Countdown
We've been
togerther for

ค้นหา
 
 

Display results as :
 


Rechercher Advanced Search


[os]อ๋องน้อย2[ผิงเสีย]

4 posters

Go down

[os]อ๋องน้อย2[ผิงเสีย] Empty [os]อ๋องน้อย2[ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by kuramajoy Thu 06 Nov 2014, 20:22

ตอนที่ 1 https://dmbjth.thai-forum.net/t11-topic

อ๋องน้อย Special

AUFicจอมโจรแห่งสุสาน

เรื่องของเรื่องที่แต่งคือ ไปเจอรูปเรื่องนี้โดจินย้อนยุคคะ นายน้อยเป็นท่านอ๋อง นายเมินเป็นแม่ทัพ แบบว่า กริ๊ดตายเลยสนองนิ๊ตตัวเองหน่อย
AU คือAlternate Universe เป็นรูปแบบการเขียนฟิคชั่นอีกชนิดหนึ่งที่เขียนขึ้นโดยจินตนาการล้วนๆ ไม่ได้มีพื้นฐานมาจากเรื่องจริงแต่อย่างใดจะคงไว้แค่เพียงหน้าตาตัวละครและอาจจะเป็นลักษณะนิสัยเล็กๆน้อยๆของเขา


เมืองหน้าด่าน เป็นเมืองชายแดนมีเขตพรมแดนที่ติดกับประเทศอื่น เป็นเมืองที่มักจะถูกรุกรานมากที่สุด ทว่ากลับเป็นแหล่งเศรษฐกิจการค้าขาย รวมทั้งแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ

หากอยู่มาวันหนึ่งเมืองหน้าด่านแสนสำคัญถูกปิดตัวลงด้วยความเอาแต่ใจของอ๋องน้อยผู้ปกครองเมือง เป็นเจ้า เจ้าจักทำเช่นไรแน่นอน ราษฎรคงโจกจันเรื่องราวความเหี้ยมโหดเอาแต่ใจของอ๋องน้อยผู้นั้น

ข้า อู๋เสีย อ๋องน้อยที่สามแห่งตระกูลอู๋ ยืนอยู่บนหอคอยชมวิวในวัง หอคอยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อให้อ๋องทุกรุ่นได้ขึ้นมาดูเมืองที่ตนปกครอง อีกทั้งยังสามารถมองศัตรูจากที่ไกลข้าได้แต่มองบานประตูเหล็กของเมืองเปิดอ้าต้อนรับผู้คนมากหน้าเข้ามาในเมือง

ก่อนหน้านี้มันถูกปิดเพราะสงครามทำให้ต้องจำกัดคนเข้าออกหลังจากนั้นไม่นานมันก็ถูกปิดเพราะความเอาแต่ใจของอ๋องน้อย ผู้ไม่ยอมรับว่าตัวเองคือรางวัลแห่งความพยายามของแม่ทัพคนหนึ่ง

หลังจากถูกเสนาบอดีผู้ราวกับดอกไม้พิษตบกบาลไปสามที อ๋องน้อยผู้เอาแต่ใจก็ได้จำยอม เปิดประตูด้วยน้ำตา

"ถ้าเจ้านั่นมาจะทำยังไง" ข้าพึมพัมใส่เสนาที่กล้าตบหัวท่านอ๋อง คงจะมีเขาคนแรกที่กล้าตบนาย

"กองทัพหลายร้อยคนจะมาจะไปต้องมีคนรู้ อีกอย่างจางฉี่หลิงจะเอาขันหมากมาเขาต้องเดินทางมาข้างหน้าอย่างสมศักดิ์ศรี ให้ผู้คนรับรุ้ไม่ใช่มาเยี่ยงโจร" เสี่ยวฮัวถอนหายใจก่อนที่จะชี้ไปยังประตู "ข้าสั่งหวังเหมิงให้ไปเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง ถ้าทัพหน้ามาอย่างน้อยเราต้องเห็น ไว้เขามาก็ปิดประตุซะ ไม่งั้นการค้าขายในเมืองได้หยุดชะงักแน่"ใบหน้าด้านข้างของเสี่ยวฮัวคนงามคลี่ยิ้ม

"นี่ถึงแม้เราจะปิดประตู แต่แม่ทัพกิเลนและกองกำลังของเขาหาใช่กระจอกไม่ ถึงัข้นไล่อริที่รบรากับเรามาตั้งแต่รุ่นปู่ได้ แค่ประตูบานเดียวข้าว่า กิเลนอาจกระทืบประตูหลุด" ข้ามองยังประตูเหล้กกล้าของเมืองมันเป้นประตูบานใหญ่ แต่ด้วยความสามารถของเมินโหยวผิง ต้องทำให้มันหักเป้นสองท่อนได้แน่ เมื่อคิดถึงใบหน้าหล่อเหลา เรือนร่างแน่นตึงเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวยงาม แขนแกร่งที่โอบกอดข้าอย่างเร่าร้อน ข้าก็พลันรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด

จางฉี่หลิงเจ้าคนเอาแต่ใจ อยุ่ดีไม่ว่าดีกลับมาขอรางวัลเป็นท่านอ๋องแห่งเมือง ถ้าเจ้ามิใช่แม่ทัพหลวงที่มีบรรดาศักดิ์ละหัวเจ้าคงหลุดจากบ่าไปแล้ว

เสียดายที่จางฉี่หลิง คือแม่ทัพมากด้วยคุณงามความดี สามารถต้านอริได้นับพัน ส่งไปรบที่ไหนมีแต่ชนะ รุกคืบยึดเอาดินแดนข้างเคียงมาให้แก่ประเทศ แถมยังเป้นคนที่ไม่มั่วโลกียื ไม่ดื่มสุรานารี ไม่ต้องการทั้งเงินทองทำให้ฮ่องเต้ชื่นชอบเขามาก การจะมอบบรรดาศักดิ์ให้มากมายไม่ใช่เรื่องแปลก

แต่อย่างไรเสียก็ไม่ควรจะยก ท่านอ๋องของเมืองให้แก่เขา ยกเม ืองให้ว่าไปอย่าง นี่ยกท่านอ๋องให้ด้วยมันแปลกพิลึกเกินไป อย่างกับซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง ได้เมืองได้อ๋องด้วย..นี่ข้าเป็นของแถมหรือไร

"แม่ทัพกิเลนไม่พังประตูแน่นอน" เสนาบอดีของเมืองตบบ่าข้า คำพูดมั่นใจของเสี่ยวฮัวพาให้ข้ามึนงง

"เจ้ามั่นใจได้อย่างไร" คนอย่างจางแหลิงเน้นการรุก ข้ารู้ซึ้งข้อดีนี้จากสนามรบคราที่แล้ว

"เขาให้เกียรติเจ้า ทั้งที่มีอำนาจยึดเมืองไปกลับไปยอม เขาให้เมืองนี้คงอยุ่ใต้อำนาจของเจ้าทั้งที่เขาคือเจ้าเมือง ยามที่เขาอยากได้เจ้า เขาก็เอ่ยขอเป็นรางวัล ผู้ชายผู้นี้ไม่ยอมหมิ่นศักดิ์ศรีเจ้าเช่นการฝืนบังคับจิตใจ ถ้าเจ้าไม่ยอมเปิดประตูให้เขาก็ไม่วันพังเข้ามา ถ้าเขาพังประตูที่เจ้าไม่ยอมเปิดให้แปลว่าเขาไม่ยอมไว้หน้าเจ้า เรื่องแบบนี้ผู้ชายที่ทำเรื่องวุ่นวายเช่นการพระราชทานงานแต่งไม่ทำแน่"

ข้าสะอึก หัวใจพลันอบอุ่นเมื่อนึกถึงคำพูดของเสี่ยวฮัว ผู้ชายหน้าตายที่ดูราวกับคนบกพร่องทางอารมณ์เช่นนั้นแท้จริงแล้วเป็นชายที่ดีถึงเพียงนี้ เขาต้องการข้าจึงจัดงานแต่งให้สมเกียรติ ฮึ่ม มันจะเกินไปหน่อยแล้ว

คิดได้เช่นนั้นข้าก็ไม่อยากปิดประตู หากแต่คำที่ตรัสออกไปแล้วไม่สามารถคืนคำได้ อีกทั้งเสี่ยวฮัวไม่อนุมัติ เขาตั้งมั่นจะตอกหน้าแม่ทัพให้หงายกลับ
นี่เขาเป็นนายข้า หรือข้าเป็นนายเขากันแน่...มีเสนาดุยิ่งกว่ามีเมียดุเสียอีก

"เขาคงไม่มาแล้วกระมั้งจากวันนั้นก็ผ่านไปตั้งสามเดือน" จางฉี่หลิงสัญญากับข้าว่าเขาจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด คนขี้โกหกคนนั้นหายไปแล้วสามเดือนกว่า ไม่มีแม้กระทั่งวี่แววของธงกิเลนสีนิล บางทีเขาอาจจะแค่หลงผิดชั่วครู่ คิดจะแต่งงานกับชายชาตรี ตอนนี้คงมีอรอนงค์ร่วมเรียงเคียงกาย

จางฉี่หลิงเป็นหนุ่มรูปงาม อีกทั้งยังพร้อมสรรพทั้งยสศักดิ์และเงินทอง ไม่ว่าสาวคนใดเห็นเขาคงอยากเข้าหา ว่ากันว่าหญิงเมืองหลวงนั้นงามนัก

"มาแน่" เสี่ยวฮัวตัดบทข้าก่อนที่จะเอื้อมมือมาแตะบ่าของข้า "ความจริงข้าอยากใส่ร้ายป้ายสีเจ้านั่นให้เจ้าโกรธมากกว่านี้ ทว่าข้าก็ไม่อยากเห็นเจ้าร่ำไห้ ข้าหงุดหงิดตัวเองที่ทำอะไรไม่เด็ดขาด"

ได้ยินคำของเขาข้าก็แทบขำ เสี่ยวฮัวของข้ารอบคอบทำอะไรหนักแน่นอยู่เสมอ ยกเว้นแต่เรื่องของข้าตอนแรกเขาไม่อยากมีเพื่อน ข้าคอยตื้อเขาอยู่หลายวัน เขาโดนข้าเวียนตื้อทุกวันก็รับข้าเป็นเพื่อน เสี่ยวฮัวบอกว่านั่นคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต เป็นผลลัพธุ์แห่งการโลเลที่แสนร้ายกาจ

ตกลงแล้วเขารักข้าหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่เขาคือเพื่อนที่ดีที่สุดแม้ปากจะบ่นว่าข้าอยู่เสมอ ทว่าในยามที่ข้าทุกข์ร้อนเขาเป้นคนแรกที่ยื่นมือมา

"เขาให้ไข่มุกเจ้าไว้ไม่ใช่หรือ นั่นคือของสำคัยของเขาชั่วดียังไงก็ต้องมาเอา"

ข้าล้วงเอาไข่มุกที่มีชื่อของข้าเขียนอยู่ไข่มุกเม็ดนี้คือสิ่งที่ข้าขโมยมาจากแม่ของข้านำมาเขียนชื่อข้าให้กับเขา ตอนนั้นจางฉี่หลิงไม่พูดแม้สักนิด ข้าตื้อเขาอยากเป็นเพื่อนด้วยไม่นึกไม่ฝันว่า การช่วยเด็กจรจัดคนหนึ่งจะทำให้ข้าต้องถูกขอแต่งงาน

จางฉี่หลิงเติบโตขึ้นมาจากคนที่ไม่มีอะไร สู่บุคคลที่สำคัญระดับประเทศข้านับถือเขาจากใจ การเป็นเช่นนี้ได้ไม่ใช่มีเพียงแค่ฝีมือจะสามารถทำได้

"สิ่งนี้เป็นของข้า เขาเอามาคืนให้ข้าก็สมควรแล้ว" ข้าพลิกไข่มุกเม็ดงามที่หมองหม่นด้วยการสลักชื่อของเด็ก รุ้สึกเสียดายเหลือเกินที่ตอนนั้นไม่รู้ความ เขียนทับลงไปทำให้มันด้อยราคา ถ้าข้าไม่สลักชื่อเอาไว้เขาคงเอาสิ่งนี้ไปขายเป็นทุนกำไรชีวิต

"ถ้าเขาต้องการแค่คืนเจ้าเขาคงไม่ปล่อยเวลาล่วงเลยมาจนถึงเพียงนี้ เขาจดจำได้ทุกรายละเอียด ชายผู้นั้นจำเจ้าได้ตั้งแต่วันแรกที่เจอ เขารุ้มาตลอดว่าเจ้าอยู่ที่แคว้นนี้ หากเขาต้องการแค่คืนของ เขาส่งคนมามอบให้แก่เจ้าไม่ดีกว่าหรือ" เสี่ยวฮัวหยิบไข่มุกเม็ดนั้นไปจากมือของข้า ก่อนที่จะรำพึงราวกับเสียดาย "เจ้าไม่น่าช่วยเขาจากสิงโตเลย ข้าเกรงว่าต่อให้เป็นเขาในวัยเด็กสิงโตคงไม่คณามือ"

เอ๊า!....ข้าอุตส่าห์มีเมตตาจิตช่วยคนยังโดนเจ้าว่า ข้าเกิดความรู้สึกเหมือนคนทำดีแต่ไมได้ดี

"ข้าช่วยเขาไว้ เขาเลยช่วยชีวิตข้า ข้าเลยยังยืนคุยน้ำลายแตกฟองกับเจ้าได้อยุ่มิใช่หรือไร" ถ้าไม่มีเขาป่านนี้ข้าถูกประหารเพราะแข็งข้อต่อฮ่องเต้ไปนานแล้ว

"ก็จริง" เสี่ยวฮัวสะบัดแขนเสื้อรุ่มร่ามของตนเอง พูดก็พูดเถอะชุดของเสนาบอดียาวกรุยกรายรุ่มร่ามกว่าข้าที่เป็นอ๋องเสียอีก ไม่รู้คนออกแบบคิดอะไรอยู่ แต่เสี่ยวฮัวดูจะไม่เป็นปัญหากับมัน ร่างบางเดินอย่างคล่องแคล่วไม่สะดุดชายเสื้อคลุมสักนิด "เจ้าส่งจดหมายทำให้ฮ่องเต้พิโรธ เขาเลยต้องออกหน้าขอชีวิตเจ้าพร้อมทั้งเมือง ฮ่องเต้อยากให้เขาเป็นเจ้าเมืองมานานแล้วเลยได้โอกาส อุ่เสียข้าว่าเจ้าน่าจะไม่รอดเสียแล้ว"

"อย่ามาแช่ง" ข้าแยกเขี้ยวใส่เพื่อนสนิทของตนเองก่อนที่จะจับหมวกไม่ให้ปลิวตามแรงลม จังหวะที่กำลังจะหาเรื่องมาถกเถียงหวังเหมิงก็วิ่งหน้าตาตื่นมา

"เขามาแล้วกองทัพสีนิลกลับมาแล้ว”

หาอะไรนะเขากลับมาแล้ว ...ข้ายืดตัวขึ้นแต่ไม่ไวเท่าเสนาธิการเสี่ยวฮัวราวกับรอเวสลานี้มานานเขาสั่งการอย่างเด็ดขาดไม่ไว้หน้าอ๋องที่ยืนอยู่ข้างเคียงใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามบานประตูของเมืองก็ปิดสนิท ทำเอาคนทำมาค้าขายพ่อค้าและนักท่องเที่ยวต้องอ้าปากค้างไปตามๆกัน

ตอนแรกข้าก็แค่อยากจะปิดไม่ให้เขาเข้าพอมา ครั้นได้เห็นเหล่าประชาชนทำอะไรไม่ถูกจะออกหรือเข้าเมืองก็ไมไ่ด้ทั้งสิ้น ข้าก็พลันรู้สึกผิด เกือบจะรีบสั่งให้เปิดประตู ทว่าอ๋องเช่นข้านั้นเจอการยึดอำนาจไปเสียแล้ว

เสี่ยวฮัวสั่งการอย่างคล่องแคล่วแถมทหารก็ดูจะฟังเขามากกว่าข้าเฮ้ยๆนี่ข้ากำลังถูกกบฎยึดอำนาจโดนคนใกล้ตัวยึดตำแหน่งไปโดยไม่รู้ตัวหรือเนี่ย
ข้าคิดจะทักท้วงเขากลับแทบหาช่องไม่เจอ สุดท้ายได้แต่ยืนกลืนน้ำลายหรือว่าแท้จริงแล้วข้าจะไม่ใช่อ๋องมาตลอด

กองทัพของเมินโหยวผิงเดินทางมาถึงหน้าประตูพร้อมทั้งหยุดรอเป็นระเบียบ พวกเรามาถึงหลังประตูเมืองรอชมว่าเมินโหยวผิงจะพังประตูเข้ามาหรือไม่
ข้ายืนจนง่วงรออยู่เกือบครึ่งชั่วยามลูกศรที่ติดจดหมายก็ถูกยิงข้ามฝั่งมาดูเหมือนจะเป็นไปดังที่เสี่ยวฮัวว่ากิเลนไม่กระทืบประตูพัง หวังเหมิงเดินไปเก็บศรลุกนั้น ข้าคลี่จดหมายอ่านมันมีคำเพียงประโยคเดียว

‘กลับมาแล้ว’

ประโยคสั้น ง่าย ได้ใจความสมเป็นจางฉี่หลิงดูท่าเขาจะเขียนจดหมายนี้แล้วยิงข้ามมา ข้าเหมือนจะมองภาพของเจ้าคนหน้ามึนที่ไม่เข้าใจว่าทำไมข้าต้องปิดประตู โอย นี่ไม่มีใครบอกหมอนั่นเลยหรอว่า ท่านอ๋องถูกผู้ชายมาสู่ขอมันเสียหน้าแค่ไหน

“ส่งจดหมายกลับไป” ข้าหยิบกระดาษมาเขียนคำว่า ‘กลับไปซะ ‘ลงบนกระดาษผูกติดกับลุกศร เสี่ยวฮัวเป็นคนอาสายิงเสนาของข้าเก่งกาจหลายด้านจนสามารถเป้นองครักษ์ให้ข้าได้ หากเขาไม่มีฝีมือติดตัวด้วยใบหน้างดงามนั้นคงยากจะอยู่รอด

ด้านนอกเงียบไปนานก่อนที่จะมีลูกธนูดอกหนึ่งยิงกลับมา หวังเหมิงไปเก็บกลับมาให้ข้าอ่าน เสี่ยวฮัวกับข้าอ่านจดหมายฉบับใหม่ก่อนที่จะผงะไปชั่วครู่

‘บุบผาจันทราคราใดสิ้น
ความหลังฝังใจมากเพียงใด
ลมบูรพาผ่านหอเมื่อคืนวาน
สิ้นแผ่นดินสุดจะทานกลางแสงจันทร์
วิหารเวียงวังงามตระการนั้นยังคง
เพียงโฉมงามนางอนงค์ที่เปลี่ยนไป
ถามใจนั้นระทมทุกข์มีเท่าใด
ดังสายน้ำที่ไหลไปไม่หวนคืน’

“เอ่อ…”  ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองโดนตบหน้าอย่างแรง บทกวีจีบสาวหาได้เป็นเรื่องแปลกใหม่ในสมัยนี้  ทว่าการกระทำเช่นนี้ส่วนมากจะเป็นพวกบัณทิต เหล่าทหารอย่างเมินโหยวผิงไม่ค่อยจะนิยมใช้กันนัก แล้วยิ่งคนผู้นั้นคือ จางฉี่หลิง แม่ทัพผู้ราวกับก้อนหิน ตายด้านทางอารมณ์

เมินโหยวผิงคนนั้นเขียนบทกวีง้องอนข้า ความรู้สึกเหมือนเจอสัตวืประหลาดจากต่างแดนรุกล้ำหัวใจของข้า

“เสี่ยวฮัว ตบข้าที บอกทีว่ามันไม่ใช่ความฝัน” พอร้องขอไปเสนาผู้ไม่เคยถนอมนายอย่างเสี่ยวฮัวก็ตบข้าจนแทบลงไปคลาน เจ้านี่มือหนักขึ้นทุกวัน ….เสี่ยวฮัวแย่งจดหมายของข้าไปฉีดทิ้งก่อนที่จะเขียนถ้อยคำลงบนกระดาษ ข้ายังไม่ทันได้เดินมาดูเขาก็ยิงออกไปแล้ว

มีเสนาดุ ร้ายกาจยิ่งกว่ามีเมียดุ ข้าเข้าใจก็วันนี้

หลังกำแพงนิ่งไปอยู่นานจนกระทั่งมีธนูดอกหนึ่งตอบกลับมาพอคลี่ออกข้าก็แทบเป็นลมเมื่อเจอบทกลอนตัดพ้อราวกับ กำลังน้อยเนื้อต่ำใจในตัวคนรัก

‘ยามประสบพบยากจากแสนยาก
ลมโปรยโชยอ่อนบุปผาโรย
ตัวไหมสิ้นใจจึ่งสิ้นสุดสายใย
เปลวเทียนดับมอดน้ำตาจึ่งแห้งเหือด
โฉมนางงามระทมกาลแปรผัน
ครวญคร่ำยามดึกจันทร์ริบหรี่
จากนี้คิดไปไร้ซึ่งหนทาง
วอนวิหคส่งข่วแทนข้าที’

เดี๋ยวนะ...พวกเราไปเป็นคนรักกันตั้งแต่เมื่อไร เสี่ยวฮัวคนงามก็ยึดอำนาจข้าไปเสียแล้ว ครั้นเห็นเขากำลังจะยิงลูกดอกข้าจึงรีบไปสวมกอดเอวของเขา ขวางไว้ได้ทันเวลา เปลี่ยนให้หวังเหมิงเป็นคนยิงจดหมายของข้าไปแทน

สิ่งที่ข้าเขียนกลับไปคือ ‘ใครเขียนจดหมาย ...หากไม่บอกข้าจะไม่คุยกับเจ้าอีกต่อไป‘ ใช่ ใครมันเป็นคนเขียนกลอนตอบข้า ข้าไม่เชื่อเด็ดขาดว่าไอ้อารมณ์โรแมนติกแบบนี้นายเมินโหยวผิงจะมี ไม่ใช่ข้าว่าเขาการศึกษาต่ำจนเขียนบทกวีไม่ได้ แต่ด้วยอารมณ์ และนิสัยของเขา ตีให้ตายก็ไม่เชื่อ

ไม่นานนักลูกธนูจดหมายตอบกลับก็ถูกยิงเข้ามา ครานี้ข้าแย่งจดหมายจากเสี่ยวฮัวขึ้นมาคลี่ดู พบรอยมือของคนหลายคน พอเห็นแล้วก็อดยิ้มไมได้ บรรทัดแรกมีลายมือยึกยือ จดหมายเปื้อนดินบอกให้รู้ว่าคนเขียนไม่ถนัดการเขียนหนังสือ

‘ท่านอ๋องขอประทานโทษพวกเราเป็นคนเขียนเอง พวกเราเห็นท่านแม่ทัพเดินวนไปวนมา เหมือนไม่เข้าใจว่าทำไมท่านถึงโกรธ ท่าทางราวกับลูกแมวถูกทิ้งน่าสงสารยิ่งนัก พวกเราจึงขอให้ท่านรองแม่ทัพช่วย ไม่นึกว่าท่านจะยิ่งโกรธ  

จากนายทหารหลายนายในกอง’

‘เป็นไงท่านอ๋อง บทกวีจีบสาวของข้าทำให้ใจท่านสั่นสะท้านบ้างไหม เสี่ยวฮัวสาปแช่งข้ากลับมาเป็นบทกวีด้วยน่รักเสียจริง
จากสุดหล่อผู้เป็นรองแม่ทัพ’

ข้ามองบรรทัดล่างที่มีลายมือสวยเรียงเป็นระเบียบแล้วก็อดชื่นชมรองแม่ทัพไมได้ ข้านึกว่าคนตาบอดเช่นเขาจะเขียนหนังสือไม่ได้เสียอีก ที่ไหนได้ นายบอด รองแม่ทัพผู้เก่งกาจกลับคิดบทกวีงดงาม แถมยังเขียนหนังสือได้สวยอีกด้วย

ข้าอมยิ้มเมื่อนึกถึงคำที่เหล่าทหารเขียน เดินวนไปวนมาเหมือนไม่รู้ตัวว่าทำอะไรผิด หน้าตาเหมือนลูกแมวถูกทิ้ง ข้านึกสภาพของเมินโหยวผิง เจ้าคนหน้านิ่งที่ได้แต่เดินอยู่หน้าประตูแล้วก็อดขำไม่ได้

โอยทำไมข้าถึงคิดว่าเขาน่ารักกันนะ

ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อลูกธนูก็ถูกยิงข้ามประตูมาอีกหนึ่งดอก ข้าขมวดคิ้วนี่ข้ายังไม่ทันตอบจดหมายเลย ข้าสั่งให้คนไปเอามาดูก็แทบจะหัวเราะ ไม่สิ ข้าหัวเราะไปแล้ว

‘ถึงข้าจะไม่ชอบพูด แต่ชอบเจ้าตอนพูด’

จดหมายฉบับนี้เมินโหยวผิงเป็นผู้เขียนอย่างแน่นอน เจ้าคนเรื่องมากเอ้ย ตัวเองไม่พูดกลับชอบให้ข้าพูดเป็นต่อยหอยนี่นะ เอาเปรียบข้าเกินไปแล้ว พุดถึงเรื่องเอาเปรียบตอนอยู่บนเตียงเขาก็เอาเปรียบข้าครั้งแล้วครั้งเล่า สอดใส่อย่างไม่รู้จักพอ

ข้าเขียนตอบลับเขาไป ‘เจ้ามันคนขี้โกง’ ครั้นยิงกลับไปลุกศรติดจดหมายจากเมินโหยวผิงก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว ข้าก้มลงอ่านตัวอักษรเป็นระเบียบของเขา ดุท่านี่คือลายมือของเขาสินะ

‘ขอโทษที่มาช้า อย่าโกรธเลย’

แม่ง...ตอบอะไรได้น่ารักเกินไปแล้ว ไม่สิ ข้าคงจะสมองเพี้ยนไปแล้วที่คิดว่าคนหน้าตาย หน้าปลาบู่ทอดแบบนี้มันน่ารัก

ข้านึกถึงเมินโหยวผิงเจ้าคนตายด้านที่ตอนนี้คงไม่เข้าใจว่าทำไมข้าโกรธ เขานึกว่าข้าโกรธที่เขามาช้า บ้ายิ่งนัก นั่นก้มีส่วนแต่เจ้าไม่เข้าใจเลยหรือไง อา...คนบ้าเอ้ย
“ข้าจะตอบเอง” เสี่ยวฮัวแย่งจดหมายจากมือข้าไปแต่ข้าห้ามเขาไว้ ก่อนที่จะถอนหายใจ ชั่วดีอย่างไรที่เราได้เมืองนี้กลับมาก็เพราะเขา ข้าหยิบเอาไข่มุกที่เขียนชื่ออู๋เสียเอาไว้ออกมา เขาเก็บสิ่งนี้มาตลอด แถมยังกลับมาตามคำสัญญา คนที่มั่งคงแบบนี้ข้าจะปล่อยให้เขาง้องอนได้เยี่ยงไร

อีกอย่างเขาเองก็คงง้องอนใครไม่เป็นด้วย

ซื่อบื้อที่สุด

“เปิดประตู..” ข้าหันไปสั่งกับทหารหน้าประตู เห้นรอยยิ้มของพวกเขาราวกับคิดไว้ว่าข้าต้องใจอ่อน

“ท่านอ๋อง” เสี่ยวฮัวห้ามข้าแต่ถ้าข้าสั่งถึงเป็นเขาก็ขัดไม่ได้ ข้าจับมือเขาเอาไว้ก่อนที่จะหัวเราะ

“ยังไงเสียเขาก็เป็นวีรบุรุษ เรื่องแต่งงานข้าปฎิเสธซะก็ได้นี่”

“เจ้าไม่ปฏิเสธหรอก ถ้าใจอ่อนเปิดประตูแล้ว เจ้าก็พร้อมจะรับเขาแล้ว” เสี่ยวฮัวคนงามของข้าทำหน้างอง้ำ พูดประชดข้าไปยกหนึ่ง อูย โมโหอะไรกันเล่า

“ข้าว่าแล้วท่านอ๋องต้องเปิด” ทหารเฝ้าประตูนายหนึ่ง ข้าจำเขาได้สมัยที่ข้ายังเยาว์เขามักให้ขนมข้า ข้าหันไปถลึงตาใส่เขา เขารีบหุบปากเงียบ ได้ยินเสียงหัวเราะจากหลายคน อะไรกันทำไมมีแต่คนเข้าข้างนายเมินโหยวผิงกันเล่า

บานประตูเหล็กของเมืองเปิดออก ข้าเห็นกองทัพของเมินโหยวผิงเข้ามา ดูแล้วลดลงจากครั้งก่อนข้าก็ใจหาย มองยังธงกิเลนดำที่มีร่องรอยเว้าแหว่ง ทำให้ข้ารู้ว่าก่อนที่มานี่เขาไปกรำศึกมา ที่แท้กลับช้าเพราะติดพันสนามรบอยู่นี่เอง

จางฉี่หลิงขี่ม้านำหน้าแตกต่างจากคราวก่อนที่ให้รองแม่ทัพเป็นผุ้นำทัพส่วนตัวเขาแอบซ่อนอยุ่ในเหล่าทหาร ดูท่าครานี้เขาจะนำทัพเข้ามาอย่างสมเกียรติ ข้ามองเห็นเขาหันขึ้นมามองข้าวูบหนึ่งนัยน์ตาสีดำสนิททอประกายจนข้าต้องหันหน้าหลบ

คนงี่เง่า

ข้าเดินหันหลังหมายจะกลับวังตนเอง ได้ยินเสียงนายทหารของเมืองเอ่ยทัก

“ท่านอ๋องจะไม่ไปรับท่านแม่ทัพหรือขอรับ”

“ไม่!” ข้าหันไปตวาดใส่เขา ก่อนที่จะหันหน้าไปหาเสี่ยวฮัว เขาหยักหน้าก่อนคลี่ยิ้มร้ายกาจ ...ข้าวานคนถูกหรือเปล่า ดูท่าเขาวางแผนตั้งมั่นไล่กองทัพนี้หนักหนา ขืนเมินโหยวผิงเกิดไม่พอใจขึ้นมา บ้านเมืองของข้าจักเป็นเช่นไร คิดไปคิดมาข้าก็ไม่อาจกลับไปยังตำหนักได้ ได้แต่บากหน้าไปหาเขาเท่านั้น

“ยินดีต้อนรับท่านเจ้าเมือง” ข้าไมไ่ด้บอกว่าเขาคือแม่ทัพ หากแต่คือเจ้าเมืองผู้มีสิทธิ์ครอบครองเมืองนี้อย่างถูกต้อง เมินโหยวผิงส่ายหน้า ก่อนที่จะดึงข้าเข้าไปชิดใกล้
“เจ้าคืออ๋อง” ข้ามองใบหน้าหล่อเหลา เห็นถึงบาดแผลจางที่ข้างแก้ม ยิ่งได้กลิ่นเลือดก็รู้สึกว่าไม่น่าแกล้งเขาโดยการปิดประตูเลย

“ขอโทษนะ ที่ปิดประตู” เมินโหยวผิงมองใบหน้าของข้าอย่างเงียบสงบ ผมได้ยินเสียงหัวเราะออกมาจากริมฝีปากได้รุปของรองแม่ทัพ ชายตาบอดแลบลิ้นให้กับข้า หยอกเย้าราวกับงูหยอกหนู

ฮึ่ม...

“ไม่เป็นไร ขอโทษที่มาช้า” จางฉี่หลิงไม่โกรธ ซ้ำเขายังกลัวข้าโกรธ โอยเห็นเขาเป็นแบบนี้หัวใจของข้าก็เต้นแรง อย่าบ้าน่าอุ๋เสีย นี่มันผู้ชาย แถมยังเป็นแม่ทัพ เจ้าห้ามใจเต้นราวกับเจอสาวงามเช่นนี้

“มะ... ไม่เป็นไร” ข้ารู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที มือทาบยังหน้าอกของตน รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะเด้นออกจนกระทั่งถูกเสนาที่รักกระทุ้งข้อศอกถึงได้รู้สึกตัว เสี่ยวฮัวเจ้ากระแทกข้าแรงไปไหม ข้ากลั้นความเจ็บปวดก่อนที่จะผายมือเชิญเขาพักที่ตำหนัก หากแต่เมินโหยวผิงกลับไม่ขยับ เขาช้อนตาขึ้นมองข้า เอียงคอก่อนที่จะพูดเรื่องที่พาให้ข้าล้มทั้งยืน

“ข้าขอโทษ ข้าไม่สามารถขอพระราชทานงานแต่งได้ ข้าเกษียร”

ข้าอ้าปากค้าง รู้สึกเหมือนรายละเอียดมันไม่มีแค่นี้แน่ๆ แต่เมินโหยวผิงเล่าได้สั้นโครต ตรงประเด็น หนึ่งคือเขาไม่สามารถขอพระราชทานงานแต่งได้ แหงละฮ่องเต้ทรงพระทานจริงข้าก็ว่าสมองท่านคงมีสักที่ชำรุด อีกเรื่องคือแม่ทัพกิเลนจะเกษียร หือเกษียร ข้าฟังอะไรผิดไปหรือเปล่า เขายังหนุ่มยังแน่นยังสามารถโลดแล่นได้อีกมาก

“โอ๊ย เจ้านี่หน้าตาก็ดีเสียแต่การกระทำและคำพูด จะจีบอ๋องกลับประหยัดคำราวกับพิรุนจะร่วงจากปาก” เสียงชายคนหนึ่งที่ข้าไม่คุ้นหูเอาเสียเลยดังขึ้น เขาโผล่ขึ้นมาจากกลางกองทัก ดูจากการแต่งกายและเกราะสีผิดแผดดูท่าเขาคงไม่ใช่คนในกองของจางฉี่หลิง ข้าได้ยินเสียงหัวเราะ หึ หึ ของชายตาบอดราวกับว่าเจออะไรถูกใจ

“ข้าเล่าเอง แต่พาไปพักได้ไหม ข้าขี่ม้าจนขาจะโก่งตายอยู่แล้วไอ้กลุ่มนี้มันบ้าจริงๆ เล่นควบม้าไม่พัก แม่ทัพแม่งติดหญิงจนไม่ลืมหูลืมตา “ ชายผุ้แทรดสอดเข้ามาเป็นชายรูปร่างท้วม นัยน์ตาของเขาหยีเสียแทบจะเป้นเส้นเดียว ข้ามองเขาก่อนที่จะพาทั้งหมดไปที่จวนของข้า

พอถึงที่ตำหนักเมินโหยวผิงก็สั่งให้ทุกคนพักได้ตามใจชอบ ส่วนตัวเขาไปจัดเรื่องที่พักของลูกน้อง สิ้นคำสั่งของเขานายบอดก็ราวกับปลาได้น้ำ วิ่งพรวดเข้ามาหาข้า ข้าตกใจจนเกือบหงายหลังโชคยังดีที่เสี่ยวฮัวขวางเอาไว้ ดอกไม้งดงามที่เต็มไปด้วยพิษ ประทะกับอีกาแสนร้ายไปหลายยก ข้าเบื่อจะดูรักหักสวาทของพวกเขาจึงเดินไปหาเจ้าอ้วนที่บอกว่าจะเล่าความจริงให้ข้าฟัง

ไปหาเมินโหยวผิงข้าก็ได้ฟังความจริง แต่เป็นความจริงฉบับรวดรัดตัดตอนสุดๆ ข้าไม่อยากฟังแบบนั้นจึงไปสะกิดนายอ้วนที่กำลังดื่มเหล้าเคล้านารี


แก้ไขล่าสุดโดย kuramajoy เมื่อ Thu 06 Nov 2014, 20:40, ทั้งหมด 1 ครั้ง
kuramajoy
kuramajoy
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า

จำนวนข้อความ : 206
Points : 3781
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[os]อ๋องน้อย2[ผิงเสีย] Empty Re: [os]อ๋องน้อย2[ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by kuramajoy Thu 06 Nov 2014, 20:24

“เจ้าบอกว่าจะเล่าให้ข้าฟัง” เจ้าอ้วนเรอเหล้าออกมาเหมือนจะลืมไปแล้วเขาหัวเราะพลางขอโทษข้า ข้ารู้สึกเขาน่าคบกว่าเมินโหยวผิงเป็นไหนๆ

“ขอโทษทีท่านอ๋อง ข้าก็เป้นคนหยาบคายแบบนี้ละ ข้าคือทหารจากเมืองหลวงได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้นำราชโองการมา” พูดจบเขาก็ควักม้วนผ้าออกมาหนึ่งม้วนหนึ่ง ข้าอ้าปากเกือบจะตีเขาให้ตาย ราชโองการฮ่องเต้จำเป็นต้องเปิดต่อหน้าทุกคน เพื่อไม่เป็นการหมิ่นเบื้องสูง

“ตอนนี้ทุกคนเมากันหมดข้าต้องไปไล่ตามเสนาของข้ามา รอเดี๋ยว” ข้ากำลังจะลุกไปหาเสี่ยวฮัวกลับถูกนายอ้วนดึงชายเสื้อข้าไว้

“ฮ่องเต้โปรดให้อ่านราชโองการให้เจ้าฟัง แต่คนอื่น เอ้อ เจ้าลองฟังก่อนเถอะ” ข้าคุกเข้าลง ราชโองการลับหรือ ทำไมถึงอ่านให้ข้าฟังคนเดียว

“ฮ่องเต้ทรงมีพระราชประสงค์ให้ อู๋เสีย อ๋องแห่งเมืองหน้าด่านที่สี่ มอบตำแหน่งเจ้าเมืองให้แก่จางฉี่หลิงแม่ทัพกิเลนแห่งเมืองหลวง ต่อไปนี้เมืองหน้าด่านที่สี่จักกลายเป็นของตระกูลจาง แต่หากแม่ทัพกิเลนต้องการจะปกครองเมืองโดยให้เจ้าดำรงอยู่ในตำแหน่งอ๋องเช่นเคยก็ขอให้เป็นไปตามนั้น และนับจากนี้ไปอู๋เสีย จักต้องเป็นคนสนิทของแม่ทัพจางฉี่หลิง คอยปรนิบัติเขา พร้อมทั้งนี้ข้าจักมอบที่ดินของเมืองชายแดนที่ สามในบริเวณใกล้เคียงให้ พร้อมทั้งแก้วแหวนเงินทอง และบรรดาการยศศักดิ์ ที่นาแก่ตระกูลอู๋”

“หือ...” ถึงแม้มันจะเสียมารยาทที่พอรับฟังราชโองการแต่ไม่ยอมถวายบังคม กลับขมวดคิ้วใส่ ทว่าที่นี่มีเพียงข้าและนายอ้วน ข้ามองไปยังนายอ้วนเขาเกาแก้มท่าทีวุ่นวายใจ

“เห็นไหมละราชโองการนี้สมควรพูดกับเจ้าคนเดียว”

จริง..สมควรให้ข้ารู้แค่คนเดียวให้ใครรู้ต่อไม่ได้เด็ดขาด ไอ้ปรนิบัติ เป็นคนสนิท อยู่ภายใต้จางฉี่หลิงนี่อะไร แม้ฮ่องเต้จักพระราชทานงานแต่งมาให้ไม่ได้แต่ทำแบบนี้มิเท่ากับว่าให้ข้าไปเป็นสนมน้อยของเขาหรอกหรือ

“คำสั่งฮ่องเต้คือคำขาดสินะ” ข้าพำพัมออกมา ก่อนที่จะก้มตัวลงไป “อู๋เสียรับพระราชโองการ”

โธ่เว้ยข้าไม่อยากรับ ให้ตายก็ไม่รับ .....แบบนี้มันยิ่งกว่าแต่งงาน ..ฮ่องเต้คิดอะไรอยู่

“เจ้ารับราชโองการไปแล้ว ก็ ดูแลสามีให้ดีละ” เขาหัวเราะพลางยื่นม้วนราชโองการให้ข้า นี่ถ้าข้าเขวี้ยงมันลงพื้นจะโดนหาว่าเป็นกบฎไหม

“สามีอะไรกัน” ข้าถลึงตาใส่นายอ้วนที่พูดอะไรไม่รู้เรื่อง

“ก็ท่านแม่ทัพจางฉี่หลิงของเจ้าไง เขาอุตส่าห์ทุ่มเทไปขอฮ่องเต้ให้พระราชทานงานแต่งด้วยใบหน้านิ่งสลักราวรูปปั้น ฮ่องเต้ก็ยินดีเหลือเกิน เขาเป็นคนเก่งมีฝีมือหาโอกาสจะรั้งตัวไว้นานแล้ว เคยเสนอองค์หญิงให้ไปตั้งหลายองค์เขาก็บอกปัดหมด ฮ่องเต้นนึกว่าในที่สุดแม่ทัพตายด้านของเขาก็สนใจสาวสักคน ที่ไหนได้ เจ้ารู้ไหมหมอนั่นพูดว่าอย่างไร” นายอ้วนคว้าสุราขึ้นมาเปิดอีกไห ข้าขมวดคิ้วเดินเข้าไปใกล้เขาด้วยความอยากรู้อยากเห้น

“โอย ท่านอ๋องน้อย หมอนั่นมันบอกว่า ตั้งแต่เด็กแล้วมีของอยากได้อยู่ชิ้นหนึ่ง นั่นคืออัญมณีสีใสงดงามของรักของหวงของเมืองชายแดนที่สี่ พริบตานั้นฮ่องเต้ถึงได้เข้าใจว่าที่แท้เสนอองค์หญิงนับร้อยให้ไปไม่เอาเพราะท่านแม่ทัพจางไม่สนใจอิสตรีนั่นเอง เจ้ารู้ไหมฮ่องเต้ถึงกับเหงื่อตกทรงพูดอะไรไม่ออกไปนาน งานแต่งของอ๋องที่เป็นชายกับแม่ทัพที่เป้นชายเป็นเรื่องผิดจารีตประเพนีขืนฮ่องเต้พระราชทานงานแต่งรู้ถึงไหนอายถึงนั่น”

ข้าอ้าปากค้างไอ้บ้านี่ จางฉี่หลิงนายมันเอ๋อด้วยสันดานใช่ไหม

“ข้ารู้สึกว่าตนเองช่างโชคดีที่ฮ่องเต้ทรงปราดเปรื่อง ไม่รับคำคนบ้าง่ายๆ” คิดแล้วก็ต้องแทบปาดเหงื่อ ว่าไปก็นึกสงสารฮ่องเต้จับจิตที่ต้องมาเจอคนบ้า

“ข้ารู้สึกว่าในอนาคตข้างหน้าท่านต้องลำบากแน่” นายอ้วนตบบ่าของข้า ข้ามองเขาอยากร่ำไห้ อู๋เสียหนออู๋เสียยังไม่ทันจะได้ภรรยามาตกแต่ง เจ้ากลับได้สามีแมาแทนภรรยาเสียแล้ว ข้าควรจะดีใจหรือเสียใจดี ไม่ต้องไปตามหาคู่รักมาแต่งงานก็ถูกคลุมถุงชนไปเรียบร้อย แถมยังเป็นราชโอการ

“ข้ารู้สึก อยากตาย”

“เอานะ อย่างน้อยท่านก็ได้สามีหน้าตาดี มีทั้งยศศักิดื และเงินทอง น่าอิจฉาจะตายรู้ไหมสาวกว่าครึ่งแผ่นดินคงอิจฉาท่าน” นายอ้วนยื่นสุราให้กับข้า ข้ารับมันไปกระดกรวดเดียวจนหมด ไม่อยากรับรู้สึกว่าโลกของตนเองต่อไปจะเป้นเช่นไร

“มันจะดีถ้าข้าเป็นสตรี แต่มันจะเลวร้าย หากข้าเป็นบุรุษ” นายอ้วนหยักไหล่ให้กับข้า ดูเหมือนเขาก็ไม่สามารถพูดได้แล้วว่ามันดี เขาตบหลังของข้าก่อนที่เราสองคนจะดื่มให้แก่โชคชะตาที่แสนขบขัน ข้าดื่มเข้าไปมาจนเกือบจะล้มนอนไปทั้งแบบนั้นหากไม่ติดที่แขนป้อมของนายอ้วนลากข้าขึ้นมา พลางดุว่าข้าไม่ควรจะมานอนที่นี่ ข้าหัวเราะคว้าคอของเขาขึ้นมากอด เขาช่างคล้ายกับครอบครัวของข้าที่สูญเสียไปเหลือเกิน อารองมักจะจู้จี้เจ้าระเบียบ อาสามมักจะใจดีเล่นกับข้า พ่อจะคอยมองอยู่ห่างๆส่วนแม่มักจะตามใจข้า

อา...พอคิดถึงข้าก็เกือบจะร้องไห้ออกมา นายอ้วนตนใจยกใหญ่นึกว่าข้าเมาแล้วร้องไห้ รีบเชิญข้าเข้าบรรทม เขาหิ้วข้ามาที่ห้องนอน ข้าแทบจะยืนไม่ไหวด้วยซ้ำไม่เคยคิดว่าตัวเองคออ่อนแต่อีกฝ่ายต่างหากเล่าที่คอแข็งจนเกินไป

“ท่านอ๋องน้อยข้าส่งตรงนี้นะ ท่านรับราชโองการไปแล้วอย่าลืมปรนิบัติสามีละ” ยังไม่ทันจะพาไปที่เตียงนายอ้วนก็พลักข้าเข้าห้อง ข้ากัดฟันนึกแค้นเขา
อะไรของเจ้ากัน มาส่งก็ไม่ถึงที่ ตัวของข้าเซเกือบจะได้จุมพิศกับไหประดับในห้อง ร่างกายก็พลันประทะเข้ากับความแข็งแกร่ง ข้าเงยหน้าขึ้นพบเข้ากับใบหน้าหล่อเหลาที่มืดไปครึ่งหนึ่งของเมินโหยวผิง

“เอ่อ...” ข้ารู้สึกได้ว่าเขากำลังโกรธ แต่โกรธอะไรกันเล่า ยังไม่ทันจะได้ต่อรองเขาก็ช้อนร่างกายปวกเปียกของข้าขึ้น มันเป็นชั่ววินาทีก่อนที่แผ่นหลังจะสัมผัสกับฟูกนุ่ม ร่างแกร่งคร่อมทาบทับข้า

“เดี๋ยว” ริมฝีปากของข้าถูกปิด เขาจูบอยู่นานจนพึงพอใจถึงได้ปล่อยข้าเป็นอิสระ ข้ามองเมินโหยวผิงที่ฉกฉวยเอาอากาศของข้าไปจนหมดก่อนที่จะถอดหมวกของตัวเองเขวี้ยงใส่เขา

“อย่ามาทำบ้าๆได้ไหม” จางฉี่หลิงเหมือนได้สติ เขาลุกจากร่างกายของข้านั่งนิ่งเป็นเด็กดีอยู่บนเตียง ข้าลุกขึ้นรู้สึกปริมาณสุราทำให้ตัวเองโมโหง่าย
ใจเย็นไว้ อู๋เสีย ไอ้หมอนี่มันเป็นแค่สัตย์ อย่าเอามาตรฐานมนุษย์ไปวัด

ข้ามองใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลัก เขาสงบนิ่งราวกับไร้อารมณ์ใดๆทั้งมวล แต่ข้ารู้ดีว่ายามที่กิเลนใต้อาภรณ์นั้นปรากฎกาย จางฉี่หลิงจะแปรเปลี่ยนจากรูปสลักหินแสนเย็นเป็นเปลวเพลิงปแสนร้อนแรง อยู่ๆคำพูดของนายอ้วนก็ลอยเข้าหัวของข้า ...

“ข้าไม่ยอมรับเจ้า” ข้ารู้สึกว่าตัวเองพาล ใช่พาล โดนจับแต่งอย่างไม่สมยอม เป็นใครไม่อยากจะพาลบ้างเล่า แล้วเจ้าตัวต้นเรื่องก็นั่งอยู่บนนี้เสียด้วย

“เจ้าเมาแล้ว” จางฉี่หลิงไม่สนใจอาการโวยวายของข้า พูดออกมาคำหนึ่งก่อนที่จะล้มตัวนอนตะแคง แขนแกร่งเกี่ยวเอวของข้าให้นอนลงไปด้วย
เมา ..เมาอะไร ถึงข้าจะไม่เมาก็โมโหเจ้าอยู่ดี

ข้ารู้สึกมึนหัวสลับกับความร้อนในร่างกายโวยวายใส่เขา จางฉี่หลิงเพียงแค่ยิ้มก็ทำเอาข้าหุบปากได้สนิท เขาลูบไล้ใบหน้าของข้าก่อนที่จะขอโทษข้าอีกครั้ง
“ขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้”

ข้าถลึงตาใส่เขา ขืนเจ้าทำสิข้าโกรธตายยิ่งกว่านี้ ยิ่งกว่านั้นข้าไม่เคยไปสัญญากับเจ้าสักอย่าง โมเมเอาเองทั้งหมด

“ข้าไม่ต้องการแต่งงาน” ข้าบอกเขา จางฉี่หลิงเลิกคิ้วก่อนที่จะพูดชื่อตัวการออกมาให้ข้าแอบไปคิดบัญชีทีหลัง

“รองแม่ทัพของข้าบอกเอาไว้ว่า ท่านอ๋องเช่นเจ้าหากต้องการได้มาสมควรจัดงานอย่างสมเกียรติไม่งั้นจะดูหมิ่นเจ้า ข้าต้องเหนือกว่าเจ้าในทุกด้านไม่งั้นเจ้าจะเสียหน้าเป็นอันมาก ตอนนี้ข้าทำได้หมดแล้วเจ้ายังมีอะไรข้องใจอีก”

ข้าถลึงตามองหน้าเขา โอย...นายแว่น นายแว่น เจ้ารองแม่ทัพจำเอาไว้เลยนะ ข้าจะกลับไปคิดบัญชีมาเป่าหูอะไรกันเนี่ย

“ประเด็นไม่ใช่ตรงนั้น “ข้าหอบหายใจรู้สึกได้ถึงฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ข้าคงจะดื่มมากเกิน “เจ้าถามความรู้สึกของข้าแล้วหรือยัง”

“ความรู้สึก ?” เมินโหยวผิงเอียงคอ เขาหน้าตาดีไม่ว่าจะทำอิริยาบทไหนก็พาให้น้ำลายสอได้ทุกท่วงท่า

“ความรู้สึกของข้า เจ้ามาหาข้า ยัดเยียดนู่นนี่นั่นให้ เจ้าเคยถามข้าไหมว่ารู้สึกอย่างไร ต้องการมันหรือเปล่า พอใจที่จะเป้นแบบนี้หรือไม่”

ข้าอยู่ของข้าดีๆ เจ้ามายัดเยียดความเป้นสามีให้นี่มันอะไรกัน..

เมินโหยวผิงนิ่งไปนาน นัยน์ตาสีราตรีลึกล้ำมองใบหน้าของข้าก่อนที่จะหอมบนหน้าาก ข้าสะดุ้งสุดท้ายดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดของเขา อย่ามาเนียนเปลี่ยนเรื่อง ข้าคิดคำด่าเขาไว้หลายยกสุดท้ายก็ไม่ได้ด่าเลยสักคำเพราะเมื่อมือรุ่มร้อนนั้นเลื่อนเข้ามาในสาบเสื้อปลดเปลื้ออาภรณ์ของข้าไป ข้าก้รู้สึกว่าพิษสุรายังไม่เท่าพิษกิเลน

กิเลนที่สลักอยู่บนเรือนร่างหนุ่มแน่นนั้นคร่อมข้าก่อนที่จะทำให้ข้าไม่สามารถพูดอะไรได้นอกจากครวนครางทั้งคืน ข้านึกถึงคำพูดของนายอ้วน หากเขาต้องการให้ปรนิบัติสามีข้าอยากจะบอกเหลือเกินว่า ข้ายังไม่ทำอะไรสามีแม่งก็ทำการบ้านเสียแล้ว

บักซบที่สุด เมินโหยวผิงเจ้าจำเอาไว้


$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$


อากาศยามเช้าเป็นสิ่งที่ข้าชื่นชอบมากที่สุด ในยามที่ข้ายังมีครอบครัวพร้อมหน้า มันเป็นช่วงเวลาที่วุ่นวาย หากแต่ในยามที่ไร้ญาติสนิทที่แสนรักยิ่งข้ากลับรู้สึกเหมือนว่างเปล่าในทุกเช้าที่ลืมตาตื่นขึ้น คำถามที่วนเข้ามาในยามตื่นนิทราคือ ทำไมจึงเหลือเพียงข้าคนเดียว

เรื่องนี้ข้าไม่ได้บอกแม้แต่เสี่ยวฮัว ความเจ็บปวดที่ซึมซาบเอาไว้ในอกข้าคงไม่สามารถบอกใครได้

หากเป็นยามปกติข้าจะลุกขึ้นนั่งแล้วซึมซับยังบรรยากาศที่ว่าข้าหลงเหลืออยู่เพียงคนเดียว ทว่าวันนี้กลับแตกต่างออกไป ตัวของข้ามิอาจขยับได้เพราะมีอ้อมกอดของคนเอาใจไม่ยอมปล่อย ข้าลืมตาขึ้นมองเห็นยังกล้ามเนื้อน่าหลงใหลที่โอบรัดตัวตนของข้า ความร้อนรุ่มที่ก่ายกอดพาให้ใบหน้าของข้าร้อนผ่าว

ข้าขยับตัวยันอ้อมแขนของคนเอาแต่ใจ เมื่อไม่กี่ชั่วยามเขายังขยับตัวโดยไม่ฟังคำทัดทานของข้า ไม่ว่าจะบอก อย่า แค่ไหน กิเลนตัวนั้นกลับบุกรุกเร้าอย่างรุนแรง ข้ารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจราวกับเป็นสนมน้อยของเขา

“อุ๋เสีย ...” เมินโหยวผิงลืมตาขึ้น ขยี้ตาด้วยท่วงท่าเซ็กซี่จนข้าอยากจะวาดภาพบันทึก นัยน์ตาของเขาหรี่ลงครึ่งหนึ่งเรียกชื่อข้าราวกับโหยหาอีกครั้ง
“ทำหน้าเป็นแมวง่วงไปได้” ข้าต่อว่าเขา เมินโผยวผิงไม่ฟังข้า เขาคลี่ยิ้มราวกับยังไม่ตื่นดี ก่อนที่จะกระชับอ้อมกอดให้มากขึ้น

“ข้าไม่ได้นอนหลับอย่างแท้จริงมานานแค่ใดแล้วนะ”

มันเป็นประโยคคำถามบางทีเขาอาจจะถามตัวเอง แต่คำพูดนั้นกลับทำให้ข้า...ลดโทษให้เขาไปเสียเกือบครึ่ง เมินโหยวผิงเจ้ามันคนร้ายกาจ..

ข้ากัดริมฝีปากพลักเขาออกไป ครั้นจะลุกขึ้นก็รู้สึกเหมือนขาแข้งอ่อนแรงสุดท้ายเจ้าคนเอาแต่ใจก็อุ้มข้าไปชำละล้าง โชคดีที่กิเลนไม่ตื่นขึ้นมาอีกรอบไม่งั้นข้าได้ตายก่อนวัยอันควร สกุลอู๋คงหมดผู้สืบทอดนับตั้งแต่นี้ ข้าใช้เวลาหลายชั่วยามก่อนที่จะลุกขึ้นได้

“เจ้าไม่ดูลูกน้องของเจ้าหรือไร” แม่ทัพจางผู้ยิ่งใหญ่เอาแต่กลิ้งเล่นในห้องข้า ไม่ยอมกลับไปห้องรับรองตนเอง แถมยังไม่ดูแลลูกน้องนับว่าผิดวินัยของทหารอย่างมาก

“ช่วงนี้เป้รช่วงพัก แม้แต่นายทหารที่ต่ำต้อยที่สุดก็สามารถจะทำได้ตามใจชอบ ตอนนี้ข้ากำลังให้เวลากับครอบครัว เป้นหน้าที่ควรกระทำ”

ดูเขาพูด ข้าจับมือที่สั่นสะท้านของตัวเองหักห้ามไม่ให้เอาหมวกเขวี้ยงใส่เขา ข้ามองหมวกเจ้ากรรมที่สภาพยับเยิน มันใช้งานมาหนักมาก ดูท่าหมวกท่านอ๋องของข้าคงต้องสั่งใหม่เร็วๆนี้

“จางฉี่หลิงตอบข้ามาตามตรง ใครสั่งใครสอน” ข้าสวมชุดของตนเอง พลางมองจางฉี่หลิงที่สวมชุดลำลอง ทำให้ความน่ากลัวยามที่อยู่ในเกราะดำสนิทนั้นลดลงไปมาก
สักที่ในหัวใจข้ายังเชื่อว่าจางฉี่หลิง นายคนหน้ามึน นิ่งสงบไปทุกเรื่องตายด้านทางอารมร์จะมามีความรู้สึกอ่อนโยน อบอุ่น และโรแมนติกได้เยี่ยงไร
“ลูกน้องในกอง..”

สิ้นคำพูดของเขาข้าก็นึกถึงจดหมาย รู้สึกคับแค้น อยากจะเอาไฟไปกวาดเจ้าทหารกองนี้ให้เหี้ยน หนอย

ช่างสนับสนุนแม่ทัพของพวกเจ้ากันเหลือเกิน พฤติกรรมสุดแสบเช่นนี้บอกข้าทีว่ามันใช่กองทัพกองเดียวกับที่รบพุ่งขับไล่ข้าศึกครั้งก่อนอย่างน่าหวาดกลัว

“เจ้าพูดราวกับแต่งงานแล้ว ไหนว่าไม่อาจขอประทานงานแต่งได้อย่างไรละ” ข้าแขวะเขาทั้งที่ในใจรู้สึกกราบขอบคุณที่ไม่สามารถพระราชทานงานแต่งได้ เพราะไม่งั้นสกุลอู๋คงจะเป้นสกุลแรกที่ทำผิดจารีตประเพณี

“รองแม่ทัพของข้าบอกว่า การที่ฮ่องเต้ประทานมาเช่นนี้เท่ากับแต่งตั้งเจ้าให้เป้นมเหสีของข้า ถือทดแทนกันได้แม้จะไม่มีงานแต่โดนพฤตินัยก็สมควรได้” เมินโหยวผิงสวมรองเท้าเสร็จเรียบร้อยพลางมามองข้าที่ยังชักช้าในการแต่งตัว สุดท้ายมือใหย่คู่นั้นก็เข้ามาช่วยข้ายิ้มขมขื่น ใช่โดนพฤตินัยพูดไม่มีผิด... การที่โดนบุกประตูไปหลายหลายครั้งนี่ถือว่าเป็นตามพฤตินัยได้ไหม

“งั้นเชิญเจ้าทำตามใจเถอะ อย่างไรเสียข้าก็เป้นของเจ้าไม่มีสิทธิต่อล้อต่อเถียงอะไรทั้งนั้น จะทำอะไรก็ทำไป” ข้าปล่อยให้เมินโหยวผิงเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเสียใหม่ วันนี้พวกเราใส่ชุดลำลอง หาใช่แม่ทัพและท่านอ๋องไม่ เป็นเพียงคนธรรมดาที่กำลังไปเดินตลาดเล่น ข้าปล่อยให้มือคนเอาแต่ใจลากไป รู้สึกเหมือนตัวเองเหนื่อยขึ้นสองเท่า
ไม่ทันไรพวกเราก็มาถึงท่ามกลางถนนที่เต็มไปด้วยร้านรวงและผู้คนมากมาย ข้าเคยชินกับสภาพเช่นนี้ตั้งแต่ยังเยาว์ หากแต่คนที่จับมือของข้ากลับยืนหยุดนิ่งจนข้าต้องกระตุกเขา

“เจ้าทำราวกับคนที่ไม่เคยมาตลาด” ครั้นเอ่ยแซวเขาไปข้าก็กลับเป็นคนเสียใจเสียเอง

“ไม่เคย ..หากไม่ใช่ทาสชีวิตของข้าคือสนามรบ”

จางฉี่หลิงเหมือนเด็กหลงทางในยามบ้านเมืองสงบสุข แต่เขาคือวีรบุรุษในยามที่เกิดอันตราย ข้าสะท้อนใจรู้สึกอดที่จะสงสารเขาไม่ได้ รวบมือของเขาจูงไปทางร้านขนมหวาน หยิบเกาหลัดเชื่อมให้ใส่ปากคนหน้ามึน แม่ทัพกิเลนผู้เกรียงไกรมองมันราวกับไม่รู้จักข้าจึงกัดลงไปคำหนึ่ง ป้อนให้เขาที่เหลือ คิ้วได้รุปนั้นขมวดเป็นปมเมื่อรสชาติแตะลงยังลิ้นนุ่ม

“เป้นเยี่ยงไร” ข้าคิดว่าเขาคงไม่ชอบของหวานสักเท่าไร แต่คำตอบที่ตอบกลับมาทำให้ข้าเอาไม้เกาหลัดที่เหลือปาใส่เขา

“หวานเหมือนเจ้า”

เจ้าไปชิมข้าตอนไหนกันถึงได้รู้ว่าหวานเหมือนข้า อีกอย่างคนเราไม่มีทางหวานได้หรอก ให้ตายเถอะนี่ถ้าข้าเป็นอิสตรีคงจะหลงเขาอย่างหน้ามีดตามัวไปแล้ว เป็นอีกหลายครั้งที่หัวใจของข้าเกือบจะกระดอนออกมานอกอกพ่ายแพ้ให้กับความร้ายกาจของผู้ชายคนนี้ ใครสั่งใครสอนเจ้ามากัน บอกข้ามา...

โอยไม่สนแล้ว.. ข้าจูงมือเขาเดินไปตามทาง มาถึงขั้นนี้แล้วเที่ยวกับเขาคงไม่เสียหาย

แม่ทักจางฉี่หลิงราวกับเด็กน้อยในยามปกติสุข เขาแทบไม่รู้ถึงวิถีชีวิตทั่วไป พาให้ข้าสงสัยว่าตลอดมาเขามีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ไอ้ทักษะดำรงชีวิตที่ตำกว่าพารามีเซียมแบบนี้ ต้องน่าขอบใจที่เขามีฝีมืออันล้ำเลิส แถมยังอยู่ถูกที่ถูกทาง เป็นแม่ทัก หากให้เขามาเป็นพ่อค้าคาดว่าชีวิตคงบัดซบเหลือเกิน

กว่าจะรู้ตัวตะวันก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน พวกเราเดินกันจนเมื่อยขา หยุดอยู่ที่สะพานข้ามแม่น้ำ ที่นี่คือจุดชมวิวที่ดีที่สุดของเมือง เมืองของข้าแม้จะถูกรุกรานบ่อยครั้งแต่กลับมีทะเลสาปใหญ่เลื่องชื่อ ทะเลสาปที่ไม่มีวันแห้งเหือดราวกับน้ำตาทิพย์ของเจ้าแม่

ท้องฟ้าที่ถุกย้อมด้วยสีแดงของยามเย็นตัดกับสีฟ้าของน้ำในทะเลสาปที่สะท้อนขึ้นมาอย่างสวยงาม เมืองของข้าคือแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ข้าภาคภูมิใจกับทะเลสาปที่ไม่มีวันเหือดแห้ง พลางเงยหน้าขึ้นไปมองเมินโหยวผิง นัยน์ตาสีดำอันลึกล้ำของเขาจ้องมองทะเลสาปเงียบงัน

ต่อไปเขาต้องเป็นผู้ครอบครองเมืองนี้ ข้าต้องทำให้เขารู้จักถึงความสวยงามของเมืองแห่งนี้

“สวยใช่ไหมละ นี่นะของขึ้นชื่อของเมืองข้า” คัร้นพูดไปข้าก็ต้องเป็นฝ่ายหุบปากเสียเอง ก็ข้าเป็นแค่อ๋องในตำแหน่งหาได้มีอำนาจที่แท้จริงไม่

“อือ” ข้าลอบยิ้มเมื่อเห็นมุมปากของเจ้าคนหน้าตายยกขึ้นรู้สึกร้อนยังปลายนิ้วที่เกาะเกี่ยวเขาเอาไว้ ข้าไมไ่ด้พิศวาสจับเขาหรอกก็แค่ กลัวเจ้าเด็กหลงจะหายไปไหนเท่านั้น

สักที่ในหัวใจของข้ากลับรู้สึกว่า ดีจริงที่มีจางฉี่หลิงอยู่เคียงข้าง

การสูญเสียได้พลัดพรากยังครอบครัวแสนสำคัญ ยามเช้าที่เหงาหงอยเปล่าเปลี่ยวนั้นจะไม่มาเยือนข้าอีกแล้ว หากมีเขาอยู่ด้วย...มันคงจะเป็นยามเช้าที่แสนวุ่นวาย
ทำไมกันนะ ...ทั้งที่ควรโวยเขาอีกสักยก ...ข้าหลับตามองยังทะเลสาปที่งดงาม แสงสีแดงตกสะท้อนน้ำในทะเลสาปราวกับเพชร

อา...ช่างเถอะเอาไว้พรุ่งนี้ค่อยบ่นเขาก็ได้

“ไม่เป็นไรแล้ว เพราะงั้นไปเถอะ” อยู่ๆจางฉี่หลิงก็ปล่อยมือข้าพูดขึ้นมาทำให้คิ้วของข้าขมวดขึ้น มองตามสายตาของเขาไป ที่กำแพงข้าพบตุ้กแกไม่สิ คนเกาะอยู่ตามที่ต่างๆ ผู้คนเหล่านั้นช่างคุ้นหน้าคุ้นตาข้าเสียจริง เมื่อเห็นว่าข้ามองอยู่พวกเขาก็ยอมมอบตัวแต่โดยดี ครั้ยเข้ามาใกล้ข้าถึงรู้ว่าเป็นลูกน้องของจาฉี่หลิง นายทหารในกองทัพกิเลน

เดี๋ยวนะอย่าบอกนะว่าแอบตามมาทั้งวัน

“ขอโทษขอรับท่านอ๋อง พวกเรากลัวท่านแม่ทัพทำอะไรผิด” นายทหารคนหนึ่งเอ่ยขึ้นกับข้าก่อนที่คนที่สองจะตอบรับ
kuramajoy
kuramajoy
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า

จำนวนข้อความ : 206
Points : 3781
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[os]อ๋องน้อย2[ผิงเสีย] Empty Re: [os]อ๋องน้อย2[ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by kuramajoy Thu 06 Nov 2014, 20:26

“ท่านก็รู้ท่านแม่ทัพหาใช่คนปกติไม่ ในชีวิตนี้แม้กระทั่งมนุษย์สัมพันธ์ยังยอดแย่ จะให้มาจีบถึงระดับท่านอ๋องเป็นเรื่องยาก”

“แต่โชคดีที่ท่านอ๋องคนนั้นคือท่าน ท่านเป็นคนจิตใจดีต้องเข้าใจท่านแม่ทัพได้แน่” ข้าหันไปถลึงตาใส่ลูกน้องเมินโหยวผิงทุกคน ทั้งหมดเรียงหน้ากระดานพาให้ข้ายิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ ข้าปล่อยมือใหญ่ของแม่ทัพพวกเขาก่อนที่จะได้ยินเสียงหัวเราะของชาวเมือง

พวกเจ้า พวกเจ้าทุกคน .....

ข้าโมโหจนลมแทบออกหูไม่สนใจเมินโหยวผิงและเสียงของลูกน้องเขาเดินกลับวัง ครั้นเห็นร่างสูงใหญ่เดินตามกลับมาด้วยข้าก็ถลึงตาใส่เขา

“ห้ามตามข้ากลับมา” ข้าหยุดยืนมองเขาที่เดินหน้าตายตามกลับมา

“ข้าอาศัยอยู่ที่นั่น”

สุดท้ายมจำยอมให้เขาเดินกลับด้วย เมื่อมาถึงตำหนักก็พบข้าวของล้มระเนระนาด ข้ากือบคิดว่ามีขโมยเข้ามา อ้าปากหมายจะถามทหารยาม ไหราชวงศ์ชิงก็ลอยผ่านหน้าข้าไป ข้าเอื้อมมือไปแต่รับไม่ทัน โชคดีที่มือของเมินโหยวผิงคว้าเอาไว้ได้แทน ข้ากอดไหด้วยจิตใจโล่งอกก่อนที่จะเหลือบตามองตัวปัญหาสองตัว

“เสี่ยวฮัว นายแว่น ทำอะไรในจวนของข้ากัน”

ใช่... ข้าพบพานแขกที่ไม่คิดว่าจะได้พบ นายแว่นเห็นข้ายังมิวายหันมาส่งจูบทั้งที่กำลังวิ่งหลบข้าวของที่เสี่ยวฮัวปาใส่เขา ท่าทางทะเล้นจนข้าภาวนาให้เสี่ยวฮัวปาโดน พวกเจ้าสองคน ..งเข้ามาวิ่งเล่นไล่จับในตำหนักข้าทำไม ตำหนักตัวเองมีไม่ไป หรืออย่างน้อยไปวิ่งนอกเมืองโน่น

“ข้าไม่ผิดนะท่านอ๋อง ข้าแค่มาหาหัวหน้าข้า ทว่าเสี่ยวฮัวคนงามกลับรังแกข้า” รองแม่ทัพแห่งกิเลนอันองอาจชี้หน้าฟ้องราวกับเด็กวสามขวบก็มิปาน ข้าส่ายหน้าก่อนที่จะมองไปอีกคนที่หยุดปาข้าวของ มือเรียวข้าหนึ่งของเสี่ยวฮัวถือไม้พลองยาวแต่ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจสอยนายแว่นได้

“ข้ามาหาเจ้า แต่กลับต้องมาเจอความกวนประสาท” เสนาของข้าทำเสียงเหนื่อยอ่อน ด้านหัวใจแล้วข้าอยากเข้าข้างเสี่ยวฮัวเต็มร้อยแต่การกระทำตรงหน้า มีแต่เสี่ยวฮัวที่รังแกเขา

“พวกเจ้ามีอะไรคุยกันก็รีบคุยไป “ข้าพลักเมินโหยวผิงให้นายแว่นก่อนที่จะรีบวิ่งเข้าไปปลอบใจคนงามของข้า โถ เสี่ยวฮัวเจ้าคงจะเจอเรื่องร้ายกาจมาสินะ

“หึหึ ท่านอ๋องดูมีเลือดฝากขึ้นเยอะ ผิวพรรณเปล่งปลั่ง นี่สิเขาว่าอิสตรีเมื่อมีคู่เคียงย่อมงดงามจขึ้นไม่ผิดเลย”

ได้ยินคำพูดของรองแม่ทัพข้าก็แยกเขี้ยวใส่ เขาหัวเราะพลางใช้แขนพาดคอแม่ทัพตัวเองลากไปอีกทาง เห็นเมินโหยวผิงขมวดคิ้วอยู่ที่ไกล หวังว่าเรื่องที่นายแว่นมารายงานคงจะไม่เป้นเรื่องร้าย

“อู๋เสีย ครั้งนี้เจ้าทำเกินไป”

ข้ายังไม่ทันจะได้อ้าปากเสี่ยวฮัวก็เรียกข้าด้วยชื่อ แสดงว่าเขาโมโหมาก เขาให้เกียรติเรียกข้าว่า อ๋อง มาตลอดคราวนี้เขาคงเหลืออด

“เจ้าโดนเจ้านั่นรังแกหรือ ข้าจะได้ทวงความยุติธรรมให้เจ้า” ข้าตบบ่าเพื่อนสนิท เสี่ยวฮัวเป็นคนสวยหากถูกเจ้าบอดข่มแหงข้าจะได้ตั้งศาลเตี้ยมันซะ
“ข้านะยัง แต่เจ้าสิโดนไปแล้ว”

ข้ารู้สึกตามไม่ทันกับคำพูดของเขา ก่อนที่จะได้ทำความเข้าใจจางฉี่หลิงก็เดินเข้ามา ใบหน้าหล่อเหลานั้นกลับไปเป็นรูปปั้นเย็นชาดุจก้อนหินตามเดิม สภาพเช่นนี้พาให้ข้าขมวดคิ้ว เจ้านี้ต่อหน้าผู้อื่นกลับทำตัวราวกับก้อนหิน แต่ทีบนเตียงละยิ้มเอา ยิ้มเอา โธ่เว้ย

“มีอะไรหรือ” ยังไม่ทันจะได้พูดพวงแก้มก็ถูกหอมไปหนึ่งที ข้าโมโหแทบกระอั่กแต่จางฉี่หลิงกลับเอียงคอไม่รู้ตัวว่าทำอะไรผิด สุดท้ายข้าก็หมดความอดทน เสี่ยวฮัวเห็นข้าเป็นเช่นนี้ก็ไม่พูดอะไรอีกยอมกลับแต่โดยดี เขาบอกว่าจะมาใหม่อีกครั้ง นายแว่นชอบลอยไปลอยมาสุดท้ายก็สิงสถิตอยู่สักที่ในตำหนักของข้า

“จางฉี่หลิง เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ข้ายังไม่ทันจะได้พูดอะไรกับเขา เมินโหยวผิงกลับรู้สึกตัวขึ้นมา

“อู๋เสีย โกรธเรื่องใด”

เจ้ายังไม่รู้อีก ข้าอยากจะกระอั่กออกมาเป็นเลือด

“เจ้าควรไปเรียนรู้ถึงความรู้สึกผุ้อื่นเจ้ามันทำอะไรไม่เคยคิดถึงความรู้สึกคนอื่นแม้แต่น้อย เวลาจะทำอะไรช่วยคิดถึงความรู้สึกของข้าบ้างได้ไหม “
ข้าต้องสั่งสอนเขา ต่อไปหากภายภาคหน้าเจ้ามาเจ้าเมืองไม่เข้าใจความรู้สึกของราษฎรคงแย่ แค่ความรู้สึกของข้าคนเดียวเจ้ายังไม่เข้าใจ

“ได้” เมินโหยวผิงว่าง่ายผิดคาด เขาเดินไปทางนายแว่น ข้าถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนที่สายตาจะหันไปพบกับทหารแห่งเมืองหลวง รูปร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์
“เจ้ายังไม่กลับหรือ” นายอ้วนเหมือนเพิ่งเห็นข้า เขาหัวเราะพลางเขย่าขวดเหล้าในมือ ข้าสั่งให้สาวใช้ออกไปก่อนที่จะนั่งลงตรงข้ามเขา

“ข้ายังไม่ได้คำตอบจากสามีของเจ้าข้าคงกลับไม่ได้” ได้ยินเขาพูดข้าก็ขมวดคิ้ว นอกจากราชโองการบ้านั่นยังมีอะไรอีกหรือ

“เขาไม่ใช่สามีข้า แต่เป็นนายของข้า”

“ทำหน้าแบบนั้นแสดงว่าคนรักของเจ้าไม่ได้เล่าเลยสินะ” นายอ้วนหยิบสุราขึ้นมาอีกไหหนึ่ง รินใส่จอกของข้า ในเมื่อเขาชวนข้าคงไม่อาจปฏิเสธ ก่อนที่จะคิดขึ้นมาได้ว่าเมินโหยวผิงไม่ได้ชอบเครื่องดื่มมึนเมา ข้าดื่มสุราทีไรเมินโหยวผิงโกรธทุกที

“มีเรื่องอะไรเจ้าจงบอกมาได้แล้ว ถือเป็นค่าเหล้าของตำหนักข้า ตั้งแต่เจ้ามาอยู่ไหสุราที่เก็บไว้ตั้งแต่บรรพบุรุษหมดสิ้นเพราะเจ้า” ข้าฉวยเอาไหเหล้าของเขามารินให้ตนเอง เหล้าชั้นดีย่อมต้องใช้เวลาบ่มเพาะเป็นเวลานาน ตระกูลอู๋มีเหล้าที่บ่มเพาะตั้งแต่รุ่นทวด จะมาจบสิ้นที่รุ่นข้าเสียหมดเพราะผีเหล้าตัวนี้

“ฮ่าๆ ถึงไม่เป็นค่าเหล้าข้าก็จะเล่าอยู่แล้วท่านอ๋องน้อย” นายอ้วนยกมือเท้าคางกับโต๊ะ จ้องใบหน้าของข้า “เจ้ารู้หรือเปล่าทำอะไรลงไป”

“หือ ข้าทำอะไร ข้ายังไม่ได้ทำอะไรแม้แต่น้อย” คนที่ทำทุกอย่างนะนายเมินโหยวผิงจอมเอาแต่ใจ

“ท่านไม่ได้ทำอะไรแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้แม่ทัพมากความสามารถคนหนึ่งยอมทิ้งยศฐาบรรดาศักดิ์ เกษียรทั้งที่ยังไม่ถึงวัยอันควรมาอยู่กับท่านที่เมืองหน้าด่านอันห่างไกลจากเมืองหลวงได้ ช่างยอดเยี่ยมจริง” นายอ้วนขยิบตาให้กับข้า

“เจ้าไมไ่ด้โกหกนะ”

“ถ้าข้าโกหกจะมานั่งรอสามีท่านอยู่นี่หรือ ฮ่องเต้ไม่อาจตัดใจจากเขาได้ ท่านก็รู้คนเก่งกาจอย่างเขาจะหาที่ไหนได้อีก” นายอ้วนหยักไหล่ก่อนที่จะยกไหเหล้าซดทั้งใบ
“ข้าจะคุยกับเขาเอง เจ้าอย่าได้กังวล” ข้าลุกขึ้นคิดว่าจะไปตามหาคนที่ข้าเพิ่งไล่ไป เจ้าคนตายด้านทางอารมณ์ ไม่เคยคิดถึงความทุกข์ร้อนของคนอื่นแม้สักนิด
“คนที่ไม่เข้าใจอะไรเลยอาจเป็นท่านมากกว่าท่านแม่ทัพกระมั้ง”

ข้าเลิกคิ้วกับคำพูดของเขา นายอ้วนวางไหเหล้าลง นัยน์ตาทั้งคู่จับจ้องที่เรือนร่างของข้า

“ท่านเคยรักใครสักคน หรือมีของรักของแหนบ้างไหม ท่านเข้าใจความรู้สึกของคนที่ไม่อยากจากของรักหรือไม่ ไม่อาจไปที่ใดได้เพราะใจยังห่วงหา คิดถึงว่าจะเป็นเยี่ยงไรจะมีคนมาหยิบยกเอาไปหรือไม่ “

คำพูดของนายอ้วนสะท้อนอยู่ในหัวของข้า ข้ากลืนน้ำลายอย่างขมขื่น ข้าเคยมีครอบครัวที่รักยิ่ง พวกเขาเหล่านั้นล้วนแต่จากข้าไป ข้าอยากจะจับมือรั้งพวกท่านเอาไว้ไม่อยากให้ไปเสี่ยงอันตราย

อยากจะพูดขึ้นมาหลายครั้ง ต่อหลายครั้งว่า อย่าไปได้ไหม อยู่กับข้าที่นี่ได้หรือไม่

ในยามที่ข้างอแงเช่นนั้นทุกคนจะหัวเราะลูบหัวข้าแล้วพูดว่า มันคือหน้าที่ในฐานะอ๋อง หน้าที่ของตระกูล ข้ามองเขาก่อนที่จะนึกถึงเมินโหยวผิง
ความร้อนรุ่มก่อเกิดในหัวใจของข้า รู้สึกได้ถึงการเต้นของหัวใจ มัน ...อา....เจ้ามันบ้าที่สุด

“ข้าเองก็มีเช่นกัน แต่ของรักของหวงของข้าล้วนได้ตายจากไปนานแล้ว ท่านพ่อของข้า ท่านอาของข้า รวมถึงบุคคลที่ข้ารักล้วนแต่ตกตายกันในสงครามเพื่อปกป้องเมือง ความรู้สึกที่เจ้าว่ามามันก็ถูก หากเพื่อบ้านเมื่องแล้วข้าสามารถหักใจได้ จางฉี่หลิงเองก็เช่นกัน เจ้าไม่ต้องกังวล”

ข้ากำหมัดรับรู้ถึงความรู้สึกในยามที่มือที่ลูบหัวของข้าเลือนหายไปทีละคน นายอ้วนยกไหเหล้าดื่มจนหมดก่อนที่จะวางลง เขาเดินเข้ามาใกล้ข้า มือใหญ่ที่เต็มไปด้วยไขมันวางลงบนศีรษะของข้า

“เจ้าเป็นเด็กดีนะ ท่านอ๋องน้อย”

สัมผัสของมือจากเขามันช่างอบอุ่น เขาราวกับพี่ชายคนหนึ่ง ข้าไม่เคยมีพี่ชายมาก่อนเพราะเป็นลูกชายคนเดียว หากมีละก็คงให้อารมณ์เช่นนี้กระมั้ง

“เจ้าเป็นนายทหารระดับไหน กล้ามาเล่นศีรษะของท่านอ๋องเช่นข้าเชียวหรือ” ข้าดุเขาแต่เขากลับหัวเราะ ข้าปล่อยให้เขาลูบอยู่นานก่อนที่เห็นรอยหยดน้ำที่พื้น รู้สึกตัวอีกครั้งใบหน้าของข้าก็เต็มไปด้วยน้ำตา

“เจ้าไมได้ร่ำไห้เพราะการจากไปของครอบครัว พวกเขาได้จากไปอย่างภาคภูมิเจ้าควรยิ้มยินดีให้แก่บรรพบุรุษตระกูลอู๋ ที่เห้นมันมีน้ำก็แค่ฝนตกเท่านั้น”
นายอ้วนพูดอะไรไม่รู้เรื่อง ข้าปาดน้ำตาที่นัยน์ตาตนเองกลับพบว่ายิ่งขยี้มันเท่าไรก็ยิ่งร่ำไห้หนักขึ้น อา..ไอ้นี่คงจะพังไปแล้ว

“ไม่เป็นไรนะ”

ข้ามองเขาด้วยนัยน์ตาพร่ามัว ไม่เป็นไรนะ คำคำนี้เสี่ยวฮัวเคยถามข้า แต่ในยามนั้นเขาเองก็ได้สูญเสียบิดาไปเช่นกัน เขายังไม่ร่ำไห้แล้วข้าจะร้องต่อหน้าเขาได้เยี่ยงไร
พสนิกรของข้ายังมองข้าอยู่ ข้าต้องขับไล่ศัตรูแล้วข้าจะร้องไห้ได้อย่างไร

“มันก็แค่ฝนตก วันนี้อากาสไม่ค่อยดี จะตกอีกเยอะๆก็ได้” มือใหญ่กดหัวของข้าเข้าสู่อกหนาของเขา ข้าเกาะเกี่ยวมันเอาไว้ รู้ตัวว่าไม่ควรทำเช่นนี้ ท่านอ๋องไม่ควรอ่อนแอ

ตั้งแต่พวกเขาเหล่านั้นจากไปข้าไม่ได้ร่ำไห้ ...ทั้งท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านอาทั้งสอง และท่านแม่

“ที่นี่ไม่มีใครทั้งนั้นมีแค่หมูอ้วนตัวหนึ่งก็ได้เอ้า” เสียงน่ารำคาญของเขาดังคลอกับเสียงร้องไห้ของข้า วันนี้เป็นครั้งแรกที่ข้าร้องไห้ ทั้งที่สัญญาว่าจะไม่อ่อนแอ
“ข้าเพิ่งรู้ว่า หมูมันอุ่นขนาดนี้” ข้าสะอื้นไปพูดไป นายอ้วนรู้สึกฉุนข้าจึงหยิกแก้มข้าเอาคืน

“เอ๊า ! ท่านอ๋องหมูก็เป็นสัตว์เลือดอุ่นนะ” เขาตบหัวของข้าไปสองสามทีก่อนที่จะพ่นลมหายใจ “ท่านอ๋องการร้องไห้ไม่ได้หมายความว่าอ่อนแอฃ คนที่กลั้นน้ำตาแล้วไม่ยอมลุกต่างหากเล่าคือคนอ่อนแอ ท่านรู้ไหมบางครั้งคนเราสมควรร้องไห้กับความงี่เง่าของโชคชะตาเสียให้พอแล้วเช็ดคราบน้ำตาพร้อมกับลุกขึ้นมาใหม่ แบบนั้นต่างหากคือคนที่แข็งแกร่งที่แท้จริง”

“นายก็พูดได้สิ” ข้าหัวเราะทั้งน้ำตา สูดลมหายใจ เพิ่งรู้ว่าน้ำตาที่อดกลั้นมาตลอดครั้นได้ระบายสักครั้งจะโล่งอกถึงเพียงนี้ รู้สึกเหมือนได้ยกบางสิ่งออกไปจากหัวใจ..
“เสี่ยวอู๋ เจ้าไม่ผิดหรอกนะ” นายอ้วนปลอบใจข้า ข้ายิ้มให้กับเขา

“ข้ารู้อยู่แล้ว แถมข้ายังทำได้ดีกว่าพวกเขาอีกนะ ดูสิข้าสามารถไล่ศัตรุกลับไปได้”

แม้มันจะเป็นผลงานของจางฮี่หลิงก็ตาม

“ไม่ต้องห่วงข้าจะพูดกับเขาเอง” ข้าปาดน้ำตาที่ติดอยู่ที่หางตา คิดว่าพรุ่งนี้ตาข้าต้องบวมเป็นแน่ นายอ้วนส่ายหน้าเมื่อได้ยินข้าพูดเช่นนั้น

“ท่านอ๋องท่านนั้นเป็นผู้อ่อนนอก แกร่งใน แต่ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าสามีของท่านจะ แข็งนอก อ่อนใน เขาราวกับผู้ไม่เคยได้รับแสงสว่างอยู่ในความมืดมิดมาโดยตลอด ครั้นได้เจอกับดวงอาทิตย์สักครั้งกลับยากจะหักใจลืม สุดท้ายถึงได้คิดจะช่วงชิงมันเอาไว้ ท่านจะทำลายความหวังเพียงหนึ่งเดียวของเขาก็ใจร้ายไปกระมั้ง” นายอ้วนขยับหมวกของข้าให้เข้าที่

“ท่านอ๋อง ท่านคิดจะไปอยู่เมืองหลวงบ้างไหม ทั้งบ้านเรือนทรัพย์สิน ยศฐาน พร้อมทั้งทุกสิ่งที่ต้องการข้าเชื่อว่าฮ่องเต้ย่อมพร้อมใจประทานให้ท่านแน่”

“นั่นสินะ เมืองหลวงเขาว่ากันว่ามีอิสตรีงดงาม ทั้งการร่ายร้องร้องเพลงก็เยี่ยมยอด มีตำราที่ข้าอยากอ่านอยู่อีกมากในเมืองหลวง ทว่าถ้าเป็นเจ้าคงเข้าใจความรู้สึกของข้าใช่ไหม” ข้ามองไปยังนายอ้วนเขาหัวเราะก่อนที่จะส่ายหน้า

“เจ้าก็ดี ท่านแม่ทัพนั่นก็ดี ดูท่าข้าคงไม่อาจกล่อมได้สักคน” นายอ้วนลุกขึ้นก่อนที่จะโบกให้ข้า ข้าโค้งให้เขา ขอบคุณเขาจากใจจริงที่สอนให้ข้ารู้จักว่าอุณหภูมิของมนุษย์นั้นอบอุ่นเพียงไร

ที่นี่คือบ้านของข้า คือที่ครอบครัวของข้ายอมตายเพื่อปกป้องมัน ...ต่อให้เบื้องหน้ามีแก้วแหวนจินดาเพียงไรข้าก็ไม่อาจละจากที่นีไ่ปได้

ที่นี่คือที่เกิดของข้าและจะเป้นที่ตายของข้าเช่นกัน

ข้าเดินเข้าห้องตัวเอง ครั้นเปิดประตูกลับพบชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนเตียง จางฉี่หลิงมองอย่างเงียบงัน ราวกับรอข้าอยู่นานแล้วเดี๋ยวนะ นายจะไม่กลับห้องหับของตนเองหรือไร นี่มันห้องของข้านะ ข้านึกถึงราชโองการของฮ่องเต้ขึ้นมาได้ ห้องนี้คือห้องของท่านอ๋องสมควรยกให้เขานั้นถูกแล้ว ต่อไปนี้ข้าควรหาห้องอื่นซุกหัวนอน
“อู๋เสีย ไปไหน” เจ้าคนหน้ามึนคว้าข้อแขนผมเอาไว้ในยามที่จะเดินจากห้อง แถมยังกระชากลากให้นั่งลงบนเตียง ข้าถลึงตาใส่เขา

“เจ้ายึกห้องข้าไปแล้ว ข้าก็ต้องหาที่อยู่ใหม่” เมินโหยวผิงพอได้ยินกลับเอียงคอ หนอยเจ้าคิดว่าตัวเองทำแบบนี้น่ารักมากหรือไง โธ่เว้ย...

คนหน้าตาดีจะทำอะไรก็ดูดีไปหมดแม้แต่ท่าปัญญาอ่อนเช่นนี้

“นี่คือห้องของเจ้า และห้องของข้า แต่งงานแล้วต้องอยู่ร่วมห้องกัน” จางฉี่หลิงพูดราวกับเป็นเรื่องปกติ ครั้นได้ฟังข้าก็รู้สึกราวกับมีคนเอาค้อนทุบศีรษะ
แต่งงานแล้วอยู่ห้องเดียวกัน...บิดาเจ้าสิ...

“ตามพระประสงค์ของเจ้านาย” ข้าประชดเขาโดยการลุกไปรินน้ำชาให้ กระแทกใส่โต๊ะจนน้ำในถ้วยหกหายไปเกินครึ่ง เมินโหยวผิงหยิบถ้วยนั้นไปดื่มแม้ว่าจะไม่เหลืออะไรให้ดื่ม ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะลุกไปรินชาให้ข้าดื่ม เขาถือมาดีมากไม่มีกระฉกแม้แต่หยดเดียว..

“ฮ่องเต้สั่งให้ข้าปรนิบัติเจ้าไม่ใช่เจ้าปรนนิยบัติข้า ข้าสมควรรับใช้เจ้าถึงจะถูก”

“อู๋เสีย อย่าโกรธ” เมินดหยวผิงดึงข้าให้นั่งลงก่อนที่จะหยิบกระดาษขึ้นมาจรดพู่กัน สุกท้ายก็ส่งกระดาษแผ่นนั้นให้ข้า ครั้นรับมาอ่านก็แทบหงายหลังลงไปสลบบนที่นอน

“เอ่อ...” มันคือบทกวี กลอนง้องอนต่อคนรัก นี่ถ้าไม่ได้เห็นกับตาว่าเมื่อครู่เขาหยิบพู่กันมาเขียนสดข้าไม่มีวันเชื่อเด็ดขาดว่าเขาเป็นคนเขียน “เจ้าคิดอะไรอยู่ถึงเขียนไอ้นี่”

“รองแม่ทัพของข้ากล่าวว่า สตรีนั้นล้วนชื่นชอบคำหวานและบทกวี “

ได้ยินเขาพูดผมก็ก้มลงไปมองไอ้บทกวีที่อัดแน่นไปด้วยความหวานของเขา รู้สึกเหมือนคลื่นไส้..จะอ้วก

“ข้าผิดเอง เจ้ากลับเป็นคนเดิมเถอะ ข้าจะไม่พูดเรื่องให้เจ้าไปศึกษาอะไรนั่นอีก “ ตอนที่เขาเดินไปหานายแว่นข้าน่าจะห้าม ดูเหมือนเขาจะเดินไปหาผิดคน สมควรให้เดินไปหานายอ้วนถึงจะถูก ข้าเอื้อมมือไปที่โต๊ะหยิบกระดาษกับพู่กันขึ้นมาจรดความในใจ

‘นายมันงี่เง่า’

เมินโหยวผิงมองคำตอบข้าบนกระดาษ เขาคลี่ยิ้มออกมาก่อนที่จะขยับเข้าใกล้ ร่างของเราห่างกันเพียงคืบ ข้าสูดกลิ่นหอมของสมุนไพรจางจากตัวของเขา เส้นผมนุ่มนิ่มสีดำสนิทที่ข้าเคยขยุ้มปลิวไสวตามแรงลม

“หายโกรธแล้วหรือ เฮยบอกข้าว่าเจ้าน้อยเนื้อต่ำใจที่ฮ่องเต้รับสั่งให้เจ้าเป็นดั่งสนมน้อย ข้าขอโทษแต่ในใจข้าเจ้าคือมเหสี”

เฮย คือใคร ...สมองของข้าค้างไปหลายชั่วยามก่อนที่จะนึกออก เฮยเสียจื่อ ชื่อที่แท้จริงของรองแม่ทัพกิเลน เมินโหยวผิงเรียกด้วยชื่อย่อแสดงว่าคงจะสนิทสนมกันไม่เลว

เอาเป็นว่าตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าใครเสี้ยมใครสอนแม่ทัพกิเลนผู้องอาจในทางที่ผิด ...เจ้าตัวการอยู่ใกล้มือข้าเพียงหยิบเดียว

“ไม่ว่าอย่างไหนก็ไม่เอา” ข้ายืนขึ้นแตะมือลงบนอกที่ยังคงเต้นของเขา “จางฉี่หลิง ข้าก็คืออู๋เสีย ข้าหาใช่สิ่งของที่เจ้าจะทำอะไรก็ได้ ข้ามีชีวิตจิตใจ เจ้าต้องการอะไรต้องขอข้าไม่ใช่เผด็จการ”

“ได้..อู๋เสีย” จางฉี่หลิงว่าง่ายกว่าที่ข้าคาดคิดไว้มาก ข้ากำลังโล่งใจเขาก็ตวัดวงแขนเข้ามารัดร่างลงไปนอนบนฟูกนุ่ม ..เดี๋ยวนะอย่าบอกนะว่าเจ้าจะทำการบ้าน ทำบ่อยไปไหม หากข้าเป็นสตรีมิมีลูกหัวปีท้ายปีเลยหรือไร

“เจ้า!”ข้าอ้าปากจะด่าเขาแต่ริมฝีปากกลับถูกปิดจนสนิท จางฉี่หลิงรุกเร้าร่างกายของข้า เจ้าคนเอาแต่ใจไหนเมื่อกี้สัญญาอะไรกับข้าไว้ ไหนบอกจะฟังข้า ...ข้าโมโหเขาสุดท้ายก็ได้แต่จำยอมในเมื่อร่างกายกลับฟังเขามากกว่าสมองของตัวเอง

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%
kuramajoy
kuramajoy
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า

จำนวนข้อความ : 206
Points : 3781
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[os]อ๋องน้อย2[ผิงเสีย] Empty Re: [os]อ๋องน้อย2[ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by kuramajoy Thu 06 Nov 2014, 20:27

รุ่งสางที่ข้าโหยหาคือเสียงทะเลาะกันของอารอง อาสาม เสียงของท่านแม่ที่มาปลุกข้า เสียงของท่านพ่อเล่นหมากรุกกับท่านปู่ อดีตไม่อาจหวนกลับข้ารู้ดี แต่ข้าก็เฝ้าฝันมันอยู่ทุกเช้า เฝ้าฝันถึงสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้
เช้านี้ข้าถูกปลุกด้วยเสียงเสียดสีกับของชุดเกราะ ตาของข้ายังไม่ตื่นครั้นเอามือขยี้ตาจางฉี่หลิงก็ลูบศีรษะของข้า ข้ามองเขาเพียงชั่วเวลาไม่กี่ชั่วยามเขาเปลี่ยนเป็นชุดเกราะสีดำ มีตราของกิเลนท่าทางเตรียมพร้อมออกศึก
“ข้าศึกมาอีกแล้วหรือ” เมืองชายแดนแช่นข้า แม้จะขับไล่ไปได้ครั้งหนึ่งก็หาใช่ว่าจะตลอดไปไม่ ย่อมต้องถูกรุกรานอยู่ไม่ขาดสาย
“ไม่ใช่เมืองเจ้า แต่เป็นของชายแดนที่สาม ตรงบริเวณเป็นอาณาเขตที่ฮ่องเต้มอบให้” จางฉี่หลิงพูดไปแต่งตัวไป ข้ารีบไปหยิบดาบให้เขาแต่มันก็หนักจนแทบยกไม่ขึ้น เขาคลี่ยิ้มก่อนที่จะเป็นฝ่ายหยิบมันไปเสียเอง
อย่ามาหัวเราะใครใช้เจ้าใช้ดาบผิดมนุษย์ปกติกัน
“ข้าจะรีบกลับมา” สัมผัสอุ่นที่พวงแก้มพาให้รู้ตัวว่าโดยขโมยหอมแก้มไปเสียแล้ว ..ให้ตายเถอะ
ข้าลุกขึ้นจากเตียงรีบแต่งตัวเป็นชุดลำลองไปส่งเขาที่หน้าประตู กว่าจะมารู้ตัวว่าการกระทำเช่นนี้เหมือนกับภรรยาที่ส่งสามีไปทำงานก็สายไปเสียแล้ว ข้าหันไปมองคนที่หัวเราะ หึหึ พร้อมทั้งล้อเลียนข้า
นายแว่นไม่ได้ไปร่วมรบ แม่ทัพกิเลนทิ้งรองแม่ทัพเอาไว้ในเมืองพร้อมด้วยไพร่พลจำนวนหนึ่ง จางฉี่หลิงเกรงว่าตอนที่เขาไม่อยู่จะมีคนมารุกรานอาณาเขตของเขา เฮยเสียจื่อ ผู้เป้นรองแม่ทัพถนัดการรับด้วยวิธีการแปลกประหลาด พร้อมสวนกลับอย่างแยบยล ทิ้งเขาไว้ในเมืองเป็นการสมควร
จางฉี่หลิงไปแล้ว ข้ามองธงกิเลนดำโบกสะบัดจนสุดสายตา เจ้านั่นยังมีกะจิตกะใจหยอกเย้าข้าหนึ่งคืนก่อนเดินทางไปรบ ให้ตายเถอะ เจ้าไปเอาเรี่ยวแรงมหาศาลมาจากที่ใดกัน
“เป็นไงท่านอ๋อง ช่วงหลังแต่งงาน น้ำผึ้งเดือนห้าหรือไม่” รองแม่ทัพกิเลนหยอกเย้าข้า ถึงมีเขาอยู่แล้วอุ่นใจหากแต่ข้าคิดว่า การมีเขาอยู่ทำให้ข้าประสาทเสียไปครึ่งหนึ่ง
“เดือนสิบเลยละ”ข้าประชดเขาก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าไอ้นิสัยแปลกทั้งหลายของแม่ทัพเป็นเพราะเจ้านี่ “เจ้าเสี้ยมสอนอะไรกับเขา อย่าแกล้งเขาได้ไหม”
“เขาน่ารักจะตายท่านอ๋อง จางฉี่หลิงเป็นเหมือนคนไม่รู้จักความรัก ครั้งได้สัมผัสกลับไม่รู้ตัวว่าต้องทำเยี่ยงไร ท่าทางราวกับเด็กน้อยไม่รู้โลก เป้นท่าน ท่านจะแกล้งเขาไหม?” นายแว่นหัวเราะ หึ หึ อย่างร้ายกาจข้าทวทวนท่าทีของแม่ทัพผู้เก่งกาจในทุกด้านยกเว้นเรื่องการแสดงออกแล้วก็อดขำไมไ่ด้
“ก็น่าแกล้งเสียจริง”
แย่แล้วข้าดันเห็นดีเห็นงามกับรองแม่ทัพขี้แกล้งคนนี้ได้เยี่ยงไร...
“ฮ่าๆ ท่านอ๋องตอนเย็นเรามาดื่มกันเถอะ” ข้าแยกเขี้ยวใส่นายแว่น ข้าไม่ได้ว่างนะ ข้ายังต้องว่าราชการ นายแว่นหัวเราะ หึ หึ หันไปอีกคราก็หายตัวไปเสียแล้ว ให้เถอะ..แต่ละคน บทจะมาก็มาบทจะไปก็ไป
“ทำงานได้แล้ว ตั้งแต่แม่ทัพกิเลนมา เจ้าเอาแต่เที่ยวเล่น” เสี่ยวฮัวเดินเข้ามาในตำหนักข้าพร้อมัท้งประกาศคำขาด เขาลากข้าไปอย่างไม่สนใจเสียงโอดครวน ข้าไม่ได้เที่ยวเล่นนะแต่เจ้าจางฉี่หลิงลากข้าไปเที่ยวเล่นต่างหาก
เสนาของเมืองไม่สนใจคำแก้ตัวของข้าเขายกเอาเอกสารวางลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ ตรึงข้าให้อยู่แต่การประทับตราบนโต๊ะ ข้ารู้สึกว่าหากจางฉี่หลิงเป็นเจ้าเมืองเขาจะทำงานเช่นนี้ได้หรือไม่ ทว่าข้าเองก็ไม่อาจไปออกรบได้ดุจเดียวกับเขา
“เจ้านะมันซื่อบื้อเกินไป อู๋เสีย”
นั่งทำงานอยู่ก็โดนเพื่อนสมัยเด็กด่าให้ว่าซื่อบื้อ ความรู้สึกเหมือนอยู่ๆโดนสาวตบหน้า ..
“เจ้าเป็นอะไรกัน เสี่ยวฮัวช่วงนี้เจ้าหงุดหงิดง่ายเหลือเกิน หรือว่าเจ้ากำลังตั้งครรภ์ข้าต้องไปซื้อยาบำรุงมาให้เจ้าหรือไม่” พอข้าพูดจบเอกสารอีกหลายกองก็กระแทกบนโต๊ะของข้า ข้าแอบร้องไห้ในใจก้มหน้าก้มตาทำไม่พูดกระไรอีกเลย
“เจ้าสิท้อง ข้าละสงสัยเหลือเกินว่ากิเลนกรำศึกเสียขนาดนั้นเจ้ายังจะเหลืออะไรอีก”
“เสี่ยวฮัว ..เจ้าพูดอะไรกัน” ข้ารีบโวยวายกลบเกลื่อน เดี๋ยวเฮ่ย เสี่ยวฮัวรู้ได้ยังไง
“ข้าไม่คิดว่าจางฉี่หลิงจะเป้นผุ้ชายใจดีขั้นไม่ยอมทำอะไรคู่ภรรยาตนเอง ดูเขาออกจะเชี่ยวชาญ”ข้าทุบโต๊ะขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
“ข้ายังไม่แต่ง” ข้าเถียงเสี่ยวฮัวสุดขาดใจ ทว่าคนงามของข้ากลับหยักไหล่ทำเหมือนคำพูดของข้าเป็นราวกับสายลมที่ไหลผ่านไป
“เจ้าเองก็ทำผิดประเพนี ได้เสียกันก่อนแต่งงานเสียอีก”
จุก...จุก เสี่ยวฮัวออกจะงดงามใครสั่งใครสอนให้ปากคอเราะร้ายถึงเพียงนี้
“อู๋เสียเจ้ามันใจอ่อนเกินไปแล้ว ต่อไปภายภาคหน้าต้องลำบากแน่” เสนาธิการของข้าทำหน้างอง้ำ แม้กระทั่งหน้าตาแบบนั้นก็ยังคงดูดีเหลือเกิน ข้าละอิจฉาใบหน้าของเขาเสียจริง
จางฉี่หลิงก็ดี นายแว่นก็ดี หรืจะเสี่ยวฮัวต่างล้วนแต่งดงาม ข้าหันไปกอดนายอ้วนแล้วร่ำไห้ให้กับหน้าตาสามัญชนได้ไหม
“ไม่เป้นไร” ข้าปลอบเขาแต่เสี่ยวฮัวกลับเดินมาหาข้า กดบ่าทั้งสองของข้าลงกับเก้าอี้ นัยน์ตาเรียวสวยของเขาจ้องมองข้า ทำไมกันนะมันไม่ใช่สายตาของเสี่ยวฮัวที่ข้ารู้จักสักนิด
“เสี่ยวฮัว” ข้าคราง มือของเขาบีบแขนข้าจนเจ็บ เพิ่งรู้ว่าเสี่ยวฮัวมีแรงเยอะถึงเพียงนี้ ร่างกายของเขาคร่อมทาบทับข้า ไม่มีแม้แต่ที่ให้หลบหนี
“อู๋เสียเจ้าควรจะเลิกเอาแต่อ่านหนังสือ ไปออกกำลังกายบ้าง ดูสิขนาดแรงของข้าเจ้ายังขัดขืนไม่ได้” เสี่ยวฮัวปล่อยมือของข้า ครั้นลองยกขึ้นดูก็ตกใจเมื่อเห็นยังรอยนิ้วมือแดงก่ำทอดทิ้งไว้
“เจ้าดูโมโห ข้าไปทำอะไรหรือ” เสี่ยวฮัวเป็นดอกไม้งามที่ไม่เคยทำร้ายข้า วันนี้เขาแปลกไปมาก
“เมื่อวานเจ้าไปเที่ยวเล่นกับแม่ทัพจางมาใช่หรือไม่” เสี่ยวฮัวถือเอกสารกองหนึ่ง ครั้นข้าพยักหน้าเอกสารกองโตก็วางลงบนโต๊ะเสียงสนั่น ทำเอาพู่กันของข้ากระดอนขึ้น..
“ข้าแค่ ..ไปชมทะเลสาป แล้วก็กินขนมเล็กน้อย หลังจากนั้นก็กลับวัง” พอข้าพูดจบเอกสารอีกกองก็กระแทกลงโต๊ะของข้า เสี่ยวฮัวหันมายิ้มหวานหยาดเยิ้มให้ข้า ข้ากลับรู้สึกว่ามันแฝงไปด้วยรังสีน่ากลัว
“พวกเจ้าอยู่ห้องเดียวใช่หรือไม่ แล้วเตียงละข้าจำได้ว่าห้องของเจ้ามีเตียงเดียว” เสี่ยวฮัวถือกองเอกสารมาอีกหนึ่งกอง ข้าปาดเหงื่อรู้สึกหัวสมองมึนงงไปเสียหมด ลำคอแห้งผากไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
“นอนด้วยกัน...”
ตึง! เอกสารอีกกองใหญ่วางลงบนโต๊ะของข้า เต็มแน่นสูงเสียจนข้าต้องชะเง้อมอง...โต๊ะของข้าสั่นสะท้านกับน้ำหนักของเหล่าเอกสารที่ตั้งตระหง่าน ข้าเงยหน้าขึ้นมองเสนาคนสวย เสี่ยวฮัวขยิบตาข้าให้ราวกับหญิงงามเมือง ท่าวงท่าน่ารักยิ่ง
“อู๋เสีย สู้ๆนะ วันนี้ข้าเบื่องานเสนาธิการแล้ว ไม่ช่วยเจ้าทำงาน กองเอกสารนั้นเจ้าทำเองเถอะ แล้วข้าจะกลับมาตอนเย็น ขอให้มันเสร็จด้วยแล้วกัน” คนงามของข้าพูดจบก็ปิดประตูออกไป...ข้ามองกองเอกสารด้วยน้ำตานองหน้า ปกติเสี่ยวฮัวจะช่วยข้าสะสางกองงาน ในยามที่ไร้เขานั้นมันหนักหนาถึงเพียงนี้หรือ
เสี่ยวฮัวจ๋า โกรธอะไรข้า งอนอันใด ให้ข้าเขียนบทกวีง้องอนเจ้าไหม
ข้ารู้สึกเหมือนถูกเมียหลวงเกลียดขี้หน้า ความรู้สึกอับจนหนทางไม่รู้จะไประบายกับผุ้ใด ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเขียนรายงาน จวบจนกระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะ มันเป็นเสียงที่ข้าคุ้นมา ข้าจึงเดินไปเปิดหน้าต่าง
“อย่ามาหัวเราะข้านะ” ข้าเปิดหน้าต่างมองยังนายแว่นที่นั่งอยู่บนกิ่งไม้ เรือนร่างสมส่วนของเขาห้อยอยู่บนต้นท้อใหญ่ราวกับลิงค่างก็มิปาน
“หึ หึ หึ ท่านอ๋องช่างน่ารักเสียจริง ท่านไม่เข้าใจหัวอกของเสี่ยวฮัวคนงามแม้แต่น้อย “ นายแว่นคลี่ยิ้ม ก่อนที่จะกระโดดจากกิ่งไม้เข้ามาในห้องผม ท่วงท่าราวกับสัตว์พาให้ผมอดทึ่งในความยืดหยุ่นร่างกายเขาไมไ่ด้
“ข้าไม่เข้าใจอะไร” พอพูดออกไปนายแว่นก็แลบลิ้นให้ข้า
“บางทีคนที่ร้ายกาจที่สุดคงเป็นท่าน...ท่านอ๋องน้อยผู้ไม่รู้อะไรเลย” นายแว่นเดินลงมาพิงผนังห้องข้างกายผม
“ร้ายกาจ? ฉันยังร้ายไม่เท่าพวกนาย ไม่มีเรี่ยวแรงจะไปกรำศึกกับใคร” ข้าเดินกลับไปยังโต๊ะเขียนหนังสือ ฝนหมึกก่อนที่จะตรวจเอกสารทีละแผ่น
“ข้าไมไ่ด้หมายความเช่นนั้น” นายแว่นเดินมาข้างหลัง ก่อนที่จะยื่นมือปัดเอกสารออกจากหน้าข้า “งานแบบนี้น่าเบื่อจะตายไปเที่ยวเล่นกับข้าเถอะ”
ข้ายังไม่ทันจะได้ปฏิเสธนายแว่นก็รั้งข้าขึ้นบ่า กระโดดออกทางหน้าต่าง ข้ากรีดร้อง น้ำตาไหลเป็นสาย นึกว่าตัวเองจะตายจากการตกจากที่สูง โชคยังดีที่มือข้างหนึ่งของนายแว่นคว้ากิ่งไม้ กระโดดลงพื้นอย่างสวยงามทั้งที่มีภาระอยู่บนบ่า
ครั้งเท้าได้แตะพื้นตัวของข้าก็อ่อนยวบ นึกอยากออกกำลังกายตามที่เสี่ยวฮัวบอกเสียจริง ต่อไปนี้ข้าจะเลิกอ่านหนังสือหันมาเพาะกล้ามอย่างจริงจัง...
“เจ้า!” ข้าอ้าปากได้แค่ครึ่งหนึ่งิน้วเรียวยาวของนายแว่นก็เข้ามาทาบทับ เขาขยิบตาก่อนที่จะดึงตัวของข้าไปทางหน้าจวน ข้าฝืนตัวเอาไว้แต่ก็สู้แรงไม่ได้ เดินไปหกล้มไปจนนายแว่นรำคาญเลยอุ้มข้าอีกครั้ง
“เจ้าคิดจะทำอะไร อย่ามารบกวนเวลาข้าทำงาน” ข้าโวยวายแต่เขากลับหัวเราะ ก่อนที่จะวางข้าลง
“ท่านอ๋องเดี๋ยวตอนเย็นเสี่ยวฮัวคนงามก็มาจัดงานให้เอง ถึงเขาจะงอนเท่าไรก็รักท่าน ไม่ปล่อยให้ท่านทำงานจนคอพับคนเดียว แต่ข้าสิเหงาเศร้าเปล่าเปลี่ยวเหลือเกิน ท่านแม่ทัพสั่งให้ข้าอยู่คุ้มกันข้าเบื่อจะตายอยู่แล้วท่านในฐานะเจ้าเมืองช่วยพาผู้น้อยคนนี้เที่ยวมั่งได้หรือไม่ หรือว่าต้องเป็นแม่ทัพจางเท่านั้นถึงจะยอมพาเที่ยว”
เห็นคำพูดราวกับน้อยเนื้อต่ำใจของเขา ข้าก็ตบหน้าผากตัวเอง ถึงอย่างไรเขาก็เป้นรองแม่ทัพผู้นำพาชัยชนะมาให้เมืองของข้า หากไม่มีเขาผู้ถนัดการรับบางทีกองทัพของจางฉี่หลิงอาจจะเพี้ยงพล้ำก็ได้ ผมดึงแขนเขาก่อนที่จะมุ่งหน้าไปตลาด
ข้าพาเขาไปยังร้านขนมที่เลื่องชื่อ นายแว่นมีไหวพริบในการใช้ชีวิตมากกว่าจางฉี่หลิงถึงสิบเท่า เขาดูกับคนปกติ ไม่ต้องให้ข้าสอนอะไรทั้งสิ้น เสียก็แค่นิสัยชอบหยอกเย้า เข้าร้านนี้ก็สามารถหลอกล่อเอาขนมฟรีติดมือมาได้ ข้าทึ่งกับสกิลเอาตัวรอดของเขาเสียจริง
สุดท้ายพวกเราก็กลับมายังใต้ต้นดอกท้อ นั่งกินของฟรีที่ได้จากฝีปากของนายแว่น
“นายนี่มีพรสวรรค์นะ” ครั้นเอ่ยปากชมไปนายแว่นก็หัวเราะ
“ก็ข้าเป็นทาสที่ถูกฝึกให้เป็นนักฆ่า อะไรที่ทำแล้วสามารถเอาตัวรอดก็ต้องทำ” นายแว่นพูดราวกับกำลังพูดเรื่องของคนอื่นอยู่ ไม่มีความเสียใจหรืออารมณ์ในน้ำเสียงนั้นแม้แต่น้อย กลับเป็นข้าเสียอีกที่เพิ่งจะกัดขนมไปได้ครึ่งคำกลับรู้สึกว่ากินไม่ลงแล้ว
“ชีวิตของข้าก็ไม่แย่ขนาดท่านคิด โชคดีที่จางฉี่หลิงฆ่าเจ้านายของข้า ข้าเลยได้เป็นอิสระ น่าสนุกดีใช่ไหมละ”
ข้าเพิ่งเคยได้ฟังอดีตของพวกเขา รู้สึกสนใจจึงเขย่าแขนเสื้อนายแว่น นายแว่นเห็นมีคนตั้งใจฟังนิทานก็หัวเราะร่วน
“ท่านอ๋องน้อยพวกเราทุกคนไม่เคยมีชีวิตที่ดีงาม พวกเรารู้จักความดหดร้ายของชีวิต ด้านมืดของมนุษย์ พวกเราไม่มีบ้านให้กลับ ไม่มีสิ่งใดมาตั้งแต่แรก ท่านอย่าคาดหวังอะไรกับพวกข้าเลย อีกทั้งหากมองกลับกัน ที่แม่ทัพยึดติดท่านนักเพราะเขามีเพียงแค่ท่านเท่านั้น” พูดจบนายแว่นก็คลายมือให้เห็นไข่มุกที่สลักชื่อของอู๋เสีย ข้ารีบล้วงกระเป๋าของตัวเองพบว่ามันไม่อยู่ที่ควรอยู่ เจ้าแว่นร้ายกาจเหลือเกิน ใช้เวลาที่ข้าไม่รู้ตัวฉกฉวยเอาของมีค่าไปได้
“เจ้าเป็นหัวขโมยแทนนักฆ่าหรือเปล่า” ข้ากัดฟันหยิบเอาไข่มุกคืนมา สิ่งนี้จางฉี่หลิงฝากมันไว้ที่ข้า ข้าต้องเก็บรักษาไว้ให้ดีเพื่อรอคอยเขา
“ก็แค่สองอาชีพนี้ใช้ความเร็วเหมือนกัน” นายแว่นดึงผมให้เข้าไปใกล้ “ท่านอ๋องเติบโตมาด้วยความรักถูกผู้คนรักมิอาจเข้าใจหัวใจของคนที่ไม่เคยรัก คนที่ไม่เคยรู้จักกับคำว่ารัก ครั้นรู้สึกมันก็ทำอะไรไม่ถูก ท่านอ๋องอย่าใจร้ายกับเขานักเลย “
“ข้ากำลังคิดว่าจางฉี่หลิงช่างมีบุญยิ่งนักที่มีเจ้ารองแม่ทัพ” ถึงแม้ว่านายแว่นจะขี้แกล้งไปหน่อย แต่เขาก็เอ็นดูแม่ทัพตัวเองไม่น้อย หากไม่เป้นห่วงคงไม่พูดเช่นนี้กับข้า
ข้ามองไข่มุกในมือด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป้นจังหวะ หลับตานึกถึงใบหน้าของเจ้าคนหน้าตาย ผุ้เอาแต่ใจ ...เขาไม่รู้จักวิธีรัก ถึงได้พยายามดึงดันครอบครอง
บ้าเสียจริง...
“ท่านอ๋องน้อยใจดีจัง หึหึ แต่การใจดีนั้นอาจทำให้ตัวเองเดือดร้อนนะ ท่านรู้ไหม มันมีพวกสันดานเสียทำตัวเหมือนงูพิษ ไม่ว่าจะทำดีด้วยแค่ไหนก้แว้งกัดได้” นายแว่นก็ยกไหเหล้าขึ้นมาดื่ม มันเป็นกระบอกที่ติดตัวเขามาแต่แรก ผมส่ายหน้านี่ดื่มแต่วันเลยหรือ
“ท่านปู่ของข้าเคยพูดไว้ว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือใจของมนุษย์” นายแว่นหัวเราะเมื่อได้ยิน เข้าขยับมาใกล้ข้า ได้ยินเสียงลมหายใจของเขา กลิ่นกายเจือจางที่แฝงไปด้วยเลือด
“ท่านน่าเชื่อท่านปุ่ของท่านนะ” พูดจบเขาก็กระชากข้อมือข้า ไข่มุกร่วงหล่นบนพื้น ข้าเสียหลักเกือบจะล้มโชคยังดีที่ได้แขนแกร่งของนายแว่นกระคอง เขาเชยใบหน้าของข้าขึ้นก่อนที่จะจูบ ลิ้นสากดันของเหลวเย็นมันมีรสแปลกราวกับน้ำหวาน ข้าดิ้นรนขัดขืนแต่นิ้วมือทั้งห้าของเขาบีบที่ลำคอของข้า อึดอัดจนต้องเผลออ้าปากเพื่อรับอากาศ ทว่านั่นกลับทำให้เขาป้อนน้ำหวานลงคอข้าจนหมด
ข้าพลักเขาออกไปในเสี้ยววินาทีที่เขาเผลอเรอ พลางใช้ชายแขนเสื้อเช็กริมฝีปาก รุ้สึกร้อนในร่างกายก่อนที่จะอ่อนแรง ...กว่าจะรู้ตัวร่างก็ดำดิ่งลงสู่พื้น ได้ยินเสียงหัวเราะของนายแว่นเจือจางมาในความฝัน
“ท่านอ๋อง ข้าบอกแล้วไง ว่าวันนี้จะพาไปเที่ยว ไปเที่ยวที่วังหลวงกับข้าสักทีไหม”
ข้าอยากจะถีบเขาแล้ววิ่งหนีหากแต่ตอนนี้ร่างกายของข้าพลันขยับไม่ได้ นัยน์ตาอ่อนแรงจนต้องปิด รู้สึกง่วงเหลือเกิน ...อา ..ถ้าเสี่ยวฮัวไม่เจอข้าจะเป็นเช่นไรกันนะ เขาจะออกตามหาข้าไหม..แล้วก็ จางฉี่หลิง ขอโทษนะ ดูเหมือนว่าฉันจะทำไข่มุกของรักของเจ้าตกหล่นไปไหนแล้วไม่รู้
%%%%%%%%%%%%%%%%%%
“อู๋เสียรู้ไหมว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคืออะไร” ท่านปู่ที่แสนรักยิ่งเอ่ยถามข้าในวัยเด็ก ตัวข้าในตอนนั้นได้แต่เอียงคอ ไม่เข้าใจแม้สักนิด
“ผีหรือเปล่าครับ” เด็กชายตัวน้อยตัวสั่นเมื่อคิดถึงสิ่งน่ากลัว ชายชราหัวเราะพร้อมทั้งโอบกอดหลานตัวน้อย
“นั่นก็น่ากลัวแต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือใจของมนุษย์ จิตใจของคนเรานั้นแปรผันได้ง่ายยิ่งกว่าสายลม คนที่เจ้าคิดว่าเจ้าได้มองอย่างดีแล้ว พอหันไปมองอีกครากลับพบว่าเจ้าไม่รู้จักเขาเอาเสียเลย “ ท่านปุ่ถอนหายใจ ยิ้มอย่างขมขื่น ท่าทีอันเศร้าสร้อยของเขาพาให้ข้ากอดเขาเอาไว้แน่น
“อู๋เสียจำไว้นะ หากจะคิดจะมองใครสักคนจองมองดวงตาของเขา ใบหน้าของคนโกหกได้หากแต่ดวงตาของมนุษย์ไม่เคยโกหก” คำพูดของท่าปู่สลักลงในใจของข้าแต่ข้าไม่เคยคิดจะใช้มันเลยแม้สักครั้ง... ความทรงจำที่แสนหวาน อดีตที่รักยิ่งนำพามาพร้อมกับความเจ็บปวดกับความจริงว่าข้าได้สูญเสียมันไปแล้ว
อาจจะเพราะข้ามิอาจนำอดีตกลับมาได้ จิตใจของข้าจึงพยายามลืมเลือนมันทั้งที่สิ่งนี้คือความทรงจำอันมีค่า
อา...ข้าขยับตัวท่ามกลางฝันที่พาให้น้ำตาไหล รู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก ครั้นลืมตาก็พบกับความมืดมิด ข้ายกแขนขึ้นพบว่ามันติดกับเพดานด้านบน พอพลิกไปด้านซ้ายก็ติดกับผนังอีกข้าง ราวกับว่าข้ากำลังอยู่ในกล่อง
อาไม่สิ ...ข้าเคาะเพดาน มันส่งเสียทึบราวกับไม้ ..ข้าเคยจับมันมากกว่าหนึ่งครั้งจึงทำให้จำได้ดี นี่คือโลงศพ โลงที่ใช้บรรจุคนตาย
ความหวาดกลัวจู่โจมเข้าสู่หัวใจ ข้าสูดหายใจแตะยังหน้าอกของตัวเอง ข้ายังหายใจอยู่ หัวใจก็เต้นแรง ข้ายังไม่ตายแล้วไฉนถึงได้มาอยู่ในโลงศพ
ข้ากำลังตามทุกคนไปงั้นหรือ อีกไม่กี่ชั่วโมงข้าจะถูกฝังลงดินทั้งเป็นหรือไม่ ถึงแม้ตอนนี้ข้ายังไม่ตายทว่าการถูกฝังทั้งเป็นข้าก็ต้องทรมานจนตาย หรืออาจจะกลายเป็นบ้าไปเสียก่อน
ข้าดันฝาโลงด้วยแรงัท้งหมดที่มี รู้สึกมันหนักราวกับหิน เล็บของข้าจิกไปยังพื้นไม้ เสี้ยนตำเข้าเล็บด้านในรู้สึกเจ็บ ข้าดิ้นรนอยู่ราวหลายชั่วยาม ในความมืดมิดพาให้ข้าหวาดกลัว สิ่งที่นึกถึงสิ่งแรกหาใช่เสี่ยวฮัว บ้านเมืองหรือครอบครัว แต่กลับเป็นใบหน้าหน้ามึนของเจ้านั่น
จางฉี่หลิง...
ทำไมข้าถึงคิดถึงเขากัน ข้ากัดริมฝีปากเงื้อเท้าถีบไปที่ฝาโลงมันไม่ขยับเขยื้อในใจพลันร้อนรนข้ายังไม่ตายใครเอาข้ามาใส่ในโลงศพ หากข้าถูกฝังทั้งเป็นคงไม่ได้เจอใบหน้าสมบุรณ์แบบนั้นอีกแล้ว ข้าพลันนึกถึงอ้อมกอดแสนอบอุ่น กลิ่นสมุนไพรเจือจาง และคำกระซิบที่พาให้อับอาย ....
ทั้งหมดนั่นข้าจะไม่อาจได้รับรู้มันอีกแล้วหรือ..
ข้าดันฝาโลงจยเจ็บไปหมดในที่สุดความพยายามของข้าก็สำเร็จข้าได้ยินเสียงแกร่ก..ราวกับฝาโลงขยับเขยื้อน ฝาโลงค่อยๆเคลื่อนตัวข้าเป็นนิ้วทั้งห้าอยู่ตามขอบของฝาบอกให้รู้ว่ามีคนช่วยข้าเลื่อนออกไป แสงสว่างที่สาดเข้ามาทำให้ตาของข้าพร่ามัวไปชั่วขณะ ข้ารอจนปรับแสงได้แล้วสิ่งแรกที่พานพบคือ แว่น...ใช่ แว่นสีดำของนายแว่น ใบหน้าได้รูปนั้นโผล่ออกมาจากฝาโลง
“อรุณสวัสดิ์ท่านอ๋อง” น้ำเสียงขี้เล่นพาให้ข้านรู้สึกอยากด่าเขา ความทรงจำก่อนที่สลบแล่นเข้าสู่หัวของข้า เขาวางยาข้าก่อนที่จะเอามาไว้ในโลง ข้าอ้าปากหมายจะต่อว่าสักยกกลับพบว่าตัวเองไม่สามารถเปล่งเสียงได้ แม้แต่ร่างกายก็อ่อนแรง เมื่อครู่ด้วยอารมณ์ตกใจคิดว่าจะถูกฝังทั้งเป็นข้าเลยใช้แรงทั้งหมดในการขยับฝาโลง
“ใจเย็นๆท่านอ๋อง “เขาช้อนร่างกายของข้าออกมาจากโลงศะ ข้าหันไปมองมันเป็นโลงไม้ธรรมดา ด้านหน้าติดป้ายไว้เป็นชื่อของคนอื่น นายแว่นประคองข้าวางลงบนเตียงนุ่ม ข้ามองไปรอบห้องมันดูหรูหรากว่าวังของข้าเสียอีก
“เอ๊าน้ำ ใจเย็นนะ ท่านหลับไปถึงสามวันย่อมไม่มีแรง” เขาจรดแก้วน้ำบนริมฝีปาก ราวกับโหยหาข้าดิ่มมัน นายแว่นไม่ยอมให้ข้ารีบดื่มนักเกรงว่าปอดของข้าจะรับไม่ได้ ข้าดื่มไปหลายอึก จนรู้สึกได้ถึงการมีชีวิตก็ถามเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“ที่นี่ที่ไหน”
มันไม่ใช่บ้านของข้าเป็นแน่...ทำไมถึงต้องเอาข้าไว้ในโลงศพ
“ขอโทษทีท่านอ๋อง แต่ท่านออกจะหน้าตาดีเป็นถึงอ๋องน้อยการขนท่านที่ง่ายที่สุดคือใส่ไว้ในโลงศพ มนุษย์เราก็แปลกนะหากเป็นของน่ารังเกียดก็ไม่มีใครกล้ามอง ข้าถึงนำท่านมาที่นี่ผ่านด่านได้อย่างสบาย” นายแว่นพยุงร่างกายของข้าขึ้น “เดี๋ยวสักพักจะมีคนนำอาหารมาให้ ตอนนี้เกรงว่าท่านจะกินได้แต่ของอ่อน”
ข้ามีเรื่องอยากถามเขาอยู่มากมายแต่ความเหนื่อยอ่อนจู่โจม ข้าเกิดในตระกูลมีอันจะกินไม่เคยต้องอดอยากแม้สักมื้อ นายแว่นสอนให้ข้ารู้ว่ายามที่คนเราไม่มีตกถึงท้องสี่วันมันอ่อนล้าและปวดท้องมากแค่ใด
มิน่าท่านปู่เคยบอกเสมอว่าห้ามให้เหล่าประชาขนอดอยาก อย่างน้อยต้องให้เขาได้ทานข้าวเปล่าแม้สักมื้อต่อหนึ่งวัน
“เจ้า...จะทำอะไร” ข้ากัดฟันรีดเร้นแรงออกมา นายแว่นหัวเราะก่อนที่จะแลบลิ้นใส่
“ขายท่านให้ฮ่องเต้ไง รู้ไหมแม้ทัพจางฉี่หลิงยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อเดินทางไปยังเมืองชายแดนที่สี่ มันเป็นการไปแล้วไม่มีวันกลับ หากท่านเป็นฮ่องเต้ย่อมต้องอยากรั้งแม่ทัพผู้เก่งกาจ แต่เขาคนนั้นกลับไม่สนใจอะไรเลยอยากกลับไปหาท่านอย่างเดียวท่านจะทำอย่างไรละ”
kuramajoy
kuramajoy
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า

จำนวนข้อความ : 206
Points : 3781
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[os]อ๋องน้อย2[ผิงเสีย] Empty Re: [os]อ๋องน้อย2[ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by kuramajoy Thu 06 Nov 2014, 20:27

ข้าสะอึกรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง มือกำแน่น จับจ้องไปที่นายแว่น...นี่ข้าคือตัวประกันงั้นหรือ กลายเป็นภาระให้จางฉี่หลิงต้องแบกไว้บนบ่าไว้ตั้งแต่เมื่อใด
“ถ้าให้ข้าเตือนท่านควรทำตัวให้น่ารักเอาไว้ พอท่านนิ่งเงียบก็น่ารักเหมือนกระต่ายอยู่หรอก เชื่อว่าฮ่องเต้ต้องยอมเลี้ยงดูท่านอย่างดีแน่”
เสียงปิดประตูพร้อมกับคำพูดสุดท้ายของเขาทิ้งให้ข้านั่งพิงหัวเตียงด้วยความรู้สึกหดหู่...ลองขยับขาลุกขึ้นก็ต้องล้มคว่ำไปหน้าเตียงเหมือนเดิม ข้าคลานอยู่กับฟูกนุ่ม รู้สึกได้ว่ามันดีกว่าฟูกเตียงของข้าที่เมืองหน้าด่านมากนัก
นายแว่น ข้าว่าไม่ใช่แค่ยานอนกลับแล้วกระมั้ง..
“ข้าว่าเจ้าไม่ควรทำอะไรหักโหมนะ”เสียงทุ้มดังขึ้น ข้าชะงักเมื่อเห็นเรือนร่างอ้วนท้วนคุ้นเคย นายอ้วนเดินเข้ามาเขาถือจานใบหนึ่งครั้นได้กลิ่นท้องของข้าก็ร้องประท้วง เขาก็นั่งลงบนเตียงประคองข้าให้ลุกขึ้นมาอีกครั้ง มือใหญ่ตักข้าวต้มยื่นมาให้ข้า
ข้าอ้าปากสิ้นไร้เรี่ยวแรง จวบจนเกือบหมดถ้วยข้าถึงระงับเสียงท้องร้องและอาการอ่อนเพลียได้ รู้สึกเหมือนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง นายอ้วนดึงมือของข้าไปทำแผลให้ เล็บของข้าฉีดจนหมด ข้ามองเขาอยู่ครู่หนึ่ง
“ฮ่องเต้สั่งเจ้ามาด้วยหรือ” เขาเงยหน้าขึ้นมองข้า ทำสีหน้าเหมือนลำบากใจ
“ใช่ ขอโทษ”
ท่านปู่บอกว่าดวงตาของคนไม่มีทางโกหก ข้ามองนัยน์ตาของนายอ้วน ... ก่อนที่จะนึกถึงอ้อมกอดอบอุ่นในวันนั้น ข้าถอนหายใจออกมาไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่อาจเป้นได้อย่างที่นายแว่นหรือเสี่ยวฮัวบอก
“ไยเจ้าต้องขอโทษ ช่างมันเถอะ” ข้าลุกขึ้นเหมือนเรี่ยวแรงเริ่มกลับมาแล้ว นายอ้วนพาข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเครื่องแบบใหม่ หวีผมก่อนที่จะสวมหมวก ระยะเวลาไม่นานแต่ก็รีดเร้นพลังงานข้าไปจนหมด สมองยังมึนงงกับตัวยาของนายแว่น
“ข้าต้องขอบอกว่าเจ้าไม่สามารถออกไปจากห้องนี้ได้” ข้าเหลือบมองนายอ้วนครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้า
“ข้ายังไม่ออกจนกว่าจะได้เข้าเฝ้าอยู่แล้ว”
เขาคือโอรสสวรรค์ เจ้าชีวิตผู้มีอำนาจลิขิต ทุกสิ่งบนผืนแผ่นดิน การที่ข้าต้องการรั้งตัวจางฉี่หลิงข้าไม่ข้องใจ แค่ข้องใจถึงการกระทำของท่าน
“ข้าอยากพบนายแว่นอีกด้วย”
“หือ ท่านอ๋องท่านจะบ้าไปแล้วหรือ โดนหักหลังยังไม่เพียงพอหรือ” นายอ้วนจัดหมวกของข้าให้เข้าที่ก่อนที่จะหัวราะ
“ใช่ ยังไม่พอ ข้าอยากรู้ความจริง”
หากได้มองตากันสักครั้ง..
“งั้นก็ดีท่านอ๋องน้อย ท่านเล่นน้ำเต้าปูปลาเป็นไหม”
ได้ยินนายอ้วนสรรหาของมาเล่นกับข้าแล้วก็แทบล้มทั้งยืน ข้าด่าเขาไปสองสามทีแต่สุดท้ายเราก็เล่นด้วยกันทุกอย่างตั้งแต่หมากรุก ยันเกมของทางตะวันออก จวบจนผ่านไปสองสามวันร่างกายของข้าเริ่มดีขึ้นมาก กาลเวลาที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้าทำเอาข้าเป็นห่วง
ห่วงยังกองงานบนโต๊ะของข้า ข้าออกมาโดยไม่ทันบอกเสี่ยวฮัวจะช่วยจัดการให้ข้าไหม เขาต้องบ่นหูชาเป็นแน่ คิดถึงใบหน้างามๆแล้วข้าก็รู้สึกปวดกระเพาะ
ห่วงยังบ้านเมืองอันแสนสงบสุข ไม่มีข้าเสี่ยวฮัวคงยึกครองอำนาจได้เต็มภาคภูมิข้าละหลัวเขาจัดตั้งโรงงิ้วไว้จนเต็ม และที่สำคัญที่สุด เจ้าคนหน้ามึนจางฉี่หลิงไปรบกลับมาแล้วหรือยัง อาหวังว่าช่วงนี้คงยังไม่มีศัตรูมารุกรานนะ
ยิ่งคิดข้าก็ยิ่งปวดกระเพาะ ทำเอาล้มป่วยจนสับสนตัวเอง ข้าไม่ใช่คนร่างกายขี้โรคแต่เมื่อมาอยู่เมืองหลวงกลับเอาแต่ล้มป่วย พอเล่าให้นายอ้วนฟังเขาก็หัวเราะแห้งๆบอกว่า เพราะใจของข้าคิดมากไปนั่นเอง
ใช่ การป่วยของข้าเริ่มที่ใจ ใครใช้ให้บ้านของข้าน่าอยู่ที่สุดกันเล่า
ในวันที่เจ็ดนายอ้วนก็หน้าตาตื่นบอกข้าว่าฮ่องเต้จะเสด็จมาหา ข้ารีบจัดการตัวเอง คนที่ข้ารอคอยมาตลอดจะมาแล้ว ให้ตายความรู้สึกข้าราวกับสนมในตำหนักเย็นที่ถูกฮ่องเต้ทอดทิ้งก็มิปาน พอครั้นเขาจะมากลับหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
การพบพานครั้งนี้คือจุดกำหนดชะตาชีวิตของข้า..ข้าอยากกลับบ้าน..
“ฮ่องเต้เสด้จ”
ได้ยินเสียงข้าก็รีบคุกเข่าลงกับพื้น หลายวันมานี้ร่างกายข้าดีขึ้นมามาก ข้ารอจนกระทั่งได้ยินเสียงอนุญาติจึงลุกขึ้น เงยหน้าขึ้นมองยังโอรสสวรรค์
ฝ่าบาทที่ข้าเห็นนั้นช่างแตกต่างกับภาพวาด เขาชราภาพอายุอานามขนาดวัยปู่ของข้า ดวงหน้าได้องศา ท่วาร่องรอยเหี่ยวย่นพาให้เขาดูไม่ต่างกับสามัญชน ข้ารู้สึกขึ้นมาในใจว่าจางฉี่หลิงยังหล่อกว่าสิบเท่า
“นี่หรือของที่เจ้านั่นอยากได้จนถึงยอมขัดข้า” น้ำเสียงขององค์ฮ่องเต้มีพลัง ท่านมองข้าครู่หนึ่งก่อนที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ ข้าคุกเข่าอยู่ที่พื้นคลานเข้าไปหา “เจ้าอยากกลับบ้านไหม”
คำตอบคืออยาก..แต่หากข้ารีบตอบไปเกรงว่าผลลัพธุ์จะตรงกันข้ามหรือไม่ สุดท้ายข้าก็เลือกที่จะไม่โกหกท่าน
“อยากขอรับ ได้โปรดเมตตาข้าด้วยเถอะ” ข้าจรดศีรษะกับพื้น ฮ่องเต้มองข้าชั่ววินาทีก่อนที่จะลุกยืนขึ้นรับสั่งสิ่งที่ทำให้ข้าอ้าปากค้าง
“ดูท่าทางสัตว์เลี้ยงตัวนี้เป้นคนรั้น ต้องหนีออกจากกรงอย่างแน่นอน เจ้าก็หากรงสุนัขให้สักอัน จับมันเข้าไปขังไว้แล้วเลี้ยงดูอย่าให้ตาย”
หา... ตัวของข้าแข็งทื่อไปหมด มือใหญ่ของฮ่องเต้เชยหน้าของข้าขึ้น
“ดวงตาของเจ้าเป็นคนดื้อรั้น แถมยังไม่ยอมอะไรง่ายๆ ข้าคิดว่าห้องแค่นี้ไม่พอให้เจ้าแน่” นายทหารสามคนตรงเข้ามาจับตัวของข้า ข้าดิ้นสุดแรง ก่อนที่จะเห็นนายแว่นคลี่ยิ้มพร้อมโบกมือให้ ข้าเหมือนจะได้ยินเขาทำปากว่า
‘ขอโทษนะองค์หญิง’
องค์หญิงบ้านะสิ ข้าเป็นอ๋อง!
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
ข้ารู้สึกตัวอีกครั้งด้วยร่างกายที่เจ็บปวด มือเอื้อมไปแตะลงที่ท้ายทอยที่บวมช้ำ เจ้าพวกนั้นจะทุบแบบไม่ถนอมร่างกายข้าสักนิด รอบกายมืดมิดไปพวกเขาจะปิดห้องขังข้าเอาไว้ แม้แต่หน้าต่างสักบานก็ไม่เปิด
ข้าขยับตัวครั้นพอจะยืนหัวก็โขกกับเพดาน ข้าเอื้อมมือไปแตะมันเพดานต่ำพอให้ข้าอยู่ในท่าคลานและนั่ง เบื้อหน้าคือลูกกรงซี่เล็ก พื้นที่จำกัดพาให้ข้าขยับตัวไม่ได้
รับสั่งของฮ่องเต้ถือเป็นคำขาด ท่านบอกให้จับข้าเข้ากรงสุนัข
ข้าพลันนึกถึงท่านปู่ นี่ลูกหลานตระกูลอู๋กลับต้องตกต่ำถึงกับถูกเลี้ยงอยู่ในกรงสุนัข อนาถายิ่งกว่าขุนนางหรือคนยากจนเสียอีก หากบรรพบุรุษมาเห็นข้าในสภาพเช่นนี้คงได้ถูกสั่งสอนไปเจ็ดชั่วโครตเป็นแน่แท้
ไม่นานนักดวงตาของข้าก็สามารถปรับเข้ากับที่มืดได้ ข้าเห็นเงาของเครื่องเรือนระเกะระกะอยู่ในห้อง ตำแหน่งวางนั้นข้าจดจำได้ว่ามันคล้ายกับห้องเก่าของข้า ท่าทางข้าจะอยู่ในห้องเดิม
ข้าลองจับซี่ของกรงมันทำจากเหล็กกล้า ด้วยเรี่ยวแรงของข้ามิอาจจะพังมันไปได้ ก่อนที่จะลูบคลำบริเวณระตูมันมีโซ่คล้องแม่กุญแจอันใหญ่ คงจะต้องใช้ยอดฝีมือถึงจะฟันได้ ..ข้าตบตามลำตัวเสียดายที่ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่อาภรณ์ชั้นดี
น่าหัวร่อเสียจริง ข้าถูกจัดองค์แต่งตัวดีราวกับองค์ชายแต่หากกลับต้องมาคลานสี่ขาเหมือนกับสุนัข ... ก่อนหน้านี้ก็อยู่ในโลงศพมาตอนนี้กลับถูกเลี้ยงราวกับสุนัขตัวหนึ่ง..
ข้าทำอะไรผิด...ดูเหมือนฮ่องเต้จะไม่ชอบขี้หน้าข้าอย่างหนัก ...คิดไปคิดมากข้าก็ต้องกัดฟัน..จางฉี่หลิง ..เจ้ามันผู้ชายงี่เง่า ถ้าจะเผด็จการกับความรู้สึกของข้าก็ช่วยอย่าให้ข้าอยู่ในสภาพนี้นาน..
“พวกนั้นให้เสี่ยอ้วนมาเลี้ยงอะไร” ยังไม่ทันที่ข้าจะคิดแค้นจางฉี่หลิงตัวต้นเหตุไปมากกว่านี้ เสียงของนายอ้วนก็ดังขึ้นพร้อมกับประตูห้องที่เปิดห้อง แสงที่สาดเข้ามาทำให้ดวงตาที่ชินชากับความมืดของข้าพร่ามัว ข้าเห็นนายอ้วนถือกะละมังมาชามหนึ่ง นายอ้วนเองพอเห็นสภาพของข้ากลับยืนนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่มือแกร่งจะวางกะละมังไว้บนโต๊ะ เดินไปเปิดหน้าต่างพลางย่อตัวนั่งตรงหน้ากรงของข้า
ข้ายิ้มขมขื่นให้กับเขา นายอ้วนทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกมองยังกะละมัง
“เจ้าจะกินไหมท่านอ๋อง” มันเป็นคำถามที่สัดศักดิ์ศรีของข้า ข้าหลับตาก่อนที่จะจับกรงหนาข้างหน้า ...ข้าต้องหนีออกไปให้ ข้าไม่ใช่องค์หญิงน้อยที่ถูกจับเป็นตัวประกันทว่าข้าคือชายชาตรี ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาช่วย
“กิน”
ท่านปู่ของข้าไม่ได้สอนข้าให้ยึกถือศักดิ์ศรีมากไปกว่าความภาคภูมิใจในตนและการมีชีวิตรอด
“งั้นหรือ” นายอ้วนถอนหายใจก่อนที่จะหยิบกะละมังขึ้น ข้านึกว่าเขาจะเอามาวางแต่ที่ไหนเขากลับเขวี้ยงลงก่อนที่จะเดินออกจากห้อง ข้าอ้าปากค้าง เขาหายไปไม่นานก่อนที่จะหยิบอาหารชุดหนึ่งมาวางตรงหน้ากรง
“วันนี้เสี่ยอ้วนไม่ค่อยหิว เจ้าเอาไปกินเถอะ” ข้ามองอาหารชุดนั้นมันอุดมไปด้วยเนื้อล้วนๆ เป็นของชอบของนายอ้วนอย่างไม่ต้องสงสัย เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบผ่านลุกกรงเข้ามา
“ท้องเจ้าร้องนะ” ข้าท้วงเขาแต่ก็อ้าปากรับอาหารจากเขา ข้ารู้วึกว่ามันเป้นอาหารมื้อที่อร่อยที่สุด แม้ว่าข้าวจะเฉะไปบ้าง เนื้อทอดไหม้ไปนิดทว่าแต่ละคำที่ข้ากลืนลงไปนั้นมันราวกับอาหารทิพย์
“เสี่ยอ้วนอดข้าวมื้อเดียวไม่ตาย เมื่อก่อนข้าเป็นทหารในสนามรบนะ อดข้าวสามสี่วันยังอยู่ได้ แต่เจ้าเป็นอ๋อง ไม่เคยอดสักมื้อใช่ไหม”ครั้นได้ยินเขาพูดข้าก็รู้สึกอับอายขึ้นมา “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว”
“สิบแปด ไม่สิ ตอนนี้น่าจะสิบเก้าแล้ว” ครั้นข้าตอบไปก็เห็นนายอ้วนคลี่ยิ้ม มือใหญ่ของเขาเอื้อมผ่านลูกกรงลูบหัวของข้า
“น้องของข้าถ้าไม่ได้ตายในสงครามก็คงเท่าเจ้ากระมั้ง “
ได้ยินเขาพูดเช่นนั้นข้าก็ไม่เอ่ยอะไรอีก ปล่อยให้เขาขยี้ผของข้าจนยุ่งเหยิงไปหมด ข้าเองก็สูญเสียครอบครัวทั้งหมดไปในสงครามเช่นกัน ทั้งข้าและเขาต่างไม่หลงเหลือครอบครัวคนสำคัญ
“เฮ้อ ข้ารู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวข้าเลย” มือใหญ่ละไปจากศีรษะของผม นายอ้วนลุกขึ้นบิดตัวไปมา ก่อนที่แตะเข้ากับตู้ ข้าเหลือบตามองเขา
“เจ้าจะทำอะไร” นายอ้วนคลี่ยิ้มก่อนที่จะแยกเขี้ยว
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ข้าทนไปไม่ไหวแล้ว เจ้าหุบปากแล้วรีบมองหาเข้าต้องมีกุญแจอยู่แถวนี้สักดอกสินะ!”
นายอ้วนจะช่วยข้า ? ...
“เจ้าไม่กลัวราชโองการหรือ” ข้ามองนาย้วนที่รื้อค้นตู้ เขาหันมาเหวี่ยงผ้าผืนหนึ่งลงกับพื้น
“กลัวสิ แต่ถ้าเราหนีก่อนถูกจับก็ไม่มีใครรู้จริงไหม”
ข้าถอนหายใจไม่ถามเขาอีก สายตาของข้ามองไปมารอบห้อง คิดว่าต้องมีสักที่ก่อนที่จะเห็นแสงสะท้อนอยู่ด้านหลังตู้หนังสือ
“นายอ้วนบนชั้นหนังสือเหมือนมีอะไรสะท้อนแสง” นายอว้นรับคำข้าหยิบเก้าอี้มาต่อปีนไปหยิบเอาพวงกุญแจมาหนึ่งหวง มันมีกุญแจอยู่ในห่วงถึงสิบดอก นายอว้นเลยตกใจไขมันทุกดอก
ข้ามองดูนายอ้วนไขทีละดอกในใจก็ร้อนรน รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นขโมย สายตาก็มองไปทางประตูไปพลางหวังว่าหากมีใครเข้ามาจะได้ร้องบอกทัน แต่ข้าคิดผิดเพราะผู้บุกรุกไม่ได้เข้ามาทางประตู..
“ท่าทางสนุกเนอะ” เสียงขี้เล่นของนายแว่นดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงเพรียวของเขาที่เดินลงจากหน้าต่าง นายอ้วนและข้าต่างชะงักกันทั้งคู่ อับจนคำพูดหลักฐานคาตา
“ท่านอ๋องกำลังหนีงั้นหรือ แบบนี้แย่แล้วสิ ถ้าท่านต้องการข้าทูลขอให้ท่านเป็นสนมน้อยของข้าได้นะ หึหึ จะได้เลิกขังเสียที”
เห็นคำหยอกเย้าของเขา ข้าก็อยากจะหาอะไรเขวี้ยง เสียแต่ไม่มีอะไรเหมาะมือ
“รองแม่ทัพข้าไม่ทราบว่าเจ้ามาด้วยธุระอันใด” ข้ามองเขา แว่นสีดำสนิทบดบังการมองเห็น เป็นครั้งแรกที่ข้าเพิ่งรู้สึกตัวว่า ตลอดมานายแว่นไม่เคยมองตาข้าแม้สักครั้ง
“ก็มาเฝ้าท่านอ๋องยังไงละ อัญมณีงามถ้ามีใครขโมยไปคงแย่จริงไหม” นายแว่นเดินมาเหลือบมองนายอ้วน นายอ้วนปาดเหงื่อก่อนที่ข้าจะยื่นมือไปนอกกรงหยิบพวงกุญแจมาจากมือของนายอ้วน
“ข้าเป็นคนบังคับเขาเอง สัญญาว่าจะให้ยศศักดิ์และบ้านเรือน แถมยังใช้อำนาจของอ๋องในทางมิชอบ”
“ฮะ ฮะ ฮะ” นายแว่นได้ยินคำพูดของข้าก็กระโดดมานั่งลงหน้ากรงของข้า “ท่านอ๋องท่านไม่ใช่คนจะทำอะไรเช่นนั้น ท่านนี่น่ารักจังเลยนะเพียงแค่คงอยู่ก็มีผุ้มาช่วยมากมาย เพราะนิสัยแบบนี้ของท่านงั้นหรือ”
ได้ยินคำพูดข้าก็รู้สึกสะท้อนใจ
“ตอนที่เจ้าร้องขอความช่วยเหลือไม่มีผู้ใดมาช่วยงั้นหรือ” ข้าเอื้อมมือออกไปแตะยังพวงแก้มเย็นเฉียบของเขา นายแว่นหัวเราะก่อนที่จะจับมือของข้าเอาไว้
“หึ หึ หึ”
มันเป็นการหัวเราะกลบเกลื่อนชัดๆ ข้าขมวดคิ้วก่อนที่จะคลานเข้าใกล้เขา
“มองข้าได้ไหม มองข้าสักครั้งเถอะ”
“การขอให้คนตาบอดคนหนึ่งมอง ท่านช่างเป็นเรื่องร้ายกาจนะท่านอ๋อง” เขาหยอกข้า ข้าส่ายหน้าก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น เป็นครั้งแรกที่ข้าพิจารณาเขาอย่างละเอียด
“ข้ารู้ว่าเจ้าทำได้ มองตาข้าไม่ใช่หลบ”
นายแว่นคลี่ยิ้มก่อนที่จะหัวเราะออกมา คราวนี้เหมือนเขากลายเป็นคนเส้นตื้น มือทั้งสองทุบบนกรงของข้าสั่นไหวจนข้าต้องกุมหูเพื่อกันเสียง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้ารู้แล้วเสี่ยวเกอน้อยพ่ายแพ้ได้อย่างไร ฮ่า ท่านอ๋อง..ได้คราวนี้ข้าแพ้ท่าน” นายแว่นคุกเข่าลงตรงหน้าข้า ถอดแว่นดำที่ใส่ตลอดมา นัยน์ตาของเขาเป้นสีนิลหม่นหมองราวกับราตรีที่ไร้ดาว ข้าเอื้อมมือไปแตะใต้ดวงตาของเขา ซึบซับยังความรู้สึกเจ็บปวดนั้น
“เจ็บไหม?” นายแว่นจับมือของข้า ซบใบหน้าลงกับฝ่ามือของข้า เขาราวกับสัตว์ตัวเล้กตัวหนึ่ง
“ไม่แล้ว” มือแกร่งพลักมือของข้ากลับไปในกรงก่อนที่จะเดินนายอ้วนไป นายอ้วนจึงเดินมาเอากุญแจในกรงของข้า แต่กลับโดนนายแว่นเอ่ยเตือน
“ไม่มีกุญแจ เจ้าไม่ต้องไขให้เมื่อย”
ข้ากับนายอ้วนมองหน้ากัน ไม่มีกุญแจแล้วจะทำเช่นไร หรือว่ากุญแจจะอยู่กับองค์ฮ่องเต้ ยังไม่ทันจะได้ปรึกษาหารือนายแว่นก็หยิบดาบขึ้นมาเล่มหนึ่ง ข้าจำได้ว่ามันคือดาบคู่ใจในสงครามของเขา
“ท่านอ๋อง ก้มหัวไว้นะ” สิ้นคำพูดของเขาข้าก็สัมผัสได้ว่ามีสายลมผ่านศีรษะไปวูบหนึ่ง เส้นผมปลิวไปตามแรง พร้อมด้วยเสียงของโลหะที่ร่วงหล่น หมวกของข้าตกบนพื้นห้อง พร้อมกับเพดานกรงด้านบนที่หายไป ข้าแตะหน้าอกตัวเองเมื่อครู่ไม่รู้สึกตัวครั้นพอได้มาคิดทบทวน ....นี่ข้าเกือบหัวหลุดจากบ่าไปแล้วใช่ไหม
“เจ้าทำบ้าอะไร” กลายเป็นนายอ้วนที่เรียกความยุติธรรมให้กับข้า เขาโวยวายก่อนที่จะลุกขึ้นด้วยขาสั่นได้ยินเสียงนายแว่นหัวเราะระรื่นข้าก็หยิบหมวกเขวี้ยงใส่เขา
“ท่านอ๋องหนีไปกันเถอะ” มือแกร่งยื่นมาให้ข้า ข้าเอื้อมไปจับมัน แล้วการหลบหนีของพวกเราสามคนก็เริ่มขึ้น นายอ้วนเอาแต่บ่นตลอดว่า ซวยชะมัดดันตกกระไดพลอนโจรแต่เขากลับเป็นคนที่ล้มทหารยามได้เยอะที่สุด ส่วนนายแว่นเอาแต่หัวเราะทำตัวลอยไปลอยมา ทว่าเป็นผู้ดึงข้าไปถูกทาง มีพวกเขาสองคนซ้ายกับขวาทำให้หัวใจของข้ารู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
ไม่แน่ว่าเราอาจจะหนีรอดไปก็ได้ น่าตื่นเต้นชะมัด อาข้าคิดแบบนั้นได้เยี่ยงไรกันนะ ทั้งที่ข้าควรจะหวาดกลัว แต่ตอนที่ได้วิ่งไปพร้อมกับพวกเขาข้ากลับรู้สึกสนุก..
พวกเราแอบอยู่ในโรงครัวของวังหลวง ข้าได้ยินเสียงเอะอะ ดูเหมือนผู้ที่หลบหนีจะไม่ได้มีแค่เรา
“ดีจังเลยมีผู้บุกรุกละ” นายแว่นคลี่ยิ้มก่อนที่จะแนบตัวไปกับกำแพง ส่วนนายอ้วนแอบขโมยปลาย่างบนเตากิน ข้ากำลังจะห้ามเขาตอนนี้ไม่ใช่เวลาทำเช่นนี้นายแว่นก็หันมาดึงข้าเข้าไปติดกับกำแพง
“ท่านอ๋องถ้าเกิดว่าท่านแม่ทัพมารับท่านจะทำเช่นไร”
ซวยยัดซบ...คงเป็นคำอธิบายสถานการณ์ตอนนี้ได้อย่างดีที่สุด ข้าอุตส่าห์มารับแล้วแต่จางฉี่หลิงกลับมาบุกวังหลวงหรือเนี่ย เขาเป็นใครเจ้ามนุษย์ธรรมดา กล้าเอากิเลนมาเหยียบพระพัตน์ฮ่องเต้เลยหรือ
“ข้าอยากจะหนีไปทั้งแบบนี้ แต่โธ่เว้ย ข้าปล่อยเขาทิ้งไว้ไม่ได้” ข้าให้นายอ้วนไปแอบที่อื่นก่อนหากซวยขึ้นมาจะได้ไม่โดนจับได้กันหมด นายแว่นพาข้าลัดเลาะไปที่ทางลับของวังหลวง เขาช่ชองเสียจนข้าอดสงสัยไม่ได้
“เมื่อก่อนข้าเป็นนักฆ่า เจ้านายของข้าสั่งให้ข้าฆ่าฮ่องเต้ข้าเลยรู้ทางลับ จนกระทั่งพบท่านแม่ทัพ เขาเป็นคนตลกมาก ไล่ตามข้าที่วิ่งหนีอยู่ดีๆก็บอกว่าเบื่อแล้วไปฆ่าเจ้านายข้าดีกว่า สุดท้ายข้าเลยยอมเป็นรองแม่ทัพของเขา น่ารักดีใช่ไหมละ”
พอฟังแล้วข้าก็หัวเราะ ความสัมพันธ์ของนายแว่นกับจางฉี่หลิงดูเรียบง่ายทว่าเข้มแข็งจนข้าอิจฉา ขี้เกียดไล่นายแว่นเลยหันไปฆ่าเจ้านายนายแว่นให้จบเรื่องก็เป็นการกระทำที่สมเป็นเขาดี
นายแว่นพาข้าไปถึงส่วนกลาง ดูเหมือนเป็นห้องที่ไว้ซ่อนสนมลับของฮ่องเต้ ข้าเผลอคิดอกุศลไปวูบหนึ่งว่าไยองค์ฮ่องเต้ต้องนัดจางฉี่หลิงมาที่นี่
kuramajoy
kuramajoy
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า

จำนวนข้อความ : 206
Points : 3781
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[os]อ๋องน้อย2[ผิงเสีย] Empty Re: [os]อ๋องน้อย2[ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by kuramajoy Thu 06 Nov 2014, 20:27

อู๋เสีย เจ้าคิดในแง่ดีหน่อย คงเพราะที่นี่เงียบสงบ อย่าคิดอะไรเช่นว่า ... จางฉี่หลังเป็นสนมลับของฮ่องเต้ อืมมิน่าท่านถึงได้จับข้าขังกรงสุนัข เพราะข้าไปแย่งสนมเขานั่นเอง
ยิ่งคิดยิ่งเตลิด...ข้าสะบัดศีรษะตัวเองก่อนที่จะเดินตามนายแว่น ดุเหมือนการทรยศฮ่องเต้ปล่อยข้าออกมายังมิมีผุ้ใดล่วงรู้ ทหารหลายนายเห็นเขาก็ต่างแสดงความเคราพไม่มีใครคิดจับเขาสักคน หากไม่ติดที่จางฉี่หลิงน่าจะกำลังก่อเรื่องและห่วงนายอ้วน พวกเราคงเดินชมนกชมไม้
ครั้นถึงห้องของสนมลับข้าก็อดไม่ได้ที่จะเงยขึ้นมองป้าย ซ้ำไปมา..
ข้าหักห้ามสติตัวเองไม่ให้คิดอกุศล พอก้าวเข้าไปภาพเยื้องหน้าทำให้ความคิดอกุศลหมิ่นเบื้องสุงของข้ากระเด็นไปไกลถึงต่างประเทศ สภาพเบื้องหน้าคือทหารยามมากมายล้มลง บ้างมีคราบเลือดเกราะกรัง บ้างก็เหมือนจะหมดลมหายใจไปแล้ว มีเพียงไม่กี่นายยืนหยัดปกป้องฮ่องเต้เอาไว้ ด้านในมีหมอหลวงคนสนิท และขันที
ฮ่องเต้สมเป็นโอรสสวรรค์ แม้จะเจอสภาพการเช่นนี้กลับไม่มสีหน้าเปลี่ยนแม้แต่น้อย ตรงข้ามคนที่ทำหน้ามึนเมาได้ตลอดเวลาอย่างจางฉี่หลิงกลับขมวดคิ้ว ข้ามองร่างกายของเขาแล้วก็เจ็บปวดแทน ร่างนั้นเปลือยครึ่งกาย เกราะสีดำอันน่าภาคภูมิใจหายไปใดไม่อาจทราบได้ ร่างกายขาวนวลสลักกิเลนกรำศึกเต็มไปด้วยบาดแผล มือเปื้อนเลือดกุมดาบคู่ใจ ใบหน้าอิดโรย เลือดออกที่มุมปาก
“เฮ้อ เล่นกันสนุกไม่ชวนข้าเลย” นายแว่นดึงผมไปติดกับเขาก่อนที่ดาบคมจะจ่อเข้าที่ลำคอของข้า จางฉี่หลิงเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีบุคคลเพิ่มเข้ามาในห้อง นัยน์ตาสีดำสนิทของเขาเบิกกว้าง ริมฝีปากนั้นขาวซีดหายใจหอบดูแล้วน่าสงสาร
เทียบกันแล้ว ข้ายังมีสภาพดีกว่าเขาถึงสิบเท่า..
“เจ้า..” กิเลนดำก้าวเข้ามาหนึ่งก้าวแล้วชะงัก ไม่กล้าเดินต่อไปเพราะดาบที่นายแว่นกดลงที่คอข้า เลือดไหลย้อมตัวดาบ ผมยืนนิ่งไม่ขัดขืน ...นายแว่นไม่ทำอันตรายข้า คงมีแผนบางอย่างอยู่ในใจ
เจ็บคอชะมัด เหลือบมองใบหน้ายิ้มระรื่นของนายแว่น เขาโอบกระชับร่างข้าก่อนที่จะมองไปยังจางฉี่หลิง
“ท่านแม่ทัพท่านนี่ยังดื้อเสมอต้นเสมอปลาย อยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่ถามความสมัครใจคนอื่นสักคำ”
ข้าอยากจะยกป้ายคะแนนเต็มร้อยให้นายแว่น ใช่ พูดได้ถูกใจข้าที่สุดแล้ว
“ไม่เกี่ยวกับเจ้า” จางฉี่หลิงตอบนายแว่นได้น่าถีบที่สุด ถ้าข้าเป็นนายแว่นคงจะเอาดาบเขวี้ยงเขาไปแล้ว
“ท่านก็เป็นแบบนี้ตลอด หัวหน้า “ นายแว่นครางในลำคอก่อนที่จะหันไปหาฮ่องเต้ “ฝ่าบาทไหนๆแล้วขอให้ข้าแก้มือสักหน่อยได้ไหม”
“เฮ้ย” นายแว่นพลักข้าจนเสียหลัก โชดีที่ข้ายันตัวไว้ได้ทันไม่งั้นหน้าผมคงได้จูบกับพื้นเป็นแน่ ครั้นเงยหน้าขึ้นมาก็ได้เห้นประกายไฟแล่บผ่านยอดฝีมือทั้งสอง ว่าจางฉี่หลิงมีฝีมือร้ายกาจแล้วนายแว่นก็ไม่แพ้กัน
แม่ทัพกิเลนนั้นแรงเยอะ แต่นายแว่นก็ว่องไวมาก ทั้งสองห่ำหั่นกันอย่างไม่ยอมแพ้ ข้ามองตามหารเคลื่อนไหวไม่ทันเห็นแต่เสียงโลหะกระทบกันและแสงที่ส่องประกายไปมา ข้าคิดว่าทหารยามก็เช่นกัน ข้าหันไปมองฮ่องเต้จนถึงตอนนี้เขายังสงบนิ่งมีเพียงหมอหลวงที่ยืนเคียวข้า ที่ทำท่าทีราวกับโลกกำลังแตกสลาย
พลั่ก! เสียงของหนักกระทบกับเครื่องเรือนเรียกให้ข้าหันไปมอง ครั้นเห็นแม่ทัพกิเลนพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกก็ต้องอ้าปากค้าง ร่างของเขาเซล้มการจากถูกนายแว่นถีบกระแทกกับตู้หนังสือ ของในชั้นร่วงหล่นใส่ตัว ข้านึกว่าเขาจะลุกขึ้นแต่ไม่ เขาไม่ลุกขึ้น
คนงี่เง่าเอ้ย ข้ากัดวิ่งเข้าไปหานับเป็นการกระทำที่โง่มาก ข้ารู้ตัวดีว่าไม่มีฝีมืออะไรทั้งนั้น สุดท้ายจึงได้แต่ควักเอาลูกท้อหนึ่งอันที่ขโมยมาจากในครัวขึ้น ยื่นไปข้างหน้า
“ขอแลก”
“หือ” นายแว่นเกือบหยุดดาบไม่ทัน ข้ารับรู้ได้ถึงแรงลมที่ปลิวผ่านศีรษะไปพาให้หัวใจเต้นแรง เขาก้มลงมองของในมือข้าสลับกับจางฉี่หลิงที่กระอั่กเลือดอยู่ข้างหลังแล้วก็พลันระเบิดเสียงหัวเราะ
“ฮ่าๆ ฮ่าๆๆๆๆ ท่านอ๋องน้อย ท่านน่ารักไปไหม เอาผลไม้แลกกับแม่ทัพคนสำคัญเชียว” ถึงจะพูดเช่นนั้นแต่นายแว่นก็หยิบลูกท้อขึ้นจากมือของข้า เขายิ้มยั่วยวนก่อนที่จะกัดมันคำหนึ่งโยนทิ้ง “ก็ได้ ข้าไม่อยากสู้กับคนป่วยแล้ว ไม่สนุกเอาซะเลยชนะแบบนี้มันสบายไป”
“ป่วย?” เสียงอำทรงพลังของฮ่องเต้ดังขึ้น ข้าพยุงจางฉี่หลิงขึ้นมองใบหน้าอ่อนแรงของเขา จางฉี่หลิงป่วย ? ใบหน้าที่เคยมีเลือดฝาดของเขาซีดเซียว
“ฝ่าบาทท่านจะถามหมอหลวงก็ได้ ตัวข้ามิอาจออกรบศึกใหญ่ได้อีกแล้วตลอดชีวิต ข้าัต้งใจจะปลดตัวเองไปอยู่ชายแดน ท่านได้โปรดอนุญาติ”
แม้กระทั่งคำกราบทูลยังห้วน ดิบได้ใจความ นี่บอกหน่อยเจ้ามีความเกรงใจฮ่องเต้บ้างไหม ข้านึกอยากตีเขาแต่สภาพของเขาน่าสงสารเกินไป โดยไม่รู้ตัวแขนทั้งสองข้างก็โอบรอบตัวของเขา ประคองกิเลนผุ้บาดเจ็บ เขาราวกับเสือผู้ทำร้าย พอเห็นข้ากอดจางฉี่หลิงก็กุมมือของข้า ใบหน้าเปื้อนเลือดนั้นคลี่ยิ้ม
“กราบทูลฮ่องเต้ แม่ทัพจางป่วยมาสักระยะแล้ว ตอนนี้เกรงว่าแค่ศึกเล้กคงจะไม่ไหว “ หมอหลวงที่ยืนหน้าซีดกราบทูลพาให้ฝ่าบาทขมวดคิ้ว
“ทำไมข้าไม่รู้เรื่อง”
“ข้าน้อยสมควรตาย ท่านแม่ทัพจางมิให้กราบทูล ด้วยเกรงว่าท่านจะเป็นห่วงก่อนที่จะขอลาไปรักษาตัว ฝ่าบาทลองคิดดูหากเป็นท่านแม่ทัพยามปกติทหารยามแค่นี้มีหรือจะคณามือเขา กระทั่งรองแม่ทัพเขายังพ่ายแพ้ ฝ่าบาทผู้ชายคนนี้คือคนที่จะตายพรุ่งอย่ายึดติดกับเขาอีกเลย”
ฮ่องเต้มองจางฉี่หลิงที่ข้าพยุงอยู่ ยิ่งข้าดึงเขาขึ้นมาเท่าไรเขาก็ยิ่งกระอั่กเลือดมากขึ้นเท่านั้น ข้ามองปริมาณเลือดที่ออกมาจากริมฝีปากของเขาแล้วเกรงว่าปัญหาของเขาน่าจะอยู่ที่ปอด ไม่ก็เครื่องใน...
“ฮ่องเต้ ผู้ชายคนนี้น่าเบื่อมากแม้แต่ข้ายังไม่อาจเอาชนะ “ นายแว่นแกว่นดาบเดินไปมาราวกับนึกสนุก “จางฉี่หลิงเจ้าจำได้ไหมว่าสัญญากับข้าไว้เยี่ยงไร”
“จำได้ หากเจ้าชนะข้าเมื่อไรเจ้าก็เป้นอิสระ” แม่ทัพกิเลนควักเอาป้ายแม่ทัพออกมาจากกระเป๋ากางเกงยื่นให้กับรองแม่ทัพตัวเอง นายแว่นหัวเราะคิกคักหยิบมัน
“อ้า..ดุเหมือนข้าจะได้เลื่อนขั้น” มือเรียวโยนตราแม่ทัพขึ้นอากาศก่อนที่จะตวัดดาบผ่ามันเป็นสองซีก “ขอโทษนะฝ่าบาท สันดานนักฆ่ามันแก้ยาก ข้าไม่ถนักรุกเท่าไรนัก ถนักรับมากกว่านะ หึหึ”
คำพูดสองแง่สองง่ามแม้ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานยังพูดออกมาได้คงมีแต่นายแว่นเท่านั้น ข้าเคยเห็นการต่อสู้ของกองทัพนายแว่นไม่ถนักนำทัพบุก เขาถนัดที่จะป้องกันแล้วหลบหลีกมากกว่า
“ตามใจเจ้า ความจริงเจ้าควรมีโทษประหารเจ็ดชั่วโครต หากไม่ติดที่แม่ทัพจางขอหัวของเจ้าเอาไว้ พร้อมทั้งคุณงามความดีที่เจ้าได้สร้างสม ข้าจะปล่อยเจ้าไป ส่วนกองทัพของเจ้าใครใคร่คงอยู่ก้ให้ไปรายงานตัว”
ตราแม่ทัพของกิเลนไม่มีอีกแล้วนั่นหมายความว่ากองทัพเกราะดำของจางฉี่หลิงจะสูญสลายไปในคืนเดียว พอไร้แม่ทัพเหล้าทหารก็แตกซ่านกระเซ็น
นายแว่นยิ้มรับราชโองการก่อนที่จะถวายบังคมอย่างเสแสร้งสุดๆ
“ส่วนเจ้า” คราวนี้ฝ่าบาทหันมาทางข้าพาให้ข้าเกร็งหวาดกลัวว่าเขาจะข้าเข้ากรงขังสุนัขอีกรอบ “อยากจะเอาอะไรไปก็เอาไป”
ราวกับพายุที่พัดผ่าน พวกเขากลับไปแล้ว ดูเหมือนจะปล่อยเราทิ้งงเอาไว้ ข้าลูบหน้าอกตัวเองเมื่อกี้หากฮ่องเต้ไม่เมตตาพอข้ามีสิทธิหัวหลุดจากบ่าไปพร้อมกัน โชคยังดีที่ฮ่องเต้ยอมปล่อยมือจากชายผุ้ไร้ประโยชน์ หมอหลวงอยู่ข้างกายฮ่องเต้มานานเพียงใดทำไมเขาจะไม่ยอมฟังคำทัดทาน การเอาคนป่วยลงสนามรบถ้าเป็นผู้น้อยย่อมไม่มีปัญหา แต่หากเป็นผู้นำทัพ หากตายก่อนทหารสงครามคงพ่ายแพ้
“เจ้าทำอะไรไม่คิด” ครั้นรอดชีวิตมาได้ข้าก็พยุงเจ้าตัวปัญหา พลางใช้ชายเสื้อเช็ดเลือดตามตัวของเขา
“เจ้าไม่บาดเจ็บก็ดีแล้ว” นิ้วยาวผิดมนุษย์ของเขาลูบที่ร่องรอยคอของข้า จุดนั้นคือที่เดียวของข้าที่มีบาดแผล ข้าดึงนิ้วของเขาออกก่อนที่จะต่อว่า
“เจ้าสิ มีแผลจนแทบจะไม่เหลือช่องว่าง ถ้าอยากฆ่าตัวตายก็บอกข้า ข้าจะถีบตกทะเลสาปให้เองไม่ต้องถ่อมาหาเรื่องตายถึงวังหลวง” มือของเขาเย็นจนข้าตื่นกลัว ข้าสอดนิ้วลงกับมือข้างนั้นหวังจะถ่ายทอดความอบอุ่นให้ได้แม้สักนิด
อู๋เสียโกรธอีกแล้ว” จางฉี่หลิงเอียงคอราวกับไม่เข้าใจข้า ข้ายั้งมือตัวเองไว้ไม่ให้ทำร้ายร่างกายของเขาเพิ่ม “ข้ามารับเจ้า กลับบ้านกัน”
นั่นคือบ้านของข้าเป็นของเจ้าเมื่อใดกัน ข้าถลึงตาใส่คนเอาแต่ใจ สุดท้ายไม่ว่าทำอย่างไรข้าก็ไม่อาจใจร้ายทอดทิ้งเขาได้ ข้าโอบกอดเขาเอาไว้รับรู้ถึงหัวใจตัวเองที่เต้นแรงขึ้น
“ขอโทษนะ ข้าทำไข่มุกหายไปเสียแล้ว” ข้าถอนหายใจพูดกับเขา ก่อนที่จะมองนัยน์ตาสีดำลุ่มลึก จางฉี่หลิงไม่ว่าเมื่อไรก็มองตรงมาที่ข้าเสมอ มีที่ข้าเสียอีกที่หลบหนีเขา มาวันนี้เขาอยู่ได้ไม่นานจะตายวันตายพรุ่ง ข้ายังจะใจร้ายกับเขาอีกหรือ
ข้าจับมือของเขาเอาไว้แน่น ก่อนที่จะโน้มตัวลงไปจูบที่หน้าผากมล กอดร่างกายแข็งแกร่ง รับรู้ถึงความเศร้าโศกที่ประดังเข้ามาในหัวใจ เมื่อครู่มัวแต่ตื่นตกใจกับการสู้รบ พอโล่งอกความหวาดกลัวอีกอย่างก็เข้ามาแทนที่
จางฉี่หลิงไม่อาจอยู่กับข้าได้ตลอดไป ความจริงที่ตบหน้าข้าพาให้รู้สึกไม่อยากร่างกายในอ้อมกอด ฃ
"ไข่มุกเม็ดนั้นเป็นของเจ้า" จางฉี่หลิงหอบหายใจก่อนที่มือแกร่งจะแตะใบหน้าของข้า อา ตั้งแต่เมมื่อใดกันที่นัยน์ตาของข้าชุ่มฉ่ำไปด้วยหยดน้ำ เขาโน้มตัวขึ้นข้าสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่อ่อนแรงของเขา ริมฝีปากคู่หนาที่เคยพร่ำจูบข้าอยู่ทุกวันเลยยังเปลือกตาของข้า ซึมซับเอาหยดน้ำตาที่เค็มปร่าลงลำคอ
"ข้าให้เจ้าแล้วก็ไม่เคยคิดเอาคืน" ข้าคว้าข้อมือของเขาขึ้นมา หงายฝ่ามือที่มีนิ้วยาวผิดธรรมชาติ วางมือของข้าลงไปในฝ่ามือของเขา ข่มอารมร์อับอายที่ผุดขึ้นมาในหัวใจเป็นระลอก อา..ตลอดมามีแต่เขาบอกรักข้า ครานี้เขากำลังจะอยู่ได้อีกไม่นานข้าควรต้องเป็นฝ่ายบอกถึงความรู้สึกแก่เขาบ้าง "ไข่มุกสลักชื่ออู๋เสียเม็ดนั้นหายไปแล้ว ข้าไม่อาจหามันมาทดแทนให้เจ้าได้ เจ้าจะรับเอา อู๋เสีย อันนี้แทนได้หรือไม่"
"..." จางฉี่หลิงไม่ตอบข้า นัยน์ตาสีดำเบิกกว้างมองหน้าข้าราวกับเจอสัตว์ประหลาดตัวนั้นก่อนที่จะยิ้ม มือแกร่งรวบข้าเข้าไปกอด มันแน่นเสียจนข้าหายใจไม่ออก
อ้ำๆอึ้งๆอยู่ได้ แล้วอย่ามองหน้าข้านานนักจะได้ไหม ข้ากำลังจะสุกไปทั้งตัวแล้ว..
"ไม่รับ"
หา....
ข้ารู้สึกเหมือนโลกถล่มตรงหน้า รู้สึกเคว้งคว้างอยู่ในใจราวกับหัวใจจะแหลกสลาย อึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก ก่อนที่มือใหญ่จะเชยใบหน้าของข้าขึ้น จูบยังพวงแก้มพาให้ข้านึกอยากทุบเจ้าคนเอาแต่ใจ
ไม่รักข้าแล้วไยถึงได้ทำเอา ทำเอา เห็นข้าเป็นอะไร ของเล่นเจ้าหรือ..
"เจ้าอยู่ที่ของเจ้าเช่นเคย แล้วรับข้าเข้าไปแทนได้ไหม"
ดูเขาพูด หากจางฉี่หลิงไมได้บาดเจ็บอยู่ข้าอยากจะถีบเขาสักที ข้าเกือบนึกว่าตัวเองอกหัก ที่แท้เขาต้องการแต่งเข้าสกุลอู๋หรือ
คิดแบบนั้นไม่ได้สิ พวกเราคือชายทั้งคู่
"เจ้านึกว่าเจ้าเป็นใคร ข้าเป็นใคร กับอีแค่เลี้ยงแมวในจวนเพิ่มขึ้นมาสักตัวข้าเลี้ยงไหวอยู่แล้ว"
แม่ทัพกิเลนหัวเราะ เขารั้งข้าของข้าเข้าไปกอด หอมเสียอีกสองสามที ข้าโดนเขาจูบจนมึนหัวไปหมดเกือบจะเคลิมเคลิ้มหากไม่มีเสียงของนายแว่นเข้ามาขัด
"ขอประทานอภัยที่ขัดจังหวะ แต่พวกเราควรหนีตายกับบ้านก่อนไหม" นายแว่นหยอกเย้าพวกเรา เจือด้วยเสียงหัวเราะ ข้าพลักจางฉี่หลิงออกจากตัวก่อนที่จะหันไปถลึงตาใส่เจ้าคนไม่ดูสถานการณ์
ลืมไปเลยว่านายแว่นยังอยู่ ถ้าเช่นนั้นเมื่อกี้...เมื่อกี้
"ไม่ต้องห่วงข้าไม่บอกใครแน่ท่านอ๋องน้อย หึหึ" นายแว่นขยิบตาให้กับข้า ทำเอาหน้าข้าร้อนผ่าวไปหมด ข้าแยกเขี้ยวใส่เขาก่อนที่จะดึงแขนข้างหนึ่งของจางแหลิง นายแว่นรู้หน้าที่รีบเข้ามาช่วยข้าพยุงเขา พวกเราตามไปสบทบกับนายอ้วนที่สถิตกินของจนแทบหมดห้องครัว
"ไปกันได้แล้ว" ข้าดุเขานายอ้วนจึงยอมวางของขโมยกินหัวเราะ หึ หึ เมื่อเห็นคนที่ข้าพยุงข้า
"ไม่เลวนี่ รู้สึกปรนิบัติแล้วสินะท่านอ๋อง"
ปรนนิบัติบ้านบิดาเจ้าสิ ข้าถลึงตาใส่นายอ้วนจึงคว้าแขนอีกข้างอีกข้างของข้า พวกเราเดินออกจากวังหลวงอย่างสง่าผ่าเผยแม้ว่าสภาพของแต่ละคนจะไม่สมประกอบ...ตัวข้าเต็มไปด้วยรอยถลอก ผมเผ้ายุ่งเหยิงรากวับคนบ้า นายแว่นมีบาดแผลเล็กน้อย ศีรษะแตก เลือดไหลอาบใบหน้ามล จางฉี่หลิงแย่ที่สุดร่างกายเปลือยครึ่งท่อน ตามตัวเต็มไปด้วยบาดแผลจนหาที่ว่างไม่เจอ นายอ้วนสบายที่สุด นอกจากจะไร้ริ้วรอยเขายังอิ่มหมีพีมัน หน้าใสเป็นยองใย
จางฉี่หลิงไม่ได้เพื่อมาตาย เขาสั่งให้ลูกน้องรออยู่ที่เมืองข้างเคียง ครั้นมาถึงเราก็ได้ม้าพร้อมรถกลับสู่บ้านเรา นายอ้วนมีมนุษย์สัมพันธุ์ดี เขาสนิทกับลูกน้องเมินโหยวผิงอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรก็ขี่ม้าเคียงคู่เฮฮาอยู่ข้างนอกเสียแล้ว ส่วนข้า จางฉี่หลิง และนายแว่นอยู่ในรถม้าที่มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองบ้านเกิดของข้า เรากำลังจะกลับไปที่เมืองชายแดนที่สี่ ข้าจะทำแผลให้เมินโหยวผิงแต่เขากลับจับมือข้าเอาไว้
"ปล่อยตัวได้แล้วกระมั้ง" จางฉี่หลิงหันไปสั่งการกับนายแว่น นายแว่นแลบลิ้นให้กับเขาก่อนที่จะเปิดหน้าต่างรถม้า เรียกลูกน้องมาคนหนึ่ง
"ปล่อยตัวลูกเมียของหมอหลวงพร้อมทั้งอีหนูเก้บและลูกนอกสมรสให้หมด อย่าลืมกำชับมันนะว่า ถึงแม้ถูกบังคับแต่การหักหลังฮ่องเต้โทษคือประหารเจ็ดชั่วโครต คิดว่าคงรุ้อยู่แล้วว่าควรจะเก็บความลับลงโลง หรือให้ใครล่วงรู้แล้วตายตกตามกัน"
หือ... ข้าได้ยินอะไรผิดหรือเปล่า ครั้นนายแว่นปิดหน้าต่างข้าก็มองหน้าของเขา
"เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ หลอก ตัวประกัน ?" นายแว่นไม่ตอบข้า เขาหัวเราะคิกคักก่อนที่จะชี้ไปทางแม่ทัพจาง ครั้นหันไปจางฉี่หลิงก็เช็ดเนื้อเช็ดตัวเสร็จเรียบร้อย ตามร่างกายของเขามีเพียงแผลตื้นเขินไม่กี่แผล ร่างสูงอ้าปากก่อนที่จะใช้นิ้วยาวผิดปกติของตนเองล้วงเข้าไปในดึงเอาถุงเลือดขนาดเล็กออกมาจากใต้ลิ้น
"เลือดหมูอร่อยไหม ไม่สิเลือดมันไม่พอข้าเลยไปเชือดสุนัขตั้งหลายตัว" จางฉี่หลิงเขวี้ยงถุงเลือดลงกับพื้นก่อนจะเปิดกระบอกน้ำล้างปากท่ามกลางเสียงหัวเราะนายแว่น เมื่อครู่ข้ายังวุ่นวายจะยุ่งกับร่างกายเขาให้ได้ ตอนนี้กลายเป้นข้าได้แต่นั่งนิ่งอยู่กับที่ทำอะไรไม่ถูก
อย่าบอกนะ บาดแผลมากมาย และที่เจ้ากระอั่กเลือดจะมาจากเลือดปลอม.....
"จางฉี่หลิง เจ้าติดค้างคำอธิบายอะไรกับข้าหรือเปล่า" ข้าคิดว่าตนเองควรควบคุมอารมณ์ แต่อารมณืของข้าถูกเหวี้ยงรุนแอรงไปเสียหน่อย เมื่อครู่ข้าหวาดกลัวจับใจว่าเขาจะจากข้าไป แต่มาตอนนี้ ข้ารู้สึกเหมือนโดนเขาตบหน้าอย่างแรง
"สามีภรรยาคุยกันข้าต้องออกไปก่อนไหม" ข้าหันไปถลึงตาให้นายแว่นเป็นนัยว่าแม้แต่คนเดียวถ้ายังไม่อธิบายห้ามไป
"นี่เป็นแผน ข้ารู้ว่ายังไงฮ่องเต้ก็ไม่ตัดใจ ถ้าข้ายังมีเรี่ยวแรงเขาคงขอให้ข้าออกรบจวบจนวันตาย อู่เสียข้าไม่ได้ต้องการพรากชีวิตผู้อื่นข้าแค่อยากอยู่กับเจ้า" ท่ามกลางรถม้าที่สั่นสะเทือนข้านิ่งเงียบได้ยินเสียงของฟันเฟืองและหัวใจของตนเอง ข้าหันไปหานายแว่นอีกฝ่ายเหมือรู้ความผิดตนเองเลยแฉหมดเปลือก
"แม่ทัพจางดื้อดึงขอเกษียรก่อนวัยอันควร ฮ่องเต้ย่อมไม่อยากผิดใจกับเขา จึงให้เขามาอยู่ที่นึกว่าเขาจะกลับไป แต่หากเขาไม่กลับไปท่านก็ทรงให้ข้าพาเขากลับมาให้ได้ไม่ว่าจะใช้วิธีใด ส่วนนายอ้วนเป็นเหมือนผุ้สังเกตการณ์ ถึงจะบอกให้มาเกลี้ยกล่องแม่ทัพจางก็ที"นายแว่นหัวเราะพลางใช้มือเรียวแตะลงยังผ้าพันแผลเปรอะเลือดของตนเอง "แน่นอนว่าข้าชอบเจ้านายที่ยังหนุ่มแน่นมากกว่า เจ้านายแก่ๆ ข้าเลยเลือกแม่ทัพจาง เราสองคนคิดแผนขึ้นมา ให้แม่ทัพจางไม่ยอมกลับ อีกทั้งสร้างสถานการว่ามีศึกยังข้างเมืองข้างๆเพื่อให้เขาออกรบ ข้าจะได้ฉวยโอกาสลักพาของสำคัญที่สุดของเขา "
"หา.." น้ำเสียงของข้าสั่นสะท้าน หมายความว่าที่ข้าต้องถูกวางยา นอนในโลง อ่อนแอเจียนตาย แถมยังถูกขังกรงหมาทั้งหมดนี้เป็นแผนงั้นหรือ
"ก่อนหน้านี้พวกเราได้สืบไว้แล้วว่าหมอหลวงคนสนิทของฮ่องเต้มีบ้านเล็กบ้านน้อยกี่หลัง เรามันเป้นกากเดนมนุษย์ในความมืดงานพวกนี้ถนัดยิ่งกว่าออกรบเสียอีก สุดท้ายก็ไปจับเป็นตัวประกัน ข่มขู่หมอหลวงให้ร่วมมือโกหก ถึงข้าจะไม่เตือนเขา แต่ในเมื่อได้เอ่ยวาจาโกหกฮ่องเต้ไปแล้วหมอหลวงก็คงจะเก็บความลับนี้ลงโลงไปกับเขาด้วย "นายแว่นคลี่ยิ้ม ก่อนที่จะเปิดกล่องที่พกมาหยิบเอาผลไม้อบแห้งเข้าปาก
ครั้นเขาสารภาพจนหมดเปลือกข้าก็ตัวสั่น นายแว่นหัวเราะ หึ หึ เปิดหน้าต่างปีนหนีออกไปอย่างไม่สนใจว่ารถม้ากำลังวิ่ง ได้ยินตกใจของนายทหารคนอื่นดูท่าเขาจะเหวี่ยงตัวขึ้นไปบนม้าของพรรคพวกได้ ข้าเงยหน้าขึ้นมองจางฉี่หลิง เขานั่งพีบเยบเรียบร้อยราวกับเด็กน้อยที่กำลังจะโดนแม่ดุ ไม่เอ่ยอะไรกับข้าสกคำ
"ข้าถูกวางยา เอาไปใส่โลงนี่เจ้ารู้หรือไม่" ข้ามองนัยน์ตาสีดำลึกล้ำของเขา แม่ทัพกิเลนพยักหน้าดูราวกับไม่มีการโกหก
"ข้าถูกจับใส่กรงสุนัขให้ทำได้แค่คลานอยู่ในกรง ได้อาหารเป็นกะลังมังของหมาชามหนึ่ง แถมยังปิดไฟเอาไว้ เจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจ!"
"หือ ?" เมินโหยวผิงผุดลุกขึ้น มือสองข้างเข้ามาลูบไล้ตัวของข้า ก่อนที่จะลูบศีรษะของข้าราวกับปลอบ หากแต่คำพุดและนัยน์ตาของเขาเป้นการอาฆาต "ข้าจะกลับไปฆ่ามัน.."
ฆ่า... ฆ่าใคร ช้านานกว่าข้าจะตั้งสติเขาก็สั่งให้หยุดรถม้า ร่างสูงเปิดประตูข้าได้แต่พุ่งไปกอดเอวเอาไว้ รั้งตัวไอ้หมาบ้า เจ้าพูดว่าจะฆ่าใคร เจ้านี่ช่าง
"หุบปาก เงียบ นั่งลงห้ามฆ่าใครทั้งนั้น ถึงข้าจะโดนทำแบบนั้นแต่จุดเริ่มมันเพราะเจ้าให้นายแว่นเอาข้าไปไว้วังหลวง" จางฉี่หลิงชะงัก ขาของเขาก้าวไปได้ครึ่งหากเป้นข้าคงจะร่วงตกจากรถม้า โชคดีที่เขาเป้นยอดฝีมือที่แม้แต่สมดุลร่างกายยังควบคุม แม่ทัพจางสามารถชักเท้ากลับมายืนอย่างสง่างามในรถม้าได้อย่างเหลือเชื่อ
"นั่งลง" ข้าชี้ไปยังพื้นรถม้า จางฉี่หลิงลงไปนั่งพับเพียบอย่างว่าง่าย ดวงตาสีนิลช้อนตามองข้า ..
อุ ....เจ้าคนหน้าตายตลอดปีตลอดชาติ พอช้อนตาเอียงคอแล้วน่ารักได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ ไม่ได้....อู๋เสีย เจ้าห้ามใจอ่อนหากไม่สั่นสอนเจ้าเด็กไม่ดีคนนี้วันหน้าคงได้ลำบาก
"ฮ่าๆ ท่านแม่ทัพจางรบที่ไหนไม่เคยแพ้กลับมาพ่ายแพ้ฮูหยินตัวเอง รบในบ้านกลับเสียเปรียบเต็มประตู"
"พวกเจ้าก็หุบปาก ไม่มีงานทำหรือไง ไปทำงานไป!" ข้าหันไปตวาดลูกน้องของเจ้าคนเอาแต่ใจ ตาหลายคู่เหลือบมองมาทางเรา เห้นรอยยิ้มบนใบหน้าพวกนั้นข้าก็โมโห
"ขอรับ ขอรับ แม้คำสั่งของท่านแม่ทัพจะมีอำนาจเพียงไรก็มิอาจสู้คำสั่งของฮูหยินแม่ทัพได้ "
ฮูหยินบ้านบิดาเจ้าสิ ข้าเป็นอ๋อง!
"ข้าเป็นอ๋อง หาใช่ฮูหยินเจ้าหน้ามึนนี่" พวกนั้นพากันหัวเราะรีบไสหัวไปจากสายตาข้าอย่างรวดเร็ว แต่ข้าคิดว่านายอ้วนกับนายแว่นต้องแอบฟังอยู่แน่ จึงสั่งให้เมินโหยวผิงตรวจสอบรอบๆ แน่นอนว่าจับได้สองตน หลังจากไล่คนไปจนหมดข้าก็กลับมาลงโทษเขาอีกรอบ
"ข้าเป็นอ๋อง!" ข้าแยกเขี้ยวใส่เมินโหยวผิง เจ้านี่พออยู่กับข้าตามลำพังชอบยิ้มทั้งที่ปกติทำหน้าเหมือนคนตายด้านทางอารมณ์
"ข้ารู้"
"เจ้ากล้าดียังไงฮึ วางแผนเรื่องพวกนี้ไม่บอกข้าสักคำ แล้วก็อย่าคิดจะไปแก้แค้นฮ่องเต้ ที่ข้าต้องมีสภาพอเน็จอนาถแบบนั้นเพราะเจ้า หาใช่ความผิดคนอื่น อย่าให้ข้ารู้ว่าเจ้าไปทำอะไรอีก ไม่งั้นข้าจะไม่พูดกับเจ้า 1..." ตอนแรกข้าจะพุดว่า 1 อาทิตย์แต่มันดูเหมือนเด็กทะเล่าะ "ข้าจะไม่พูดกับเจ้า 1 ปี"
"เจ่าฆ่าข้าดีกว่าแบบนั้น"
ดูเขาต่อรอง ข้าถลึงตาใส่เขา เมินโหยวผิงทำตัวเหมือนแมว เขาเข้ามาใกล้ข้า นั่งลงข้างเคียงตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ มือคนเอาแต่ใจถือโอกาสฉวยมือของข้าไป ศีรษะได้รุปเอียงซบไหล่ข้า เส้นผมนุ่มนิ่มคลอเคลียพาให้รู้สึกดี
อย่านึกว่ามาอ้อนแล้วจะให้อภัยนะ
"ออกไป" ข้าเชิดหน้าขึ้น เมินโหยวผิงขยับตัวหนึ่งครั้งก่อนที่จะยอมออกไปโดยดี ข้าเหลือบมองใบหน้าสมบูรณ์แบบนั้น รู้สึกว่าวันนี้เขาน่ารักเหลือเกิน เหมือนลูกแมวถูกดุ โอยอย่าหลงนะอู๋เสีย อย่าหลงนะ เรายังต้องอบรมบ่มนิสัย
"ข้าบอกให้ออกไปไง" ข้าเหลือบมองเจ้าคนเอาแต่ใจที่ยังพะว้าพะวงไม่ยอมไป จางฉี่หลิงเดินไปทางประตูเหลียวมองหน้าข้าอีกครั้งก่อนที่จะออกไปขี่ม้า สุดท้ายข้าก็ได้จองรถม้าคนเดียว ได้ยินเสียงแซวของลุกน้องลอยเข้าหูมากมายเช่น..
"ท่านแม่ทัพถูกเมียไล่ออกนอกห้องหรือขอรับ"
"ท่านแม่ทัพท่านต้องง้อมากนะขอรับ"
"หัวหน้า ใจสตรีนั้นเปรียบได้กับดวงดาวบนฟ้า อารมณ์แปรปรวนง่ายยิ่งกว่าอากาศทะเลทราย เดี๋ยวก็หายงอนเองขอรับ"
"จางฉี่หลิงให้ข้าเขียนบทกวีง้องอนอีกไหม แต่นายก็เขียนได้นี่ ลองสักสิบบทส่งเข้าไปให้ท่านอ๋องใจอ่อนเลย"
ไอ้ประโยคนี่นายแว่นแน่ ..ข้าเปิดประตูก่อนที่จะตะโกนให้พวกเขาหุบปาก ข้าจะนอน วันนี้ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองเป้นอิสตรีที่มีวันนั้นของเดือน อารมณ์ไม่ปกติ จนนายอ้วนเข้ามาแซว เขาเข้ามานั่งในรถม้ากับผม ชวนเล่นทายคำ เขาเล่นห่วยมาก สุดท้ายนายแว่นก็ปีนเข้ามาทางหน้าต่าง ชวนเล่นไพ่ของตะวันออก แรกๆข้าก็เล่นไม่เป็นแต่เมื่อจับจุดได้กลับรู้สึกว่าสนุปมากกว่าที่คิด
ใช้เวลาไม่นานเราก็กลับมาถึงเมืองที่จากไป นายแว่นเสนอให้แวะตามทาง หากเป้นยามปกติข้าจะชอบการล่องเรือ เที่ยวเล่นไปก่อนกลับบ้านแต่พวกเรามีชนักติดหลัง จะมาเที่ยวเล่นทั้งกองทัพก็แปลกไป อีกอย่างจางฉี่หลิงหาใช่แม่ทัพใหญ่แล้ว กองทัพของเขาไม่มีสิทธิชักธงของฮ่องเต้ได้อีกแล้ว กิเลนดำกลับต้องถูกทอดทิ้งไว้ในผืนดิน
กลับมาข้าก็ตรงเข้าห้องเรียกเสี่ยวฮัว ฮ่องเต้ไมได้ตรัสริบทรัพย์สิน หรือเมืองที่ยกให้เขาก็หมายความว่าเขายังสิทธิถือครองสิ่งเหล่านี้ ข้าให้เสี่ยวฮัวเอาขันหมากของเมินโหยวผิงคืนไปซะ
ไม่ต้องนับถึงสิบนาที ประตูห้องข้าก็ถูกเปิดห้อง ใบหน้าสมบูรณ์แบบของแม่ทัพผู้ไล่ออกจากห้องฉายชัดในนัยน์ตาข้า
"ข้าคืน" เมินโหยวผิงส่ายหน้า ข้าจิ้มลงไปที่หน้าอกของเขาก่อนที่จะอธิบาย "เจ้าเห้นข้าเป็นคนยากจนหรือไร แค่เงินทองตกแต่งเมียสักคนเข้าบ้านข้ามี"
"หือ ?" เมินโหยวผิงไม่เข้าใจข้า เขาเอียงคอทำท่าสงสัย
โอยน่ารัก..
"ก็เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าให้ข้ารับเจ้า เจ้าก็ต้องเป็นฮูหยินของข้า ข้าเป็นอ๋องนะไม่สามารถเป็นฮูหยินให้เจ้าได้ " ข้าแยกเขี้ยว อ๋องสกุลอุ๋จะมาจบสิ้นที่รุ่นข้าไม่ได้ ขืนข้าเปลี่ยนนามสกุลรู้ไปถึงไหนอายถึงนั่น
"เจ้าต้องการแบบนั้นหรือ ย่อมได้" เมินโหยวผิงไม่มีทีท่าอิดออนแม้แต่น้อยราวกับข้าจะให้เขาอยู่ในฐานะเขาก็ไม่สนใจ ..ใช่สิ เพราะในทางปฎิบัติมันกลับกันโดยสิ้นเชิง
"ต่อไปนี้เจ้าไม่ใช่แม่ทัพของฮ่องเต้แล้ว เจ้าเป็นแม่ทัพของเมืองข้าเท่านั้น กองทัพของเจ้ามีใครจะร่วมเข้าก็ส่งรายชื่อมา ข้ายังต้องเจียดงบประมาณ พร้อมทั้งแต่งตั้งชื่ออีก "
เขาไม่ใช่แม่ทัพกิเลนอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อเขาปลดแล้วข้าจะแต่งตั้งเขาเป็นเพียงแม่ทัพในหัวเมืองเล้กๆก็ไม่แปลกอะไร
"ไม่มีปัญหา ข้าเป้นแม่ทัพของเจ้าแต่แรกอยู่แล้ว"
ดูเขาพูดเขา ข้าสะบัดใบหน้ากลบเขา รับรู้ถึงความร้อนผ่าวบนใบหน้า
"เจ้าพูดเหมือนรู้จักข้ามาตลอด แต่ข้าเจอเจ้าไม่กี่ครั้งเองนะ" เมินโหยวผิงส่ายหน้า ก่อนที่จะโต้ข้อความที่ทำให้ข้าพูดไม่ออก
"เจ้าไม่รู้ แต่ข้ารู้ก็เพียงพอแล้ว"
เจ้า...เจ้ามันโครตเผด็จการ เอาแต่ใจ ข้ากรีดร้องด่าเขาในใจ ก่อนที่จะสงสัยประดยคนั้น หมายความว่าไง เขาพุดราวกับรู้จักข้า ...ตลอดมา ..
"จางฉี่หลิง" ข้าเรียกเขาแต่อ้อมกอดอุ่นพลันเข้ามาประทะ ข้าตีมือเขา "เจ้าจะมาง้อข้ามิใช่หรือ"
"ใช่ " ถ้าใช่ก็อย่าทำสิ ข้าถลึงตาใส่เขาแต่กลับไร้ผลเมื่อมือแกร่งตวัดรวบข้าเข้าไปจูบ ตัวตนของข้าละลายในอ้อมกอดอันแข็งแกร่งนั้นไม่รู้กี่คราต่อกี่ครา ดูดเอาเรี่ยวแรงข้าไปจนหมด
ไม่ว่าข้าจะพยายามดึงดันพลักเขาแค่ไหนแต่ก็กลับเป็นฝ่ายต้องการเขามากเสียเอง ถูกก่ายกอดกลืนกินจนแทบไม่เหลือแม้กระทั่งเสียงที่จะกรีดร้องสุดท้ายเจ้าคนเอาแต่ใจถึงยอมปล่อยข้า
นี่มันง้อบ้านไหนของเจ้านะ
ข้าแค้นเขาจนน้ำตาเล็ด สะโพกร้าวรานรุ้สึกว่าหากแม่ทัพจางกรำศึกทุกวันร่างกายของข้าคงต้านทานไม่ไหว สงสัยข้าต้องต่อรองขอมาตราการเรื่องนี้เสียแล้ว
เรื่องนั้นคงต้องเอาไว้ทีหลัง เจ้าคนมักมากจูบข้าอีกครั้งลิ้นร้อนแทรกเข้าโพรงปาก ร้อนจนหายใจไม่ออก ดุท่าทางเขาต้องการจะแทรกสอดเข้ามาให้ลึกกว่านี้....
แย่ที่สุด ข้าเป็นอ๋องนะพวดเจ้าไม่เคราพข้าบ้าง
************************************************************
kuramajoy
kuramajoy
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า

จำนวนข้อความ : 206
Points : 3781
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[os]อ๋องน้อย2[ผิงเสีย] Empty Re: [os]อ๋องน้อย2[ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by kuramajoy Thu 06 Nov 2014, 20:28

ยามเช้าของข้าในอดีตคือเสียงโวยวายของอาสาม เสียงอันอ่อนโยนของท่านแม่ที่มาปลุกข้า เสียงดุดันของอารองที่ไล่กวดอาสาม เสียงของท่านพ่อที่ปรามทั้งสองคน และเสียงหัวเราะของท่านปู่
อดีตอันแสนหอมหวานในวันวานมิอาจย้อนหลับ ข้าได้สูญเสียมันไปเสียแล้ว
ความเจ็บปวดในจิตใจของข้ากลับเลือนหายไปทีละน้อยเมื่อยามเช้าของข้าในตอนนี้คือ เสียงโวยวายของนายอ้วน จามด้วยเสียงทะเลาะกันของเสี่ยวฮัวกับนายแว่น สุดท้ายเจ้าคนหน้ามึนเมินโหยวผิงจะเดินมาเขย่าตัวข้าเบาๆเพื่อปลุก หากข้าไม่รีบลุกจะโดนอ้อมแขนแกร่งรัดกดให้ลงนอนแบบชนิดที่ตื่นอีกทีวันต่อไปได้
สุดท้ายข้าจำต้องรีบลืมตาตื่นขึ้นพบกับยามเช้าที่แสนวุ่นวาย
มันหนวกหู มีแต่เรื่องปวดหัว..แตกต่างจากในยามอดีตยิ่งนัก ข้าลุกขึ้นจากเตียงนุ่มเมื่อได้ยินเสียงของแตก
"เสี่ยวฮัวห้ามทำลายข้าวของ นายแว่นหยุดไล่เขาเลยนะนายนี่เป้นอะไร " ข้าลุกไปทั้งที่ยังแต่งตัวไม่เรียบร้อย มีเมินโหยวผิงเดินเคียงคู่ข้างกายคอยบังลมหนาวให้
"ข้าเป็นสัตว์กินเนื้อนะท่านอ๋อง" นายแว่นไม่สำนึกหันมาตอบข้าหน้าระรื่น ส่วนเสี่ยวฮัวก้เมินข้า ข้าเลยไปห้ามนายอ้วนที่กำลังแอบขโมยขนมจากหวังเหมิง
"ว้าว ท่านอ่องยกโทษให้แม่ทัพด้วยละ" ลูกน้องของจางฉี่หลิงโผล่มาจากหลังเสามองสภาพอันไม่เรียบร้อยสลับกันหัวหน้าตัวเอง
"ท่านแม่ทัพ เป็นไงสูตรง้อสาวที่ข้าสอน"
"ท่านอ๋องจงเจริญ"
"หุบปาก!" ข้ากรีดร้อง ราวกับรังผึ้งแตกรัง เพียงแค่จางฉี่หลิงโบกมือเบาๆลูกน้องเขาก็ยอมหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ฮึ่มน่าเจ็บใจนัก
ข้าเหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาของแม่ทัพจางที่ยืนกุมมือของข้า ข้าควรสะบัดมันออกไปแต่ทำไมกันนะทั้งที่เขาเป็นคนเอาแต่ใจ มักมาก ไม่คิดถึงความรู้สึกของข้า ทำไม ทำไม ข้าถึงคิดว่าข้ามิอาจสลัดมืออบอุ่นคู่นี้ไปได้
ความรู้สึกของข้า...กำลังโหยหาเขาราวกับถูกเติมเต็มในหัวใจ ทีละเล็กทีละน้อย ...
ครั้นคิดเช่นนี้ข้าก็นึกถึงคำพูดของตนเองเมื่อตอนที่คิดว่าเขาจะตายได้ ตอนนั้นข้าคิดว่าเรามีเวลาไม่มากจึงได้พูดสิ่งที่อยากจะทำให้กัดลิ้นตาย ข้าขอให้เขารับข้าไปดูแล ข้าคิดอะไรกันตอนนั้นนะ บ้าที่สุด ความแค้นนี้ประหนึ่งทิ่มแทงในใจของข้า ถ้าไม่โดนเขาหลอกว่าจะตายให้ข้าตกตายก็ไม่พุดขึ้นมาหรอก
บ้าที่สุด
"อย่าหักโหม" มือแกร่งประคองข้าก่อนที่จะคลี่ยิ้ม "เพิ่งแต่งงานเจ้าควรถนอมตัวเพื่อลูกในท้องของเรา"
"ไปตายซะ"หมดกันไอ้ความรู้สึกอบอุ่นปนซึ้งในหัวใจเมื่อครู่ สลายสิ้นด้วยคำพูดเขาเพียงคำเดียว ข้าดึงแก้มเขาพลางถาม
"เจ้าอย่าเชื่อที่พวกลูกน้องสอนมากจะได้ไหม" เมินโหยวผิงคลี่ยิ้มก่อนที่จะตอบคำที่ข้าอยากจะไล่พวกเขาออกไปจากเมืองให้หมด
"มันก็ได้ผลมิใช่หรือ"
โธ่เว้ย ใครบอกว่าได้ผล เจ้าคนเอาแต่ใจ เจ้าบ้า ข้ายังไมได้ยอมรับเจ้าเสียหน่อย
"วันนี้นอนนอกห้องไปเลย" พูดจบข้าก็ปิดประตูใส่หน้าเขาขังตัวเองเอาไว้ ทว่าข้ารู้ดีว่าอีกสักพักคงมีแมวตัวใหย่แอบเข้าห้องข้าจนได้
ชีวิตข้านี่มันช่างวุ่นวายเสียจริง ยุ่งจนไม่เหลือเวลาให้คิดถึงอดีตอันเจ็บปวด อยากจะร้องไห้ก็ไม่ว่าง ..เฮ้อ..ทั้งที่ข้าควรหงุดหงิดแต่ทำไมกันนะ มุมปากถึงได้กระตุกขึ้นรู้สึกว่าตัวเองยิ้มออกมาจากใจ...
ตอนนี้ข้าคงมีความสุขกระมั้ง
ส่วนเรื่องลงโทษจางฉี่หลองเอาไว้คิดวันอื่นก็ได้ ตอนนี้ข้าขอตรวจงาน คุยเรื่องการจัดสรรพื้นที่แล้วแต่งตั้งกองทัพกับเสี่ยวฮัว และอาจจะยอมให้แม่ทัพขี้โกงคนนั้นหนุนตักนอนกลางวันสักนิดก็ได้..
The End

**********************
สุดท้ายใครอ่านแล้วชอบอยากเก็บเป้นเล่มตอนนี้เปิด pre order อยู่นะคะ
[os]อ๋องน้อย2[ผิงเสีย] 1970496_293283894190953_4604348504838191643_n
รายละเอียด https://www.facebook.com/kuramajoy1/photos/a.619098424780668.1073741838.609728312384346/851351351555373/?type=1&theater
kuramajoy
kuramajoy
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า

จำนวนข้อความ : 206
Points : 3781
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[os]อ๋องน้อย2[ผิงเสีย] Empty Re: [os]อ๋องน้อย2[ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by sagacity191 Tue 11 Nov 2014, 16:26

ท่านแม่ทัพน่ารักที่สุดอะ
ยอมได้ทุกอย่าง ขอแค่ให้ได้อยู่กับท่านอ๋อง

ท่านอ๋องก็อย่างอนบ่อยเกินนะคะ
คนนี้เค้าง้อใครไม่ค่อยเก่ง
sagacity191
sagacity191
ด้วงตำหนักหลู่หวังเจ็ดดารา
ด้วงตำหนักหลู่หวังเจ็ดดารา

จำนวนข้อความ : 53
Points : 3523
Join date : 06/11/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[os]อ๋องน้อย2[ผิงเสีย] Empty Re: [os]อ๋องน้อย2[ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by k_yame Fri 14 Nov 2014, 14:33

อ่านในเด็กดีแล้ว มาเม้นท์ในบอร์ดอีกสักทีค่าา
เรื่องนี้อ่านกี่ทีก็มุ้งมิ้งในหัวใจ น่ารักกันมากมาย
ท่านอ๋องน้อยก็น่ารักน่าแกล้งจริงเชียว แต่ที่ชอบที่สุด
คือ พวกเหล่านายทหาร (ประหนึ่งเหล่ากองทัพด้วงมาเอง) ถูกใจจริงๆ ให้ตายเถอะ 555

k_yame
ด้วงฝึกหัด
ด้วงฝึกหัด

จำนวนข้อความ : 10
Points : 3490
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[os]อ๋องน้อย2[ผิงเสีย] Empty Re: [os]อ๋องน้อย2[ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by ด้วงผิงเสีย Sat 04 Mar 2017, 21:46

น่ารักมากคะ ชอบแนวๆ นี้ แต่ไม่หลุดคาร์ตัวละครหลัก อิอิ ช้อบบบบบบบบชอบบบบบบบบบบบบบบบ
ด้วงผิงเสีย
ด้วงผิงเสีย
ด้วง
ด้วง

จำนวนข้อความ : 29
Points : 2695
Join date : 18/01/2017
Age : 36

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน

- Similar topics

 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ