Countdown
We've been
togerther for

ค้นหา
 
 

Display results as :
 


Rechercher Advanced Search


[OS] รอ [ผิงเสีย]

3 posters

Go down

[OS] รอ [ผิงเสีย] Empty [OS] รอ [ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by asra Tue 30 Dec 2014, 00:58

ไม่หลับไม่นอน แอบมาหย่อนดึกๆ (o...o)

-----------------

[OS] รอ [ผิงเสีย]

[Drama + Adventure (มั้ง)!!]



ลมหนาวพัดมากี่ครั้งแล้วนะ ....

..
..
..
..

“ท่านอา...”

มือเรียวขาวซีดจับมือแกร่งเต็มไปด้วยริ้วรอยประสบการณ์ของผู้เป็นอา อาการบาดเจ็บเรื้อรังจากการตกผาทำให้ตอนนี้ชายหนุ่มต้องนอนแบ่บอยู่กับเตียง เมื่อห้าปีก่อนเขาขึ้นไปเก็บสมุนไพรและลื่นตกจากผา แม้ไม่สูงนักแต่ก็สาหัสพอควร
เขาไม่ทันระวังและลืมไปว่า ไม่มีคนคนนั้นคอยจับมือของเขาอีกแล้ว….

เขาขยับไม่ได้นอนนิ่งอยู่อย่างนั้นค่อนคืนจนพวกเตี่ยและอาของเขามาตามหาและพาเขาลงไปรักษา แม้เดินเหินได้ตามปกติแต่ นายน้อยสกุลใหญ่รู้ตัวเองดีว่าอ่อนแอลงทุกวัน  อากาศยิ่งเย็นเขายิ่งเจ็บเสียดกระดูก    และฤดูหนาวปีนี้หนาวกว่าทุกครั้ง

“อะไรรึหลานรัก”

“ช่วยฟังคำขอเห็นแก่ตัวของหลานอกตัญญูคนนี้เป็นครั้งสุดท้ายได้ไหมครับ”

“เจ้าลองว่ามาสิ”

“ข้ารู้ดีว่าเวลาของข้าเหลือน้อยแล้ว”

“เจ้าเด็กปากเสีย ใครใช้ให้พูดแบบนั้น อายุเจ้าน้อยกว่าข้าย่อมเหลือเวลาอีกเยอะ” ผู้เป็นเจ้าบ้านส่งเสียงดุ

ริมฝีปากบางยิ้มให้ผู้เป็นอา ไม่ต่อปากต่อคำหากเอ่ยคำขอร้อง

“ฝังข้าไว้ที่เนินท้อ หันหน้าออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือนะครับ”

ผู้เป็นอาสูดลมหายใจลึก เขาไม่อยากรับความจริงว่าตนเองกำลังจะเสียหลานชายไป

“ถ้าเขากลับมา ข้าจะได้เห็นเขา” หยาดน้ำใสรื้นเต็มดวงตาสีน้ำตาลเข้มหรี่โรย “นะครับ…. ท่านอา”

“เจ้ายังรอมัน จะรอมันไปทำไม!”

“เขาสัญญาว่าจะกลับมา….”


‘สัญญามั่น ฝังจิต จดจำ
ฝากลม ฝากฟ้ากว้าง คำนึงถึง
อาทิตย์จร จันทร์ลับ เวียนวน
สิบร้อน ยี่สิบหนาว ผ่านพ้น
ผู้น้อย…. ยังรอคอย’


ผู้เป็นอาได้แต่ทอดถอนใจ หลานของเขายังคงเฝ้ารอคนผู้หนึ่ง ชายความจำเสื่อมที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของหลานชายจนก่อเกิดบางสิ่งที่เรียกว่า…

‘...รัก’

แต่ราวโชคชะตาเล่นตลก เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปอย่างรวดเร็ว อยู่ดีๆ ความทรงจำของเจ้านั่นก็กลับมา แล้วก็จากหลานของเขาไปด้วยคำว่าภารกิจของตระกูล

‘โจรร้ายแซ่จางไปแล้วไม่ไปเปล่าขโมยหัวใจหลานเขาไปด้วย’

“ตามที่เจ้าต้องการหลานรัก”

เจ้าบ้านสกุลใหญ่ตอบตกลงเอาใจ ลูบหัวทุยของผู้เป็นหลานอย่างเบามือ …. และแล้วฤดูหนาวปีนั้น นายน้อยของบ้านก็หลับไปตลอดกาลท่ามกลางความโศกเศร้าของคนในสกุล แต่ผู้มีชีวิตยังคงต้องใช้ชีวิตต่อไป ความโศกเศร้าแม้ไม่หายแต่ก็เจือจาง ทุกชีวิตในบ้านหลังนั้นดำเนินต่อไปอย่างเรียบง่ายจนฤดูฝนมาเยี่ยมเยือน

วันนี้ฝนตกหนักแต่หัวค่ำ ข้ารับใช้ที่กำลังจะปิดประตูบ้านก็เจอเข้ากับใครคนหนึ่งยืนตากฝนอยู่หน้าประตู

“นายน้อยบ้านนี้อยู่ที่นี่หรือไม่”

ชายในเสื้อคลุมกันฝนถามขึ้น ยังไม่ทันที่ข้ารับใช้จะตอบก็มีเสียงดังมาจากภายในตัวบ้าน

“นั่นใคร?”

“มีคุณชายท่านหนึ่งมาขอพบนายน้อยขอรับเถ้าแก่” ลูกน้องของเจ้าบ้านตอบ

“ให้เข้ามา”

เมื่อเจ้าบ้านอนุญาต ข้ารับใช้จึงพาแขกยามรัตติกาลเข้าสู่ตัวบ้านที่อบอุ่น

เจ้าของบ้านขมวดคิ้ว พิจารณาร่างสูงตรงหน้าว่าเป็นเพื่อนคนใดของหลานของเขาหรือเปล่า แต่ทันทีที่แขกผู้มาเยือนดึงผ้าที่คลุมหัวลงเขาก็จำได้ ร่างสูงดูแข็งแรง ใบหน้าขาวรูปงามคมคายรับกับเส้นผมสีดำและดวงตาสีดำดุคู่หนึ่ง ครั้งแรกที่เคยเห็นเป็นอย่างไรก็อย่างนั้น ไม่มีร่องรอยของกาลเวลาบนใบหน้านั้นแม้แต่นิด เจ้าคนลึกลับแซ่จาง คนที่ทิ้งให้หลานรักของเขาอยู่เพียงลำพังไปกว่าสามสิบปีทิ้งไว้แต่คำสัญญาเลื่อนลอย เขาไม่น่าให้มันเข้ามาเหยียบบ้านเลย

ชายแซ่จางคำนับผู้เป็นเจ้าของบ้าน และเอ่ยถามโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูดอะไร

“ข้าไปหาเขาที่บ้านชายเขา… แต่บ้านปิด เขาที่อยู่ที่นี่หรือไม่”

“มาหาหลานข้าทำไม?”

“มารับ...”

“เหอะ!” ผู้เป็นอาแค่นหัวเราะ วูบหนึ่งชายชราไม่คิดจะบอกความจริง อยากจะโกหกว่าหลานของเขาแต่งเมียย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่นแล้ว ดูซิไอ้หนุ่มแซ่จางมันจะทำยังไง

“หลานข้าไม่อยู่บ้านนั้นแล้ว บ้านนี้ก็ไม่อยู่”

“แล้วอยู่ที่ใด”

สิ่งที่คิดไว้ว่าจะโกหกกลั่นแกล้ง สุดท้ายก็ไม่ได้ทำตามคิด เมื่อใบหน้าเปื้อนน้ำตาในวันนั้นวาบขึ้นมาในความทรงจำ

“เนินดอกท้อ...”  

เจ้าของบ้านตอบสั้นๆ …  ‘หลานของเขาจะได้ไม่ต้องรออีก’

“ขอบคุณ”

ชายแซ่จางคำนับขอบคุณก่อนรีบเดินจากไป

เจ้าบ้านสกุลใหญ่มองท้องฟ้ายามรัตติกาล ฝนเริ่มซาเม็ดลงแล้ว แต่เสียงฟ้าร้องยังคงครั่นครืน ครู่หนึ่งเขาได้ยินเสียงหนึ่งที่คล้ายกันแต่นั่นไม่ใช่เสียงฟ้ามันเป็นเสียงร่ำร้องคลุ้มคลั่งของคนที่สูญเสียคนสำคัญหนึ่งเดียวในชีวิตตน
ชายชราหลับตาลงพึมพำกับตนเองแผ่วเบา

“เขากลับมาแล้วหลานรัก...”

….

….

….

….

….

….

….



..

.
.
.

พ้นเดือนหน้าไปก็จะเหลืออีก 2 ปี…

ผมเหลือบมองดูปฏิทินบนโต๊ะอย่างไม่ตั้งใจ มองวงกลมสีแดงที่ถูกวงไว้ในวันเดียวกันกับเหตุการณ์เมื่อ 8 ปีก่อน อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ถูกซ่อนลึกในใจ

นึกถึงตอนที่เดินตามแผ่นหลังนั้นไปบนหิมะ...

นึกถึงการพยายามพร่ำพูดให้เขาเลิกล้มความตั้งใจ…

นึกถึงคำพูดของหมอนั่นที่บอกว่าเขาเข้าไปเพื่อทำหน้าที่แทนตัวผม…

นึกถึงมือใหญ่กร้านที่มีสองนิ้วยาวกว่าปกติ ขณะจับมือของผมไว้แน่นตอนที่เขาฉุดผมให้ลุกขึ้นตอนผมล้มลง...

นึกถึงทุกวินาทีที่ได้อยู่ด้วยกันกับเมินโหยวผิง...

“เทียนเจิน” เสียงนายอ้วนปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์

“อ้าว มาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“นานพอจะเห็นเทียนเจินกำลังใจลอยไปฉางไป่ซาน”

ผมถอนใจเอามือลูบหน้าตัวเอง รู้ดีว่าถึงพยายามจะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นก้อนหินสักแค่ไหน แต่เวลาอยู่คนเดียวผมก็ยังเป็นผม เป็นอู๋เสียที่อ่อนแอ

“ตามเสี่ยอ้วนมามีอะไร” นายอ้วนถาม

“ไปลงดินกันไหม?”

ผมถามเขากลับ ก่อนจะเล่าว่ามีหน้าด่านคนหนึ่งนำหยกเก่ารูปร่างแปลกตามาให้ผม เนื้อหยกสีเขียวแก่เย็นเฉียบดูยังไงก็เป็นหยกเนื้อดีสูงค่า จากลวดลายที่สลักไว้น่าจะเป็นศิลปะช่วงยุคราชวงศ์ถัง แต่เขาบอกว่าได้มาจากยูนนานบางทีอาจมาจากกรวยใครสักคนของอาณาจักรต้าหลี่ หลังจากผมสั่งให้สืบดูก็ได้เบาะแสเรื่องเล่าพื้นบ้านเกี่ยวกับเทพแห่งขุนเขาที่พวกนายพรานเก่าแก่เล่าสืบทอดกันมา เรื่องของแสงไฟที่เคลื่อนไหวไปมาในตอนกลางคืน เสียงและเงาประหลาดมากมาย

“นายคิดไหมว่านั่นอาจเป็นขบวนส่งศพสร้างสุสาน?”

นายอ้วนไม่คิดอะไรมาก พยักหน้าลงอย่างง่ายๆ พร้อมคำตอบที่ทำเอาผมแทบสำลักชา

“เทียนเจินอยากลงดิน เสี่ยอ้วนจะตามไปด้วย เดี๋ยวน้องเสี่ยวเกอออกมาแล้วจะว่าเอาได้ว่าไม่ดูแล”

ผมถลึงตาใส่เขา ขุดบรรพบุรุษของนายอ้วนขึ้นมาด่าอุบอิบแก้เก้อ

แต่ผมก็คิดนะว่าอยากลงดินคว่ำกรวยจริงๆ  หรือบางทีผมอาจแค่อยากหาอะไรทำระหว่างรอเพื่อที่ตัวเองจะไม่ฟุ้งซ่าน

หลังจากสั่งลูกน้องให้เตรียมของเรียบร้อยผมกับนายอ้วนและลูกน้องอีกสองคนก็ออกเดินทางไปต้าหลี่ ตอนเราไปถึงที่หมายสิ่งที่ผมเจอคือเสี่ยวฮัวที่โบกมือให้ผม และนายแว่นดำที่ส่งยิ้มกวนประสาทมาเช่นเคย  การเคลื่อนไหวของผมไม่รอดสายตาของพวกเขาอีกแล้ว

นายอ้วนหัวเราะตบไหล่ผมหนักๆ เป็นเชิงปลอบ กล่าวว่า

“ถือเสียว่าเป็นการวอร์มอัพก่อนไปรับเสี่ยวเกอ”

ในที่สุดพวกเราทั้งหมดก็พาตัวเองมาถึงเขตปกครองตนเองชนชาติลีซอ-นู่เจียง เราเดินป่าตามเบาะแสที่มีน้อยนิดอยู่หลายวันก็เจอเป้าหมาย ทีแรกพวกเราเคยผ่านมันไปมาแต่ไม่มีใครเอะใจ วนไปวนมาอยู่นานจนถอดใจเปลี่ยนเป้าหมายจากการลงกรวยมาเป็นเดินป่าปิคนิคพักผ่อนได้ไม่ถึงวันดีนายแว่นดำกับเสี่ยวฮัวก็ดันเจอทางเข้าเสียอย่างนั้น มันเป็นถ้ำใต้น้ำที่ดูเหมือนร่องตื้นๆบนตีนผาแต่เมื่อดำเข้าไปนิดหนึ่งจะเป็นโค้งหักศอกบังมุมและมีทางไปต่อ เสี่ยวฮัวบอกว่านี่เป็นอุโมงค์โจร

ตอนผมและนายอ้วนตามมาดูก็เข้าใจว่าทำไมถึงมองข้ามไป เพราะถึงน้ำจะใสแต่ดูจากข้างบนฝั่งกลับมองไม่เห็นเพราะมีพรายน้ำจากน้ำตกและโขดหินซับซ้อนบดบัง ก็ไม่รู้ว่าเสี่ยวฮัวกับนายบอดอุตริอะไรดำน้ำลงไปจนเจอ แต่นั่นเป็นเรื่องของเขาสองคนผมไม่อยากเข้าไปยุ่ง

เอาเป็นว่าพวกเราเข้าไปในกรวยจนได้ การคว่ำกรวยครั้งนี้เหมือนการเตะบอลนัดกระชับมิตรแต่เปลี่ยนจากสนามบอลเป็นถ้ำ การแก้ปริศนาและกลไกต่างๆ นั้นผมไม่ขอพูดถึงเพราะเมื่อเทียบกับกรวยอื่นๆ ที่ผ่านมากรวยนี้มันเรียบง่ายกว่าเยอะ พวกเราเจอห้องสุสาน เก็บสมบัติได้แม้น้อยชิ้นแต่ล้วนเป็นของเก่าล้ำค่า

ขณะที่ออกจากห้องหลักเข้าสู่อุโมงค์ถ้ำพวกเราเดินคุยกันตามสบาย บรรยากาศดูผ่อนคลายกว่าการคว่ำกรวยครั้งไหนๆ แต่อยูู่ๆ พื้นถ้ำก็สั่นไหวได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ขณะที่พวกเรากำลังหาที่มาของเสียงหรือกลไกสุสาน นายอ้วนก็ผลักผมไปข้างหน้า ตะโกนลั่น

“วิ่ง!!”

น้ำ...

น้ำจากไหนก็ไม่รู้ไหลเข้ามาตามอุโมงค์ถ้ำอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก้าวขาออกไปได้ไม่กี่ก้าว ผมก็รู้สึกได้ถึงคลื่นน้ำสีดำขุ่นคลั่กกระแทกเข้าที่หลัง ซัดพวกเราแตกกลุ่มออกจากกันแยกไปตามช่องหลืบต่างๆ ผมผลุ่บๆโผล่ๆ พยายามประคองตัวในสายน้ำเชี่ยวก็ถูกกระแสน้ำซัดหลุดออกมาสู่ช่องว่างช่องหนึ่ง ลอยละลิ่วอยู่กลางอากาศ

มันเป็นเรื่องบัดซบที่สุด! การหล่นจากความสูงคงเป็นสิ่งที่ฟ้าประทานมาให้ผมต้องพบเจอแทบจะทุกครั้งที่ลงกรวย!!!

ผมตกลงมาในรอยแยกของภูเขาที่ตอนนี้มีลักษณะไม่ต่างจากบ่อน้ำ ร่างของผมหล่นลงมากระทบแอ่งน้ำเบื้องร่างเต็มแรง ฝืนความเจ็บปวดจากการตกกระแทกผิวน้ำพาตัวเองไปเกาะผนังผาฝั่งตรงข้ามกันไม่ให้กระแสน้ำที่เหมือนน้ำตกกดตัวเองลงไปด้านล่าง ระดับน้ำไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นไปได้ว่าด้านล่างนั่นน่าจะยังมีธารน้ำใต้ดินอีกสาย ผมมองไปรอบๆ โดยอาศัยแสงจากไฟฉายพบว่าลักษณะของรอยแยกนี้คล้ายแจกันด้านล่างกว้างและยิ่งสูงขึ้นยิ่งแคบลง

ผมนึกถึงคำบอกเล่าของชาวท้องถิ่นเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ที่มักมีฝนตกแบบไม่มีแบบแผน แม้ว่าอากาศดีฟ้าใสผ่านไปไม่ถึงชั่วยามก็ฟ้าครึ้มฝนตกหนักได้ บางทีฝนคงตกหนักขณะที่พวกเราอยู่ในสุสาน และในภูเขาลูกนี้คงมีทางน้ำใต้ดินหลายสายไม่รู้ว่าเป็นกลไกหรือปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่พอฝนตกหนัก น้ำปริมาณมหาศาลถึงไหลโครมลงมาเหมือนกดชักโครก ชะล้างทุกอย่างที่อยู่ในท่อน้ำซับซ้อนนี้ คิดแล้วก็น่าจะสมเหตุผลกับที่มาของหยกชิ้นแรกที่ถูกพบที่ริมธารน้ำ

ผมสูดลมหายใจลึก ตั้งสติสำรวจตัวเอง  ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้ผมรู้ว่าสติเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการลงดินคว่ำกรวย สิ่งที่เหลือเป็นเรื่องรองลงมา

ผมพบว่าเป้หลังยังติดอยู่กับตัวและร่างกายไม่ได้บาดเจ็บรุนแรงอะไรมากนักมีเพียงแผลฟกช้ำกับรู้สึกเคล็ดขัดยอกนิดหน่อยจากการฝึกฝนจากนายแว่น และการลงกรวยหลายต่อหลายครั้งโดยไม่มีเขาคนนั้นอยู่ข้างกายทำให้ผมแข็งแกร่งขึ้น เพราะเมินโหยวผิงไม่ได้อยู่ข้างตัวผมอีกแล้ว ผมต้องปกป้องตัวเอง

นายอ้วนเคยพูดว่า พ่อครัวที่เก่งกาจย่อมไม่กลัวมีดกลัวไฟ รักจะเป็นโจรสุสานก็ต้องไม่กลัวความตายเช่นกัน

มาถึงจุดนี้ผมก็ไม่กลัวแล้วล่ะความตาย สิ่งที่ผมกลัวคือกลัวไม่ได้เจอเมินโหยวผิงอีกแล้วมากกว่า เพราะฉะนั้นผมจะตายไม่ได้จนกว่าจะถึงวันที่สัญญาไว้กับเขา

อันดับแรกผมต้องเอาตัวเองออกจากสถานการณ์นี้เสียก่อน น้ำยังคงไหลแรงการจะย้อนกลับไปตามทางน้ำใต้ดินทางนี้คงเป็นไปไม่ได้ผมต้องหาทางอื่น ผมคล้องไฟฉายไว้กับข้อมือ เริ่มปีนไปบนผนังหินลื่นจนทั้งตัวพ้นน้ำและมีที่ให้เหยียบยืนที่มั่นคงพอสมควร จึงเริ่มสำรวจในรอยแยกนี้อีกครั้ง แล้วผมก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างเหนือหัวผมขึ้นไปเยื้องจากช่องทางที่มีน้ำไหล  ต่ำลงมาราวสองสามเมตรมีช่องทางช่องหนึ่งถูกบังไว้ด้วยรากไม้และเถาวัลย์ ผมคิดว่านั่นคงเป็นทางน้ำใต้ดินอีกสายหนึ่ง

ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปดี ผมก็เอาตัวเองไปอยู่ในทางเส้นนั้นเพราะไม่มีทางเลือกอื่น ผมเดินสะเปะสะปะอยู่ในทางแคบๆ ก็เจอทางตัน ขณะที่กำลังสิ้นหวัง นั่งพักเอาแรงก่อนเดินย้อนกลับไปหาทางอื่น พอเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นอุโมงค์เล็กอยู่สูงเหนือหัว ผมตัดสินใจปีนขึ้นไปสำรวจก็พบว่ามันเป็นอุโมงค์มืดยาว เอาไฟฉายส่องดูก็ไม่พบอะไรที่น่าจะเป็นกลไกหรือมีตัวประหลาด พื้นอุโมงค์ค่อนข้างเรียบ เหมือนมีการใช้งานอยู่ตลอดช่วงหนึ่ง บางทีนี่อาจจะเป็นอุโมงค์โจรอีกเส้น และบางทีสุดปลายทางนี้อาจเป็นทางออก ผมค่อยๆคลานไปตามทางนั้นอยู่พักใหญ่จนสุดทาง ควานหาแท่งไฟจากเป้หลังโยนลงไป ปากอุโมงค์สูงกว่าลานแคบๆ ด้านล่างประมาณ 2 เมตร อาศัยแสงจากแท่งไฟเรืองแสง และไฟฉายจึงเห็นช่องลักษณะเหมือนปากถ้ำอยู่อีกฝั่งหนึ่งของลาน

เป็นปากถ้ำ ที่ซ่อนอยู่ในถ้ำ

‘เป็นถ้ำเซปชั่น?’

‘เดี๋ยวๆ อู๋เสีย นี่ไม่ใช่เวลามาคิดอะไรไร้สาระ’

อนุสติของผมเตือนขึ้นมา

ผมตัดสินใจโดดลงจากอุงโมงค์เล็กลงมายืนหน้าลาน อากาศในนี้ค่อนข้างเย็นและแห้ง ผมหยิบปืนขึ้นมาเตรียมพร้อม เตะแท่งไฟเรืองแสงเข้าไปในปากถ้ำด้านหน้า รออยู่ครู่หนึ่งไม่เห็นการเคลื่อนไหวอะไรจึงค่อยๆ ก้าวเข้าไปสำรวจ

พอก้าวเข้ามาสู่ด้านใน ผมพบว่ามันช่างแปลกประหลาด เพราะภายในถ้ำซ้อนแห่งนี้มันเหมือนบ้านคน…

ปากถ้ำนั่นเปรียบเสมือนประตูบ้าน...

มีบ้านคนอยู่ในถ้ำสุสาน?

นี่ผมหัวฟาดสมองเลอะเลือนหรือเปล่า?

ภายในสถานที่ที่ควรจะเรียกว่าบ้านจัดวางข้าวของเครื่องใช้ไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบง่ายมีร่องรอยการใช้งาน สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือเฟอร์นิเจอร์ที่มีอยู่ไม่กี่ชิ้นล้วนทำจากหินราวกับว่าเจ้าของบ้านต้องการใช้มันตลอดกาล

จากแสงไฟฉายผมควานเจอตะเกียงน้ำมันดินเก่าเก็บ มันยังพออาศัยจุดไฟได้บ้าง  แสงสว่างทำให้บรรยากาศอึมครึมในบ้านหินดูอบอุ่นขึ้น ด้านในของถ้ำมีอุโมงค์ขนาดสูงสองเมตรไม่แคบไม่กว้าง พิจารณาจากสิ่งที่เห็นอยู่นี้ ถ้านี่คือบ้านส่วนหน้านี้เป็นห้องโถง ด้านในก็ต้องเป็นห้องนอน ผมกระชับปืนพกด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งถือตะเกียงเดินเข้าสู่ส่วนด้านใน ภายในโถงถ้ำรูปทรงเหมือนกะลาคว่ำ เบื้องหน้าของผมคือ 1 โลงหินและ 1 แท่นหิน

บนแท่นหินปูด้วยหนังสัตว์มีร่างๆ หนึ่งนอนนิ่งสนิท ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆ โดยไม่ลืมขึ้นไกปืนพกในมือ กะว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นยิงแม่งก่อนถามทีหลัง  พอเข้ามาดูก็พบว่าเจ้าของร่างที่นอนอยู่บนแท่นดูเหมือนคนกำลังนอนหลับ ถ้าไม่ติดว่าผิวของเขาแห้งติดกระดูกราวมัมมี่ล่ะก็นะ เสื้อผ้าที่ใส่อยู่ดูไม่ออกว่าเป็นชาวอะไรยุคไหนแต่ที่แน่ๆ น่าจะเก่ากว่ากรวยที่ผมเพิ่งคว่ำไปไม่กี่ชั่วโมงก่อน มือข้างหนึ่งของศพวางอยู่บนตัวส่วนอีกข้างหนึ่งวางบนโลงหินที่อยู่เคียงกัน ที่นิ้วชี้ของศพมีแหวนหยกสีขาวสลักตัวอักษรบางอย่างซึ่งจากแสงสว่างที่มีทำให้มองไม่ชัดเจน และ ….

….

….

….

แม่งเอ้ยยย…. ผมหนีคนตระกูลนี้ไม่พ้นจริงๆ ใช่ไหม!!

มือข้างนั้น นิ้วที่ยาวกว่าปกติสองนิ้วนั่น มันบ่งบอกว่าที่นอนอยู่นี่เป็นคนตระกูลจางชัดๆ

คนตระกูลจางแล้วทำไมมาอยู่นี่ ทำไมไม่อยู่ที่หอตระกูลจาง ?

แล้วใครฝังเขา แทนที่จะใส่โลง ทะลึ่งดันเอามาไว้แค่ข้างโลง?

คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวของผมเต็มไปหมด

ผมถอยกลับออกมาตั้งสติอยู่ที่ห้องหน้า นิสัยอยากรู้อยากเห็นของผมเริ่มกำเริบอีกแล้ว หลังจากแน่ใจแล้วว่าบ๊ะจ่างที่นอนอยู่นั่นจะไม่ลุกขึ้นมาไล่บีบคอ ผมก็เริ่มสำรวจไปทั่วบ้านอย่างละเอียดเผื่อจะมีอะไรก็ตามที่บอกได้ว่าชายที่นอนแห้งอยู่ตรงนั้นเป็นใคร

ในที่สุดผมก็เจอหีบใบหนึ่งภายในบรรจุม้วนหนังสัตว์ที่มีข้อความจารึก แม้ตัวอักษรจะเลือนไปบ้าง แต่ก็พออ่านออกมันเป็นบันทึกกิจวัตรประจำวันของคนที่อยู่ที่นี่ ผมอ่านจับใจความคร่าวๆ ได้ว่าคนแซ่จางผู้นี้พูดถึงใครอีกคนหนึ่งแทบทุกวัน ใครคนนั้นคือคนที่อยู่ในโลงหิน ผมพยายามหาชื่อคนที่อยู่ในโลงแต่ก็ไม่พบ รู้แต่ว่าเขาเป็นผู้ชายเช่นกันจากคำเรียกขาน ผมปะติดปะต่อใจความในบันทึกที่กล่าวถึงภาระหน้าที่และข้อห้ามของสกุลจางทำให้เขาต้องแยกจากคนในโลงมีเพียงคำสัญญาที่เขาให้ไว้ว่าเสร็จงานเมื่อใดจะมารับ เขาทำตามสัญญาเมื่อภารกิจสิ้นสุด แต่มันสายเกินไป

คนคนนั้นจากไปเสียแล้ว….

เขาแอบขุดสุสานพาร่างไร้วิญญาณของคนสำคัญ หอบหิ้วหนีจากทุกสิ่งมาจนถึงที่นี่ ป่าลึกห่างไกลผู้คนและความเจริญ สร้างที่แห่งนี้ใช้ชีวิตยาวนานที่เหลืออยู่กับคนในโลงหินใบนั้น จนถึงวันที่เขาเขียนบทกวีในตอนสุดท้ายและหลับไปตลอดกาล

' พันปีพรากจากเจ้าห่วงไห้ถวิลหา
ชะตากำหนดไว้มิอาจครองคู่
ขอเพียงได้อยู่ดูแลเจ้า จับมือน้อยไว้
เคียงคู่จากนี้ชั่วนิรันดร์ '

ผมอ่านทั้งหมดนั้นจนจบ รู้ตัวอีกทีก็พบว่ากำลังนั่งร้องไห้กอดตัวเอง

ผมคิดถึงตัวเองกับเมินโหยวผิง...

หลังจากร้องไห้นั่งซึมอยู่ค่อนวัน ผมตัดสินใจไม่รบกวนเขาทั้งสองปล่อยให้ทั้งคู่หลับเคียงกันชั่วนิรันดร์ตามข้อความสุดท้ายที่บันทึกไว้ และไม่ควรให้นายอ้วน เสี่ยวฮัว และนายแว่นดำมาเจอด้วย เพราะสังหรณ์ร้ายของผมค่อนข้างมั่นใจว่าถ้ามีใครแตะโลงใบนั้น บ๊ะจ่างแซ่จางได้ลุกขึ้นมาไล่ฆ่าล้างโคตรตายหมู่กันอยู่ในกรวยนี่แน่ๆ

ภายหลังจากเก็บทุกอย่างไว้ที่เดิม ผมสำรวจบ้านหินไปรอบๆ เพื่อหาทางออก จากบันทึกกว่าคนแซ่จางจะตายก็น่าจะหลายสิบปี อย่างไรเสียก็ต้องออกไปหาอาหารบ้าง เดินวนไปมาสุดท้ายผมก็กลับมายืนอยู่หน้าแท่นหินอีกครั้ง มองมือข้างนั้นที่วางอยู่บนโลง ราวกับกำลังจับมือใครบางคนในนั้นไว้เพื่อดูแลและปกป้องมานับพันปีก่อนที่ผมจะมาพบเขาทั้งสอง

น้ำตาผมร่วงอีกแล้ว….

ผมเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ พูดติดตลกเพื่อสลัดตัวเองจากอารมณ์เศร้าโศก

“ข้าน้อยอู๋เสีย ขออภัยที่มารบกวน แต่ถ้าหากข้าน้อยติดอยู่ที่นี่นานไปเหล่าสหายบ้าพลังของข้าน้อยคงบุกตามหาจนเจอ และคงไม่ดีกับท่านทั้งสองแน่ๆ”

แน่ล่ะไม่มีเสียงตอบ แต่ขืนมีขึ้นมาจริงๆ ผมคงเผ่นป่าราบ

เมื่อแน่ใจว่าข้างในไม่มีทางไหนออกได้ ก็เหลือแค่ทางเดียวคือทางที่ผมเข้ามา ผมหยิบเป้ขึ้นสะพายยืนอยู่หน้าอุโมงค์ที่คลานเข้ามาก่อนหน้านี้ พาตัวเองออกมาทางเดิมกลับมาที่จุดเริ่มต้นตรงรอยแยกของภูเขา มองไปเบื้องบนกระแสน้ำจากทางน้ำใต้ดินไหลอ่อนลงแล้วอีกไม่นานคงจะหยุด ขณะที่กำลังชั่งใจว่าจะเดินทวนน้ำกลับทางเดิมดีหรือไม่ ก็มีเสียงเบาที่ฟังดูคุ้นเคยและเป็นมิตรดังขึ้นที่ข้างหู

“ข้างบน.. ทางขวา...”

ผมมั่นใจว่าเสียงนี้ไม่ใช่เสียงของนายอ้วน เสี่ยวฮัว หรือนายแว่นดำ รู้สึกว่าขนบนหัวตัวเองกำลังลุก รีบหันตัวพิงผนังถ้ำหันปืนกลับเข้าไปในทางมืดมิด

มันไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า ผมถือปืนค้างอยู่ในท่านั้นพักใหญ่ก่อนจะหันกลับมาพิจารณาช่องผาแยกอีกครั้ง กวาดไฟฉายขึ้นไปด้านบน…

บนขวาสูงขึ้นไปเหนือทางน้ำไหลราวหกเจ็ดเมตรเหมือนจะมีอะไรบางอย่างจริงๆ

ผมเหลือบมอบกลับไปในช่องทางมืดมิดด้านหลังอีกครั้ง ก่อนตัดสินใจ

‘เอาวะ เชื่อทางผีบอกดูสักตั้ง คนดีผีคุ้ม!!’

ผมปีนขึ้นไปบนจุดที่หมายตาไว้มันเป็นช่องทางน้ำอีกสายหนึ่งแต่ค่อนข้างแห้ง มีความสูงราวครึ่งตัวผมและแคบมากชนิดไม่มีพื้นที่เหลือให้กลับตัว ผมโยนแท่งไฟที่เหลืออันสุดท้ายเข้าไปด้านในเพื่อดูทางพบว่าเป็นช่องทางยาว ผมคลานเข้าไปอย่างลำบาก จนสุดปลายทางทะลุออกมาสู่อุโมงค์ถ้ำสายหนึ่ง

ผมเห็นแสงไฟฉายส่องวูบวาบ ได้ยินเสียงเสี่ยวฮัวด่าอะไรนายแว่นดำอยู่ไกลๆ ได้ยินเสียงนายอ้วนบ่นพึมพำเป็นหมีกินผึ้ง

“เสี่ยวฮัว? นายอ้วน? นายแว่น?” ผมลองส่งเสียงทัก

เสียงพูดจากทางนั้นเงียบหายกลายเป็นเสียงฝีเท้าที่รัวเร็วเข้ามาใกล้

“อู๋เสีย นายเป็นอะไรรึเปล่า” เสี่ยวฮัวกับนายอ้วนถามขึ้นแทบจะพร้อมกัน ทันทีที่ทั้งคู่เห็นผม แทบจะจับผมหมุนรอบตัวหาบาดแผล

ผมบอกพวกเขาว่าผมไม่เป็นอะไร  และไม่นานหลังจากนั้นพวกเราทั้งหมดก็ออกสู่พื้นดิน  ผมสูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์บนดินเข้าเต็มปอด นึกถึงเรื่องราวที่ได้รับรู้ในบ้านถ้ำหลังนั้น นึกถึงเสียงบอกทางที่ใจหนึ่งคิดว่าคงอุปทานไปเองแต่อีกใจหนึ่งก็ย้ำเตือนว่ามันเป็นเรื่องจริง

ผมลุกเดินแยกออกจากกลุ่มเล็กน้อย สูดลมหายใจลึก รับรู้ถึงความรู้สึกของการมีชีวิต จากจุดนี้ผมมองไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือที่ตั้งของประตูสำริด ยังเหลือเวลาอีกกว่า 2 ปี จะถึงวันที่ผมกับเขาจะได้พบกันอีกครั้งตามสัญญาที่ฉางไป่ซาน

แต่ผมรู้ดีไม่ว่าจะ..

หนึ่งปี


หนึ่งสิบปี


หนึ่งร้อยปี


หนึ่งพันปี

…..

…..

‘เมินโหยวผิง’

…..

….

‘จางฉี่หลิง’

…..

…. หากเป็นเขาต่อให้นานเท่าไรผมก็จะรอ



-End-

----------------------------

กระโดดกลับเรือหลัก งานมโนล้วนๆ ค่ะ ด้วงมโนสุดฤทธิ์
จริงๆ เรื่องนี้เขียนก่อนดอกไม้กับควันปืน แต่โดนนายแว่นกับคุณชายลากขึ้นเรือไปชั่วคราว (ฮา~)
ช่วงต้นตั้งใจไว้ว่าจะไม่เขียนชื่อชัดๆ ปล่อยให้มันคลุมเครือไปแบบนั้น
ส่วนเรื่องสถานที่กับสภาพแวดล้อมในกรวยอาจจะหลุดๆ ไม่สมเหตุสมผลบ้างต้องอภัยด้วยนะคะ ยิ่งแก้ยิ่งมึน  U__U’’
asra
asra
ด้วง
ด้วง

จำนวนข้อความ : 47
Points : 3573
Join date : 02/11/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[OS] รอ [ผิงเสีย] Empty Re: [OS] รอ [ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by Duke_of_Florence Tue 30 Dec 2014, 13:45

เรื่องราวของหนุ่มแซ่จางคนนั้นกับคนรักของเขาชวนให้นึกถึงเสี่ยวเกอกับนายน้อยจริงๆ หรือจะเป็นชาติที่แล้วของทั้งคู่ ตอนที่ร้องไห้ข้างหลุมศพคนรัก อิฉันหัวใจสลายตามไปด้วยเลยค่ะ

ขโมยศพคนรักแล้วไปอยู่ด้วยกันในสุสานจนถึงวันที่ตัวเองตาย ยามมีชีวิตอยู่ไม่ได้ดูแล แต่ความตายไม่อาจพรากเธอจากฉันสินะคะ ซึ้ง

ทำไมนายน้อยไม่ทำใจกล้าเปิดโลงให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยคะ ดูซิว่าบ๊ะจ่างที่นอนอยู่ข้างๆจะลุกขึ้นมาหักคอมั้ย ฮ่าฮ่า

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าหากคิดจะรักคนแซ่จาง ต้องรู้จักการรอคอย กาลเวลาพิสูจน์รักแท้หรือไงคะ ฮา
Duke_of_Florence
Duke_of_Florence
ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา
ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา

จำนวนข้อความ : 113
Points : 3601
Join date : 31/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[OS] รอ [ผิงเสีย] Empty Re: [OS] รอ [ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by asra Tue 30 Dec 2014, 22:11

Duke_of_Florence พิมพ์ว่า:เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าหากคิดจะรักคนแซ่จาง ต้องรู้จักการรอคอย กาลเวลาพิสูจน์รักแท้หรือไงคะ ฮา

คิดจะรักผู้ชายบ้านนี้ต้องอดทนและใจเย็นค่ะ  อู๋เสียรอด้ายย~~  55+
asra
asra
ด้วง
ด้วง

จำนวนข้อความ : 47
Points : 3573
Join date : 02/11/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[OS] รอ [ผิงเสีย] Empty Re: [OS] รอ [ผิงเสีย]

ตั้งหัวข้อ by Rozenkreuz Mon 06 Jul 2015, 19:37

น้ำตาร่วงเผาะๆ อ่านซ้ำก็ร่วงใหม่ น้ำตาผมร่วงอีกแล้ว ฮืออ //จะขโมยคำพูดนายน้อยมาใช้เพื่อ?
ผมแพ้แนวเรื่องรักพันปีมากๆ แงงงง
กลับชาติมาเกิดใหม่ใช่มั้ย ไม่เฉลยว่านายน้อยตระกูลใหญ่คือตระกูลไหน แต่ก็มีนายน้อยตระกูลเดียวแหละนะที่พบรักกับหนุ่มตระกูลจางตลอด ถถถถถ

ท่านบรรพบุรุษจางเล่นทิ้งไว้สามสิบปีเลยเรอะ แถมยังแอบขุดศพ อุ้มกลับบ้านซะงั้น ฮ่าๆๆ บาปกรรมๆ
Rozenkreuz
Rozenkreuz
ด้วงอาณาจักรเจ้าแม่ซีหวังหมู่
ด้วงอาณาจักรเจ้าแม่ซีหวังหมู่

จำนวนข้อความ : 625
Points : 3870
Join date : 01/07/2015
Age : 31
ที่อยู่ : กองทัพผีเก็บเห็ดแห่งประตูสำริด

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน

- Similar topics

 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ