Countdown
We've been
togerther for
ค้นหา
Latest topics
Most active topics
[SF] belong together(ตอนต้น) [15 :: จางฉี่ซานxอู๋เหลาโก่ว]
4 posters
หน้า 1 จาก 1
[SF] belong together(ตอนต้น) [15 :: จางฉี่ซานxอู๋เหลาโก่ว]
[SF] belong together(ตอนต้น) [15 :: จางฉี่ซานxอู๋เหลาโก่ว]
"ข่าวลือนั่น...จริงหรือ?"
ริมฝีปากเรียวบางซึ่งถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงสดขยับถามเบาๆ ดวงตาคู่สวยจับจ้องอย่างคาดคั้นภายใต้หน้ากากของรอยยิ้มหวานดังเทพธิดาจากสรวงสวรรค์...แต่คนตรงหน้ากลับมองผ่านความงามของหญิงสาวในชุดกี่เพ้าสีแดงสดและผ้าคลุมไหล่ขนสัตว์สีขาวไปอย่างน่าเสียดาย
"รู้อยู่แล้วยังจะมาถามข้าทำไมหรือ...เซียนกู?" ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงราบเรียบ
"ข้าฟังแล้วเชื่อไม่ลง" หญิงสาวหรี่ตามอง "เรื่องนี้ต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรเป็นแน่"
"...เหลาอู่ตัดสินใจเอง ข้าไม่รู้ด้วยหรอก"
"อย่ามาทำเป็นไม่รู้หน่อยเลยเสี่ยวจิ่ว"
คุณหนูคนงามของสกุลฮั่วสะบัดหน้าทำท่าไม่พอใจจนคนในงานเลี้ยงเริ่มหันมาสนใจคู่ชายหญิงที่ยืนสนทนากันอยู่ตรงมุมห้อง เซี่ยจิ่วถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายเมื่อโดนเล่นมุกไม้เดิมๆ อีกครั้ง...พ่อของเขาคงไม่ชอบใจเท่าไรหากเห็นว่าเขาทำให้คุณหนูเจ็ดโกรธ
"เจ้าไม่ไปถามเหล่าปาเล่า"
"เจ้านั่นก็เอาแต่ยกมือห้ามข้าพูดแล้วก็เดินหนี ข้าถามเอากับเจ้านี่แหละ"
คุณชายเก้าขยับแว่นบนดั้งจมูกแสร้งหลบตาอย่างลำบากใจพร้อมกับกัดฟันกรอด...เหล่าปานะเหล่าปา
"ว่าไงเสี่ยวจิ่ว เหลาอู่ไปคว่ำกรวยกับซื่อเย๋จริงหรือ แล้วที่ว่าลิ่วเหย่ก็ไปด้วยล่ะ?"
...ฟังแล้วก็อยากจะหัวเราะให้ลั่นงาน ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นเรื่องจริง...
"เจ้าเชื่อหรือ?"
"ก็ไม่เชื่อไง แต่เจ้าพูดแบบนี้...จริงสินะ"
"ข้ายังไม่ทันว่าอะไรเลย"
หญิงสาวเบะริมฝีปากสีสวยด้วยท่วงท่าซึ่งยังคงความสวยน่ารักเอาไว้ ถึงแม้จะสนิทสนมกันอยู่แต่ในบรรดากลุ่มคนรุ่นราวคราวเดียวกันของเก้าสกุลใหญ่ก็เห็นจะมีแต่โก่วอู่เย๋เท่านั้นที่นางต่อปากต่อคำแล้วมีสิทธิ์ชนะ...หากไม่จำเป็นฮั่วเซียนกูก็ไม่ได้อยากมาปวดประสาทกับคุณชายบ้านเก้าหรือเถ้าแก่บ้านแปดเท่าไร
"เจ้าไม่มีท่าทีเป็นห่วงเหลาอู่แบบนี้ก็แสดงว่านี่เป็นแผนของเจ้าสินะ" เซี่ยจิ่วเย๋ฟังแล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะตอบเสียงเรื่อยราวกับไม่เข้าใจความหมายแฝงนั้น
"เหลาอู่คว่ำมาเป็นร้อยกรวย ยังจะมีอะไรให้ข้าต้องเป็นห่วงเจ้านั่นอีก"
"เสี่ยวจิ่ว! เจ้าก็รู้ว่าสามคนนั้นคว่ำกรวยร่วมกับชาวบ้านเขาเป็นที่ไหน ซื่อเย๋ยังมีใช้ลูกน้องบ้าง เหลาอู่ก็เอาแต่คุยกับหมา ลิ่วเหย่ก็พูดได้แต่ภาษาดาบ! แถมแต่ละคนยังศีลธรรมสูงส่งเสียขนาดนั้น ไปตักทรายครั้งนี้ข้าเห็นจะเป็นการฆ่าแย่งสมบัติกันเสียมากกว่า!!!"
หญิงสาวโวยวายอย่างเหลืออด แม้จะลดระดับเสียงลงแต่ยังคงทำให้พวกเขาเป็นจุดสนใจในงานได้เป็นอย่างดี เซี่ยจิ่วถอนหายใจเฮือกอีกรอบพลางคิดถึงคำดุของบิดาที่ต้องเผชิญในคืนนี้
"เอาล่ะเซียนกู...ข้ายอมรับว่าข้ารู้เรื่องนี้" ดวงตาหลังกรอบแว่นมองสบคนตรงหน้าอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก "แต่อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้เหลาอู่ตัดสินใจเอง ข้ากับเหล่าปาก็ไม่มีสิทธิ์พูดอะไรหรอกนะ"
ฮั่วเซียนกูขมวดคิ้วจ้องตอบ นางคุ้นชินกับเซี่ยจิ่วมานานพอที่จะหยุดคิดหาความหมายระหว่างคำพูดนั้นแต่ก่อนจะได้ค้านอะไรออกไปหญิงสาวก็เหลือบไปเห็นความเคลื่อนไหวที่ทำให้ต้องหลุดอุทานออกมาเบาๆ
"...เจ้าไม่คิดจะบอกอะไรข้าก็เอาเถอะเสี่ยวจิ่ว" คุณหนูคนงามแห่งบ้านแปดยกยิ้ม "แต่เจ้าต้องมีคำตอบดีๆ ให้กับสองคนนั้นนะ"
สองคนที่ว่า...นายทหารใหญ่ในชุดเครื่องแบบเต็มยศผู้หอบรังสีทะมึนมาแต่ไกลและนางเอกงิ้วคนงามผู้มีรอยยิ้มหวานชวนสยดสยองอยู่บนเรียวปาก
คุณชายบ้านเก้ารู้สึกอยากหนีกลับบ้านสกุลเซี่ยขึ้นมาโดยพลัน พร้อมกับลงบัญชีคาดโทษต้นเหตุเอาไว้ในใจเป็นแม่นมั่น
เหลาอู่ เหล่าปา...เมื่อไรจะเลิกโยนเรื่องยุ่งยากมาให้ข้าเสียที!!!
ถึงแม้จะยังไม่ย่างเข้าฤดูหนาวเต็มที่แต่อากาศยามค่ำคืนในป่าเขาก็ชวนให้หนาวสั่นถึงกระดูกได้ไม่ยาก ชายหนุ่มเป่าลมอุ่นใส่มือก่อนจะกระชับเสื้อคลุมหนังให้มิดชิดพร้อมกับซุกตัวลงกับกลุ่มขนหนานุ่มด้านข้าง
"ถ้าไม่มีเจ้า ข้าต้องตายแน่ๆ เถี่ยเปาจิน"
เสียงครางต่ำของทิเบแทนมัสติฟฟ์ตัวยักษ์ตอบรับคำกล่าวนั้นอย่างภูมิใจจนอู๋เหลาโก่วต้องหันไปกอดฟัดให้หายหมั่นเขี้ยว
ชายหนุ่มนอนพิงสุนัขตัวใหญ่อย่างสบายใจไปพร้อมๆ กับสัญชาตญาณซึ่งตื่นตัวเต็มที่ ประสบการณ์สอนให้เขาไม่ไว้ใจอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...เมื่อมีสหายรอบกองไฟที่น่าเหลือเชื่อ
ร่างสูงใหญ่กอดดาบเล่มโตเอาไว้พร้อมกับนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง เส้นผมที่เคยถูกรวบเอาไว้อย่างดีเริ่มรุ่ยร่ายลงมาเล็กน้อยแต่เจ้าตัวดูจะไม่ได้สนใจ ดวงตาว่างเปล่าจับจ้องไปยังความมืดมิดนอกแสงไฟอย่างไร้จุดหมาย ส่วนอีกมุมหนึ่งนั้นก็มีร่างสูงเพรียวนั่งขัดสมาธิเหยียดหลังตรงอย่างสง่างามไม่ผิดกับผู้เป็นอาจารย์อย่างเอ้อร์เย่ว์หง ใบหน้านิ่งสงบนั้นแลดูน่ากลัวยิ่งขึ้นเมื่อฉาบด้วยแสงสะท้อนของเปลวเพลิงซึ่งวูบไหวตามแรงลม
เฮยเป้ยเหล่าลิ่วไม่เคยพูดอะไรอยู่แล้ว ส่วนเฉินผีอาซื่อก็ไม่ใช่คนที่จะเริ่มบทสนทนากับใครก่อนหากคนคนนั้นไม่ใช่เถ้าแก่และฮูหยินแห่งบ้านสอง
อู๋เหลาโก่วกระแอมเล็กน้อยเพื่อเรียกความสนใจ...แต่ก็ไม่มีใครมีการตอบสนองเลยสักนิด
"...พวกท่านทั้งสองมีแผนอย่างไรในวันพรุ่งนี้"
ถามออกไปอย่างใจกล้าพร้อมกับลุ้นระทึกการตอบสนองแทบหยุดหายใจ
"...ฮืม..."
"..."
...บางทีเขาอาจจะคาดหวังมากเกินไป
ชายหนุ่มถดตัวกลับมาซุกตัวลงกับกลุ่มขนหนานุ่มอีกครั้งอย่างปลงๆ แม้จะถูกยกย่องเป็นสกุลระนาบเช่นเดียวกันแต่อู๋เหลาโก่วก็อายุน้อยกว่าอีกสองคนเป็นรอบ ในตอนที่ทั้งคู่เดินเล่นในสุสานกันราวกับสนามหลังบ้านแล้วตัวเขาเพิ่งจะได้รู้จักเสียมลั่วหยางด้วยซ้ำ ถึงชายหนุ่มจะมั่นใจในฝีมือตนเองเพียงใดก็ไม่อาจปฏิเสธช่องว่างของประสบการณ์ไปได้ ในตอนแรกเขาจึงคิดจะเคารพผู้อาวุโสโดยการเป็นผู้ตามแต่เมื่อไม่มีใครยินดีร่วมมือ...ก็คงจะต้องเลยตามเลย
"เจ้าคงเข้าใจผิดแล้วล่ะไอ้หนู"
เสียงแค่นหัวเราะดังขึ้นในตอนที่เขาใกล้จะเคลิ้มหลับ คำกล่าวนั้นดึงสติให้คนอายุน้อยผุดลุกขึ้นมานั่งได้ในทันที ใบหน้าเฉยชานั้นบิดมุมปากขึ้นเล็กน้อยเผยรอยยิ้มชวนหวาดหวั่น
"งานนี้ไม่ใช่การคีบลามะ แต่เป็นการโยนชิ้นเนื้อลงมาในกรงเสือ" เฉินผีอาซื่อมองสบดวงตาใสสะอาดตรงหน้า "เจ้าคิดจริงหรือว่าพวกเราจะร่วมมือกันได้"
อู๋เหลาโก่วย่อมเข้าใจที่อีกฝ่ายกำลังสื่อดีอยู่แล้ว พวกเขาทั้งสามล้วนคว่ำกรวยเพียงลำพัง จะมีบ้างที่เถ้าแก่บ้านสี่พาผู้ติดตามลงไป แต่นั่นก็เป็นแค่การว่าจ้างใช้งานที่เอาแต่ตัวรอดเป็นหลัก...พวกเขาล้วนเป็นนายตัวเองและไม่เป็นลามะให้ใครคีบ
"ข้าไม่คิด...ถึงได้อยากทราบแผนของพวกท่าน จะได้ไม่ขัดขากันเอง"
"เจ้าควรจะกลัวข้ารู้แผนแล้วลวงให้เจ้าขัดขากับเหล่าลิ่วมากกว่านะเหลาอู่" แววตานั้นลุกโชนไปด้วยกลิ่นอายของความเลือดเย็น "หรือควรจะกลัวว่าข้าจะใช้หมาสักตัวของเจ้ามาเป็นเครื่องมือ"
ชายหนุ่มขมวดคิ้วก่อนจะจ้องตอบด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เถ้าแก่บ้านสี่เห็นดังนั้นก็หัวเราะชอบใจในทันที
"เจ้าเองก็เป็นหนึ่งในสกุลระนาบ ถึงจะเก็บงำไว้ใต้ดวงตาซื่อๆ แต่เนื้อแท้ก็ไม่ได้แตกต่างจากพวกข้าเสียเท่าไรหรอก"
"ข้าไม่เคยเก็บงำหรอกครับซื่อเย๋" คนที่อารมณ์ดีอยู่เป็นนิจยกยิ้มเครียด "แต่ทางที่ดี...ท่านควรจะอยู่ให้ห่างจากหมาของข้านะครับ"
เฉินผีอาซื่อส่งเสียงรับในลำคออย่างขบขันแล้วบทสนทนาก็สิ้นสุดลง อู๋เหลาโก่วเหลือบมองเฮยเป้ยเหล่าลิ่ว ดวงตาที่เหมือนสัตว์ป่านั้นจับจ้องอยู่ก่อนแล้ว คำกล่าวที่ไร้เสียงบอกว่าเขาเองก็เห็นไม่ต่างกัน
...สภาพในกรวยครั้งนี้จะเป็นเช่นไร ช่างสุดจินตนาการที่จะนึกออกจริงๆ
ความเงียบงันโรยตัวลงปกคลุมบรรยากาศรอบกองไฟไปจนเกือบรุ่งสาง สุนัขสีดำตัวปราดเปรียวลุกพรวดขึ้นมาจับจ้องไปยังทิศทางหนึ่ง ท่าทางของมันเหมือนเตรียมรับมือกับบางอย่างในความมืดอันเงียบสงัด แล้วดวงตาอีกสามคู่ก็เปิดขึ้นในทันทีราวกับไม่ได้อยู่ในห้วงนิทรา
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาใกล้เข้ามาทุกที ลักษณะเช่นนี้ไม่เหมือนสัตว์ป่า เฉินผีอาซื่อหยิบลูกเหล็กเตรียมไว้ที่ปลายนิ้วพร้อมกับที่เฮยเป้ยเหล่าลิ่วกำด้ามดาบแน่น
แต่อู๋เหลาโก่วกลับเพ่งมองในความมืดมิดอย่างชั่งใจ ท่าทางของถังเซิงนั้นไม่เหมือนเจอสิ่งอันตราย หางของมันสะบัดไปมาไม่ได้อยู่ในความตึงเครียด
แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร ทิเบแทนสเปเนี่ยลตัวจิ๋วก็มุดออกมาจากเสื้อ เห่าเสียงเบาหนึ่งทีแล้วกระโจนเข้าป่าไปยังทิศทางของเสียงแปลกปลอมนั้น
เถ้าแก่ผู้รักหมาสะดุ้งตัวลุกขึ้นอย่างตกใจ เสียงเห่าทักทายของซันชุ่นติงทำให้เขาแปลกใจอย่างยิ่ง และในที่สุดร่างสูงที่คุ้นในชุดเสื้อหนังก็ก้าวเข้ามาพร้อมกับก้อนขนตัวจิ๋วในมือ
"ขออภัยที่มารบกวนในยามนี้"
เฉินผีอาซื่อทำเสียงขึ้นจมูกก่อนจะเก็บอาวุธทันทีเมื่อเห็นแขกยามวิกาลชัดเจน ใบหน้านิ่งของผู้มาเยือนไม่บ่งบอกอารมณ์อะไร เขาเพียงแต่ก้าวยาวๆ ไปหยุดยืนตรงหน้าคนที่กำลังเบิกตากว้าง
ซันชุ่นติงขดตัวให้มือใหญ่ลูบขนอย่างสบายใจ ในขณะที่เจ้านายยังหาคำพูดมาเริ่มบทสนทนาไม่ได้
"ข้ามารับกลับ"
เสียงทุ้มกล่าวสั้นง่ายกระชับจนคนฟังยิ่งตาเหลือกเข้าไปใหญ่
"เดี๋ยวนะท่าน..."
"ทั้งเหล่าลิ่ว ทั้งเหล่าซื่อ เจ้าจะลงกรวยไปแย่งของกับพวกเขาทำไมกัน"
คำกล่าวนั้นแฝงแววดุอยู่เบาบาง แต่ก็ทำให้ความงงงวยเปลี่ยนเป็นไม่พอใจได้ไม่ยาก อู๋เหลาโก่วขมวดคิ้วเชิดคอจ้องตอบอย่างไม่เกรงกลัว
"ข้าจะลงกรวยไหนแย่งของกับใครแล้วอย่างไร" คนอายุน้อยกว่าตอบชัด "สำนักใต้ไม่ใส่ใจธรรมเนียมพรรค์นั้นหรอก และที่นั่งกันอยู่ตรงนี้ก็ใช่ว่าจะมีสำนักให้บูชา"
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำจากอีกสองคนลอยมาให้กับคำกล่าวนั้นจนจางฉี่ซานนึกปวดตุบๆ ที่ขมับเป็นกำลัง
"เหลาอู่..."
"พ่อพระใหญ่จาง...เผื่อท่านจะลืมไป ข้าก็ขึ้นลงกรวยมาไม่ต่ำกว่าหลักร้อย อย่าได้กังวลนักเลย" อู๋เหลาโก่วยกมุมปากให้ "ตัวท่านเองก็เพิ่งไปพบเจอเรื่องเสี่ยงภัยมาเหมือนกันมิใช่หรือ เชิญท่านกลับไปพักให้หายเหนื่อยก่อนเถอะ"
ว่าจบก็เดินกลับไปทิ้งตัวใส่เถี่ยเปาจินที่สะบัดขนฟูนุ่มรออย่างไม่สนใจคนที่ดั้งด้นตามมาจากฉางซาทันทีที่รู้เรื่องแม้แต่น้อย
คนอายุมากกว่ามองท่าทางนั้นแล้วก็ได้แต่ระงับอารมณ์หงุดหงิดของตัวเอง จางฉี่ซานก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจว่าโดนโกรธที่ตรงไหน แต่ปกติอู๋เหลาโก่วเป็นคนมีเหตุผลและไม่ใช่พวกชอบหาเรื่องใส่ตัว ดังนั้นการที่ดึงดันจะลงกรวยนี้พร้อมกับเฮยเป้ยเหล่าลิ่วและเฉินผีอาซื่อนั้นต้องมีอะไรที่ซ่อนอยู่ซึ่งทั้งฉีเถียจุ่ยและเซี่ยจิ่วไม่ยอมบอกเขา
ถึงจะเป็นเก้าสกุลใหญ่แห่งฉางซา แต่เด็กน้อยสามคนนี้อยู่ด้วยกันทีไรก็ไม่แคล้วจะมีเรื่องมาทำให้พวกผู้ใหญ่อย่างสามสกุลบนปวดเศียรเวียนเกล้า...ครั้งนี้เขาก็ต้องหิ้วเอ้อร์เย่ว์หงที่ทำท่าจะเป็นจะตายไปส่งตัวให้ฮูหยินปลอบก่อนจะรีบตามมาเช่นกัน
จางฉี่ซานทรุดตัวลงนั่งด้านข้างสุนัขตัวใหญ่ ใบหน้าใจดีของเถี่ยเปาจินคล้ายจะปลอบใจเขาจนอดเอื้อมมือไปเกาหัวเกาหูให้ไม่ได้
แต่ถึงจะสบถในใจไปไม่น้อย อยากจะทิ้งให้เจ้าหนูหมาห้าให้เผชิญเรื่องนี้เองแต่นายทหารใหญ่ก็ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกเป็นห่วงที่มีอยู่ล้นอก
หวังว่าวันพรุ่งนี้...คงจะไม่วุ่นวายนัก...
TBC
::talk::
สวัสดีค่า~
หายหัวไปนานพอควร แฮ่ กลับมาอีกครั้งพร้อม15ต้อนรับปีใหม่ สวัสดีปีใหม่ทุกๆคนด้วยนะคะ~
ฟิคเรื่องนี้เป็นของเทรดที่แลกกับรูปของคุณหยก (@Yokibear_yoko) คุณหยกรีเควสมาว่า อยากเห็นพ่อพระหึงปู่อู๋บ้าง อยากให้ฝอเหยียโดนปั่นหัวบ้าง ก็เลยเกิดขึ้นมาเป็นฟิคนี้ค่ะ ส่วนพ่อพระจะโดนปั่นหัวอย่างไรติดตามตอนต่อไปได้นะคะ แฮ่ ตอนแรกก็คิดว่าจะเป็นฟิคสั้นตอนเดียวจบแต่ยิ่งเขียนยิ่งยาวยืด เลยขอแบ่งเป็นตอนๆทยอยมาลง
ปีใหม่นี้ก็ขอฝาก15ของเราไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกคนอีกปีนะคะ หวังว่าจะถูกใจทุกคน ขอบคุณค่า
"ข่าวลือนั่น...จริงหรือ?"
ริมฝีปากเรียวบางซึ่งถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงสดขยับถามเบาๆ ดวงตาคู่สวยจับจ้องอย่างคาดคั้นภายใต้หน้ากากของรอยยิ้มหวานดังเทพธิดาจากสรวงสวรรค์...แต่คนตรงหน้ากลับมองผ่านความงามของหญิงสาวในชุดกี่เพ้าสีแดงสดและผ้าคลุมไหล่ขนสัตว์สีขาวไปอย่างน่าเสียดาย
"รู้อยู่แล้วยังจะมาถามข้าทำไมหรือ...เซียนกู?" ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงราบเรียบ
"ข้าฟังแล้วเชื่อไม่ลง" หญิงสาวหรี่ตามอง "เรื่องนี้ต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรเป็นแน่"
"...เหลาอู่ตัดสินใจเอง ข้าไม่รู้ด้วยหรอก"
"อย่ามาทำเป็นไม่รู้หน่อยเลยเสี่ยวจิ่ว"
คุณหนูคนงามของสกุลฮั่วสะบัดหน้าทำท่าไม่พอใจจนคนในงานเลี้ยงเริ่มหันมาสนใจคู่ชายหญิงที่ยืนสนทนากันอยู่ตรงมุมห้อง เซี่ยจิ่วถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายเมื่อโดนเล่นมุกไม้เดิมๆ อีกครั้ง...พ่อของเขาคงไม่ชอบใจเท่าไรหากเห็นว่าเขาทำให้คุณหนูเจ็ดโกรธ
"เจ้าไม่ไปถามเหล่าปาเล่า"
"เจ้านั่นก็เอาแต่ยกมือห้ามข้าพูดแล้วก็เดินหนี ข้าถามเอากับเจ้านี่แหละ"
คุณชายเก้าขยับแว่นบนดั้งจมูกแสร้งหลบตาอย่างลำบากใจพร้อมกับกัดฟันกรอด...เหล่าปานะเหล่าปา
"ว่าไงเสี่ยวจิ่ว เหลาอู่ไปคว่ำกรวยกับซื่อเย๋จริงหรือ แล้วที่ว่าลิ่วเหย่ก็ไปด้วยล่ะ?"
...ฟังแล้วก็อยากจะหัวเราะให้ลั่นงาน ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นเรื่องจริง...
"เจ้าเชื่อหรือ?"
"ก็ไม่เชื่อไง แต่เจ้าพูดแบบนี้...จริงสินะ"
"ข้ายังไม่ทันว่าอะไรเลย"
หญิงสาวเบะริมฝีปากสีสวยด้วยท่วงท่าซึ่งยังคงความสวยน่ารักเอาไว้ ถึงแม้จะสนิทสนมกันอยู่แต่ในบรรดากลุ่มคนรุ่นราวคราวเดียวกันของเก้าสกุลใหญ่ก็เห็นจะมีแต่โก่วอู่เย๋เท่านั้นที่นางต่อปากต่อคำแล้วมีสิทธิ์ชนะ...หากไม่จำเป็นฮั่วเซียนกูก็ไม่ได้อยากมาปวดประสาทกับคุณชายบ้านเก้าหรือเถ้าแก่บ้านแปดเท่าไร
"เจ้าไม่มีท่าทีเป็นห่วงเหลาอู่แบบนี้ก็แสดงว่านี่เป็นแผนของเจ้าสินะ" เซี่ยจิ่วเย๋ฟังแล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะตอบเสียงเรื่อยราวกับไม่เข้าใจความหมายแฝงนั้น
"เหลาอู่คว่ำมาเป็นร้อยกรวย ยังจะมีอะไรให้ข้าต้องเป็นห่วงเจ้านั่นอีก"
"เสี่ยวจิ่ว! เจ้าก็รู้ว่าสามคนนั้นคว่ำกรวยร่วมกับชาวบ้านเขาเป็นที่ไหน ซื่อเย๋ยังมีใช้ลูกน้องบ้าง เหลาอู่ก็เอาแต่คุยกับหมา ลิ่วเหย่ก็พูดได้แต่ภาษาดาบ! แถมแต่ละคนยังศีลธรรมสูงส่งเสียขนาดนั้น ไปตักทรายครั้งนี้ข้าเห็นจะเป็นการฆ่าแย่งสมบัติกันเสียมากกว่า!!!"
หญิงสาวโวยวายอย่างเหลืออด แม้จะลดระดับเสียงลงแต่ยังคงทำให้พวกเขาเป็นจุดสนใจในงานได้เป็นอย่างดี เซี่ยจิ่วถอนหายใจเฮือกอีกรอบพลางคิดถึงคำดุของบิดาที่ต้องเผชิญในคืนนี้
"เอาล่ะเซียนกู...ข้ายอมรับว่าข้ารู้เรื่องนี้" ดวงตาหลังกรอบแว่นมองสบคนตรงหน้าอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก "แต่อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้เหลาอู่ตัดสินใจเอง ข้ากับเหล่าปาก็ไม่มีสิทธิ์พูดอะไรหรอกนะ"
ฮั่วเซียนกูขมวดคิ้วจ้องตอบ นางคุ้นชินกับเซี่ยจิ่วมานานพอที่จะหยุดคิดหาความหมายระหว่างคำพูดนั้นแต่ก่อนจะได้ค้านอะไรออกไปหญิงสาวก็เหลือบไปเห็นความเคลื่อนไหวที่ทำให้ต้องหลุดอุทานออกมาเบาๆ
"...เจ้าไม่คิดจะบอกอะไรข้าก็เอาเถอะเสี่ยวจิ่ว" คุณหนูคนงามแห่งบ้านแปดยกยิ้ม "แต่เจ้าต้องมีคำตอบดีๆ ให้กับสองคนนั้นนะ"
สองคนที่ว่า...นายทหารใหญ่ในชุดเครื่องแบบเต็มยศผู้หอบรังสีทะมึนมาแต่ไกลและนางเอกงิ้วคนงามผู้มีรอยยิ้มหวานชวนสยดสยองอยู่บนเรียวปาก
คุณชายบ้านเก้ารู้สึกอยากหนีกลับบ้านสกุลเซี่ยขึ้นมาโดยพลัน พร้อมกับลงบัญชีคาดโทษต้นเหตุเอาไว้ในใจเป็นแม่นมั่น
เหลาอู่ เหล่าปา...เมื่อไรจะเลิกโยนเรื่องยุ่งยากมาให้ข้าเสียที!!!
++++++
ถึงแม้จะยังไม่ย่างเข้าฤดูหนาวเต็มที่แต่อากาศยามค่ำคืนในป่าเขาก็ชวนให้หนาวสั่นถึงกระดูกได้ไม่ยาก ชายหนุ่มเป่าลมอุ่นใส่มือก่อนจะกระชับเสื้อคลุมหนังให้มิดชิดพร้อมกับซุกตัวลงกับกลุ่มขนหนานุ่มด้านข้าง
"ถ้าไม่มีเจ้า ข้าต้องตายแน่ๆ เถี่ยเปาจิน"
เสียงครางต่ำของทิเบแทนมัสติฟฟ์ตัวยักษ์ตอบรับคำกล่าวนั้นอย่างภูมิใจจนอู๋เหลาโก่วต้องหันไปกอดฟัดให้หายหมั่นเขี้ยว
ชายหนุ่มนอนพิงสุนัขตัวใหญ่อย่างสบายใจไปพร้อมๆ กับสัญชาตญาณซึ่งตื่นตัวเต็มที่ ประสบการณ์สอนให้เขาไม่ไว้ใจอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...เมื่อมีสหายรอบกองไฟที่น่าเหลือเชื่อ
ร่างสูงใหญ่กอดดาบเล่มโตเอาไว้พร้อมกับนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง เส้นผมที่เคยถูกรวบเอาไว้อย่างดีเริ่มรุ่ยร่ายลงมาเล็กน้อยแต่เจ้าตัวดูจะไม่ได้สนใจ ดวงตาว่างเปล่าจับจ้องไปยังความมืดมิดนอกแสงไฟอย่างไร้จุดหมาย ส่วนอีกมุมหนึ่งนั้นก็มีร่างสูงเพรียวนั่งขัดสมาธิเหยียดหลังตรงอย่างสง่างามไม่ผิดกับผู้เป็นอาจารย์อย่างเอ้อร์เย่ว์หง ใบหน้านิ่งสงบนั้นแลดูน่ากลัวยิ่งขึ้นเมื่อฉาบด้วยแสงสะท้อนของเปลวเพลิงซึ่งวูบไหวตามแรงลม
เฮยเป้ยเหล่าลิ่วไม่เคยพูดอะไรอยู่แล้ว ส่วนเฉินผีอาซื่อก็ไม่ใช่คนที่จะเริ่มบทสนทนากับใครก่อนหากคนคนนั้นไม่ใช่เถ้าแก่และฮูหยินแห่งบ้านสอง
อู๋เหลาโก่วกระแอมเล็กน้อยเพื่อเรียกความสนใจ...แต่ก็ไม่มีใครมีการตอบสนองเลยสักนิด
"...พวกท่านทั้งสองมีแผนอย่างไรในวันพรุ่งนี้"
ถามออกไปอย่างใจกล้าพร้อมกับลุ้นระทึกการตอบสนองแทบหยุดหายใจ
"...ฮืม..."
"..."
...บางทีเขาอาจจะคาดหวังมากเกินไป
ชายหนุ่มถดตัวกลับมาซุกตัวลงกับกลุ่มขนหนานุ่มอีกครั้งอย่างปลงๆ แม้จะถูกยกย่องเป็นสกุลระนาบเช่นเดียวกันแต่อู๋เหลาโก่วก็อายุน้อยกว่าอีกสองคนเป็นรอบ ในตอนที่ทั้งคู่เดินเล่นในสุสานกันราวกับสนามหลังบ้านแล้วตัวเขาเพิ่งจะได้รู้จักเสียมลั่วหยางด้วยซ้ำ ถึงชายหนุ่มจะมั่นใจในฝีมือตนเองเพียงใดก็ไม่อาจปฏิเสธช่องว่างของประสบการณ์ไปได้ ในตอนแรกเขาจึงคิดจะเคารพผู้อาวุโสโดยการเป็นผู้ตามแต่เมื่อไม่มีใครยินดีร่วมมือ...ก็คงจะต้องเลยตามเลย
"เจ้าคงเข้าใจผิดแล้วล่ะไอ้หนู"
เสียงแค่นหัวเราะดังขึ้นในตอนที่เขาใกล้จะเคลิ้มหลับ คำกล่าวนั้นดึงสติให้คนอายุน้อยผุดลุกขึ้นมานั่งได้ในทันที ใบหน้าเฉยชานั้นบิดมุมปากขึ้นเล็กน้อยเผยรอยยิ้มชวนหวาดหวั่น
"งานนี้ไม่ใช่การคีบลามะ แต่เป็นการโยนชิ้นเนื้อลงมาในกรงเสือ" เฉินผีอาซื่อมองสบดวงตาใสสะอาดตรงหน้า "เจ้าคิดจริงหรือว่าพวกเราจะร่วมมือกันได้"
อู๋เหลาโก่วย่อมเข้าใจที่อีกฝ่ายกำลังสื่อดีอยู่แล้ว พวกเขาทั้งสามล้วนคว่ำกรวยเพียงลำพัง จะมีบ้างที่เถ้าแก่บ้านสี่พาผู้ติดตามลงไป แต่นั่นก็เป็นแค่การว่าจ้างใช้งานที่เอาแต่ตัวรอดเป็นหลัก...พวกเขาล้วนเป็นนายตัวเองและไม่เป็นลามะให้ใครคีบ
"ข้าไม่คิด...ถึงได้อยากทราบแผนของพวกท่าน จะได้ไม่ขัดขากันเอง"
"เจ้าควรจะกลัวข้ารู้แผนแล้วลวงให้เจ้าขัดขากับเหล่าลิ่วมากกว่านะเหลาอู่" แววตานั้นลุกโชนไปด้วยกลิ่นอายของความเลือดเย็น "หรือควรจะกลัวว่าข้าจะใช้หมาสักตัวของเจ้ามาเป็นเครื่องมือ"
ชายหนุ่มขมวดคิ้วก่อนจะจ้องตอบด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เถ้าแก่บ้านสี่เห็นดังนั้นก็หัวเราะชอบใจในทันที
"เจ้าเองก็เป็นหนึ่งในสกุลระนาบ ถึงจะเก็บงำไว้ใต้ดวงตาซื่อๆ แต่เนื้อแท้ก็ไม่ได้แตกต่างจากพวกข้าเสียเท่าไรหรอก"
"ข้าไม่เคยเก็บงำหรอกครับซื่อเย๋" คนที่อารมณ์ดีอยู่เป็นนิจยกยิ้มเครียด "แต่ทางที่ดี...ท่านควรจะอยู่ให้ห่างจากหมาของข้านะครับ"
เฉินผีอาซื่อส่งเสียงรับในลำคออย่างขบขันแล้วบทสนทนาก็สิ้นสุดลง อู๋เหลาโก่วเหลือบมองเฮยเป้ยเหล่าลิ่ว ดวงตาที่เหมือนสัตว์ป่านั้นจับจ้องอยู่ก่อนแล้ว คำกล่าวที่ไร้เสียงบอกว่าเขาเองก็เห็นไม่ต่างกัน
...สภาพในกรวยครั้งนี้จะเป็นเช่นไร ช่างสุดจินตนาการที่จะนึกออกจริงๆ
ความเงียบงันโรยตัวลงปกคลุมบรรยากาศรอบกองไฟไปจนเกือบรุ่งสาง สุนัขสีดำตัวปราดเปรียวลุกพรวดขึ้นมาจับจ้องไปยังทิศทางหนึ่ง ท่าทางของมันเหมือนเตรียมรับมือกับบางอย่างในความมืดอันเงียบสงัด แล้วดวงตาอีกสามคู่ก็เปิดขึ้นในทันทีราวกับไม่ได้อยู่ในห้วงนิทรา
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาใกล้เข้ามาทุกที ลักษณะเช่นนี้ไม่เหมือนสัตว์ป่า เฉินผีอาซื่อหยิบลูกเหล็กเตรียมไว้ที่ปลายนิ้วพร้อมกับที่เฮยเป้ยเหล่าลิ่วกำด้ามดาบแน่น
แต่อู๋เหลาโก่วกลับเพ่งมองในความมืดมิดอย่างชั่งใจ ท่าทางของถังเซิงนั้นไม่เหมือนเจอสิ่งอันตราย หางของมันสะบัดไปมาไม่ได้อยู่ในความตึงเครียด
แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร ทิเบแทนสเปเนี่ยลตัวจิ๋วก็มุดออกมาจากเสื้อ เห่าเสียงเบาหนึ่งทีแล้วกระโจนเข้าป่าไปยังทิศทางของเสียงแปลกปลอมนั้น
เถ้าแก่ผู้รักหมาสะดุ้งตัวลุกขึ้นอย่างตกใจ เสียงเห่าทักทายของซันชุ่นติงทำให้เขาแปลกใจอย่างยิ่ง และในที่สุดร่างสูงที่คุ้นในชุดเสื้อหนังก็ก้าวเข้ามาพร้อมกับก้อนขนตัวจิ๋วในมือ
"ขออภัยที่มารบกวนในยามนี้"
เฉินผีอาซื่อทำเสียงขึ้นจมูกก่อนจะเก็บอาวุธทันทีเมื่อเห็นแขกยามวิกาลชัดเจน ใบหน้านิ่งของผู้มาเยือนไม่บ่งบอกอารมณ์อะไร เขาเพียงแต่ก้าวยาวๆ ไปหยุดยืนตรงหน้าคนที่กำลังเบิกตากว้าง
ซันชุ่นติงขดตัวให้มือใหญ่ลูบขนอย่างสบายใจ ในขณะที่เจ้านายยังหาคำพูดมาเริ่มบทสนทนาไม่ได้
"ข้ามารับกลับ"
เสียงทุ้มกล่าวสั้นง่ายกระชับจนคนฟังยิ่งตาเหลือกเข้าไปใหญ่
"เดี๋ยวนะท่าน..."
"ทั้งเหล่าลิ่ว ทั้งเหล่าซื่อ เจ้าจะลงกรวยไปแย่งของกับพวกเขาทำไมกัน"
คำกล่าวนั้นแฝงแววดุอยู่เบาบาง แต่ก็ทำให้ความงงงวยเปลี่ยนเป็นไม่พอใจได้ไม่ยาก อู๋เหลาโก่วขมวดคิ้วเชิดคอจ้องตอบอย่างไม่เกรงกลัว
"ข้าจะลงกรวยไหนแย่งของกับใครแล้วอย่างไร" คนอายุน้อยกว่าตอบชัด "สำนักใต้ไม่ใส่ใจธรรมเนียมพรรค์นั้นหรอก และที่นั่งกันอยู่ตรงนี้ก็ใช่ว่าจะมีสำนักให้บูชา"
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำจากอีกสองคนลอยมาให้กับคำกล่าวนั้นจนจางฉี่ซานนึกปวดตุบๆ ที่ขมับเป็นกำลัง
"เหลาอู่..."
"พ่อพระใหญ่จาง...เผื่อท่านจะลืมไป ข้าก็ขึ้นลงกรวยมาไม่ต่ำกว่าหลักร้อย อย่าได้กังวลนักเลย" อู๋เหลาโก่วยกมุมปากให้ "ตัวท่านเองก็เพิ่งไปพบเจอเรื่องเสี่ยงภัยมาเหมือนกันมิใช่หรือ เชิญท่านกลับไปพักให้หายเหนื่อยก่อนเถอะ"
ว่าจบก็เดินกลับไปทิ้งตัวใส่เถี่ยเปาจินที่สะบัดขนฟูนุ่มรออย่างไม่สนใจคนที่ดั้งด้นตามมาจากฉางซาทันทีที่รู้เรื่องแม้แต่น้อย
คนอายุมากกว่ามองท่าทางนั้นแล้วก็ได้แต่ระงับอารมณ์หงุดหงิดของตัวเอง จางฉี่ซานก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจว่าโดนโกรธที่ตรงไหน แต่ปกติอู๋เหลาโก่วเป็นคนมีเหตุผลและไม่ใช่พวกชอบหาเรื่องใส่ตัว ดังนั้นการที่ดึงดันจะลงกรวยนี้พร้อมกับเฮยเป้ยเหล่าลิ่วและเฉินผีอาซื่อนั้นต้องมีอะไรที่ซ่อนอยู่ซึ่งทั้งฉีเถียจุ่ยและเซี่ยจิ่วไม่ยอมบอกเขา
ถึงจะเป็นเก้าสกุลใหญ่แห่งฉางซา แต่เด็กน้อยสามคนนี้อยู่ด้วยกันทีไรก็ไม่แคล้วจะมีเรื่องมาทำให้พวกผู้ใหญ่อย่างสามสกุลบนปวดเศียรเวียนเกล้า...ครั้งนี้เขาก็ต้องหิ้วเอ้อร์เย่ว์หงที่ทำท่าจะเป็นจะตายไปส่งตัวให้ฮูหยินปลอบก่อนจะรีบตามมาเช่นกัน
จางฉี่ซานทรุดตัวลงนั่งด้านข้างสุนัขตัวใหญ่ ใบหน้าใจดีของเถี่ยเปาจินคล้ายจะปลอบใจเขาจนอดเอื้อมมือไปเกาหัวเกาหูให้ไม่ได้
แต่ถึงจะสบถในใจไปไม่น้อย อยากจะทิ้งให้เจ้าหนูหมาห้าให้เผชิญเรื่องนี้เองแต่นายทหารใหญ่ก็ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกเป็นห่วงที่มีอยู่ล้นอก
หวังว่าวันพรุ่งนี้...คงจะไม่วุ่นวายนัก...
TBC
::talk::
สวัสดีค่า~
หายหัวไปนานพอควร แฮ่ กลับมาอีกครั้งพร้อม15ต้อนรับปีใหม่ สวัสดีปีใหม่ทุกๆคนด้วยนะคะ~
ฟิคเรื่องนี้เป็นของเทรดที่แลกกับรูปของคุณหยก (@Yokibear_yoko) คุณหยกรีเควสมาว่า อยากเห็นพ่อพระหึงปู่อู๋บ้าง อยากให้ฝอเหยียโดนปั่นหัวบ้าง ก็เลยเกิดขึ้นมาเป็นฟิคนี้ค่ะ ส่วนพ่อพระจะโดนปั่นหัวอย่างไรติดตามตอนต่อไปได้นะคะ แฮ่ ตอนแรกก็คิดว่าจะเป็นฟิคสั้นตอนเดียวจบแต่ยิ่งเขียนยิ่งยาวยืด เลยขอแบ่งเป็นตอนๆทยอยมาลง
ปีใหม่นี้ก็ขอฝาก15ของเราไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกคนอีกปีนะคะ หวังว่าจะถูกใจทุกคน ขอบคุณค่า
velvetronica- ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา
- จำนวนข้อความ : 100
Points : 3657
Join date : 08/11/2014
Re: [SF] belong together(ตอนต้น) [15 :: จางฉี่ซานxอู๋เหลาโก่ว]
น่าสนุกจังงง
ติดตามค่าาาา
ติดตามค่าาาา
KANAE- ด้วง
- จำนวนข้อความ : 37
Points : 3400
Join date : 21/02/2015
Re: [SF] belong together(ตอนต้น) [15 :: จางฉี่ซานxอู๋เหลาโก่ว]
ขอบคุณมากคะ พ่อพระมาเพราะเป็นห่วงสินะ อิอื
ติดตามตอนต่อไปนะคะ♡
ติดตามตอนต่อไปนะคะ♡
yakusoku- ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
- จำนวนข้อความ : 369
Points : 3839
Join date : 05/11/2014
ที่อยู่ : โลงในสุสานโบราณ
Re: [SF] belong together(ตอนต้น) [15 :: จางฉี่ซานxอู๋เหลาโก่ว]
มีแววหายนะรำไร....=_=
Zeth- ด้วงตำหนักหลู่หวังเจ็ดดารา
- จำนวนข้อความ : 74
Points : 2694
Join date : 04/03/2017
Age : 26
ที่อยู่ : ใต้เตียงชาวบ้าน
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|
Fri 24 Jul 2020, 01:39 by gustoon
» [คู่มือด้วง] Keyword จีนสำหรับการขุด(แฟนดอม)สุสาน
Thu 21 Jun 2018, 00:29 by miskizfullmoon
» มังฮวาและภาคทิเบต
Thu 21 Jun 2018, 00:23 by miskizfullmoon
» [OS] Father is the best (ผิงเสีย)
Thu 03 Aug 2017, 16:12 by schneewittchen
» [Fic] สิ่งเล็กๆที่เชื่อมโลก5 [เมินโหยวผิง+อู่เสีย+เสี่ยอ้วน]+OC
Tue 01 Aug 2017, 12:30 by natsume
» [OS] #dmbjdaily (จูปาจุ๊บ) Bittersweet [ผิงเสีย AU]
Thu 06 Apr 2017, 15:58 by Zeth
» [OS] #dmbjdaily "โทรศัพท์มือถือ" - no Pairing [All]
Tue 04 Apr 2017, 22:27 by Zeth
» [OS] #DMBJDaily (แว่น): ระยะที่มองไม่เห็น [ฮัวเสีย]
Sat 01 Apr 2017, 16:55 by Zeth
» [OS] #DMBJdaily (5.20) ท่านยอดฝีมือ [หวังเหมิง (+เหมิงเสีย)(+ผิงเสีย)]
Thu 30 Mar 2017, 17:24 by Zeth