Countdown
We've been
togerther for

ค้นหา
 
 

Display results as :
 


Rechercher Advanced Search


[To my Secret] Charmkao

2 posters

Go down

[To my Secret] Charmkao Empty [To my Secret] Charmkao

ตั้งหัวข้อ by Charmkao Fri 26 Dec 2014, 18:50


เอร้ย รีเควสอะไรดี

1. พี่ฮัวกับน้องซิ่วสมัยเด็ก พี่ฮัวโอ๋น้องซิ่วซิ่วร้องไห้
2. อาสามกับพานจื่อ มโนไว้ว่าอยากได้พี่พานจูบรองเท้าอาสามที่นั่งอยู่บนบันลังก์ (ขอมากไปไหม55)
3. จางฉี่หลิงกับอู๋เสียที่อยู่คนละฟากของประตู
4. ปู่อู๋เล่นกับซุนติง
5. ปู่จางในเครื่องแบบบบ<3

ขอบคุณล่วงหน้าคะ เชิญเลือกตามสบาย55
Charmkao
Charmkao
ด้วงฝึกหัด
ด้วงฝึกหัด

จำนวนข้อความ : 21
Points : 3473
Join date : 03/12/2014
ที่อยู่ : บ้านสกุลอู๋

ขึ้นไปข้างบน Go down

[To my Secret] Charmkao Empty Re: [To my Secret] Charmkao

ตั้งหัวข้อ by sinnerdarker Sat 24 Jan 2015, 19:03

สวัสดีค่า วันนี้มาส่งซีเคร็ทให้ค่ะ //ส่งจูบให้

ขอเลือกหัวข้อแรกมาให้ของขวัญนะคะ ;v; ---> ฮัวกับน้องซิ่วสมัยเด็ก พี่ฮัวโอ๋น้องซิ่วซิ่วร้องไห้

แต่งได้ไม่ดีเท่าไหร่ ฉากพี่ฮัวปลอบน้องก็น้อยมากด้วยเลย ฮืออออ ขอโทษค่ะ แงงง  แต่พยายามเต็มที่ที่จะพูดถึงความสัมพันธ์ของเด็กสองคนนี้ ถ้าชอบจะดีใจมากค่ะ! /โค้งให้

ความจริงอยากเขียนหลายๆ หัวข้อ แต่ว่าพลังกายสู้ไม่ไหว ทางซินเองก็วาดรูปไม่ค่อยเก่งเลยต้องเขียนเอา ขอโทษด้วยนะคะ

เขียนซิ่วซิ่วแล้วรู้สึกว่าสำนวนไฮเปอร์มาก o]=[

เนื่องจากซินเป็นผิงเสียลิซึ่ม (และรู้สึกว่าเขียนฟิคไม่ตรงเควสเท่าไร....) เลยแอบเขียนฟิคผิงเสียเพิ่มให้นะคะ ///v\\\ อยู่เมนต์ล่าง

ด้วยรักค่ะ! <3 <3


++++++++++++++++++++++++++++

My Dearly Sister(Brother?) [ฮั่วซิ่วซิ่ว + เซี่ยอวี่ฮัว]

++++++++++++++++++++++++++++





       ฮั่วซิ่วซิ่วเกลียดพี่ชาย

       เด็กหญิงเกลียดพี่ชายที่สุดในโลก และเกลียดเด็กผู้ชายที่สุดในโลกด้วยเช่นกัน พวกเขาขี้แกล้ง หยาบคาย ชอบต่อว่าเธอ โง่เง่า ซิ่วซิ่วไม่ชอบเพื่อนของพี่ชายเหมือนกัน แล้วก็ไม่ชอบพวกลูกพี่ลูกน้องผู้ชายที่มาเจอกันในวันรวมญาติด้วย

       คนพวกนั้นชอบเล่นอะไรน่ากลัว รุนแรง น่าขยะแขยง บางครั้งก็เล่นโคลนในวันที่ฝนตก เล่นตีไม้ใส่กันหรือเล่นผาดโผน  แล้วก็ชอบกลั่นแกล้งเธอ บางครั้งก็ป้ายโคลนใส่ บางทีก็พูดจาหยอกล้อต่อว่าหรือแกล้งดึงผม ทำอะไรไร้สาระไปวันๆ ซิ่วซิ่วไม่เข้าใจ ทำไมเด็กผู้ชายทุกคนถึงชอบทำตัวแบบนี้ ทำไมต้องทำตัวอวดเก่ง กลั่นแกล้งเด็กผู้หญิง ทำตัวงี่เง่ารำคาญ

       เพราะว่าถูกแกล้งจนชักจะเอือม เด็กหญิงจึงมักจะไม่ไปยุ่งด้วยยามที่เพื่อนพี่ชายมาที่บ้านหรือญาติมาพบปะกัน แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ซิ่วซิ่วกลับยิ่งโดนแกล้งเข้าไปใหญ่ วันหนึ่งชักทนไม่ไหวซิ่วซิ่วจึงร้องไห้วิ่งไปฟ้องท่านย่าฮั่ว บอกว่าพวกเด็กผู้ชายรังแกเธอ ท่านย่าฟังแล้วก็บอกให้พวกผู้ใหญ่ไปดุและลงโทษเด็กพวกนั้น แต่ก็หันกลับมามองเธอด้วยสายตาราบเรียบเช่นกัน

       “ซิ่วซิ่ว หลานจะเอาแต่ร้องไห้ไม่ได้” ท่านย่าของเธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “หลานเป็นเด็กผู้หญิงสกุลฮั่ว ผู้หญิงสกุลเราต้องแข็งแกร่ง อดทน ย่าช่วยแค่คราวนี้และจะไม่ช่วยแล้ว หนูสัญญากับย่าได้ไหม จากนี้จะไม่ร้องไห้ต่อหน้าใครง่ายๆ อีก และจะต้องจัดการเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเอง”

       เด็กหญิงในวัยนั้นไม่เข้าใจ เหตุใดท่านย่าที่รักจึงบอกเธอเช่นนั้นแทนที่จะปลอบโยน แต่ท่านย่าผู้แกร่งกล้าและสง่างามเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น หลังจากนั้นไม่ว่าเธอจะถูกกลั่นแกล้งเพียงใด ท่านย่าก็ไม่เคยยื่นมือมาช่วยอีกเลย เป็นท่านลุงที่ลงมาช่วย และถูกท่านย่าติเตียนเพราะยุ่งเรื่องของเด็ก

       สิ่งนั้นทำให้ซิ่วซิ่วกรุ่นโกรธน้อยใจ ท่านย่าไม่รักเธอแล้วหรือถึงไม่ยอมช่วย แต่ทั้งๆ ที่น้อยใจและเจ็บปวด นับจากวันนั้นซิ่วซิ่วก็ร้องไห้ยามถูกแกล้งน้อยลง ราวกับคำพูดของท่านย่าเป็นประกาศิต

       แต่ความเจ็บปวดและความน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปด้วยแม้แต่น้อย



+++++++++++++++



       วันนี้ตรุษจีน ญาติพี่น้องมารวมตัวกันมากมายกว่าทุกครั้ง เธอได้เจอญาติที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ดูเหมือนว่าจะเป็นคนละสกุลกัน แต่ก็ถือว่ามีความเกี่ยวดองอยู่บ้าง พวกผู้ใหญ่พูดทำนองว่ามีบุญคุณเกื้อหนุนกัน จึงต้องพบปะสานสัมพันธ์เป็นระยะเพื่อผลประโยชน์ภายภาคหน้า ซิ่วซิ่วฟังแล้วไม่เข้าใจเรื่องที่ผู้ใหญ่พูดนัก เธอแค่รู้สึกว่ามีคนในคฤหาสน์เยอะกว่าทุกครั้ง และรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเท่านั้นเอง

       พวกผู้ใหญ่รวมตัวกันในห้องใหญ่ ดูเหมือนจะพูดคุยอะไรกัน ส่วนเด็กๆ นอกเหนือจากเด็กทารกที่ยังไม่รู้ความต่างวิ่งเล่นอยู่ข้างนอก ซิ่วซิ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ใต้ร่มไม้เขียวขจี ก่อนจะผวาเฮือกตอนได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นหู

       “ยัยหัวซาลาเปา!”

       โป๊ก!

       “โอ๊ย….”ซิ่วซิ่วครางเบา เกือบจะร้องไห้เพราะความเจ็บที่โดนโยนของใส่หัว เด็กหญิงก้มลงมองพื้น มือเล็กป้อมยกขึ้นคลำหัว เห็นลูกไม้ก็ขมวดคิ้วเบะปาก หันไปทางพี่ชายที่ยืนยิ้มเผล่ใส่ “เล่นอะไรของพี่น่ะ!”

       “เล่นปาให้โดนเป้า” พี่ชายกับเพื่อนๆ หัวเราะ บรรดาญาติพี่น้องฝั่งผู้ชายก็เอากับเขาด้วย ซิ่วซิ่วกัดริมฝีปาก ก้มลงเอาลูกไม้ปาคืนใส่พี่ชาย

       “โอ๊ย! หนอย เอาคืนเหรอ!” พี่ชายของเธอกัดฟันกรอด จากนั้นก็หันไปทางเพื่อนๆ ของตน “พวกเรา เอาเลย!”

       คนพวกนั้นเฮลั่น โยนลูกไม้มาใส่เธอ ซิ่วซิ่วพยายามจะหลบ แต่ลูกไม้จำนวนมากหลบให้ตายก็หลบไม่หมด บางส่วนจึงโดนโยนใส่หัวเธอบ้าง โดนแขนบ้าง ความจริงมันไม่ได้เจ็บมาก แต่การถูกกลั่นแกล้งก็ทำให้คนเรารู้สึกคับแค้นแน่นอกได้เสมอ ซิ่วซิ่วหลบจนชักทนไม่ไหวก็เริ่มโยนลูกไม้คืนไปบ้าง แต่ฝ่ายที่ปา พอโดนปาถูกบ้างก็โมโห เดินมาทึ้งผมซิ่วซิ่วจนทรงผมที่ม้วนไว้ข้างหัวหลุดออกมาเป็นปอยยาว พร้อมกับยีเสียยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง

       “สมน้ำหน้า กลายเป็นยายเพิ้งแล้ว!!” เพื่อนของพี่ชายหัวเราะใส่ เยาะเย้ยถากถาง

       “ยัยเพิ้ง!”

       “ยัยเพิ้ง!!”

       ซิ่วซิ่วหอบหายใจ ร่างกายสั่นเทา ความโกรธทำให้เธอเริ่มพูดอะไรไม่ออก ก้อนสะอื้นแน่นอก ในขณะที่คนพวกนั้นยังคงโยนลูกไม้ใส่เธอ  รู้สึกตัวอีกทีเด็กหญิงทรุดตัวลงไปนั่งคุดคู้กุมหัวตัวสั่น ปกป้องตัวเองทั้งจากลูกไม้และเสียงหัวเราะเยาะเย้ยเหนือหัว ดวงตาแสบร้อนเหมือนจะร้องไห้ ทว่าน่าแปลกที่ไม่ยอมไหลออกมา

       คำพูดของท่านย่ายังติดแน่นเหมือบคำสาปที่ไม่ยอมคลายหายไป

       




       “ท่านลุง!! พวกเด็กผู้ชายแกล้งซิ่วซิ่วอีกแล้ว!!”

       เสียงหวานของใครบางคนดังขึ้น พวกพี่ชายสะดุ้งเฮือกลนลานแล้ววิ่งหนีหัวซุกหัวซุน พวกเขาเคยโดนลงโทษมาครั้งหนึ่งแล้วแต่ไม่รู้จักเข็ดหลาบ กระนั้นยามที่ได้ยินชื่อท่านลุงก็ลนลานไปเหมือนกัน

       ซิ่วซิ่วก้มหัวงุดคุดคู้ สั่นกลัวไม่ยอมเงยหน้า แม้ว่าพวกพี่ชายจะเตลิดเปิดเปิงหนีหายไปแล้ว ก็ยังไม่ยอมลุกขึ้นมา

       เด็กหญิงได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา

       “พวกนั้นไปแล้วล่ะ เงยหน้าขึ้นเถอะ” เสียงอ่อนโยนนั้นกล่าวพร้อมฝ่ามือที่ลูบลงบนหัวเบาๆ

       ซิ่วซิ่วเบิกตาเล็กน้อย พอรู้สึกถึงสัมผัสนุ่มนิ่มที่ลูบหัวตัวเอง ก็รู้สึกเหมือนความอบอุ่นอ่อนโยนไหลรินไปที่อื่นด้วย

       ตอนนั้นเลยเผลอร้องไห้ออกมา

       เด็กหญิงร้องไห้โฮ แต่ยังไม่ยอมเงยหน้า ฝ่ามืออบอุ่นนั่นเหมือนจะชะงักไป แต่ก็ยังคงลูบแผ่วเบาต่อ ซิ่วซิ่วรู้สึกเหมือนคนตรงหน้าจะกอดเธอด้วยกระมัง ลูบแผ่นหลังพลางพึมพำบอกว่าไม่เป็นไร

       ปกติซิ่วซิ่วไม่ร้องไห้เพราะกลัวพวกผู้ใหญ่จะไปฟ้องท่านย่าฮั่วว่าเธอไม่ยอมอดทน แต่ว่าคราวนี้ไม่ไหวแล้วจริงๆ ถ้าไม่ร้องไห้ล่ะก็ ต้องขาดใจตายแน่ๆ อีกอย่างมือที่ลูบหลังลูบหัวอยู่ตอนนี้ก็อบอุ่นเหลือเกิน

       ซิ่วซิ่วฝืนกลืนน้ำตาลงไปไม่ไหวจริงๆ

       เด็กหญิงร้องไห้สะอื้นฮัก ฝ่ามือนั้นก็ยังคงปลอบโยนเธอต่อไป ร้องไห้อยู่พักใหญ่จนตาช้ำแดง ซิ่วซิ่วถึงเงยหน้ามองคนที่ปลอบเธอ เจอกับเด็กผู้หญิงใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักคนหนึ่ง ท่าทางจะอายุมากกว่ากันเล็กน้อย

       ซิ่วซิ่วกะพริบตาปริบ เธอไม่เคยเห็นเด็กผู้หญิงคนนี้มาก่อน “…พี่สาวเป็นใคร”

       พอได้ยินคำว่าพี่สาวอีกฝ่ายก็ชะงัก แต่เหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้ว่าอะไร แย้มรอยยิ้มแล้วตอบเธอเสียงหวาน “พี่ชื่อเซี่ยอวี่ฮัว เรียกพี่ฮัวก็ได้ เธอคือซิ่วซิ่วใช่ไหม?”

       ซิ่วซิ่วได้ยินชื่อตัวเองก็ผงกหัวหงึกๆ อีกฝ่ายฉุดเธอให้ลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นตามชุดให้ ยิ้มบางๆ และลูบหัวเธออีกครั้ง “ไม่เป็นไรแล้วนะ พวกนั้นไปแล้ว”

       “ท่านลุงล่ะ?” ซิ่วซิ่วเอ่ยถามคนตรงหน้า มองซ้ายมองขวา “..พี่ฮัวบอกว่าท่านลุงมานี่”

       อีกฝ่ายกะพริบตาปริบๆ ก่อนแยกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “พี่หลอกคนพวกนั้นน่ะ ก็ถ้าใช้วิธีนี้เร็วกว่านี่นา วันหลังซิ่วซิ่วใช้วิธีนี้แล้ววิ่งหนีก็ได้ ลองดูนะ”

       ซิ่วซิ่วเบิกตากว้าง มองอีกฝ่ายอย่างเลื่อมใสทันที พี่ฮัวเหมือนจะยิ้มเขินๆ กลับให้ ก่อนจะจับไหล่ซิ่วซิ่วไว้แล้วจับหันให้เดินไปทางเก้าอี้ “ทรงผมซิ่วซิ่วยุ่งเหยิงหมดแล้ว พี่จะทำผมให้ใหม่ ดีไหม?”

       เด็กหญิงผงกหัวหงึกๆ เดินตามพี่สาวที่เพิ่งรู้จักกันไปอย่างว่าง่าย เธอนั่งลงบนเก้าอี้หินอ่อน รู้สึกว่าเส้นผมทั้งหมดถูกปล่อยสยายลงมา ปลายนิ้วสัมผัสลงบนศีรษะปกคลุมเส้นผมดำขลับยาวตรงอย่างนุ่มนวล สางเส้นผมให้อย่างระมัดระวัง ไม่ทึ้งให้รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย

       เป็นสัมผัสที่อ่อนโยนและอบอุ่น

       “ทำไมซิ่วซิ่วไม่เคยเห็นพี่ฮัวเลย? แล้วพี่ฮัวรู้จักซิ่วซิ่วได้ไง?” เธอถามออกมาไปท่ามกลางความเงียบ ปลายนิ้วที่สางแทนที่ด้วยสัมผัสถี่ของหวีแล้ว

       “พี่มาจากตระกูลเซี่ย เพิ่งจะเคยมางานตรุษจีนคราวนี้ แต่ว่าเคยได้ยินท่านย่าฮั่วพูดเรื่องซิ่วซิ่ว เอารูปให้ดู เลยรู้จักน่ะ” พี่ฮัวกล่าวบอกเธอ แสกกลางแบ่งกลุ่มผม

       “เหรอ…ท่านย่าฮั่วพูดถึงซิ่วซิ่วด้วยเหรอ” เด็กหญิงเงยหน้ามองพี่สาวคนสวยด้วยดวงตาเป็นประกาย พี่ฮัวที่เธอเพิ่งเจอหัวเราะขำ เอ็ดว่าให้กลับไปมองตรงตามเดิมเพราะทำผมให้ไม่ได้

       “ท่านย่าฮั่วเหลาไท่พูดถึงซิ่วซิ่วตลอดเลย” เด็กหญิงที่อายุมากกว่าเธอเอ่ย เกลี่ยเส้นผมกลุ่มนึงเคลียไหล่ไว้ อีกข้างรวบขึ้นแล้วม้วนเป็นก้อนกลมอย่างนุ่มนวล “ท่านคงรักซิ่วซิ่วมาก”

       พอได้ยินแบบนั้น รอยยิ้มและดวงประกายส่องประกายของซิ่ววิ่วก็หม่นลง

       “…ท่านย่าฮั่วไม่ได้รักซิ่วซิ่วหรอก” เด็กหญิงพึมพำ ขยับขาขึ้นกอดแล้ววางศีรษะบนเข่าตัวเอง “ก็ท่านย่าไม่เคยมาช่วยซิ่วซิ่วเวลาโดนแกล้งเลยนี่”

       พอเธอว่าขึ้นแบบนั้น พี่ฮัวก็นิ่งไป

       “ซิ่วซิ่ว ..ไม่ได้มาช่วย ไม่ได้หมายความว่าไม่รักหรอกนะ” พี่ฮัวพึมพำ บีบไหล่เธอทั้งสองข้าง ซิ่วซิ่วขดตัวกอดตัวเองแน่นกว่าเก่า แล้วเอ่ยตัดพ้อ

       “ท่านย่าฮั่วบอกว่าผู้หญิงตระกูลฮั่วต้องจัดการเรื่องตัวเองได้ ห้ามร้องไห้ แต่ซิ่วซิ่วยังไม่โตเลย ทำไมถึงจะร้องไห้ไม่ได้ล่ะ”

         ซิ่วซิ่วโดนบอกอยู่เสมอว่าให้เข้มแข็ง อย่าร้องไห้ แต่เธอเป็นเด็กผู้หญิง ยังเป็นแค่เด็กผู้หญิง เด็กผู้ชายยังร้องไห้ได้ ทำไมเธอถึงไม่มีสิทธ์จะร้องไห้ล่ะ ทำไมท่านย่าฮั่วต้องบอกให้เธออดทนเข้มแข็งอยู่คนเดียว ทำไมถึงไม่สอนพวกพี่ชายบ้าง

       เซี่ยอวี่ฮัวมองเด็กที่ตนกำลังทำผมให้อย่างไม่รู้จะทำเช่นไร ก่อนจะถอนหายใจเฮือกแล้วกล่าวขึ้น

       “…ท่านสอนซิ่วซิ่วเพราะท่านรักซิ่วซิ่ว อยากให้ซิ่วซิ่วเข้มแข็ง ตอนนี้พี่อธิบายคงยังไม่เข้าใจ แต่พอโตไป ก็คงเข้าใจเอง” พี่สาวฮัวบอกเธอ ได้ยินเสียงชึบของเชือกที่มัดเป็นปม “เรียบร้อย น่ารักเหมือนเดิมแล้ว”

       ซิ่วซิ่วกะพริบตา ยกสองมือขึ้นกุมหัวตัวเอง ตอนนี้ทรงผมของเด็กหญิงกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว ถึงจะยังมองไม่เห็น แต่เธอจะเชื่อคำพูดพี่ฮัวก็ได้ล่ะมั้ง

       คิดได้แบบนั้น เด็กหญิงจึงยิ้มกว้าง หันไปกล่าวด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงสดใส“ขอบคุณค่ะพี่ฮัว”

       พี่ฮัวยิ้มหวาน ก่อนจะว่าต่อ “อารมณ์ดีขึ้นแล้วใช่ไหม?”

       “…..” ซิ่วซิ่วยืนนิ่งไป ผงกหัวเบาๆ “แต่ยังโกรธท่านย่าฮั่วอยู่ โกรธพวกพี่ชายด้วย ทำไมเด็กผู้ชายถึงชอบทำตัวไร้สาระจังเลยล่ะพี่ฮัว”

       เธอว่าพลางเงยจ้องพี่สาวฮัวด้วยดวงตากลมโต รอคอยคำตอบจากเด็กสาวที่อายุมากกว่า

       “อืม…..”เซี่ยอวี่อฮัวครางในคอ ก่อนจะเอ่ยตอบยิ้มๆ“ไม่รู้สินะ พี่เป็นผู้หญิง จะไปเข้าใจพวกผู้ชายได้ไงล่ะเนาะ?”

       “เนาะ?” ซิ่วซิ่วเบิกตาเป็นประกาย แลบลิ้น “พวกผู้ชายเข้าใจยาก ซิ่วซิ่วไม่ชอบเลย”

       “แต่ซิ่วซิ่วจะเอาแต่ร้องไห้อย่างเดียวก็ไม่ได้นะ”

       “เอ๊ะ?”

       พี่ฮัวยิ้ม “ซิ่วซิ่วรู้ไหม พวกผู้ชายชอบรังแกคนอ่อนแอกว่าสู้ไม่ได้ เพราะงั้นถ้าซิ่วซิ่วแข็งแกร่ง สู้พวกเขากลับ พวกนั้นก็จะไม่แกล้งซิ่วซิ่วแล้วไง”

       “จริงเหรอ?” ซิ่วซิ่วถามกลับอย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนัก

       “จริงสิ” เด็กหญิงอีกคนแย้มรอยยิ้มหวานตอบกลับ “ซิ่วซิ่วไม่อยากเห็นพวกพี่ชายร้องไห้บ้างเหรอ?”

       “….” ซิ่วซิ่วคิดหนัก ก่อนจะผงกหัว เธอโดนแกล้งมาเยอะแล้ว แกล้งคืนได้บ้างก็คงดี “แต่พวกพี่ชายมีคนตั้งเยอะ ซิ่วซิ่วจะแกล้งคืนได้ไง”

       “พี่มีวิธี” พี่ฮัวยิ้มเจ้าเล่ห์ กระซิบข้างหู ดวงตาของซิ่วซิ่วเป็นประกายพราว หันขวับมองพี่สาวคนสวยด้วยรอยยิ้มทันที “พี่ฮัวเก่งที่สุด!!”

       เธอโดดกอดพี่สาวไว้ จากนั้นแผนการบางอย่างก็เริ่มขึ้น




++++++++++++++++++++++




        “คราวก่อนเธอกับเด็กผู้หญิงคนนั้นมาหลอกเราดีนัก! คราวนี้ล่ะจะเอาคืนให้ได้” พี่ชายกับกลุ่มเพื่อนคราวก่อนมาหาเธอ ดูเหมือนว่าจะมาเอาคืน  ซิ่วซิ่วเหลือบมองคนพวกนั้น แลบลิ้นใส่แล้ววิ่งหนีไปทางหนึ่ง คนพวกนั้นวิ่งไล่เธอมาอย่างนึกสนุก ก่อนที่คนหนึ่งจะสะดุดล้มหัวฟาดลงกับพื้น และพอคนหนึ่งล้ม ที่เหลือสะดุดล้มไปตามๆ กัน

       “โอ๊ย! อะไรน่ะ!”

       “เฮ้ย ลุกดิ! เหวออออออออ อะไรวะเนี่ยยย หยะแหยงงง”

       หนึ่งในกลุ่มพี่ชายหัวเราะลั่นออกมา มองหนอนยั้วเยี้ยที่ร่วงลงมาใส่หัว พอมองพื้นก็เห็นเชือกเส้นเล็กๆ ที่กั้นให้พวกเขาล้มลงไป ทั้งยังเชื่อมต่อไปที่ถังซึ่งแขวนไว้เหนือต้นไม้ มีหนอนหล่นลงมาเป็นระยะ “ยัยซิ่วซิ่ว!”

       “สมน้ำหน้า!”ซิ่วซิ่วแลบลิ้นหัวเราะร่าใส่ สะใจเป็นล้นพ้น ก่อนจะหันไปหาพี่ฮัวที่เดินออกมายิ้มๆ จากมุมบ้าน ตบมือกันแสดงความสำเร็จของแผนการนี้ ก่อนจะวิ่งหนีออกมา ปล่อยให้ พวกพี่ชายสาละวนกับหนอนที่ไต่ยั้วเยี้ยเต็มเต็ม






        “พี่ฮัวเก่งจัง คิดอะไรแบบนั้นออกด้วย!” ซิ่วซิ่วว่าขึ้นหลังจากวิ่งมาไกลแล้ว หอยหายใจหน่อยๆ ยิ้มกว้างมองพี่สาวคนสวย

       เซี่ยอวี่ฮัวยิ้มบางๆตอบกลับ แล้วว่าขึ้น “เห็นไหม? แค่นี้ก็เอาคืนแล้ว ไม่เสียงแรงด้วย”

       ซิ่วซิ่วผงกหัวหงึกๆแล้วเงียบไป ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความลังเล

       “พี่ฮัว …อยู่เล่นกับซิ่วซิ่วก่อนได้ไหม?”

       เซี่ยอวี่ฮัวเลิกคิ้ว ดูเหมือนจะครุ่นคิดเล็กน้อยให้เด็กหญิงใจเต้นรัวตื่นเต้นเล่นๆ  ก่อนจะแย้มรอยยิ้มกว้าง กล่าวตอบเสียงหวาน “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

       ซิ่วซิ่วตาเป็นประกาย ลากพี่สาวไปเล่นด้วยกัน พี่ฮัวฉลาดและเก่งมากจริงๆ รู้จักเกมแปลกๆ เยอะแยะ แถมยังร้องเพลงเสียงไพเราะเพราะพริ้ง เด็กหญิงไม่เคยเจอเด็กผู้หญิงที่ดูเก่งกาจแบบนี้มาก่อน

       จวบจนวันรวมญาติจบลงและพี่ฮัวต้องกลับบ้าน ซิ่วซิ่วถึงเพิ่งรู้ว่าต้องแยกกับพี่สาวคนดีของตนแล้ว

       “พี่ฮัว ไม่กลับได้ไหม อยู่กับซิ่วซิ่วนานๆ ได้ไหม?”

       เด็กหญิงขอร้องด้วยดวงตาเป็นประกาย เกาะแขนพี่สาวต่างสายเลือดเอาไว้ แม้ตระกูลฮั่วจะมีผู้หญิงเป็นผู้สืบทอด แต่ในสายตระกูลกลับมีเธอเป็นลูกผู้หญิงอยู่คนเดียว ญาติรอบข้างจึงมีแต่ผู้ชายที่ชอบจับกลุ่มกับพี่งี่เง่าของเธอ ส่วนญาติห่างๆผู้หญิงถ้าไม่อายุมากกว่าก็เด็กอ้อแอ้จนเล่นด้วยไม่ได้ พี่ฮัวคนนี้เป็นญาติผู้หญิงคนแรกของซิ่วซิ่ว เธอไม่อยากให้พี่สาวกลับไปเร็วนัก ยังอยากเล่นด้วยอีก

       พี่ฮัวมองดวงตาเป็นประกายของเธอ ทำหน้าหนักใจแล้วเอ่ยบอก “อืม…พี่อยู่ด้วยนานๆ ไม่ได้หรอก”

       พอได้ยินแบบนั้น ซิ่วซิ่วก็หงอยลงทันที

       “อืม….แต่ว่าพี่จะมาหาซิ่วซิ่วบ่อยๆ เอาแบบนั้นได้ไหม?”

       พอได้ยินแบบนั้น ดวงตาของซิ่วซิ่วก็เปล่งประกายทันที “สัญญาแล้วนะ!!”

       ซิ่วซิ่วเขย่งตัวหอมแก้มพี่ฮัว ถือว่าเป็นคำสัญญา อีกฝ่ายดูเหมือนจะอึ้งที่เธอทำแบบนั้น แต่ก็หัวเราะแล้วหอมแก้มตอบ ถือว่าเป็นการรับคำสัญญา

       แล้วพี่ฮัวก็กลายเป็นคนที่ซิ่วซิ่วรักที่สุดในโลกไป



++++++++++++++++




       หลังจากนั้นก็ไม่มีใครแกล้งซิ่วซิ่วได้อีก หากพวกพี่ชายคิดจะแกล้ง เธอจะมีวิธีเอาคืนที่เจ็บแสบกว่า ฉลาดกว่า คราวนี้แทนที่เด็กหญิงจะเป็นฝ่ายร้องไห้ พวกพี่ชายเลยเป็นฝ่ายร้องไห้แทนแล้ว

       เพราะว่าเป็นแบบนั้น พวกพี่เลยชักขยาดไม่กล้าเข้าใกล้ซิ่วซิ่ว แน่นอนว่าเด็กหญิงพอใจให้เป็นแบบนั้น เธอเล่นกับพี่ฮัวมากขึ้น พี่สาวคนสวยของเธอเองก็มาที่บ้านบ่อยเช่นกัน ซิ่วซิ่วติดพี่ฮัวมาก จนบางครั้งท่านย่าฮั่วก็เอ็ดเธอว่าอย่ารบกวนพี่ฮัวให้มากนัก พี่ไม่ได้มีเวลาว่างเหมือนซิ่วซิ่ว ต้องซ้อมงิ้วกับท่านปู่เออร์และจัดการเรื่องมากมาย และแทนที่จะได้พักก็กลับต้องมาเล่นกับเธอ

        เวลาแบบนั้นบางครั้งซิ่วซิ่วก็อดเบะปากร้องไหไม่ได้ แล้วก็ได้ฝ่ามืออบอุ่นนุ่มนวลกับรอยยิ้มหวานบอบบางคอยปลอบใจ บอกว่าไม่เป็นไร เพราะว่าพี่ก็ชอบเล่นกับซิ่วซิ่วเหมือนกัน

       พอได้ยินแบบนั้น เลยกอดพี่ฮัวไปแน่นๆ ดีใจจนไม่รู้จะทำยังไง

       ซิ่วซิ่วรักพี่ฮัวที่สุด




++++++++++++++




       และแล้วในวันตรุษจีนปีถัดมา ซิ่วซิ่วก็ได้เพื่อนเล่นเพิ่มขึ้นอีกคน

       คนคนนั้นชื่ออู๋เสีย เธอเลยเรียกว่าพี่อู๋เสีย พี่อู๋เสียไม่ค่อยเล่นกับซิ่วซิ่วเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้เล่นกับพวกพี่ชาย เวลาที่มาบ้านท่านย่าฮั่ว เด็กชายจะนิ่งเงียบ ท่าทางเขินๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ซิ่วซิ่วสนใจพี่ชายคนนี้มาก เธอไม่เคยเห็นผู้ชายที่เรียบร้อยขนาดนี้มาก่อน เวลาที่เจอกันในวันตรุษจีน ก็เลยชอบไปเล่นด้วยเป็นพิเศษ

       พี่อู๋เสียน่ารักมาก ไม่แกล้งเธอแถมบางครั้งยังเป็นฝ่ายโดนแกล้ง เด็กหญิงเลยชอบลากพี่ฮัวไปเล่นกับพี่อู๋เสียบ่อยๆ พวกเธอสามคนเลยกลายเป็นกลุ่มเด็กที่ผู้ใหญ่รู้ว่าวันรวมญาติเมื่อไหร่จะมาขลุกอยู่ด้วยกัน

       แต่ถึงจะเล่นด้วยกัน พี่อู๋เสียก็ไม่ค่อยพูดค่อยจาเท่าไหร่ เงียบขรึม ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พี่ฮัวกระซิบบอกว่าสงสัยเจ้าตัวจะเขินจนพูดอะไรไม่ออก ซิ่วซิ่วเลยชักชอบพี่อู๋เสียมากขึ้นทุกที นอกจากนี้พี่ชายคนนี้ยังเป็นคนที่ยิ้มสดใส ไม่ได้ยิ้มอวดเก่งแบบพวกพี่ชาย เป็นรอยยิ้มซื่อๆ ที่มองแล้วรู้สึกว่าอยากยิ้มตาม ทำให้สบายใจ แล้วก็อยากเข้าใกล้มากๆ

       เป็นเด็กผู้ชายที่ไม่รู้จักมาก่อน

       นอกจากนี้ พี่อู๋เสียหน้าแดงง่ายมาก เวลาพี่ฮัวยิ้มให้ก็ชอบเขิน ซิ่วซิ่วก็เข้าใจหรอกว่าพี่ฮัวของเธอน่ารักจิ้มลิ้ม แต่ทำไมเวลาเธอยิ้มไม่เห็นพี่อู๋เสียหน้าแดงบ้างเลย

       

       

       “พี่อู๋เสียทำไมชอบหน้าแดงเวลาอยู่กับพี่ฮัวจัง” ซิ่วซิ่วอดถามออกไปไม่ได้ ชี้นิ้วจิ้มแก้มอีกฝ่ายให้เจ้าตัวสะดุ้งเล่น เด็กชายหันขวับมองเธอ ดวงตาหลุกหลิกแล้วส่ายหัว “ไม่รู้สิ..เพราะว่าน่ารักมั้ง”

        “แล้วซิ่วซิ่วไม่น่ารักเหรอ” ซิ่วซิ่วบู่ปากไป “พี่อู๋เสียไม่เห็นหน้าแดงเวลาอยู่กับซิ่วซิ่วเลย”

       “มันไม่เหมือนกันนี่นา….” เด็กชายตรงหน้าเธอพึมพำบอก

       “พี่อู๋เสียชอบพี่ฮัวเหรอ?” ซิ่วซิ่วตัดสินใจถามไปตรงๆ  แล้วก็ได้เห็นพี่ชายที่น่ารักหน้าแดงแปร๊ดใส่

       “ปะ..เปล่านะ!!”

       “งั้นโตขึ้น แต่งงานกับซิ่วซิ่วนะ” เด็กหญิงว่าด้วยดวงตาเป็นประกาย “นะ พี่อู๋เสีย”

       ซิ่วซิ่วชอบพี่อู๋เสียมาก เป็นเด็กผู้ชายแบบที่เธอไม่เคยรู้จัก เป็นคนน่ารัก ซื่อตรง หน้าแดงเวลาที่เขิน ยิ้มเวลาที่ดีใจ หัวเราะสดใสเวลามีความสุข ซิ่วซิ่วไม่รู้ว่าโตขึ้นจะได้พบคนที่น่ารักแบบนี้อีกไหม

       พี่อู๋เสียหน้าแดงใส่อีกแล้ว แต่ว่าหลังจากที่อึ้งไปครู่หนึ่งก็ส่ายหัว “ไม่รู้สิ…”

       “ทำไมล่ะ?”

       “ก็..พี่ไม่ได้ชอบซิ่วซิ่ว”

       ไม่รู้ทำไมความโกรธถึงพุ่งปรี๊ด

       “พี่ชอบพี่ฮัวใช่ไหมเล่า!!” ซิ่วซิ่วร้องลั่น เดินหนีปึงปังมาจากเด็กชายด้วยความโกรธแบบเด็กๆ เธอได้ยินเสียงเรียกของพี่อู๋เสียจากด้านหลัง แต่ว่าไม่ได้สนใจ ตอนนั้นเธอเรียนวิชาบางอย่างจากท่านย่าฮั่วมาแล้ว จึงกระโดดขึ้นหลังคาของโรงเก็บของแล้วหนีไปหืที่เงียบๆ อยู่คนเดียว

       ทั้งที่เป็นเรื่องไร้สาระ ซิ่วซิ่วก็ยังน้ำตาซึม เด็กหญิงหามุมกำแพงหลบเข้าไปนั่งกอดเข่าแล้วซุกใบหน้า ปล่อยน้ำตาให้ไหลเปื้อนกระโปรงของตัวเอง

       ทำไมพี่อู๋เสียไม่ชอบเธอล่ะ ทำไมไม่รักเธอล่ะ ทั้งที่เธอรักพี่อู๋เสียมากแท้ๆ

       เด็กหญิงร้องไห้น้ำตาไหล ยิ่งกอดตัวเองหนักเข้าไปใหญ่ จากนั้นครู่หนึ่งจึงสะดุ้งเฮือก ยามที่ได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา

       “มาอยู่นี่เอง” เสียงหวานที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างกาย บนดวงหน้าหวานมีร่องรอยความโล่งอก “พี่อู๋เสียเขาเป็นห่วงนะ ซิ่วซิ่ว”

       “ปล่อยให้เป็นห่วงไปเลย!! ซิ่วซิ่วเกลียดพี่อู๋เสียแล้ว!” ซิ่วซิ่วแลบลิ้นใส่พี่ฮัว “เกลียดพี่ฮัวด้วย!”

       “ทำไมล่ะ?”

       “ก็พี่อู๋เสียชอบพี่ฮัวเลยไม่ชอบซิ่วซิ่ว”เด็กหญิงตะโกนบอกพี่สาวตาแดง เซี่ยอวี่อัวกะพริบตา ก่อนจะบอกเสียงเบา “..งั้นพี่ไม่มาหาซิ่วซิ่วแล้วนะ”

       “….ไม่เอา!”เด็กหญิงหันขวับไปร้องใส่ทันที

       “งั้นจะเอายังไงล่ะ?” เด็กหญิงหัวเราะ เดินเข้ามานั่งข้างๆ เธอ ลูบหัวด้วยฝ่ามือนุ่มนิ่มอบอุ่นเหมือนเมื่อก่อนแล้วดึงเธอไปซบไหล่ “เกลียดพี่แล้วเหรอ ซิ่วซิ่ว”

       “ไม่ได้เกลียด..”ซิ่วซิ่วพึมพำ ซบหัวลงกับไหล่อีกฝ่ายอย่างว่างง่าย รู้สึกหัวใจสงบลงเพราะฝ่ามือของอีกฝ่าย “แต่พี่อู๋เสียชอบพี่ฮัว ต้องแต่งงานกับพี่ฮัวแน่ๆ ก็เลยแต่งงานกับซิ่วซิ่วไม่ได้”

       พี่ฮัวของเธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวไปมา “พี่อู๋เสียแต่งงานกับพี่ไม่ได้หรอก”

       ซิ่วซิ่วเบิกตากว้าง หันขวับมองพี่ชายเพราะคำคำนั้น “หมายความว่าไง”

       เซี่ยอวี่ฮัวเหมือนลังเล เงียบไปครู่หนึ่งท่ามกลางสายตาจดจ้องของซิ่วซิ่ว เด็กหญิงดูคล้ายลังเล แต่ก็สูดลมหายใจลึก แล้วพูดมันออกมา

       “ก็พี่เป็นเด็กผู้ชาย…เด็กผู้ชายด้วยกันจะแต่งงานกันได้ยังไง..เนาะ”

       พอเจอคำนั้น ก็เหมือนมีอะไรฟาดเปรี้ยงใส่ซิ่วซิ่วระลอกสอง

       “แต่พี่น่ารักมาก”

       “พี่เป็นเด็กผู้ชายจริงๆ” พี่ฮัวยิ้มให้ทั้งที่ขมวดคิ้ว “ลองถามท่านย่าฮั่วดูก็ได้ ซิ่วซิ่วไม่ชอบพี่ชาย พี่เลยกลัวว่าซิ่วซิ่วจะกลัวแล้วก็ไม่กล้าเล่นด้วยถ้ารู้ว่าพี่เป็นผู้ชาย”

       พีฮัวบอกพร้อมรอยยิ้มเศร้า ดูก็รู้ว่ารู้สึผิดจริงๆ แต่เด็กตัวเล็กๆ จะเข้าใจอะไรแบบนั้นได้อย่างไร เด็กหญิงที่แต่เดิมก็กำลังเจ็บปวดกับการถุกปกิเสธรักจึงตัวสั่นเทิ้ม ลุกขึ้นยืนแล้วมองพี่สาวที่บัดนี้กลายเป็นพี่ชายด้วยร่างกายสั่น “…พี่โกหกฉัน!?”

       “.. พี่ขอโทษ อย่าโกรธพี่เลยนะ” พี่ฮัวว่าพลางยื่นมือมาลูบหัวเธอ “ซิ่วซิ่วจะเกลียดพี่เพราะพี่เป็นเด็กผู้ชายเหรอ”

       ซิ่ววซิ่วชะงักกับคำถามนั้น แต่สุดท้ายก็หลุดพูดตะโกนกร้าวออกไป

       “กะ…เกลียด!!” ซิ่วซิ่วตะโกนใส่ ปัดฝ่ามือที่ลูบหัวตัวเองออกด้วยควรามโกรธ จากนั้นก็วิ่งหนีมาโดยไม่ยอมพูดอะไร

       คืนนั้นซิ่วซิ่วเข้านอนโดยไม่ยอมกินข้าว ซุกตัวคลุมโปงกับเตียงเพราะความเสียใจ เธอโดนพี่สาวที่เธอรักที่สุดในโลกหลอก..ไม่สิ เป็นพี่ชายต่างหาก

       ซิ่วซิ่วคิดว่าตัวเองน่าจะร้องไห้ ดวงตาช้ำแดงไปหมด เสียใจที่โดนหลอก เสียใจที่เชื่อใจอีกฝ่ายตลอดมา

       เธอแค่โกรธ

      แล้วก็เสียใจ



++++++++++++++++++++++++




       จบตรุษจีนแล้ว ซิ่วซิ่วก็ยังไม่ยอมเจอพี่ฮัว เธอได้ยินพวกผู้ใหญ่เล่าขำๆ ว่าพี่อู๋เสียขอพี่ฮัวแต่งงาน กลายเป็นหัวข้อสนทนาขำขันให้พวกเขาหัวเราะร่าเริงกัน

       เด็กหญิงฟังแล้วยิ่งรู้สึกไม่ชอบใจ โกรธพี่ฮัวมากกว่าเก่า นอกจากจะแย่งพี่อู๋เสียไปแล้ว ยังหลอกเธอให้เสียใจด้วย ดังนั้น แม้ว่าจะเจอกันเพราะท่านปู่เออร์มาเยี่ยมท่านย่าฮั่ว ก็แทบไม่ได้พูดคุยกัน

       ซิ่วซิ่วโกรธพี่ฮัวจริงๆ เกลีบดมากด้วย คิดในใจว่าจะไม่ยอมเจอกันอีกเป็นครั้งที่สอ งถึงโตแล้วก็จะไม่ยอมหายโกรธ

       ..ทั้งอย่างนั้น อาจจะเพราะยังเป็นเด็ก พอเวลาผ่านไป ความโกรธก็เริ่มเจือจาง

       เป็นเด็กผู้ชายแล้วยังไงกัน

       ยังไงซะพี่ฮัวก็ยังเป็นพี่ฮัวคนเดิม พี่สาวคนที่ตอนนั้นมาช่วยเธอเอาไว้ ปลอบโยนตอนที่ร้องไห้ ทำผมให้ใหม่ ยอมเล่นด้วยทั้งที่ตัวเองแทบไม่มีเวลาว่าง เป็นคนที่ยินดีลูบหัวเธอ บอกว่าไม่เป็นไรเวลาที่ร้องไห้

        แค่เปลี่ยนจากพี่สาวเป็นพี่ชาย….จะเป็นอะไรนักหนากัน

       พอคิดได้แบบนั้น วันถัดมา ซิ่วซิ่วเลยขอร้องท่านย่าฮั่วให้พาตนไปหาพี่ฮัว




+++++++++++++



       “ขอโทษค่ะ”

       ซิ่วซิ่วกล่าวเสียงแผ่ว ยืนตรงหน้าพี่ฮัวที่กำลังยืนถือพลองอยู่ ท่านปู่เออร์อนุญาตให้เธอเข้ามาข้างในได้ ในขระที่ท่านย่าไปนั่งจิบน้ำชาพูดคุยกับท่าน

       พี่ฮัวกะพริบตามองเธอ ส่วนเด็กหญิงก็อดก้มหน้างุดมองพื้นไม่ได้ ไม่กล้าคิดว่าอีกฝ่ายจะยกดทษให้หรือเปล่า

       เด็กชายยืนนิ่งไปนานมาก ก่อนจะแย้มรอยยิ้ม ลูบหัวเธอเบาๆ

       “ไม่โกรธพี่แล้วเหรอ?”

       ซิ่วซิ่วเบิกตาเล็กน้อย รู้สึกว่าน้ำตารื้นขึ้นมา  ก่อนจะตอบออกไป“อืม”

       เด็กหญิงผงกหัว ก้มหัวให้พี่สาว..พี่ชายฮัวลูบหัว รู้สึกตอนนั้นเองว่าคิดถึงสัมผัสนี้มากเหลือเกิน

       คิดถึงพี่ชายฮัวมากเหลือเกิน

       “พี่ขอโทษที่ไม่บอกนะ…” อีกฝ่ายพึมพำบอกเธอ ซิ่วซิ่วสะดุ้งแล้วส่ายหัวทันที “ซิ่วซิ่วก็ขอโทษเหมือนกันที่ไม่มีเหตุผล พี่ฮัว…..พี่ฮัวเป็นพี่สาวของซิ่วซิ่วต่อได้ไหม?”

       “ไม่ได้หรอก”

       พอได้ยินแบบนั้นหัวใจก็ร่วงดิ่งลงพื้นทันที

       “….พี่ต้องเป็นพี่ชายสิ จะเป็นพี่สาวได้ไง” พี่ฮัวหัวเราะร่า บีบจมูกเธอเบาๆ แล้วดึงไปกอด ซิ่วซิ่วกะพริบตาปริบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะกอดพี่ฮัวคืนแน่นๆ เป็นสัญลักษณ์ว่าเราคืนดีกันแล้ว

       พี่ฮัวเป็นพี่ที่เธอรักที่สุด จะเป็นพี่ชายหรือพี่สาวก็ช่างมันเถอะ ไม่เห็นสำคัญอะไร

       ซิ่วซิ่วรักพี่ชายฮัวที่สุดในโลก

       

END
sinnerdarker
sinnerdarker
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ

จำนวนข้อความ : 343
Points : 4055
Join date : 27/10/2014
ที่อยู่ : บ้านสกุลหวัง

ขึ้นไปข้างบน Go down

[To my Secret] Charmkao Empty Re: [To my Secret] Charmkao

ตั้งหัวข้อ by sinnerdarker Sat 24 Jan 2015, 19:09


ข้อความที่ไม่มีวันส่งถึง [ผิงเสีย]
---> จากข้อ 3. จางฉี่หลิงกับอู๋เสียที่อยู่คนละฟากของประตู



-------
อู๋เสีย
-------




ตอนนี้นายเป็นยังไงบ้าง?

ผมจรดปลายปากกาลงบนแผ่นกระดาษเช่นนั้น มีความตั้งใจที่จะเขียนถึงคนผู้หนึ่ง ผมทราบดีว่าจดหมายนี้จะไม่มีวันส่งถึงจุดหมาย และสุดท้าย..ก็คงถูกเผาเป็นเถ้าถ่านไป เพราะผมไม่ต้องการให้ใครนอกจากเจ้าตัวเห็น และเจ้าตัวผู้ที่ผมใคร่ครวญคนึงหาก็คงไม่มีวันได้อ่านจดหมายฉบับนี้

ผมหลุบตาลง ยอมรับว่านี่เป็นความสูญเปล่าโดยแท้ ทว่าก็ยังจรดปลายปากกา วาดตัวอักษรลงบนนั้นต่อไป



เสี่ยวเกอ ตอนนี้นายเป็นยังไงบ้าง?

หลายปีเหลือเกินแล้วที่นายจากไปหลังประตูบานนั้น นายใช้ชีวิตเช่นไร มีอาหารหรือเปล่า มีแสงสว่างบ้างไหม สถานที่แห่งนั้นเป็นอย่างไร เป็นเมืองเมืองหนึ่งที่ไม่ต่างจากเมืองทั่วไป หรือเป็นเมืองของภูติผีที่มีแต่อันตราย หรือแท้จริงแล้วเป็นแต่เพียงสถานที่ว่างเปล่าอันไร้สรรพสิ่งใดใด

หากว่าเป็นแบบนั้น นายจะเอาชีวิตรอดต่อไปอย่างไร จะอยู่รอดยังไงโดยไม่มีข้าวปลาอาหาร อยู่อย่างเดียวดายในความว่างเปล่าที่ทำให้คนคลุ้มคลั่งได้ หรือว่านายเข้าไปหลังประตูบานนั้น โดยที่ไม่คิดว่าตนจะรอดชีวิตกลับมา?

แต่ในเมื่อนายบอกฉันให้ไปหาเมื่อเวลาผ่านไปสิบปี นั่นหมายความว่านายยังต้องอยู่ที่นั่น รอฉันไปหาใช่ไหม?

ต้องยังมีชีวิตอยู่ ต้องยังไม่หายไปไหน ใช่ไหม?

เสี่ยวเกอ ฉันกลัวใจนายเหลือเกิน นายที่ไม่เคยใส่ใจหัวใจของพวกเรา เดินทางไปที่ต่างๆ หายตัวโดยไม่ใยดีความรู้สึกของสหาย ฉันกลัวว่านายจะออกจากประตูบานนั้นก่อนที่ฉันจะไปหา แล้วยามที่ไปถึงก็พบพานเพียงความว่างเปล่า

แต่หากฉันไปแล้วพบกับความว่างเปล่า ฉันอาจจะดีใจรึเปล่านะ อย่างน้อยก็ยังหวังว่านายมีชีวิต ต่อยอดลมหายใจของตัวเองไปได้อีกเฮือกหนึ่ง ดีกว่าล่มสลายยามพบศพของนาย เหมือนกับที่ฉันเข้าใจผิดตอนที่พบนายที่หอสกุลจาง

นายอาจจะไม่รู้ และฉันไม่ได้บอก นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันเข้าใจว่าความรู้สึกล่มสลายเป็นเช่นไร ความเจ็บปวดที่ต้องพบว่าคนคนหนึ่งตายไปหนักหนาเพียงไร และส่งผลกระทบต่อตัวเองมากแค่ไหน

ฉันแทบหมดแรงที่จะออกจากที่แห่งนั้น สิ้นหวังยามที่คิดว่านายได้จากไปแล้ว

และสบายใจจนน้ำตาไหลยามที่รู้ว่านายยังมีชีวิตอยู่ หายใจรวยริน

ทว่ายังมีชีวิต

ชั่วชีวิตนี้ จะมีซักกี่คนที่ทำให้ฉันยอมฝ่าฟันเข้าไปหา จะมีซักกี่คนที่ฉันให้ความสำคัญเทียมเท่ากับชีวิตตัวเอง ทำให้รวดร้าวยามที่เห็นว่าตายจากไป น่าตลกใช่ไหม ฉันไปคว่ำกรวยมานาน เห็นความตายมามากจนชินชา ทว่ากลับปวดร้าวเจียนตายตอนที่คิดว่านายจากฉันไปโดยไม่หวนคืน

เสี่ยวเกอ นายทำอะไรไว้กับฉันกันนะ

เราพบกันไม่กี่ครั้ง ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันก็น้อยแสนน้อย แล้วเพราะเหตุใด เราจึงดึงดูดกัน ใยฉันจึงเห็นว่านายสำคัญ

และทำไมนายถึงเห็นฉันเป็นสิ่งเชื่อมโยงหนึ่งเดียวในโลกใบนี้

เสี่ยวเกอ ทำไมนายถึงมาลาฉัน

ทำไมนายถึงมาบอกลาฉัน เจาะจงเฉพาะฉัน แล้วจึงจากไป อะไรที่ทำให้นายเห็นฉันเป็นสิ่งเชื่อมโยงเดียวบนโลกใบนี้ ฉันยังคงไม่เข้าใจ

ฉันหวังจะฟังคำตอบของนายยามที่ได้พบกันอีกครั้ง



ซักวันจะไปหา

อู๋เสีย



ผมจรดปลายปากกาเขียนชื่อตัวเอง พับกระดาษลงในซองจดหมาย

จากนั้นก็เผามันทิ้งไป

++++++++++++++++++++++++++++++++

--------------
เมินโหยวผิง
--------------


ในความเงียบสงัดนั้นไม่มีสิ่งใดนอกจากเสียงหยดน้ำ

รอบข้างมืดมิด ว่างเปล่า เป็นห้วงอันไม่มี พื้นดินในความมืดทอดยาวออกไป ทว่ามีสิ่งใดอยู่บ้าง จางฉี่หลิงไม่คิดสนใจ

ในความมืดที่ไร้สรรพเสียงที่สามารถผลักดันให้คนคลุ้มคลั่งได้ เขาเพียงนั่งเงียบๆ เช่นนั้น ตั้งสตินับหยดน้ำต่างเข็มนาฬิกา เพราะห้วงเวลาเป็นสิ่งที่ไม่มีในที่แห่งนี้

ทว่าเขาจำเป็นต้องรู้ เพื่อนับวันเวลาแห่งการรอคอย

ในความว่างเปล่าอันเงียบสงัด บางคราก็นึกถึงใบหน้าของคนที่พบเจอกันครั้งสุดท้ายก่อนจะมายังที่แห่งนี้ ชายที่เขาทำหน้าที่แทน เดินเข้ามาหลังบานประตูโดยไม่คิดให้อีกฝ่ายติดตาม

อู๋เสียจะเป็นเช่นไรบ้าง

ช่วงเวลาสิบปีที่มอบให้ บัดนี้ใช้มันเช่นไร ใช้ชีวิตด้วยรอยยิ้มและความใสซื่อเฉกเช่นที่แล้วมา หรือทุกข์ตรมกับความจริงที่ได้รู้และเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง

จางฉี่หลิงไม่อาจรู้ได้

และบางที..คงไม่สนใจ

แต่ทั้งที่บอกตนเองว่าไม่สนใจ เขาก็ยังไม่เข้าใจตัวเอง ใยใบหน้าร้อนรนนั้นจึงผุดขึ้นมาบ่อยครั้งนัก ใยเรื่องราวของคนผู้นี้จึงผุดพรายขึ้นในห้วงคำนึงหลายครั้งหลายครา ..ท่ามกลางความเงียบที่ไร้สรรพสิ่งใดใด

จางฉี่หลิงไม่เข้าใจ

และปล่อยให้มันเป็นความไม่เข้าใจต่อไป

..บางที เขาอาจจะถามได้กระมัง สาเหตุของความผิดแผกนี้ หากว่าอีกสิบปีถัดไปอู๋เสียจะปรากฏตัวตรงหน้าประตูจริง

แต่นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เช่นกัน อู๋เสียควรจะลืมเรื่องนี้ไป ลืมว่าเขาได้บอกไว้ ว่าจะอยู่ที่นี่เพียงสิบปี

กระนั้น หากว่ามาจริง เขาจะเอ่ยถามออกไป

หากว่าความทรงจำนั้นยังดำรงอยู่กับตัว..จะถามออกไป

ว่าสิ่งที่เขาไม่เข้าใจนี้มีชื่อเรียกว่าอะไร


END
sinnerdarker
sinnerdarker
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ

จำนวนข้อความ : 343
Points : 4055
Join date : 27/10/2014
ที่อยู่ : บ้านสกุลหวัง

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน

- Similar topics

 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ