร้องไห้
นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่? วิ่งตามภาพเงาความฝันที่ไม่มีอยู่จริง ผมกำลังคาดหวังอะไร?
หลังจากร้องไห้จนพอใจก็รู้สึกเหมือนโดนความอ่อนล้าซัดโถมใส่ อุณหภูมิที่สูงกว่าภายนอกทำให้ผ่อนคลายกว่าการพักแรมหลายๆ วันที่ผ่านมา
ผมขดตัวลงในถุงนอน แล้วทิ้งสติให้จมลงไปกับห้วงนิทราไร้ก้นบึ้ง
เสียงเตาไร้ควันที่ถูกจุดทำให้ผมสะดุ้งตื่น สัญชาตญาณระแวดระวังของผมดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากจึงพลันรู้สึกเครียดขึ้นเฉียบพลัน
ใคร?
สายตาของผมยังไม่ชินกับแสงสว่าง แต่ภาพเงาที่ชะโงกมาเหนือตัวทำให้ผมผงะถอยหนี ถ้าไม่ติดว่ามือมีหนึ่งคว้าเข้าที่ไหล่
มือที่มีสองนิ้วซึ่งยาวกว่าปกติ
"นาย..."
เมื่อสายตาของผมปรับจนรับแสงได้มันก็กลับพร่าเลือนอีกครั้งด้วยม่านน้ำตา...น้ำตาที่ผมร้องออกไปเมื่อวานจนคิดว่าจะไม่เหลืออีกแล้วไหลอาบแก้ม
ปลายนิ้วที่จัดการกลไกสุสานมานับไม่ถ้วนปาดแผ่วเบาที่หางตา ใบหน้าที่ผมเห็นแม้ในยามฝันกำลังลอยอยู่ตรงหน้า
"ร้องไห้ทำไม"
เสียงของเมินโหยวผิงแสดงความกังวลใจ แต่มันทำให้ผมยิ่งทะลักน้ำตาใส่เขาแบบหยุดไม่อยู่ ลำคอตีบตันไปหมดพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ
สองมือเอื้อมไปคว้าตัวอีกฝ่ายไว้แน่น ผมสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิของเมินโหยวผิง ทั้งสัมผัสและและลมหายใจ
เขาอยู่ตรงหน้าผม...เขาอยู่ตรงหน้าผมจริงๆ ใช่ไหม
พอเห็นว่าผมเอาแต่สะอื้นจนตัวโยน เมินโหยวผิงเลยโอบตัวผมมากอดไว้หลวมๆ
"ฉี่หลิง...จางฉี่หลิงจริงๆ ใช่ไหม"
นั่นคือคำแรกที่ผมพูดออกไปได้ นิ้วมือของอีกฝ่ายเกลี่ยแผ่นหลังผมเบาๆ ราวกับจะปลอบโยน
"ฉัน 'ตอนนี้' อยู่หลังประตูสำริด" คำอธิบายนั้นไม่ชวนให้กระจ่าง แต่คำยืนยันที่ตามมามีความหมายยิ่งกว่า "แต่ฉันคือจางฉี่หลิง"
ผมคิดถึงซุ่นจื่อ...ถ้านี่คือปรากฎการณ์แบบเดียวกันที่เกิดขึ้น...ถ้านี่คือเมินโหยวผิงของผมจริงๆ
ผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้ารูปสลักนั้น ดวงตาของอีกฝ่ายก็จ้องตอบมา แรงดึงดูดประหลาดทำให้เราขยับตัวเข้ามากัน ริมฝีปากอุ่นร้อนของเมินโหยวผิงที่บดเบียดลงมาบอกผมให้รู้ว่านี่คือเขาจริงๆ
อากาศในถ้ำน้ำพุร้อนอุ่นสบายกว่าภายนอกแต่ก็ยังคงเยีนเยียบ อุณหภูมิจากร่างกายของเมินโหยวผิงทำให้ผมรู้สึกดี ทั้งอ้อมกอดของเขาและลวดลายกิเลน...
"นายจะกลับไปด้วยกันได้ไหม"
ผมกระซิบถาม แต่เขาไม่ตอบ ซึ่งผมก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว
"...แล้วนายจะหายไปเมื่อไหร่"
"เมื่อความปรารถนาสัมฤทธิ์ผล"
เหมือนเรื่องราวของซุ่นจื่อ...หมอนั่นหายตัวไปหลังจากเจอจุดจบของบิดา อำนาจลึกลับของตำหนักทิพย์พิมานเมฆอนุญาตอย่างมีเงื่อนไข
ผมนอนลืมตาในอ้อมแขนที่รัดอยู่รอบตัว ทุกประสาทสัมผัสที่ทำได้...ผมอยากบันทึกตัวตนของเขาเอาไว้ทั้งหมด
"ถ้ากลับมาอีก...จะได้เจอกันอีกไหม"
อีกครั้งที่ความเงียบเป็นคำตอบ ผมที่ถึงจะเตรียมตัวรับไว้แล้วก็อดรู้สึกเจ็บแปล๊บในอกไม่ได้
"สิบปี...นายคิดว่าฉันจะอยู่ได้ยังไง เสี่ยวเกอ" คำถามนั้นผมถามทั้งเขาและตัวเอง
"...ที่หลังประตูนั่น ฉันคงกำลังคิดเหมือนนาย" คำตอบนั้นทำให้ผมเห็นสายตาที่รวดร้าว
ผมรู้สึกเหมือนจะร้องไห้อีกครั้งในตอนที่ริมฝีปากแนบลงมาที่หน้าผากพร้อมคำกระซิบแผ่วเบา
"ฉันที่หลังประตูสำริด...อยู่เพื่อนายคนเดียว อีกสิบปี...นายอาจจะลืมจางฉี่หลิงคนนี้แล้วก็ได้"
สองมือคว้าตัวอีกฝ่ายจนแน่น ความเจ็บปวดที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันทำให้ผมอยากกอดเขาให้แน่นกว่าเดิม
"ไม่ลืม...ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ลืม"
คำสัญญาประหนึ่งคำสัตย์ที่ผมให้กับเขา...มันอาจจะไปไม่ถึงตัวเขาที่หลังประตู แต่ผมก็อยากบอกให้รู้...ไม่ว่าอย่างไร ผมก็จะไม่ลืม
เมินโหยวผิงก้มลงแตะจูบแผ่วเบาตอบรับคำมั่น ผมซึมซับทุกความรู้สึกในวินาทีนี้...เพราะมันคือสิ่งที่จะหล่อเลี้ยงผมไปอีกเก้าปี...เก้าปีที่ไม่มีเขา
"ฉันต้องไปแล้ว...หลับซะอู๋เสีย"
นั่นคือคำที่ทำให้ผมยอมหลับตา อ้อมกอดอุ่นร้อนยังคงโอบกอดไว้ไม่คลาย ผมกระซิบถามออกไปเป็นคำสุดท้ายในตอนที่สติเริ่มเลือนลาง
"ความปรารถนาของนายคืออะไร"
"สิ่งเดียวที่ฉันปรารถนา...คือนาย อู๋เสีย"
เมื่อลืมตาตื่นเขาก็หายสาบสูญไปเสียแล้ว
ผมไม่ตามหาเขาเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนคราวก่อน แค่เก็บข้าวของอย่างสงบและเริ่มเดินทางกลับลงไป ตลอดเวลาผมไม่คิดตั้งคำถามแม้แต่น้อยว่านั่นคือความฝัน ภาพหลอนหรือความจริง
เมื่อลงมาถึงเอ้อเต้าไป๋เหอ...ผมก็เจอเสี่ยวฮัวรออยู่พร้อมคำจิกกัดเชือดเฉือนนอนสต๊อปยาวไปจนถึงหังโจว หมอนี่คงเกลียดผมเต็มแก่...เพราะผมไม่มีแม้แต่เหตุผลดีๆ สักข้อให้เขากับการรนหาที่ตายในครั้งนี้
ส่วนหวังเหมิงก็ทำหน้าดีใจราวกับเห็นเทพเจ้าเมื่อผมก้าวมาถึงหน้าร้าน...ทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้จ่ายเงินเดือนเขาล่วงหน้าก่อนไป
เมื่อจบเรื่องวุ่นวายที่ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ก่อนไป ผมก็ทิ้งตัวนั่งลงตรงที่นั่งทำงานประจำ ปล่อยให้อารมณ์และความคิดล่องลอยและเลือกเอาความทรงจำมีค่าขึ้นมาเป็นหลักยึด
'สิ่งเดียวที่ฉันปรารถนา...คือนาย อู๋เสีย'
อีกเก้าปี...ถ้าเมินโหยวผิงยังรอ ผมก็จะรอเขาเหมือนกัน
::talk::
คลานมาแปะฟิคผิงเสียเยียวยาจิตใจตนเอง เราตั้งใจให้มันหวานซึ้งนะคะ...แต่นี่มันทำร้ายตัวเองกว่าเดิมรึเปล่า แงงงงง //โดนทุกคนรุมตี
โอ่ยยยยย คือสิบปีมันคงทรมานมากสำหรับนายน้อยค่ะ แต่จุดที่แน่ที่สุดน่าจะเป็นช่วงปีแรก เราเลยอยากปลอบใจนายน้อยนิดนึง //ความจริงคือปลอบใจตัวเองด้วย
ส่วนเรื่องหลักฟิสิกส์อะไรนั่น...อย่าเชื่อนะคะ เราขุดสิ่งที่เคยเรียนเมื่อนานมาแล้วมามั่วค่ะ แอร้ ขอบคุณคุณด้วงโกะมาใน ณ ที่นี้ ยืมเนต้ามาใช้ไม่ได้ขอก่อน //โดนตบ แล้วก็ขอบคุณทวิตจุดประกายจากอัคคุงค่ะ //คาดว่าอ่านถึงตรงนี้อัคคุงคงงงหนักว่าเกี่ยวกับตูยังไง หลังไมค์แล้วกันนะคะ ฮาาาา
หวังว่าทุกคนจะชอบผิงเสียในแบบของเรานะคะ ขอบคุณค่า
แก้ไขล่าสุดโดย velvetronica เมื่อ Sun 07 Dec 2014, 23:53, ทั้งหมด 1 ครั้ง (Reason for editing : ลืมใส้โค้ดค่ะ แหะๆ)
velvetronica- ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา
- จำนวนข้อความ : 100
Points : 3648
Join date : 08/11/2014
Re: [OS] 'Time' in 10 years [จางฉี่หลิงxอู๋เสีย :: ผิงเสีย]
หวานค่ะ หวานซึ้งมาก ยังอ่านไม่ครบ คือสคิมอ่าน แต่แบบ หวานนนน T////////<
คือหวานมากค่ะ ฮือออออ รออย่างมีความหวังเพื่อคนเพียงคนเดียว นายแม่งงงงงง ///เขินตายแทนนายน้อย
ฮืออออ ;-; ตกลงแล้วนั่นคือตัวจริงหรือภาพฝันหนออ
ไว้อ่านแบบละเอียดจะมาเมนต์อีกทีนะคะ ฟืดดด
Velvetronica พิมพ์ว่า:"ฉันที่หลังประตูสำริด...อยู่เพื่อนายคนเดียว อีกสิบปี...นายอาจจะลืมจางฉี่หลิงคนนี้แล้วก็ได้"
สองมือคว้าตัวอีกฝ่ายจนแน่น ความเจ็บปวดที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันทำให้ผมอยากกอดเขาให้แน่นกว่าเดิม
"ไม่ลืม...ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ลืม"
คือหวานมากค่ะ ฮือออออ รออย่างมีความหวังเพื่อคนเพียงคนเดียว นายแม่งงงงงง ///เขินตายแทนนายน้อย
ฮืออออ ;-; ตกลงแล้วนั่นคือตัวจริงหรือภาพฝันหนออ
ไว้อ่านแบบละเอียดจะมาเมนต์อีกทีนะคะ ฟืดดด
sinnerdarker- ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
- จำนวนข้อความ : 343
Points : 4054
Join date : 27/10/2014
ที่อยู่ : บ้านสกุลหวัง
Re: [OS] 'Time' in 10 years [จางฉี่หลิงxอู๋เสีย :: ผิงเสีย]
"สิ่งเดียวที่ฉันปรารถนาคือนาย อู๋เสีย"
ขอกรีดร้องค่ะ!!! นายเมินตัวจริงตัวปลอมวิญญาณร่างแยกอะไรไม่รู้ แต่นายมาเพื่อนายน้อยใช่มั้ยยยยยย งั้นมาบ่อยๆได้มั้ย เห็นใจนายน้อยบ้างสิ นายน้อยแทบถวายตัวถวายใจแบบ่านี้ การอยู่ต่อไปอีก 9 ปีโดยไม่มีนาย มันทรมานมากๆเลยนะ
ทฤษฎีวิชาการตอนแรกๆอ่านแล้วนึกถึงตอนที่นายน้อยพูดเรื่องทฤษฎีรูหนอนเลยค่ะ
ขอกรีดร้องค่ะ!!! นายเมินตัวจริงตัวปลอมวิญญาณร่างแยกอะไรไม่รู้ แต่นายมาเพื่อนายน้อยใช่มั้ยยยยยย งั้นมาบ่อยๆได้มั้ย เห็นใจนายน้อยบ้างสิ นายน้อยแทบถวายตัวถวายใจแบบ่านี้ การอยู่ต่อไปอีก 9 ปีโดยไม่มีนาย มันทรมานมากๆเลยนะ
ทฤษฎีวิชาการตอนแรกๆอ่านแล้วนึกถึงตอนที่นายน้อยพูดเรื่องทฤษฎีรูหนอนเลยค่ะ
MinMin- ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
- จำนวนข้อความ : 222
Points : 3843
Join date : 28/10/2014
Re: [OS] 'Time' in 10 years [จางฉี่หลิงxอู๋เสีย :: ผิงเสีย]
แงงงงง ;;-;;
'สิ่งเดียวที่ฉันปราถนา...คือนาย อู๋เสีย'
ด้วงจุก ด้วงจะร้อง ฮืออออ ซึ้งจังค่ะ ขอบคุณสำหรับฟิคนะคะ TvT
'สิ่งเดียวที่ฉันปราถนา...คือนาย อู๋เสีย'
ด้วงจุก ด้วงจะร้อง ฮืออออ ซึ้งจังค่ะ ขอบคุณสำหรับฟิคนะคะ TvT
patri_perry- ด้วงตำหนักหลู่หวังเจ็ดดารา
- จำนวนข้อความ : 50
Points : 3542
Join date : 27/10/2014
ที่อยู่ : ตะเข็บเสื้อฮู้ดเสี่ยวเกอ
Re: [OS] 'Time' in 10 years [จางฉี่หลิงxอู๋เสีย :: ผิงเสีย]
'สิ่งเดียวที่ฉันปรารถนา...คือนาย อู๋เสีย'
เสี่ยวเกอคนนี้เป็นภาพที่นายน้อยสร้างขึ้นมาเองหรือเปล่า แต่จะเป็นอะไรก็ช่าง แบบนี้ก็ดีเหมือนกันค่ะ
นึกภาพนายน้อยมาฉางไป๋ซานแล้วเจอแต่ความว่างเปล่าแล้วทนไม่ไหว เศร้าเกิน อย่างน้อยก็จะได้เก็บความทรงจำในช่วงเวลานี้ไว้เยียวยาหัวใจตัวเองอีก 9 ปี แล้วค่อยพบกันในปีที่ 10 นะ คราวนี้ขอตัวจริงเลย
เสี่ยวเกอคนนี้เป็นภาพที่นายน้อยสร้างขึ้นมาเองหรือเปล่า แต่จะเป็นอะไรก็ช่าง แบบนี้ก็ดีเหมือนกันค่ะ
นึกภาพนายน้อยมาฉางไป๋ซานแล้วเจอแต่ความว่างเปล่าแล้วทนไม่ไหว เศร้าเกิน อย่างน้อยก็จะได้เก็บความทรงจำในช่วงเวลานี้ไว้เยียวยาหัวใจตัวเองอีก 9 ปี แล้วค่อยพบกันในปีที่ 10 นะ คราวนี้ขอตัวจริงเลย
Duke_of_Florence- ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา
- จำนวนข้อความ : 113
Points : 3579
Join date : 31/10/2014
Re: [OS] 'Time' in 10 years [จางฉี่หลิงxอู๋เสีย :: ผิงเสีย]
ฟิคหวานปนเศร้าเจ้าค่ะ อ่านแล้วน้ำตาคลอหน่วยเลย ฮือ....
.
"ความปรารถนาของนายคืออะไร"
"สิ่งเดียวที่ฉันปรารถนา...คือนาย อู๋เสีย"
.
ประโยคนี้่จุกดาเมจความหวานพุ่งกระจายเลยทีเดียว โอ้ย...มันคันยิก ๆ ที่หัวใจ ฮือออ
.
"ความปรารถนาของนายคืออะไร"
"สิ่งเดียวที่ฉันปรารถนา...คือนาย อู๋เสีย"
.
ประโยคนี้่จุกดาเมจความหวานพุ่งกระจายเลยทีเดียว โอ้ย...มันคันยิก ๆ ที่หัวใจ ฮือออ
Tang_An-An- ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
- จำนวนข้อความ : 225
Points : 3693
Join date : 29/10/2014
Age : 26
ที่อยู่ : ร่อนเร่พเนจรไปตามท้องทุ่ง
Re: [OS] 'Time' in 10 years [จางฉี่หลิงxอู๋เสีย :: ผิงเสีย]
"ผมคิดถึงเขา....จนแทบจะตาย"
ชอบท่อนนี้ค่ะ แบบ โอยยย เข้าใจความรู้สึกนายน้อยเลย แล้วยิ่งตอนเสี่ยวเกอบอกว่าฉันเองก้รู้สึกเหมือนกันในหลังประตูนั่น ฮือออ ทำไมท่านประมุขช่างใจร้าย พรากคนรักให้จากกันทำไมค๊า ; 7 ;
ชอบท่อนนี้ค่ะ แบบ โอยยย เข้าใจความรู้สึกนายน้อยเลย แล้วยิ่งตอนเสี่ยวเกอบอกว่าฉันเองก้รู้สึกเหมือนกันในหลังประตูนั่น ฮือออ ทำไมท่านประมุขช่างใจร้าย พรากคนรักให้จากกันทำไมค๊า ; 7 ;
zerin- ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา
- จำนวนข้อความ : 188
Points : 3667
Join date : 05/11/2014
ที่อยู่ : เกาะอยู่หลังประตูสำริด
Re: [OS] 'Time' in 10 years [จางฉี่หลิงxอู๋เสีย :: ผิงเสีย]
พอรู้เบื้องหลังที่มาของทวิตจุดประกายของเราคือแบบ 555555555555 ลึกล้ำมากค่ะคุณเวล ลึกล้ำ นับถือๆ ฟิคนี้อธิบายทฤฆวษฎีได้คล้อยตามแล้วก็เข้าใจง่ายมากค่ะทตลกตอนถามเสี่ยอ้วนละเสี่ยตอบผี เสี่ยค้าาาา โอเค สมเป็นเสี่ยจริงๆเลย
รู้สึกทึ่งกับการมโนโยงกะเนต้าล่วงหน้าได้ด้วยค่ะ ที่สรุปว่าเสี่ยวเกอไม่มี "ความปรารถนา" แต่ฟิคนี้เสี่ยวเกอมีแล้ว และความปรารถนานั้นคืออู๋เสีย คุณพระ ทำไมลงล็อก แง คุณเวลเปิดวาร์ปไปอนาคตได้จริงๆใช่มั้ยคะ!
ขอบคุณสำหรับดารเยียวยาที่ทำให้ก๊าวตับกว่าเดิมค่า
รู้สึกทึ่งกับการมโนโยงกะเนต้าล่วงหน้าได้ด้วยค่ะ ที่สรุปว่าเสี่ยวเกอไม่มี "ความปรารถนา" แต่ฟิคนี้เสี่ยวเกอมีแล้ว และความปรารถนานั้นคืออู๋เสีย คุณพระ ทำไมลงล็อก แง คุณเวลเปิดวาร์ปไปอนาคตได้จริงๆใช่มั้ยคะ!
ขอบคุณสำหรับดารเยียวยาที่ทำให้ก๊าวตับกว่าเดิมค่า
Ak_Zokyo- ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา
- จำนวนข้อความ : 154
Points : 3646
Join date : 27/10/2014
Re: [OS] 'Time' in 10 years [จางฉี่หลิงxอู๋เสีย :: ผิงเสีย]
เจอประโยคดาเมจรุนแรง โอ๊ยยส
ถ้ามันเป็นความฝันชุ้นก็ไม่อยากตื่น
ถ้ามันเป็นความฝันชุ้นก็ไม่อยากตื่น
kame_kazuha- ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
- จำนวนข้อความ : 274
Points : 3745
Join date : 27/10/2014
ที่อยู่ : สุสานสักที่
Re: [OS] 'Time' in 10 years [จางฉี่หลิงxอู๋เสีย :: ผิงเสีย]
รีบๆออกมาได้แล้วจางฉี่หลิงงง
อู๋เสียต้องการนายน่ะะ
อู๋เสียต้องการนายน่ะะ
gustoon- ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา
- จำนวนข้อความ : 104
Points : 3558
Join date : 22/11/2014
ที่อยู่ : ใต้เตียงนายน้อยอู๋
Similar topics
» [OS] All These 10 years and a little bit years ago Pairing ผิงเสีย
» [OS] 10 years later (ผิงเสีย)
» [Fic] Through the Years and Far Away [AU] [ผิงเสีย]
» [SF] Once upon a time *AU* [ผิงเสีย]
» [OS] Peace in Our Time [ผิงเสีย]
» [OS] 10 years later (ผิงเสีย)
» [Fic] Through the Years and Far Away [AU] [ผิงเสีย]
» [SF] Once upon a time *AU* [ผิงเสีย]
» [OS] Peace in Our Time [ผิงเสีย]
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|
Fri 24 Jul 2020, 01:39 by gustoon
» [คู่มือด้วง] Keyword จีนสำหรับการขุด(แฟนดอม)สุสาน
Thu 21 Jun 2018, 00:29 by miskizfullmoon
» มังฮวาและภาคทิเบต
Thu 21 Jun 2018, 00:23 by miskizfullmoon
» [OS] Father is the best (ผิงเสีย)
Thu 03 Aug 2017, 16:12 by schneewittchen
» [Fic] สิ่งเล็กๆที่เชื่อมโลก5 [เมินโหยวผิง+อู่เสีย+เสี่ยอ้วน]+OC
Tue 01 Aug 2017, 12:30 by natsume
» [OS] #dmbjdaily (จูปาจุ๊บ) Bittersweet [ผิงเสีย AU]
Thu 06 Apr 2017, 15:58 by Zeth
» [OS] #dmbjdaily "โทรศัพท์มือถือ" - no Pairing [All]
Tue 04 Apr 2017, 22:27 by Zeth
» [OS] #DMBJDaily (แว่น): ระยะที่มองไม่เห็น [ฮัวเสีย]
Sat 01 Apr 2017, 16:55 by Zeth
» [OS] #DMBJdaily (5.20) ท่านยอดฝีมือ [หวังเหมิง (+เหมิงเสีย)(+ผิงเสีย)]
Thu 30 Mar 2017, 17:24 by Zeth