Countdown
We've been
togerther for

ค้นหา
 
 

Display results as :
 


Rechercher Advanced Search


[fic]BABY [ผิงเสีย] - อัพตอนที่6

Go down

BABY - [fic]BABY [ผิงเสีย] - อัพตอนที่6 Empty [fic]BABY [ผิงเสีย] - อัพตอนที่6

ตั้งหัวข้อ by Silver Fish Fri 09 Jan 2015, 23:29

หมายเหตุ - บอกกล่าวกันก่อน ฟิคนี้ผมแต่งและอัพลงในกลุ่มบันทึกสาววายบนเฟส บางคนอาจจะเห็นแล้ว บางคนอาจจะยังไม่เคยเห็น ผมมาอัพในบอร์ด เผื่อคนที่ยังไม่เคยเห็นครับ หากผิดพลาดตรงไหนขออภัยมา ณ ที่นี้ ฝากผลงานด้วยครับ (โค้ง)


ตอนที่1 ของขวัญวิเศษ

เอี๊ยด...เอี๊ยด...

           เสียงแปลกประหลาดดังออกมาจากภายในห้องที่มืดสนิท คละเคล้าเสียงหอบหายใจ เสียงเสียดสีของผิวกายบ่งบอกกิจกรรมที่เจ้าของห้องกำลังกระทำอยู่

           ร่างหนาคร่อมอยู่ด้านบนโอบกอดร่างด้านตายลูบไล้สำรวจไปทุกสัดส่วน จดจำทุกสัมผัส ริมฝีปากได้รูปพรมจูบแผ่นหลังเนียน ไหล่มนต่างจากเรือนร่างเปลือยเปล่าของตนเองที่มีรอยสักรูปกิเลนลุกลามไปจนเกือบครึ่งร่าง

           “สะ เสี่ยวเกอ หะ ไม่ ไม่ไหว”

         คำร้องขอของคนที่อยู่ด้านล่างดูจะไม่ไปถึงหูของคนที่อยู่ด้านบนเลยแม้แต่น้อย เจ้าของดวงตาสีดำลึกล้ำยังคงตั้งอกตั้งใจทำกิจกรรมในร่ม สอดเสียดสีร่างเร่าร้อนจนเกือบรุ่งสาง ถึงได้หยุดแล้วโน้มใบหน้าหล่อเหล่ากระซิบข้างหูผู้รับศึกหนัก

           “อู๋เสีย ฉันจะมอบของขวัญวิเศษให้นาย”

         พูดจบ พอเช้าวันต่อมา ใครบางคนก็หายตัวไป ทิ้งให้ร่างบางหอบเหนื่อยหลับใหลไม่รู้เรื่องกระทั่งถึงเวลาตื่น ของขวัญชิ้นนั้น คืออะไรกันนะ….?



           ภายในห้องที่ผ่านศึกหนักมาตลอดทั้งคืน ร่างบนเตียงเริ่มขยับเมื่อเข็มนาฬิกาเดินบอกเวลาว่าสายเต็มทีแล้ว มือนุ่มเอื้อมไปจับๆที่ว่างข้างเตียงด้วยความเคยชิน ก่อนจะลืมตาตื่นพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง บิดตัวไล่อาการเมื่อยขบจากการนอน แล้วลุกเดินสะโหลสะเหลไปอาบน้ำแปรงฟัน

           ผมมองตัวเองในกระจก ขอบใต้ตาดำคล้ำเหมือนหมีแพนด้า หัวชี้ยุ่งเหยิงจากการนอน ผิวที่เคยขาวตอนนี้เริ่มคล้ำมากขึ้นจากการออกลุยนอกสถานที่

           ตั้งแต่คืนนั่นที่เสี่ยวเกอ ‘จัดหนัก’ ผมก่อนจะหายตัวเข้ากลีบเมฆไปในตอนเช้า เวลาก็ผ่านมาเกือบแปดเดือนแล้ว ในตอนนั้นผมยังจำได้ดี

           ทันทีที่ผมตื่นขึ้นมาเจอกับความว่างเปล่า ทั้งโมโห ทั้งเสียใจ กับการตัดสินใจของเมินโหยวผิง ทั้งๆที่ผมบอกว่าแล้วถ้าไปไหนให้บอกกันด้วย ซึ่งทุกครั้งเขาก็บอก แม้กระทั่งเวลาเข้าห้องน้ำ

           แต่วันนั้น เมินโหยวผิงกลับจากไปเงียบๆ พร้อมคำพูดทิ้งท้ายให้ผมคิดจนหัวสมองแทบแตก ของขวัญวิเศษอะไรกัน ของพวกนั้นไม่จำเป็นกับผมสักนิด ยังไงสิ่งที่สำคัญสำหรับผมคือครอบครัวและพวกพ้อง รวมถึงตัวเขา ทำไมถึงไม่ยอมเข้าใจอะไรกันนะ

           คิ้วขมวดยุ่งวักน้ำมาล้างหน้า อาบน้ำชะระกายขณะที่ในหัวยังสลัดเรื่องของเมินโหยวผิงออกไปไม่ได้ ไม่รู้ป่านี้จะไปติดแหงกอยู่ที่กรวยไหน ลำบากให้ผมต้องลากนายอ้วนออกไปตามหา ซึ่งตอนนี้ผมออกหาไปได้สามที่แล้ว แต่ละที่กินเวลามาก เพราะมีแค่คณะเดินทางเล็กๆ ที่แกนหลักคือผมกับนายอ้วนเท่านั้น

           “เสี่ยวเสีย อะไรกันนายเพิ่งตื่นเองเหรอ คนที่รีบร้อนจะหาสามีคือนายนะเทียนเจิน ทำไมถึงได้โอ้เอ้ชักช้าแบบนี้”

         เสียงชวนปวดประสาทดังขึ้นทันทีที่ผมเดินนุ้งผ้าขนหนูออกจากห้องน้ำ เห็นนายอ้วนยิ้มเบิกบานอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือ

           “มารดามันสิ ใครเป็นสามีฉันกันห๊ะ แค่นอนตื่นสายนิดหน่อยอย่าทำมาเป็นทับถมกันนักเลย ยังไงงานนี้ก็เริ่มออกเดินทางหลังจากนี้อีกหลายชั่วโมงแท้ๆ เพราะต้องรอเสี่ยวฮัวกับพานจื่ออีก”

         นายอ้วนไม่ได้ฟังที่ผมพูดสักนิด แย่งกินอาหารเช้าของผมที่ทางโรงแรมเอามาให้ตามที่ผมสั่งหน้าตาเฉย ผมเลยต้องรีบแต่งตัวแล้วมานั่งทาน ก่อนที่มันจะหมดหายเข้ากระเพาะเจ้าหมูตอนนี้ซะก่อน

           ครั้งนี้เป็นกรวยใหญ่ นายอ้วนเลยดี๊ด๊าเป็นพิเศษ แถมยังได้คนมีฝีมืออย่างเสี่ยวฮัวมาร่วมด้วย พานจื่อเองก็เหมือนกัน คงเพราะเป็นห่วงผมกับยังมีความหวังว่าจะเจออาสามมากรวยอวบๆแบบนี้ มีคนในคณะเดินทางอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งคนพวกนี้เป็นคนของเสี่ยวฮัวซะเป็นส่วนใหญ่

           คนที่พานจื่อหามาอีกประปราย มันดูเป็นคณะเดินทางที่พร้อมทุกอย่าง แต่ผมนึกหวั่นใจจริงๆ ว่าจะเกิดความวุ่นวายขึ้นรึเปล่า ในเมื่อแต่ละคนใช่น้อยซะที่ไหน

           “อย่าลืมนะเทียนเจิน งานนี้นายอ้วนไปช่วยหาสามี อะแฮ่ม หาเสี่ยวเกอ แลกกับการให้เสี่ยอ้วนหยิบจับของตามใจรู้มั้ย”

         นายอ้วนเอาส้อมจิ้มเนื้อไก่มาชี้หน้า ผมเลยปัดออกแล้วลงมือทานของตัวเองต่อ

           “ฉันรู้แล้วล่ะหน่า ถ้านายไม่ก่อเรื่องวุ่นฉันจะปล่อยนายทำตามใจชอบเลย”

           “พูดแบบนี้มันไม่ถูกนะ! ถึงเสี่ยอ้วนจะมือไว แต่ไม่ใจเร็วเหมือนนาย อันไหนควรไม่ควรรู้อยู่แล้ว”

         “ขอให้มันจริงเถอะ”

         ทำส่ายหัวกับท่าทางจริงจังขึงขังของอ้วนหวัง พอดีกับที่มีเสียงเคาะประตู ผมเงยหน้ามองเวลา คงถึงเวลาที่เสี่ยวฮัวจะมาตามพอดี ทางนี้เองผมก็ไม่มั่นใจนักว่าทำไมถึงตามมาด้วย เห็นบอกว่ามีรางสังหรณ์บางอย่างว่าการเดินทางครั้งนี้ของผมจะมีสิ่งสำคัญเกิดขึ้น

           หวังว่าไอสิ่งๆนั้นคือผมได้เจอกับเสี่ยวเกอที่ยังมีรูปร่างครบถ้วนสมบูรณ์แทนโครงกระดูกนะ

           “สวัสดีเสี่ยวฮัว ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วเหรอ”

         ผมทักทายแล้วพาเขาเข้ามาในห้อง รินชายื่นให้เสี่ยวฮัวรับไปจิบ เดินเข้ามานั่งร่วมวงด้วย

           “ทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว เหลือแค่รอนายน้อยสามประกาศออกเดินทาง งานนี้ดีเพราะมีเขามาช่วยด้วย ฉันเลยไม่หัวหมุนนัก”

         ผมพยักหน้ารับ เขาที่เสี่ยวฮัวพูดถึงคงจะเป็นพานจื่อนั้นแหละ ในเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เติมอาหารใส่ท้องเพิ่มพลังงานเสร็จ ผมกับนายอ้วนและเสี่ยวฮัวก็เดินทางไปยังจุดนัดพบ ครั้งนี้เราจะไปด้วยรถไฟในตอนกลางคืนเพื่อไม่ให้เป็นจุดเด่นนักกับการเดินทางกลุ่มใหญ่พร้อมกันแบบนี้ ถึงทุกคนจะแต่งตัวตามสบายเพื่อให้กลมกลืนกับรอบข้างก็ตาม การคว่ำกรวยครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้ง

           เพราะกรวยนี้พวกผมไม่เคยมา เลยต้องใช้คนเยอะและข้อมูลที่พร้อมพอ มีพานจื่อคอยจัดหาคนกับอุปกรณ์ให้พวกผมและคนของเสี่ยวฮัว นายอ้วน ผม และคุณชายเก้าช่วยกันหาข้อมูลให้ได้มากที่สุดเพื่องานครั้งนี้กินเวลาเตรียมตัวเกือบสองเดือน คณะเดินทางถึงพร้อมที่จะมุ่งไปสู่เป้าหมายได้

           ดังนั้นทุกการเคลื่อนไหวเลยต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ พอถึงจุดนัดพานจื่อเห็นผมก็โบกมือเรียก พวกเราไปนั่งในส่วนของที่มีเตียงนอน

         “นายน้อยกับคุณชายนอนที่นี้นะครับ เดี๋ยวผมกับไออ้วนนอนด้านล่างเอง”

         พานจื่อยกกระเป๋าผมไปเก็บให้ ผมเกรงใจอยากทำเองแต่พี่เขาก็ยังคงดื้อเหมือนเดิมเลยได้แต่ยอม ส่วนเสี่ยวฮัวไม่ต้องถึงมือพานจื่อก็จัดการเก็บของตัวเองเรียบร้อยก่อนแล้ว

           พานจื่อจองที่แบบสี่ที่ติดกัน ด้านบนสอง ด้านล่างสอง ซึ่งด้านบนจะปลอดภัยกว่าด้านล่าง พานจื่อเลยให้ผมกับเสี่ยวฮัวขึ้นไปนอนด้านบนแทน ส่วนตัวเองกับนายอ้วนนอนชั้นล่าง ก็คงไม่มีใครนึกอยากหาเรื่องชายท่าทางโหดอย่างพานจื่อหรอก พี่เขาใจดี แต่ใบหน้ามีรอยแผลเป็น ท่าทางดูสมเป็นทหารเก่า

           โจรกระจอกที่ไหนไม่กล้ามีเรื่องด้วยแน่ ทางนายอ้วนยิ่งไม่มีปัญหา แค่ยัดตัวเองเข้าไปนอนที่ก็เต็มแล้ว ข้าวของอะไรให้ขโมยก็ไม่มี ถึงเจ้าตัวจะบ่นๆว่าลำเอียง แต่ก็ยอมนอนชั้นล่างโดยดี

           พวกเราใช้ระยะเวลาในการเดินทางราวๆหนึ่งวัน แล้วต่อรถลุยที่จองไว้บุกฝ่าเข้าไปในป่า ตลอดทางนอกจากต้นไม้แล้วผมยังเห็นหมู่บ้านและคนในท้องที่ประปราย ในคณะเดินทางของผมเองก็มีคนท้องถิ่นมานำทางอยู่คนหนึ่งเหมือนกัน

           ในตอนแรกที่เห็นเขา นายอ้วนทำท่าทางหงุดหงิดทันที จากท่าทางแล้ว เขาคงรู้ว่าพวกเราจะมาทำอะไร และนี้คงไม่ใช่ครั้งแรกที่เขานำทางคณะเดินทางแปลกๆเช่นนี้ นายอ้วนเลยกังวลว่ากรวยอวบๆอาจจะเป็นกรวยร้างแห้งติดกระดูก เพราะของดีโดนขนออกไปจนหมดแล้ว ผมเลยได้แต่ตบบ่าปลอบเขา

           “อย่าคิดมากเลยนายอ้วน สุสานไม่ใช่เล็ก คนพวกนั้นไม่น่าเข้าไปลึกอย่างพวกเรา ของด้านนอกมีแต่พวกพื้นๆ ของดีๆมักอยู่ด้านในต่างหาก”

         “ก็จริงของนาย”

         ผมลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก โชคดีที่นายอ้วนกล่อมง่าย ทั้งที่ผมเองยังไม่มั่นใจเลยว่ามันยังเหลือของให้เอารึเปล่า แต่ไม่อาจทำลายความมุ่งมั่นของเขาได้ ไม่งั้นเดี๋ยวจะไม่ตั้งใจในการคว่ำกรวยครั้งนี้กันพอดี และที่สำคัญผมขี้เกียจฟังเสียงเขาบ่นด้วย

           เสี่ยวฮัวเองก็นิสัยคล้ายพบ มองผมกับนายอ้วนแล้วเมินหน้าหนีไปทางอื่นคงจะรำคาญไม่ต่างกัน สาวนพานจื่อเองอาศัยจังหวะนายอ้วนหันหลัง พยักหน้าโชว์นิ้วโป้งให้ผมแทนคำขอบคุณ ทำเอาผมหัวเราะไม่ออก

           พวกเขาก็เกินไป ถึงนายอ้วนจะน่ารำคาญในบางครั้ง แต่เขาใจดีมาก ไม่งั้นผมคงตายอยู่ที่กรวยไหนสักกรวยไปตั้งนานแล้ว แล้วเขายังช่วยเหลือผมอย่างดีทุกอย่าง ปากพูดชาไร้สาระกลับมีความคิดรอบคอบละเอียดอ่อนยิ่งกว่าผมซะอีก ยกเว้นเวลาที่มีเรื่องเงินทองเข้ามาเกี่ยวข้อง

           ระหว่างคิดอะไรเพลินๆ พวกเราก็มาถึงหมู่บ้านขนาดใหญ่ ให้พวกเราไปพักผ่อนเอาแรงที่เรือนรับรองของหมู่บ้าน ก่อนจะออกเดินทางเข้าป่าลึกไปอีกในวันรุ่งขึ้น

           ต่างคนต่างขนของไปเก็บทิ้งคนเฝ้าสักสองสามคน ที่เหลือแชร์ห้องนอนตามสะดวก

         “เสี่ยอ้วนเมื่อยตัวชะมัด ขอไปนอนสบายๆก่อนแล้วกัน อุดอู้ในที่นอนบนรถไฟนี้มันทรมานจริงๆ ค่อยดูซะถ้าเสี่ยอ้วนรวยมีเงินจะจัดการให้คนพวกนั้นเปลี่ยนที่นอนให้ใหญ่กว่านี้แน่” ผมส่ายหัวกับความไร้สาระของนายอ้วน ถึงมีเงินมากจริงเขาก็คงไม่เปลี่ยนเพราะคนแค่คนเดียวหรอก

           “งั้นผมนอนกับนายอ้วนแล้วกัน”

         ผมหันไปบอกพานจื่อกับเสี่ยวฮัวแล้วแบกกระเป๋าเดินตามนายอ้วน ก่อนจะชะงักเมื่อถูกมือพานจื่อยึดแขนซ้าย เสี่ยวฮัวยึดแขนขวา

           “นายน้อยนอนกับคุณชายดีกว่าครับ เดี๋ยวนายอ้วนผมจะไปนอนด้วยเอง”

         “หา ทำไมล่ะ ปกติผมก็นอนกับนายอ้วนประจำ”ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจ ทำไมท่าทางของสองคนนี้ถึงแปลกนัก

           “เรื่องนั้นผมรู้ นายน้อยอย่าลืมสิผมเองก็ไปคว่ำกรวยด้วย ตอนนั้นพวกเราสะดวกตอนไหนก็นอนมันตรงนั้น แต่ครั้งนี้มีคุณชายฮัวมาด้วย นายน้อยจะทิ้งให้คุณชายฮัวที่อุตส่ามาช่วยต้องไปนอนกับคนที่ไม่สนิทเหรอ”

         พานจื่อพยายามเกลี่ยกล่อมผม ทำให้ผมตาสว่าง จริงสิ พานจื่อกับนายอ้วนยังไม่เท่าไหร่ แต่เสี่ยวฮัวเป็นถึงว่าที่ผู้นำหนึ่งในเก้าสกิลใหญ่ จะให้นอนกับคนไม่สนิทคงไม่ดี ผมเลยพยักหน้ารับแล้วเลือกนอนกับเสี่ยวฮัว ยังไงพวกเราก็นิสัยคล้ายกัน แถมเป็นคนจากเก้าตระกูลเหมือนกันน่าจะเหมาะที่สุดจริงๆนั้นแหละ

           “ได้ งั้นผมนอนกับเสี่ยวฮัวเอง ไว้เจอกันตอนมื้อเย็นนะ”

         เขาพยักหน้ารับ พวกเราถึงแยกย้ายกลับไปนอนห้องของตัวเอง รอเวลาตอนเย็นที่คนในหมู่บ้านจะยกของกินมาให้พวกเราทาน

           ภายในห้องเป็นแบบง่ายๆตามประสาที่อยู่ห่างไกล เตียงคู่ ตู้เสื้อผ้า กับโต๊ะเก้าอี้ติดกำแพง ห้องน้ำต้องอาบรวมด้านนอก ผมเลือกเตียงขวาติดหน้าต่างตามความเคยชิน ในใจลึกๆก็หวังว่าเจ้าคนที่ชอบเข้ามาทางหน้าต่างอาจจะโผล่มาบ้าง

           ส่วนเสี่ยวฮัวเลยลงเอยที่เตียงซ้าย พวกเราต่างคนต่างหยิบเอาเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนเพื่อลงไปอาบน่ก่อนจะมืดค่ำกว่านี้

           กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยเตะจมูก พร้อมๆกับเพื่อนร่วมห้องที่เข้ามากอดผมจากทางด้านหลัง ทั้งที่ทำเหมือนกับเสี่ยวเกอที่มันให้ความรู้สึกแตกต่างกันชัดเจน กับเมินโหยวผิงผมรู้สึกอบอุ่น แต่กลับเสี่ยวฮัวผมรู้สึกตะขิดตะขวงใจแปลกๆ

           “มีอะไรเหรอเสี่ยวฮัว”

          “ป่าว ฉันแค่ลองสำรวจดูน่ะ นายดูเปลี่ยนไปนะ รู้สึกมีน้ำมีนวลขึ้น กอดแล้วเต็มแขนกว่าเดิม”

          ไม่พูดเปล่ายังกอดผมซะแน่น

           “สงสัยหลังจากคว่ำกรวยรอบล่าสุดฉันกับนายอ้วนจะออกเที่ยวกินกันมากไปหน่อยน้ำหนักเลยเพิ่มขึ้น เอาไว้คว่ำกรวยรอบนี้คงได้ผอมเหมือนเดิม” ผมตอบแบบไม่คิดอะไรมาก เรื่องน้ำหนักตัวขึ้นๆลงๆนี้มันไม่แปลกสำหรับผมเลยสักนิด

           “ไม่ใช่ นายไม่ได้อ้วน แต่มีน้ำมีนวลขึ้น อย่างกับคนท้อง...”

         “บ้าหน่า! ฉันเป็นผู้ชายจะท้องได้ยังไง” เถียงกลับทันทีด้วยใบหน้าแดงก่ำ ไม่มีทาง ถึงเสี่ยวเกอจะแปลกประหลาดกว่าคนอื่น แต่ไม่น่าจะถึงขั้นทำให้ผู้ชายท้องได้ ผมไม่มีมลลูกนะ เสี่ยวเกอนับล้านตัวจะไปผสมกับอะไร

           เสี่ยวฮัวดูจะไม่ตื่นตกใจแบบผม กลับหรี่ตามองแบบแปลกๆให้ผมรู้สึกร้อนๆหนาวๆหันซ้ายหันขวาทำตัวไม่ถูก แล้วจู่ๆเสี่ยวฮัวก็จับผมหันหน้าเข้าหา ยื่นมือมาลูบท้องแบนๆที่เริ่มพองออกเพราะไขมันในช่วงที่ผ่านมาท่าทางครุ่นคิด

           “ถึงจะเป็นไปไม่ได้ แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าถึงเป็นก็ไม่แปลกนะ นายน้อยสามเพื่อไขข้อข้องใจของพวกเรา งั้นเราลองมาทำกันดูมั้ย ดูซิว่าจะท้องรึเปล่า”

         จบประโยคด้วยรอยยิ้มท่าทางดีใจเหมือนเด็กได้ของที่ชอบ แล้วร่างผมก็ถูกมือขาวๆผลักจนนอนหงายอยู่บนเตียงโดยมีเสี่ยวฮัวขึ้นคร่อมอยู่บนตัว

         “สะ เสี่ยวฮัว เล่นแบบนี้ไม่ดีเลยนะ ฮาๆ ลุกสิ! หนักจะตายอยู่แล้ว ถึงพวกเราจะตัวพอๆกันแต่นายก็ยังตัวหนักนะ”

           ผมผลักให้เสี่ยวฮัวออกจากตัว เจ้าตัวเลยบ่นแบบที่จงใจให้ผมได้ยินจนหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าเก่า

           “ทีฉันบอกว่าหนัก ทีกลับนายคนนั้น นายกลับยอมอยู่นิ่งไม่เป็นไรเนี่ยนะ ฉันตัวบางกว่าแท้ๆ”

         “เอ่อ...เสี่ยวฮัว นี้ก็จวนจะได้เวลากินข้าวเย็นแล้ว พวกเรารีบไปอาบน้ำก่อนจะคนเยอะกว่านี้ดีกว่านะ”

         เสี่ยวฮัวมองผมแล้วกุมท้องหัวเราะยกใหญ่ แถมยังถือวิสาสะเอามือมาลูบหัวผมเล่นอีกต่างหาก อย่างน้อยๆฉันก็เป็นพี่นายหนึ่งปีนะ แล้วทำไมใครๆถึงชอบลูบหัวผมจัง ไม่ว่าจะเป็นอารอง อารสาม นายอ้วน นายแว่นดำ แล้วยังเมินโหยวผิงอีก

           “ฮ่าๆๆ นายนี้มันน่ารักชะมัด เอาเถอะยังมีเวลาอีกเยอะ ค่อยๆเป็นค่อยๆไปก็ได้ ฉันเน้นความละเอียดอ่อนมากกว่าเจ้านั้นนะ”

         ริมฝีปากนุ่มๆยื่นมาจุ๊บแก้มเบาๆให้ผมอ้าปากค้าง ส่วนตัวการเดินฮัมเพลงงิ้วออกไปแล้ว ผมยกมือลูบแก้มกลิ่นหอมๆกับสัมผัสนุ่มๆยังติดค้างอยู่เลย

           ผมสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระแล้วเดินตามเสี่ยวฮัวไปอาบน้ำ โชคยังดีที่พวกเรามาอาบก่อนไม่ค่อยมีคนเลยสบายหน่อย เสี่ยวฮัวออกจะสวย ผิวก็ขาวอมชมพูให้ใครเห็นคงไม่ดี พอเสร็จพวกเราก็ออกมานั่งทานข้าวร่วมกับคนอื่นๆ

           มีคนในหมู่บ้านมาคนมาทานด้วย ล้อมรอบกองไฟใหญ่สนุกสนานดี นายอ้วนกินมูมมามสุดๆ ขนาดพานจื่อเป็นทหารเก่ายังกินเรียบร้อย เสี่ยวฮัวยิ่งไม่ต้องพูดถึง....แทบไม่ต่างจากนายอ้วนเลย ผมลูบหน้าพรืด โธ่ คุณชายเก้า นายเก็บกดมารยาทมาจากในเมืองสินะ พอมาถึงที่นี้ถึงปล่อยขนาดนี้

           เสี่ยวฮัวดูเหมือนจะรู้ว่าผมมองอยู่ ถึงได้เคี้ยวกลืนจนหมดปากแล้วหันมาพูดทำเอาผมหน้าร้อน

           “ไม่ต้องมามองแบบนั้นเลยนายน้อยสาม นายเองก็ไม่ต่างจากฉันนักหรอก ออกมาทั้งที่ อยู่กับชาวบ้านจะมัวมารยาทให้คนอื่นกดดันทำไมฮึ”

           “ถูกต้องแล้วๆ ของอร่อยมันต้องกินเต็มที่ คนทำจะได้ดีใจนะรู้มั้ย”

         ผมส่ายหัวกับท่าทีของพวกเขา แล้ววางจานของตัวเองที่เพิ่งทานไปได้ครึ่ง เลือกทานพวกของง่ายๆแทน

           “เป็นอะไรรึเปล่านายน้อย” พานจื่อสังเกตเห็นเลยถามผม

           “ผมไม่เป็นไร แค่รู้สึกแน่นท้อง ไม่ค่อยอยากอาหาร พี่กินเถอะไม่ต้องห่วงผม”

         “ได้ไงครับนายน้อย พรุ่งนี้เราต้องออกแรงเยอะ ยังไงก็ต้องกินให้เต็มที่ ทานอีกหน่อยเถอะ”

         เขาหยิบจานน่าทานส่งมาให้ คนอื่นๆก็เริ่มมองแล้ว ขนาดนายอ้วนยังหยุดกินทำท่าจะเข้ามาขอส่วนของผม ก่อนจะโดนเสี่ยวฮัวดึงความสนใจด้วยการแย่งของนายอ้วนแทนจนโวยวายเรียกเสียงหัวเราะดังลั่น

           ผมฝืนๆทานไปได้อีกหน่อยก็ขอตัวกลับไปพัก นอนกุมท้องเกือบทั้งคืนอึดอัดแบบแปลกๆ เสี่ยวฮัวคอยดูผมเป็นระยะ ยังไม่ทันเริ่มเดินทางเลย ทำไมผมถึงซวยแบบนี้นะ

           พอตื่นขึ้นมาตอนเช้า หน้าผมเลยดูไม่ค่อยแจ่มใสนักเพราะนอนไม่พอ แต่การเดินทางต้องเป็นไปตามกำหนดเดิม ผมบอกพวกเขาไม่ต้องห่วงเริ่มเดินทางได้ ระหว่างทางลุยเข้าป่า ด้านหน้าผมคือพานจื่อ ซ้ายคือนายอ้วนที่ชวนคุยตลอดทาง ด้านขวาเป็นเสี่ยวฮัว ส่วนด้านหลังเป็นคณะเดินทางคนอื่นๆ หน้าสุดเป็นไกด์นำทางอีกที

           ใช้เวลาเพียงไม่นานพวกเราก็มาถึงจุดตั้งแคมป์ ให้คนที่เหลือไปสำรวจดูรอบๆ และช่วยกันเตรียมอุปกรณ์ตั้งแคมป์กัน ผม เสี่ยวฮัว พานจื่อ นายอ้วนมาสุมหัวทบทวนเรื่องแผนการผจญภัยรอบนี้อีกครั้ง พวกเราต้องหาทางเข้ากันเสียก่อน

           จากข้อมูลที่ได้มาดูต้องเดินเข้าไปอีกระยะหนึ่ง ถึงจะเจอจุดสังเกตให้เห็นอย่างต้นไม้ใหญ่ เศษซากอารยธรรมโบราณพอจะโผล่มาบนพื้นดินให้เห็นกันบ้าง ตอนแรกพวกเราตั้งใจจะเริ่มลงมือหลังจากที่ตั้งแคมป์เสร็จ แต่ผมหน้าซีดมากจนนายพานจื่อทนไม่ไหว

           “นายน้อย ผมเข้าใจว่าคุณกำลังรีบ แต่ในสภาพร่างกายไม่พร้อมแบบนี้ ถ้าคุณยังดึงดันที่จะไปอาการจะทรุดหนักแล้วเป็นตัวถ่วงพวกผมเปล่าๆ ถ้าจะบอกให้อยู่ที่นี้นายน้อยต้องไม่ยอมแน่ๆ ดังนั้นเข้าไปพักเป็นเด็กดี ระหว่างรอพวกเราสำรวจจนแน่ใจดีกว่า”

         “เสี่ยอ้วนเห็นด้วยนะเสี่ยวเสีย ถึงเสี่ยอ้วนจะแข็งแรงใจกว้างรักเงินและผู้หญิงสวยคงจะแบกนายไปตลอดทางไม่ได้”

         ผมขมวดคิ้วกำหมัดแน่นอย่างเจ็บใจ นึกโมโหสภาพร่างกายตัวเองที่ดันมาอ่อนแอเอาตอนนี้ อย่างที่พานจื่อกับนายอ้วนพูด ถ้ามันยังดื้อที่จะได้คงเป็นแค่ภาระทำให้พวกเขาเคลื่อนไหวไม่สะดวกห่วงหน้าพะวงหลังอาจทำให้เกิดเรื่องใหญ่ได้

           เสี่ยวฮัวเองแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่แววตาที่มองจ้องเขม็งก็บอกอะไรได้มากพออยู่แล้ว ถ้านายยังไม่ยอมกลับไปนอนดีๆ อาจจะเจอเคล็ดวิชาตระกูลฮัวได้ สุดท้ายผมเลยจำยอมพยักหน้ารับแล้วเข้าไปพัก บ้าจริง! ตั้งแต่เปิดเรื่องมาผมก็นอนๆตื่นๆไปสามสี่รอบแล้วนะ คิดว่าจะเปลี่ยนฟิคนี้เป็นฟิคอู๋เสียหลับรึไงกัน

           เมื่อหัวถึงหมอน จากที่ไม่ง่วงผมก็ผล็อยหลับไปในทันที ไม่รู้ว่าผมนอนไปนานเท่าไหร่ มือที่กุมท้องแน่นเริ่มคลายออกความรู้สึกแน่นอึดอัดจางหายจนกลับเป็นปกติ สักพักมีอะไรมายุกยิกอยู่แถวใต้ผ้าห่มบังคับให้ผมต้องตื่น ตลบผ้าห่มดูด้วยความหงุดหงิด

           นึกในใจ ต่อให้เป็นเสี่ยวฮัวหรือใคร ถ้าเล่นพิเรนทร์แบบนี้ต้องเจอเท้าผมบ้าง...

           “เฮ้ยยยยย!!”

           กลายเป็นผมที่ร้องเสียงหลง มองเจ้าสิ่งยุกยิกตาโตอ้าปากค้าง ยื่นมือสั่นๆไปอุ้มมากอดไว้ สัมผัสถึงไออุ่นพอเห็นหน้าเจ้าสิ่งนี้ชัดๆ สมองผมก็ระเบิดตูม

           นายอ้วนคงดงได้ยินเสียงผม ถึงได้หุนหันเข้ามา มือถือปืนท่าทางเอาเรื่อง ฮึดฮัดเหมือนหมูตกมัน

           “เกิดอะไรขึ้นเสี่ยวเสีย! มีใครจ้องลักหลับนายรึ อ๊ะ นั่นตัวอะไรน่ะ หน้าตาคุ้นๆเหมือนเสี่ยวเกอเลย”

         พอเขาทัก ผมเลยก้มมองในอ้อมแขน นี่มันเสี่ยวเกอฉบับลดวัยชัดๆ!

           “ดูอีกทีความรู้สึกมันไม่ใช่ อู๋เสียที่อาการนายแปลกๆเพราะแบบนี้เองสินะ นายเป็นแม่คนแล้วดีใจด้วย เสียดายที่เสี่ยวเกอไม่ได้เห็นลูกของตัวเอง ถึงจะเป็นม้ายลูกติดก็ไม่เป็นไร นายอายุยังน้อย ยังสาวยังสวยคงหาคนมาดูแลต่อได้สบาย อย่างคุณชายงิ้วนั้นท่าทางอยากดูแลเสียเหลือเกิน”

         ผมไม่สนใจที่นายอ้วนพล่าม แม้อยากจะเอาเท้าไปยัดปากแค่ไหนก็ตาม พอได้ยินเสียงจามฮัดชิ้วเล็กๆ ผมเลยรีบคว้าเอาผ้าห่มมาคลุมร่างเล็กๆเอาไว้ พลางมองสำรวจอย่างตั้งใจ

           ผิวกายขาวซีด เรือนผมเส้นละเอียดสีดำสนิทนุ่มราวกับคนแมว ดวงตากลมโตสีดำเหมือนลูกแมว แก้มยุ้ยๆน่าฟัด ร่างกายนุ่มนิ่มกับไออุ่นของความมีชีวิต ท่าทางไร้เดียงสาส่งเสียงอ้อแอ้น่าเอ็นดู มือเล็กจิ๋วกำเสื้อของผมแน่น

         นี่คือ....ลูกของผมกับเสี่ยวเกอเหรอ?

         แล้วมันออกมาจากทางไหนล่ะเนี่ยยยยยยยยยยยยยยย! เมินโหยวผิงนายทำอะไรลงไป ของขวัญที่นายพูดถึงคงไม่ใช่เจ้าหนูนี้หรอกนะ!!

TBC


แก้ไขล่าสุดโดย Silver Fish เมื่อ Tue 13 Jan 2015, 18:55, ทั้งหมด 4 ครั้ง
Silver Fish
Silver Fish
ด้วงฝึกหัด
ด้วงฝึกหัด

จำนวนข้อความ : 17
Points : 3496
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

BABY - [fic]BABY [ผิงเสีย] - อัพตอนที่6 Empty Re: [fic]BABY [ผิงเสีย] - อัพตอนที่6

ตั้งหัวข้อ by Silver Fish Sat 10 Jan 2015, 14:35

ตอนที่2 พ่อเด็ก

ตอนนี้ทุกคนกำลังมามุงอยู่รอบๆตัวผม เด็กน้อยที่ไม่รู้มาจากไหน แต่ที่แน่ๆทุกคนยืนยันเป็นเสี่ยงเดียวกันแล้วว่า นี้คือหลักฐานความรัก โซ่น้อยคล้องใจระหว่างผมกับเมินโหยวผิง แน่นอนว่าไอประโยคที่พูดไปข้างต้น ออกมาจากปากนายอ้วนน่าถีบไปให้บ๊ะจ่าง



ย้อนเวลากลับไปเล็กน้อย...



“อู๋เสีย ฉันว่านะ ยังไงเด็กคนนี้ต้องเป็นลูกนายกับเสี่ยวเกอแน่ๆ”



นายอ้วนพูดพลางมองมายังเด็กน้อยในอ้อมแขนผม ผิวกานขาวเกาะซุกอกผมแน่นไม่ยอมไปไหน ขนาดนายอ้วนจะลองอุ้มดูยังไม่ยอมปล่อย แล้วยังท่าทางเหม่อๆที่ถอดแบบเดียวกันมาอีก ดูยังไงนี่มันก็เสี่ยวเกอขนาดย่อส่วนชัดๆ



ให้ตายสิ! นายทำอะไรกันแน่นะเมินโหยวผิง คงไม่ได้ไปยุ่งกับไอต้นสำริดบ้านั่นหรอกนะ ผมคิดอย่างสับสน



ดูเหมือนจางฉี่หลิงตัวน้อยจะสัมผัสถึงความว้าวุ่นในใจของผมได้ ถึงไม่ร้องงอแงอะไรเลยสักแอะ ออกจะว่าง่ายเชื่อฟังสุดๆ พอเริ่มง่วงก็อ้าปากเล็กๆหาววอดชวนเอ็นดู ดวงตากลมโตสีดำดุจลูกแก้วปรือจวนจะปิด หัวทุยๆเอาเส้นผมนุ่มไปซุกๆถูๆเหมือนพ่อแมวราวถอดพิมพ์กันมา



เพียงแค่พ่อแมวชอบมาวุ่นวายแถวหน้าท้องกับคอ มือซุกซนน่าตัดทิ้ง ส่วนลูกแมวออดอ้อนขอไออุ่นดูน่าชัง จนผมชักจะเริ่มหลงซะแล้ว ความรู้สึกอุ่นซ่านแผ่ไปทั่วจิตใจ อดไม่ได้ที่จะโอบกระชับร่างกายนุ่มในอ้อมแขนมากขึ้น มือคอยจัดแจงผ้าห่มอย่างดี



ถึงผมจะไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน เพราะในบ้านผมเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด แต่ทุกการกระทำมันเป็นไปเองอัตโนมัติขนาดผมยังแปลกใจ



“เสี่ยวเสีย ดูนายตอนนี้ราวกับเป็นแม่คนไปจริงๆแล้ว นี่สินะที่เขาเรียกว่าสัญชาตญาณความเป็นแม่”



“ถ้านายว่างขนาดนั้น ช่วยฉันไปหาเสื้อผ้าเด็กกับนมมาหน่อย ในหมู่บ้านน่าจะมี ขอแบ่งมาไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”



“เห็นแก่เด็กหรอกนะ เสี่ยอ้วนจะไปหามาให้ก็ได้ จริงสิ! ให้เสี่ยอ้วนเป็นพ่อบุญธรรมนะ ต้องหาของขวัญมารับขวัญหลานหน่อยแล้ว เอาอะไรดี ที่นี้มีแต่กรวยไว้ไปหาเอาในกรวยแล้วกัน”



ได้ยินนายอ้วนพูดเส้นเลือดในสมองผมแทบแตก



“นายแม่งอย่าเอาของแปลกๆมาให้ลูกฉันนะ” อยากจะตะโกนด่าไล่หลังเสียงหัวเราะนั่นสุดใจ แต่ทำได้แค่พึมพำกัดฟันกรอดๆแทน เพราะกลัวว่าถ้าเสียงดังแล้วเด็กคนนี้จะตื่น ไม่วายพอผมก้มลงมองก็เห็นดวงตาใสแจ๋วจ้องมองผมแล้ว อะไรจะประสาทสัมผัสไวขนาดนี้นะ



“นอนต่อเถอะ ขอโทษที่เสียงดังนะ”



ผมพูดกล่อมมือคอยลูบๆหลังเล็กให้ลูกแมวคล้อยหลับไปอีกรอบ ถึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ไม่ทันจะได้โล่งนานประตูเต็นท์ถูกมือหนึ่งตลบเปิดออกพร้อมร่างของเสี่ยวฮัวที่ถลาเข้ามาข้างใน ตามด้วยพานจื่อมาติดๆ



“ตอนแรกฉันได้ยินจากนายอ้วนก็ไม่อยากเชื่อ พอเห็นแบบนี้ถึงเข้าใจ แค่ฉันนอนกับนายคืนเดียวก็มีพยานรักของเราออกมาแล้วเหรอ”



เสี่ยวฮัวพูดจาติดตลกตรงกันข้ามกับแววตาที่วาววับจนผมชักหวั่น อุ้มเสี่ยวเกอน้อยในอ้อมแขนแน่นขึ้นด้วยกลัวว่ามือสวยๆของคุณชายเก้าจะมาคว้าเด็กน้อยไปปาทิ้งด้านนอก



“นายน้อย ทำไมเกิดเรื่องแบบนี้ถึงไม่บอกผม ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ท้องก่อนแต่ง แต่เรื่องพวกนี้ไม่ควรจะเก็บไว้จนเกิดเป็นเด็กแบบนี้ขึ้นมานะ ไม่รู้วว่าถ้าบ้านสกุลอู๋รู้เข้าจะวุ่นวายแค่ไหน”



พานจื่อมองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ฉายความตำหนิจนผมคอหด ก่อนจะชะงักแล้วคว้าของใกล้ตัวปาใส่ด้วยความโมโห



“ท้องก่อนแต่งกับผีน่ะสิ! เด็กคนนี้มายังไงผมยังไม่รู้เรื่อง นอนๆอยู่ดีๆก็โผล่ออกมาใต้ผ้าห่มอย่ามามองผมเหมือนว่าผมเป็นเด็กสาวใจแตกได้มั้ย แล้วอีกอย่างผมจะสามสิบแล้ว” ผมเถียงด้วยเสียงเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้



เสี่ยวฮัวขยับเข้ามาหามองหน้าแมวน้อยที่เกาะอยู่ตรงอกผมชัดๆ พอเป็นแบบนี้เหมือนผมจะเห็นเส้นเลือดเล็กๆปูดตรงขมับของคุณชายเก้า



“ถ้านายพูดแบบนั้นยิ่งไม่น่าไว้ใจเข้าไปใหญ่ ที่นี้ใกล้สถานที่อโคจร กรวยใหญ่มักมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่เสมอ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นผีปลอมตัวมา ฉันว่าน่าจะรีบกำจัดทิ้งเสียแต่เนิ่นๆดีกว่า”



มือขาวยื่นมาหมายจะพาลูกแมวไปจากอ้อมแขน ผมหัวใจกระตุกวูบรีบหันหลบทันที มือของเสี่ยวฮัวเลยชะงักอยู่กลางอากาศ สภาพภายในเต็นท์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก



ดูเหมือนว่าพานจื่อเองก็เห็นด้วยกับเสี่ยวฮัวถึงไม่ได้เข้ามาช่วยผมหรือออกปากห้ามอะไร ผมเม้มปากแน่น กอดจนเสี่ยวจางตื่นขึ้นมาอีกรอบ เขาว่ากันว่าเด็กมักไวต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้ใหญ่ คงเข้าใจว่าตัวเองกำลังถูกทำร้าย ใบหน้าน่ารักเลยเริ่มเบ้ปาก หยดน้ำตาร่วงผล็อยๆเกิดเป็นเสียงร้องของเด็กจนแตกตื่นกันไปทั้งคณะเดินทาง



พวกที่อยู่ใกล้พากันพยายามชะโงกหัวเข้ามาดูด้านใน แต่พานจื่อบังไว้จนปิดแถมปิดประตูเต็นท์จนคนนอกมองเข้ามาไม่ได้ ส่วนพวกที่อยู่ไกลน่าเห็นใจหน่อย จู่ๆได้ยินเสียงเด็กร้องลอยมาตามสายลม ต่อให้จิตแข็งแค่ไหนก็มีหวั่นบ้าง ในเมื่อเด็กที่ไหนจะมาร้องแถวนี้กัน



“พวกนายหยุดห้ามเข้ามาใกล้ฉันมากกว่านี้ โอ๋ๆเสี่ยวจางไม่ร้องนะคนดี เดี๋ยวพ่ออ้วนก็เอานมมาให้แล้ว นิ่งๆนอนซะนะครับ”



“เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้นายเรียกใครว่าพ่อนะ”



เสี่ยวฮัวดูทำหน้ารับไม่ได้อย่างแรง มากซะยิ่งกว่าตอนเจอหน้าเมินโหยวผิงซะอีก ผมหัวเราะกับท่าทีของเขา อย่าว่าแต่เสี่ยวฮัวเลย ขนาดพานจื่อยังหน้าซีด มองผมด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อปนรับไม่ได้ยังไงชอบกล



“พวกนายคิดไปไหนกัน เขาเด็กเจ้าหนูนี้คนแรก เลยอาสาขอเป็นพ่อบุญธรรมให้...” ผมพูดไม่ทันขาดขำ นายอ้วนก็โผล่มาพอดี ตายยากจริงๆ





“นมอุ่นๆผ้านุ่มๆมาแล้ว อ้าวพวกนายอย่ายืนขวางทางเกะกะเสี่ยอ้วนสิ เสี่ยอ้วนจะให้นมเด็กหลบไปๆ”



นายอ้วนเบียดๆตัวเองเข้ามาในเต็นท์ สองมือเขามีแต่เสื้อผ้ากับขมวดนมใต้รักแร้ก็หนีบกระดิกใส่นมไว้ ท่าทางคล่องแคล่วจนผมอดสงสัยไม่ได้



“นายอ้วน ไม่ใช่ว่านายเคยมีลูกมาก่อนนะ ถึงได้ดูรู้งานขนาดนี้” ผมมองข้าวของที่ถูกเจ้าตัวมากองไว้เบื้องหน้า สารพัดพาจนผมไม่เข้าใจว่าเอามาทำไมเยอะแยะ ผมแค่ให้เอานมกับเสื้อผ้าเด็กมาเองนะ



“ฉันจะไปมีได้ยังไงเรา บอกแล้วผู้ชายอย่างเสี่ยอ้วนต้องทำเป็นทุกอย่าง นี่เสื้อผ้า อันนี้ผ้าขนหนูเช็ดตัวหลังอาบน้ำ ส่วนนี่ผ้าสำหรับเช็ดน้ำลายกับคราบนม แล้วก็นี้ถุงมือถุงเท้า พวกเราอยู่กลางป่า ตอนกลางคืนขนาดผู้ใหญ่ยังหนาวจนไข่แข็ง เด็กๆก็ต้องทำตัวอุ่นเข้าไว้ เสียดายไม่มีหมวกกับผ้าพันคอ เสี่ยอ้วนเลยเอาชุดมาดัดแปลงนิดหน่อย เป็นไง ถึงจะเย็บไม่ค่อยสวย แต่ก็พอใช้ถูไถไปได้บ้าง”



ผมนิ่งอึ้งอ้าปากค้างกับการร่ายยาวแบบมีสาระที่หาได้ยากยิ่งจากนายอ้วน ใบหน้ายิ้มแย้มท่าทางดีอกดีใจราวกับเป็นแม่คนซะเอง เสื้อที่เจ้าตัวกำลังชูอวดอยู่เป็นเสื้อกันหนาวตัวหนาสีเหลืองของเจ้าตัว ถูกตัดเย็บดัดแปลงใหม่จนกลายเป็นเสื้อกันหนาวเด็กแบบมีฮู้ด ช่วยปิดแถวคอกับกันน้ำค้างได้ด้วย



เท่าที่ผมสังเกตดู เหมือนตรงฮู้ดจะมีตากับปากซะครบ นี่มันเสื้อกันนาวลูกเจี๊ยบชัดๆ...



“นายนี่มันสุดยอด ถ้านายเป็นผู้หญิงแล้วหน้าตาดีกว่านี้ฉันจะสู่ขอไปเป็นเจ้าสาวแล้ว”



เสี่ยวฮัวพูดอย่างทึ่งๆจนผมกับพานจื่ออดที่จะคล้อยตามไปด้วยไม่ได้ ทำเอาอ้วนหวังเขินแล้วหัวเราะฮาๆชอบใจใหญ่



“พวกนายจงดูไว้ซะ นี้แหละคือผู้ชายตัวเองที่ผู้หญิงทุกคนในโลกใฝ่ฝันถึง เมื่อกี้เสี่ยอ้วนได้ยินว่านายเรียกเจ้าหนูนี้ว่าเสี่ยวจางใช่มั้ย เอาล่ะเสี่ยวจาง มาเช็ดตัวเปลี่ยนชุดกับพ่ออ้วนดีกว่า”



ตอนแรกผมนึกว่าเสี่ยวจางจะไม่ไปด้วยซ้ำเพราะเขาดูจะเกาะติดผมมาก แล้วยังก่อนหน้านี้ไม่ยอมให้นายอ้วนอุ้ม พอมาตอนนี้กลับเป็นฝ่ายผละออกจากผมคลานไปหานายอ้วนซะแบบนั้น นี่ผมดูเป็นแม่ เอ๊ย พ่อที่ใช้ไม่ได้ขนาดนั้นเลยสินะ คิดแล้วกลุ้มใจเล็กๆ เห็นทีงานนี้ผมต้องให้นายอ้วนสอนเลี้ยงเด็กแล้ว



ขณะที่ผมกำลังดูนายอ้วนจับลูกแมวเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อ เทนมอุ่นจากกระติกใส่ขวด แล้วดูดกินซะเอง....!!



“นายอ้วน นายแย่งนมเด็กกินเรอะ”



ผมโมโหจนแทบจะกระโดดเตะก้านคอใส่ มือแย่งขวดนมมาจ้องเขม็งเอาเรื่อง ก่อนที่พานจื่อจะมาจับบ่าผมไว้แล้วพยายามเค้นคำพูดออกจากปากให้เป็นประโยค



“นายน้อย นั่นมันเป็นวิธีวัดอุหภูมิของนม เด็กอ่อนกินร้อนมากเกินไปไม่ดี”



ผมเห็นเหมือนใบหน้าของพานจื่อจะมุมปากกระตุก ผมหน้าแดงก่ำด้วยความอาย ยอมยื่นขวดนมส่งคืนให้นายอ้วนอย่างว่าง่าย



“โทษทีฉันไม่รู้ วันหลังนายก็บอกก่อนสิ วิธีวัดมีเยอะแยะทำไมต้องใช้วิธีนี้” บ่นอุบอิบไปตามประสา นายอ้วนส่ายหัวไม่โกรธเคืองอะไร แต่เสี่ยวฮัวสิท่าจะอาการหนัก ลงไปกุมท้องหัวเราะกลิ้งอยู่บนพื้นเต็นท์แล้ว



“ฮ่าๆๆๆ! นายน้อยสามเอ๋ยนายน้อยสาม ช่างไร้เดียงสาจริงๆ ขนาดเด็กยังรู้ว่าอยู่กับนายท่าจะแย่ เลยคลานไปหาเจ้าอ้วนแบบนั้น”



“หยุดหัวเราะได้แล้ว ฉันไม่เคยเลี้ยงเด็กนี่ คนรอบข้างก็ไม่มีเด็กอ่อนให้เห็น พานจื่อ ถ้าพี่จะขำก็เชิญตามสบายเลย”



โดนหัวเราะมากๆเข้าผมก็เริ่มโมโห กอดอกกระแทกก้นลงนั่งบนพื้นเต็นท์หันหน้าหนีไปจากทุกคน เสียงหัวเราะเงียบไปสักพัก ก่อนจะระเบิดออกมาใหม่



เห็นที่จะมีแต่เสี่ยงจางน้อยที่เห็นใจผม คลานต้วมเตี้ยมเข้ามาให้ ปีนขึ้นมาอยู่บนตักทั้งๆที่ปากยังคาบขวดนมอยู่ ดวงตากลมโตมองผมนิ่ง ก่อนที่มือเล็กๆจะแตะที่แก้มเบาๆเหมือนที่เสี่ยวเกอชอบทำเวลาจะปลอบผมให้จิตใจสงบลง



ผมเลยอดไม่ได้ที่จะคว้าร่างเล็กๆมากอด กลั้นน้ำตาเงียบๆ นายกายไปไหนกันแน่นะจางฉี่หลิง นายบอกว่าจะให้ของขวัญฉัน แต่ไม่คิดจะกลับมาดูหน่อยเลยเหรอ...



ทุกคนสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป เสี่ยวฮัวกับพานจื่อเลยหยุดหัวเราะ นั่งอยู่ไม่ไกล ส่วนนายอ้วนเก็บข้าวของที่ไปขนมาให้เข้าที่ ผ่านไปสักพักผมก็เริ่มสงบ เสี่ยงจางเองก็หลับคาขวดนมไปแล้ว มือเลยหยิบออกอย่างเบามือ ใช้ผ้าที่นายอ้วนบอกเอาไว้เช็ดปากมาซับเบาๆ



“ฉันล่มเลิกความคิดที่จะกำจัดเด็กนี้ก็ได้ แต่นายอย่าลืมนะว่าพวกเรามาทำอะไรกัน การคว่ำกรวยอันตรายมาก แค่พลาดนิดเดียวอาจถึงตายได้ ตอนแรกนายคนเดียวก็พอเอาตัวรอดได้อยู่ พอมีเด็กด้วยแบบนี้เห็นทีต้องให้นายรออยู่ที่เต็นท์แล้วล่ะนายน้อยสาม”



เสี่ยวฮัวพูดทำลายความเงียบ มันเป็นสิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่พอดี การเดินทางครั้งนี้สำหรับผมมาเพื่อหาเมินโหยวผิง แต่คนอื่นจะมีจุดมุ่งหมายอะไรนั่นผมไม่อยากยุ่งนัก



“ฉันเห็นด้วยกับคุณชายฮัวนะ นายน้อยรอสนับสนุนพวกเราอยู่ที่นี้เถอะ ยังไงก็ต้องมีคนรู้งานอยู่ที่นี้อยู่แล้ว ตอนแรกผมว่าจะอยู่ เป็นแบบนี้ผมขอฝากนายน้อยด้วยแล้วกัน”



“ไม่ต้องห่วง ถ้าฉันเจอเสี่ยวเกอ จะลากคอพากลับมาหานายแน่ๆ และไม่ลืมของรับขวัญเสี่ยงจางน้อยด้วย”



มืออ้วนตบบ่าผมเบาๆช่วยคนอื่นเกลี้ยกล่อม บรรยากาศมันกำลังดีอยู่แล้วแท้ๆ มาเจอประโยคท้ายของนายอ้วนเข้าผม เล่นเอาผมขำไม่ออก



“ขอเถอะ อย่าเอาอะไรแปลกๆมาให้เสี่ยวจางเลย เฮ้อ ถึงฉันจะอยากไปให้ตายแค่ไหน ยังไงก็คงทิ้งเสี่ยวจางไปไม่ได้ ฝากด้วยนะทุกคน”



ได้ยินผมพูดแบบนี้ทุกคนถึงค่อยโล่งอก มีคนกล่าวไว้ว่า คนที่ได้เป็นแม่คนแล้ว นิสัยจะเปลี่ยนไปทำอะไรใจเย็นนึกถึงลูกเป็นอันดับแรก สงสัยจะจริง แต่ผมต้องไม่ใช่แม่สิ ถ้าเสี่ยงจางพูดได้ผมจะฝึกเขาให้เรียกผมว่าพ่อ ส่วนเสี่ยวเกอ....ให้เรียกปะป๋าไปแล้วกัน



พอตกลงกันได้พานจื่อเลยขอตัวไปจัดการด้านนอกต่อเพราะพวกเรา ไม่สิ พวกเขาจะต้องออกเดินทางตั้งแต่ตอนนี้ ส่วนเสี่ยวฮัวขยับเข้ามาใกล้ผม ท่าทีเขาไม่มุ่งร้ายแบบตอนแรกแล้วผมจึงวางใจปล่อยให้เขาเข้ามาใกล้ได้



“ก่อนหน้านี้โทษทีนะ มาดูๆแล้วเด็กนี้ก็น่ารักดี ฉันขอเป็นพ่ออีกคนแล้วกัน”



มือสวยๆของเสี่ยวฮัวยื่นมือลูบผมเสี่ยงจางน้อยเบาๆ แถมยังเอาดอกไม้มาจากไหนไม่รู้ เหน็บไว้บนผมให้อารมณ์เหมือนเสี่ยวฮัวไม่มีผิด ผมเองก็ไม่ได้ถือโทษโกรธอะไร ที่เสี่ยวฮัวทำไปก็เพื่อความปลอดภัยของทุกคน



“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ ยังไงตอนแรกก็ต้องระแวงอยู่แล้ว เสี่ยวฮัวงานนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนายโดยตรง ฉันรู้สึกผิดกับเกรงใจนายมากกว่า”



“หึหึ ถ้ารู้สึกผิดจริง วันหลังไปค้างบ้านสกุลฮัวสิ จะต้อนรับอย่างดีเลย ถ้าซิ่วซิ่วได้เห็นเด็กคนนี้คงจะชอบใจน่าดู ฉันไปเตรียมตัวก่อนนะ”



“ระวังตัวด้วย ถ้าเห็นท่าไม่ดียังไงให้ออกมาก่อนเลยไม่ต้องสนใจเรื่องตามหาคน”



“ฉันไม่ได้มาหาคนสักคน ฉันมาเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ กับเผื่อได้ของดีกลับไปเท่านั้น พอโตขึ้นอีกหน่อยค่อยจับย้อมสีผมใส่เสื้อชมพูก็จะดูเหมือนลูกของเราแล้ว”



ท่อนแรกผมยังพอตั้งใจฟัง เข้าช่วงท่อนหลังเหมือนรู้สึกจะได้ยินอะไรแปลกๆ พอจะถามร่างของเสี่ยวฮัวก็เดินออกไปจากเต็นท์ซะแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่มีจังหวะได้ถามอีก สุดท้ายผมลืมเลยไม่ได้สนใจมัน



ก่อนออกเดินทางนายอ้วนเข้ามาสอนวิธีการเลี้ยงเด็กฉบับฉับไวให้ ถึงแม้จะยังทุกดูเงอะๆงะๆไม่ชำนาญเหมือนนายอ้วน แต่มันพอที่จะทำให้เสี่ยงจางน้อยวางใจให้ผมดูแลได้



ผมอุ้มเสี่ยวจางโบกมือลาให้กับพวกนั้นหน้าทางเข้าเขตเมืองโบราณ มองกระทั่งทุกอย่างลับตาไป จึงกลับมาพักผ่อนในเต็นท์เพราะไม่อยากให้นายเมินโหยวผิงตัวน้อยต้องเป็นหวัด



หลังจากนั้นผ่านไปสองวัน ทุกอย่างยังคงเงียบสงบ มีพวกลิงมารบกวนบ้าง แต่ก็สามารถจัดการไปได้ด้วยดี พวกคนที่เหลือออกสำรวจรอบๆ หาพวกของโบราณมาให้ผมตีราคาเล่น จนแทบจะกลายเป็นคณะเดินทางขนของเก่าเก็บนับร้อยปีกันอยู่แล้ว



ความเป็นห่วงตอนแรกของนายอ้วนที่กลัวคนตัดหน้าหอบของไปจนหมด ดูจะไม่ต้องกังวลอีกต่อไป ขนาดอยู่กับรอบนอกยังทยอยเจอของดีเป็นระยะ เสี่ยงจางน้อยเองก็ฉายแวว อันไหนท่าทางอันตรายจะร้องงอแงไม่ให้ผมยุ่งกับมัน



ผมเลยบอกให้พวกเขาทิ้งของไม่น่าไว้ใจพวกนี้ไป ส่วนจะทำตามหรือไม่ทำตามนั่นก็อีกเรื่อง ขอแค่ไม่ทำให้คนกลุ่มใหญ่เดือดร้อนก็พอ



ผ่านไปอีกสี่วันผมเริ่มร้อนใจ นั่งไม่ติดที่ ตั้งแต่พวกนายอ้วนคว่ำกรวยไปนับๆดูก็ผ่านมาเกือบหนึ่งอาทิตย์แล้ว ผมยังไม่ใจร้อนบุ่มบ่ามเข้าไป การคว่ำกรวยไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งกรวยใหญ่อาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันมากมาย พวกเขาคงแค่หลุดไปทางอื่น กำลังหาทางอ้อมกลับมาที่นี้



หากเป็นเมื่อก่อนผมคงดึงดันจะเข้าไปแล้ว มาในตอนนี้ไม่ใช่ผมตัวคนเดียวอีกต่อไป ยังมีเสี่ยวจางน้อยอีกคนที่ผมจะต้องปกป้อง



“ขอโทษนะ ทำให้ตื่นเหรอ”



ผมก้มมองมือเล็กที่จับชายกางเกงผมไว้ ในเต็นท์พื้นที่ไม่กว้างนัก ผมคงจะเดินไปเดินมาจนทำให้เสี่ยวจางตื่น เลยอุ้มเขาขึ้นมา คงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ที่พาเด็กออกไปเดินด้านนอกตากน้ำค้างตอนเย็นแบบนี้ เห็นทีผมควรจะผ่อนคลายตัวเองบ้าง เวลามีเหตุฉุกเฉินอะไรจะได้ตั้งรับทัน ไม่ลนลานจนเรื่องเสีย



จับเสี่ยวจางแต่งตัวด้วยเสื้อกันหนาวลูกเจี๊ยบของนายอ้วน ตามด้วยถุงมือถุงเท้า พกผ้าเช็ดพาดบ่าไปด้วยอีกผืน แล้วอุ้มเสี่ยวจางออกมานอกเต็นท์ พอได้ดูแลเองคนเดียวผมก็เริ่มชิน ตอนนี้เลี้ยงเด็กได้สบายไม่ติดขัดอะไรเหมือนตอนแรก



ด้านนอกทุกคนกำลังเตรียมข้าวเย็น บางคนเฝ้ายาม บางคนก็พักผ่อนแบ่งหน้าที่กันไป ผมเดินดูไปเรื่อยๆ พูดคุยทักทายคนอื่นไปตามทาง แล้วสายตาไปสะดุดเข้ากับชายเสื้อสีน้ำเงินคุ้นตา ไม่ทันดูให้ดีผมก็เดินเข้าไปหาโดยไม่รู้ตัว



ขาก้าวไปด้านหน้า ดวงตามองซ้ายมองขวาด้วยความระมัดระวัง บอกแล้วผมไม่ได้ตัวคนเดียว ผมมีเสี่ยงจางด้วย แต่ถ้าเป็นเมินโหยวผิงขึ้นมาแล้วผมไม่รับจับเขา หากผมรู้ที่หลังต้องเสียใจตายแน่ ยังไงก็ต้องดูให้แน่ชัด



“เสี่ยวเกอ นั่นเสี่ยวเกอรึเปล่า”



“....”



ไร้เสียงตอบรับจากหลังต้นไม้ เว้นระยะอยู่หลายช่วงตัว ผมก้มเก็บกิ่งไม้ลองป่าไปดูเผื่อตาฝาดแล้วเป็นพวกลิงหรือสัตว์ป่าจะได้มีจังหวะหนีทัน หลังต้นไม้นั่นไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยสักนิด ผมถอดใจคิดจะเดินกลับก็ชนกับคนๆหนึ่งเข้า



ผมแทบหงาย แขนกอดเสี่ยวจางไว้แน่น ถ้าหากล้มลงไปผมต้องเป็นเบาะรองให้เด็กคนนี้ กลับมีมือข้างหนึ่งจับต้นแขนผมไว้ ทำให้ผมได้เงยหน้ามองชัดๆ



“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะนายน้อย ดูท่าจะนานมากจนมีพยานรักเกิดมาจนสินะ แบบนี้มันต้องเลี้ยงสักหน่อย เราไปหาอะไรกินกันมั้ย”



“นายแว่น!? นายมาทำอะไรที่นี้ อย่าบอกนะคนพวกนั้นก็มาด้วย” บ้าหน่า ผมกับเสี่ยวฮัวไม่น่าพลาดข่าวนี้ได้ถ้าขณะเดินทางอาวุธครบมือของตาแก่นั่นจะโผล่มาที่นี้



“คนเขาอุตส่ามาทักทาย พูดจาแบบนี้ไม่ดีเลยนะ จุ๊ๆ เจ้าหนู อย่ามองด้วยสายตาเหมือนเขาคนนั้นสิ เดี๋ยวฉันละลายพอดี นายน้อยอย่ามัวโอ้เอ้กันอีกเลย พวกเราไปหาอะไรกินกันดีกว่านะ”



ไม่ทันที่ผมจะได้อ้าปากด่าอะไรออกไป ใบหน้าของนายแว่นก็ขยับเข้ามาใกล้จนผมสะดุ้งตัวแข็งทื่อ พริบตาเดียวผ้าผืนนึงก็มาอุดตรงจมูกผม รีบกลั้นหายใจแต่โดนรังแกจากนายบอดที่ยังคงยิ้มหน้าระรื่น จนเผลอสูดเข้าไปเต็มปอด



“ขอโทษทีนะนายน้อย พอดีคนที่จ้างฉันมาจับตัวนายสงสัยงบหมดกะทันหันเลยไม่ได้เตรียมผ้าเช็ดหน้าดีๆมาโปะยาสลบ”



ผมเริ่มหมดแรงอยู่ในอ้อมแขนนายแว่นที่รอรับอยู่ก่อนแล้ว เขารวบทั้งตัวผมและเสี่ยวจาง โลกผมหมุนวืดถูกอุ้มด้วยนายแว่น สติเลือนลานหายไปทุกที ได้ยินเสี่ยงจางร้องอ้อแอ้อยู่ข้างหู



“ไอบ้าเอ๊ย นั่นผ้าเช็ดน้ำลายของเสี่ยวจางนะ....”



“ฮ่าๆๆๆ!”



เสียงหัวเราะนายบอดมันช่างบาดหูเหลือเกิน ผมคิดก่อนที่จะหมดสติไป



TBC
Silver Fish
Silver Fish
ด้วงฝึกหัด
ด้วงฝึกหัด

จำนวนข้อความ : 17
Points : 3496
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

BABY - [fic]BABY [ผิงเสีย] - อัพตอนที่6 Empty Re: [fic]BABY [ผิงเสีย] - อัพตอนที่6

ตั้งหัวข้อ by Silver Fish Sun 11 Jan 2015, 00:19

ตอนที่3 เหยื่อล่อ

“อู อู้...”



เสียงเล็กดังอยู่ข้างหู สิ่งแรกที่ผมสัมผัสได้หลังจากได้สติคือความเย็นเฉียบของพื้นหินแข็งๆ สูดอากาศเข้าปอดรู้สึกชื้นและเหม็นอับมาก เหมือนกับที่นี้เป็นถ้ำที่มีน้ำไหล่ผ่าน ลองขยับตัวดูร่างกายไม่รู้สึกว่ามีปัญหาอะไร แต่หัวหนักอย่างกับมีหินถ่วงอยู่ด้านใน



ผมลืมตาด้วยความยากลำบาก พบเข้ากับเท้าเล็กๆของเสี่ยวจางที่นั่งอยู่ตรงหน้าผม ทันใดนั้นผมลุกพรึบทันที หัวปวดเหมือนโดนใครระดมเอาหินมาทุบ จนแทบทรุดลงไปอีกรอบ กัดฟันฝืนมองไปรอบข้างด้วยความรู้สึกหลากหลาย



สิ่งแรกที่ผมทำคืออุ้มเสี่ยงจางมาอยู่แนบอก ดวงตาสำรวจสถานที่อยู่ ที่นี้เหมือนจะเป็นถ้ำเล็กๆสำหรับทางน้ำผ่าน เบื้องหลังคือความมืดมิดและเสี่ยงน้ำไหลที่ดังก้องออกมา ตามซอกหินเหมือนมีอะไรบางอย่างติดอยู่



ผมลุกขึ้นอุ้มเสี่ยวจางเดินไปสำรวจด้วยความเคยชิน พอเห็นเจ้าสิ่งนั้นผมแทบอยากจะด่าโครตเง่าของนายแว่นออกมาให้หมด แม่งเอ๊ย นี่มันซากโครงกระดูกกับพวกข้าวของที่ลอยตามกระแสน้ำมาติดชัดๆ มันพาผมมาอยู่ที่แบบนี้ได้ยังไง ผมมีเด็กเล็กอยู่ด้วยนะ ...



นึกขึ้นได้ก็รีบก้มดูเด็กน้อยในอ้อมแขน ดวงตาสีดำจ้องเป๋งไปยังเจ้าซากศพนั่น แขนสั้นพยายามยื่นไปจะจับให้ได้ ผมรีบรวบกอดแล้วเดินออกจากจุดนั้นทันที



“อา”



“ไม่ได้นะเสี่ยวจาง ของพวกนั้นไม่ใช่ของเล่น” ให้ตายยังไงผมจะไม่ให้เสี่ยวจางยุ่งเกี่ยวกับของพวกนี้เด็ดขาด แม้ขาจะเป็นลูกผมกับเมินโหยวผิงที่มีเลือดพิเศษกว่าคนอื่น แต่เขายังเด็กเกินไป แล้วสิ่งพวกนี้ไม่น่าจับต้องเลยสักนิด



“แอ้!”



เสี่ยวจางส่งเสียงดังจนผมสะดุ้ง ปกติเด็กคนนี้เรียบร้อยเลี้ยงง่าย ไม่เคยทำให้ผมเหนื่อยเลยสักครั้ง มาคราวนี้กลับดึงเสื้อผมใหญ่ ดื้อจะไปที่ศพนั่นให้ได้ ตอนแรกผมไม่ยินยอม ดวงตากลมๆก็เริ่มคลอน้ำใส ปากเล็กเริ่มเบะจนผมต้องรีบปลอบ มาร้องไห้ในที่แบบนี้คงไม่ดีเท่าไหร่ อาจจะพาตัวอะไรมาเยือนก็ได้



“โอเคๆ แค่ไปดูเฉยๆนะห้ามจับห้ามแตะอะไรทั้งนั้น”



พอผมยอมไฟเขียวตกลง ไอท่าทีเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้งราวกับไม่เคยเกิดขึ้น กลายเป็นเสี่ยงจางผู้น่ารักตามเดิม มือเล็กกำคอเสื้อผมดึงๆเร่งอีกต่างหาก



เด็กคนนี้แปลกกว่าเด็กทั่วไป หลังจากที่ผมเลี้ยงเขามาได้หนึ่งอาทิตย์ก็สังเกตอะไรได้หลายอย่าง อย่างแรกที่เคยบอกไป เวลาพวกคนในคณะเดินทางเอาของมาให้ผมตีราคา อันไหนไม่น่าไว้ใจเสี่ยวจางจะส่งเสียงร้องได้งอแงไม่ยอมให้ผมยุ่งทันที อย่างที่สองคือ ไม่มีแมลงตัวไหนเข้าใกล้ตัวเลยสักนิดต่างจากคนอื่นที่ถูกกัดเป็นตุ่มน่าสงสาร



และที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็นความรู้มากของเจ้าตัวเล็กนี่แหละ เวลาผมรู้สึกไม่ดีก็เข้ามาอ้อนมาปลอบทั้งที่ตัวเล็กแค่นี้ เวลาผมโมโหจะอยู่นิ่งเงียบว่าง่ายไม่ซุกซน แล้วยังหูตาไวช่างสังเกต เห็นอะไรนิดหน่อยเป็นต้องหันไปมองหา



บางครั้งเกือบคลานหาย ลำบากคนทั้งคณะเดินทางช่วยกันหา แทบจะพลิกเต็นท์ทุกเต็นท์ดูอยู่แล้ว สุดท้ายก็ไปเจอเอาในกองผ้าของผม แทบจะล้มทั้งยืนกันทั้งคณะ



พอนึกถึงเรื่องพวกนี้ขึ้นมา ประสานการรับรู้ที่เครียดเขม็งจนถึงเมื่อครู่ได้ผ่อนคลายลงมือ มีสมาธิสังเกตที่โครงกระดูกดีๆ ผมเลยเห็นมีดเก่าๆที่พอใช้งานได้ กับปืนโดนน้ำจนไร้ประโยชน์



“เอาวะ มีน้อยยังดีกว่าไม่มี”



ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เอามีดเหน็บไว้ตรงเข็มขัด ก้มลงหยิบตะเกียงเจ้าพายุบนพื้นขึ้นส่องโดยรอบ อย่างน้อยๆนายแว่นก็ยังใจดีทิ้งตะเกียงไว้ ผมเลยไม่ต้องตกอยู่ในความมืดกันสองคนกับเสี่ยวจาง



ถ้ำนี้นอกจากจะเป็นทางผ่านน้ำแล้วยังดูเหมือนจะเป็นทางเข้าไปสู่อะไรบางอย่าง ระหว่างซ้ายกับขวาที่มืดสนิท ผมลังเลไม่รู้จะไปทางไหนดี จะเดินสุ่มมั่วก็กลัวจะหลงทางไม่ทันน้ำไหล อาหารอะไรก็ไม่มีติดตัวเลยสักอย่าง



ขณะที่ผมกำลังยืนชั่งใจอยู่นั่น มือเล็กๆของเมินโหยวผิงขนาดย่อส่วนดึงๆเสื้อของผม ทำท่าราวกับจะไปทางด้านซ้ายให้ได้ ผมขมวดคิ้ว เด็กคนนี้รู้มากเกินไปแล้ว จะว่าสมเป็นลูกเมินโหยวผิงหรือว่าสมเป็นลูกผมดีล่ะ



เมื่อกี้เจ้าหนูดื้อดึงคงเป็นเพราะเห็นของมีประโยชน์บนตัวโครงกระดูกแน่ มารอบนี้กลับมองทาง แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือก ผมขอเชื่อของขวัญตัวน้อยนี่แล้วกัน!



“ไม่ว่าจะยังไง พวกเราต้องรอดออกไปให้ได้”



ผมตั้งมั่นไว้ กัดฟันอุ้มเสี่ยวจางเดินถือตะเกียงไปในความมืด ผนังทับเรียบสลับขลุกขละเหมือนกับถูกสร้างขึ้นมาด้วยฝีมือของคน บางส่วนที่เสียหายคงเกิดจากหินที่ลอยมาตามน้ำ ท่าทางน้ำจะแรงมาก เห็นแบบนี้ยิ่งไม่ดี ผมเร่งฝีเท้ามากขึ้น



เดินไปไม่นานก็เจอทางแยก ปกติจะมานายอ้วนไม่ก็เสี่ยวฮัวมาช่วยคิด หรือเมินโหยวผิงคอยนำทาง มางานนี้ลุยคนเดียว ที่พึ่งได้คงเป็น....



“แอ๊ะ”



เสี่ยวจางร้องไปทางด้านขวา ผมเดินตามทางที่เสี่ยงจางบอกเริ่มเห็นรอยเท้าคนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่มันสบสันวุ่นวาย เหมือนเดินเข้าออกอยู่บ่อยครั้งทำให้จับทางลำบาก พอเดินไปมากๆเข้า รอยเท้าชุลมุนมากขึ้น



เสียงหยดน้ำดังกังวานในถ้ำมืด ตามกำแพงมีรูมากมายขนาดเท่าผลส้มไม่น่าไว้ใจ



“เสี่ยงจาง กอดเตี่ยไว้แน่นๆนะ”



ผมก้มลงไปกระซิบบอกร่างในอ้อมแขน แขนเล็กทำตามที่บอกทันทำ จับเสื้อผมเกาะแน่นยิ่งกว่าลูกลิง ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากหาอะไรมามัดเสี่ยวจางติดกับอก เสียแต่ที่นี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากถ้ำและถ้ำ ผมจึงตัดสินใจถอดเสื้อออกมา พันตัวเสี่ยวจางติดไว้กับผม โชคดีที่ผมใส่แขนยาว เลยไม่มีปัญหาเรื่องความยาวผ้าที่จะใช้มัด



ลองดึงเช็คดูจนแน่ใจแล้วผมถึงเริ่มเดินต่อ แค่ไม่กี่ก้าวผมก็เจอซากแมลงตายเกลื่อนตามพื้น พอเข้าใจแล้วล่ะว่าสาเหตุที่รอยเท้าเป็นแบบนี้ และรูตามผนังถ้ำ กลิ่นอับชื้นผสมเจือปนมากับกลิ่นเลือด เท้าผมเตะไปโดนศพชายคนหนึ่งเข้า



สภาพตัวแข็งทื่อ ดวงตาเบิกโพลง เลือดไหลออกจากแผลเป็นรูโบ๋ พอสังเกตดูดีๆ เหมือนกับว่าใต้ผิวหนังมีอะไรชอนไชอยู่ พอจะถอยออกก็ไม่ทันซะแล้ว เจ้าหัวแมลงหน้าตาประหลาดโผล่ออกมาตามแผล



วงแขนกระชับกอดเสี่ยวจางไว้แน่น ไม่รอให้พวกมันเริ่มบิน ขาผมออกวิ่งไปด้านหน้าทันที ทั้งข้ามศพทั้งเหยียบซากแมลงจนเกิดเสียงวิ่งสะท้อนไปมาในถ้ำ



ยิ่งเสียงดังพวกมันยิ่งโผล่ออกมา นอกจากจะโผล่จากศพแล้วยังไต่มาตามกำรูบนกำแพง เคลื่อนตัวจนคลุมผนังถ้ำไว้ทั้งหมด เห็นแต่หลังมันเลื่อมและดวงตาเล็กๆสะท้อนแสงตะเกียงจนแดงน่ากลัว



“โธ่เว้ย ทำไมฉันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย”



ผมสถบระบายความตึงเครียด เพราะผมเดินมาไกลแล้วยังวิ่งเต็มแรงจนเริ่มเหนื่อยหอม แมลงพวกนั้นเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เรื่อยๆ สุดท้ายผมก็ถูกล้อม ดวงตาเหลือบไปเห็นปืนบนพื้น รีบคว้าหยิบขึ้นลั่นไกใส่ตัวที่บินเข้ามาใกล้ทันที สลับใช้กระบอกปืนฟาดหวดแบบไม่คิดชีวิต จับตะเกียงเจ้าพายุคล้องกับเข็มขัดติดเอวไว้



แต่ผมแค่สองมือ มีหรือจะสู้กับแมลงเป็นฝูงได้ ตัวหนึ่งหลุดจากการกวัดแกว่งยิงปืนของผมเข้ามากัดแผ่นหลังจนเจ็บจี๊ด รู้สึกเหมือนมีอะไรคมๆขนาดเล็กจิ้มปักเข้าไปในมือ ผมรีบเอื้อมมือไปดึงมันออก แทบจะร้องลั่น



ไอแมลงเวรพวกนี้เท้ามันมีตะขอเกี่ยวเนื้อพอดึงออกเลยได้แผลมากขึ้น ผมไม่มีเวลามาสนใจ คอยจัดการแมลงทุกตัวที่เข้าใกล้ ลูกปืนหมดก็ใช้ด้ามหวด ตัวไหนบินใส่เสี่ยวจางผมก็ใช้มือคอยกันไว้ให้ จนเกิดแผลขึ้นเต็มตัวไปหมด



ยังดีที่ดูเหมือนเลือดผมจะใช้กับพวกมันได้ ถึงพวกมันจะโจมตีทำร้ายจนได้แผล แต่ก็ไม่เจาะไชเข้าเนื้อ



“มัวแต่ยืนไม่ดีแน่”



กัดฟันทนฝืนหยิบมีดที่ได้มาตอนแรกยกขึ้นกรีดมือตัวเอง ใช้เลือดของผมป้ายบนตัวเสี่ยงจาง แม้มันจะใช้ได้ไม่ดีเหมือนของเมินโหยวผิงแต่ก็พอจะถูๆไถๆไปได้บ้าง เมื่อเตรียมการเสร็จผมก็เริ่มออกวิ่งทันที



รอบนี้ไม่มีหยุดพัก วิ่งเท่าที่สองข้าจะพาผมไปได้ ปกติมีผมคนเดียวยังพอไหว ครั้งนี้มีเสี่ยวจางเพิ่มน้ำหนัก เวลาผ่านไปไม่นานผมก็เริ่มอ่อนแรงอีกครั้ง ลำคอแห้งแสบผลจากการขายใจแรง ท่อนแขนท่อนขาปวดเมื่อยถึงขีดสุด แต่ดวงตาผมคอยมองสำรวจลูกแมวในอ้อมแขนเป็นระยะ



เสี่ยวจางเงียบไม่ส่งเสียงจนผมนึกเป็นห่วง เพราะมัวแต่สนใจเสี่ยวจาง ผมเลยสะดุดเข้ากับก้อนหินจนล้มคว่ำพุ่งไปด้านหน้า



แขนโอบตัวเด็กน้อยเอาไว้เพื่อรับแรงกระแทกแทน ดังอั๊คเจ็บร้าวไปทั้งตัว เสียงแมลงก็ใกล้เข้ามาทุกที ผงกหัวชันตัวขึ้นได้ก็เจอพวกมันไต่มาถึงขาแล้ว ผมรีบพลิกกายคว่ำหน้ากับพื้นถ้ำกอดเสี่ยวจางเอาไว้แน่น อย่างน้อยๆ ถึงผมจะโดนกัดตาย เจ้าพวกแมลงเวรพวกนี้ก็จะไม่สามาถเจาะผ่านตัวผมไปหาเสี่ยวจางได้



ความเจ็บจี๊ดตามตัวแทบทำเอาผมคลั่ง กัดฟันแน่นมองเสี่ยวจางที่จ้องตาโตอย่างตกใจ



“เสี่ยงจาง พอทุกอย่างสงบแล้วค่อยคลานหาทางออกนะ ไม่ต้องห่วงเตี่ย เดี๋ยวเตี่ยเสียจะตามไปที่หลังเอง” ผมนี่ท่าจะบ้า หากผมไม่รอดแล้วแม้เป็นเด็กรู้มากอย่างเสี่ยวจางก็ยังรอดยาก ถ้ำนี้ไม่รู้ยาวจนถึงไหน ข้างหน้าไม่รู้ว่าจะมีตัวอะไรอีกรึเปล่า แต่อย่างน้อย ขอแค่ยืดเวลาให้สักนิดก็ยังดี...



‘ขอโทษนะจางฉี่หลิง ฉันปกป้องลูกของเราเอาไว้ไม่ได้ ฉันมันอ่อนแอเกินไป พอไม่มีใครก็ไร้ประโยชน์กับอีกแค่แมลงพวกนี้ก็ยังจัดการไม่ได้’



ผมคิดในใจ ตามตัวเจ็บจนเริ่มชา ขอบตาร้อนผ่าวพร้อมๆกับน้ำใสที่หยดลงบนแก้มของเสี่ยวจาง เด็กน้อยแก้มยุ้ยที่เพิ่งปรากฏตัวได้เพียงอาทิตย์เดียว กลับต้องมีจุดจบอยู่กับผมที่นี้ จากความไม่ระวังตัวของผมเอง



ดวงตาสีดำเหมือนจางฉี่หลิงสั่นไหวสะท้อนภาพใบหน้าของผม ก่อนที่พวกเราจะพากันร้องไห้ทั้งคู่จนเกิดเสียงสะอื้นอยู่ในถ้ำ



“อู อู่เฉีย อู...ฮึก แง้...!!”



หัวใจของผมถูกบีบรัด เสี่ยวจางเรียกชื่อผม! พร้อมกับเสียงร้องไห้ดังลั่น หยดน้ำตาร่วงผล็อยๆจนน่าสงสาร แต่มือผมไม่ว่างพอที่จะมาช่วยเช็ดให้ได้ ราวกับพลังแฝงถูกดึงออกมา ความหดหู่สิ้นหวังเมื่อครู่กลายเป็นความบ้าบิ่น



“ต่อให้ต้องตาย ฉันก็จะพานายออกไปให้ได้เสี่ยวจาง”



-------------------------------------------------------------------





ผมยันตัวลุกขึ้น คอยปัดแมลงที่มาก่อกวนเสี่ยวจางแล้วเริ่มออกวิ่งต่อทันที ไม่สนว่าเลือดจะไหลหรือจะมีแมลงเกาะเต็มตัวแค่ไหนก็ตาม ผมวิ่ง วิ่ง วิ่งแล้วก็วิ่งไม่คิดชีวิต เจอทางแยกก็เลี้ยวไปตามรอยเท้าคน



เสียงพวกแมลงเริ่มเบาลงเรื่อยๆ ด้านหน้าเริ่มมีแสงสว่าง ดูแล้วเหมือนความสว่างที่มาจากพวกไฟฉาย ความอ่อนล้าทุกอย่างพุ่งเข้าใส่ทุกส่วนของร่างกาย ผมทรุดลงนั่งอยู่กับพื้น แขนยังคงกอดเสี่ยวจางไว้ จ้องมองคนพวกนั้นที่กำลังจะโผล่มา ภาวนาขอให้เป็นพวกนายอ้วน



แล้วความหวังก็พังทลาย เมื่อคนที่ผมเห็นคนแรกคือคนที่ผมเกลียดที่สุด...



ฉิวเต๋เข่า!! เขามาทำอะไรที่นี้



“อ้าว ไอเราอุตส่าจะไปรับ กลับวิ่งออกมาเองซะแบบนี้ นายน้อยไม่ไหวเลยนะ ทำไมใจร้อนจริง ดูสภาพเข้าเละยิ่งกว่าขอทานข้างถนนอีก”



ผมกัดฟันกรอด ขว้างหินใกล้มือใส่นายแว่นที่โผล่หัวออกมาพ้นคำพูดหมาๆ



“ไอบอด ไอชั่ว เลวที่สุด แกพาฉันมาอยู่ในที่แบบนี้ได้ยังไง อย่างน้อยๆทำไมถึงพาเสี่ยวจางมาด้วย”



ผมตะคอกด่าด้วยความโมโหจนสั่นไปทั้งตัว รู้สึกเลือดลมในกายในแล่นพล่าน ถ้าไม่ติดว่าขาไม่มีแรงจนลุกไม่ไหวล่ะก็ ผมคงจะวิ่งเข้าไปชกให้แว่นแตกแล้ว



“พูดแบบนี้เหมือนกับว่าอยากมาคนเดียวโดยไม่มีเด็กคนนี้เลยนะ อันที่จริงฉันเองก็อยากให้มาคนเดียวหรอก ติดแต่เจ้านายฉันต้องการให้พวกนายไปอยู่ตรงนั้นแบบแพ็คคู่เพื่อเป็นเหยื่อล่อให้ใครบางคนออกมา”



นายแว่นดูจะพูดเพลินไม่สนเจ้านายที่อยู่ข้างๆ ดวงตาของชายชราก้มมองผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าได้อย่างน่าควักลูกตาออกมากระทืบที่สุด เสี่ยวจางเองคงรู้สึกแบบเดียวกัน ถึงได้จ้องเขม็งนั่งตัวเกร็งแบบนี้



“ไม่เลวนี่ ค่อยสมกับที่เป็นทายาทสกุลอู๋มีเหยื่อตัวอ้วนแบบนี้ต้องล่อมันออกมาได้แน่ พาพวกมันกลับไปทำแผล”



ผมอ้าปากหมายจะโต้ตอบไอแก่นิสัยชั่วช้าแต่ก็ถูกมือนายแว่นปิดไว้จนมีแต่เสียงอู้อี้



“สภาพอย่างงี้อย่าเพิ่งทำตัวเก่งเลยนายน้อย ฉันจะพาเขาไปเอง” ประโยคแรกกระซิบบอกผมให้ได้ยินแค่สองคน ส่วนประโยคหลังหันไปพูดกับทุกคนที่เหลือก่อนจะอุ้มผมกับเสี่ยวจางขึ้น อย่างนายแว่นคงจะรู้ว่าสภาพผมตอนนี้ไม่มีปัญญาเดินเองได้แน่ๆ



ผมเองก็ไม่โง่คิดดื้อให้ความซวยเข้าหา ไอเฒ่านั่นมันบอกว่าผมยังมีประโยชน์เป็นเหยื่อล่ออะไรไม่รู้ พวกมันย่อมไม่ทำร้ายอะไรผมแน่ ดังนั้นสู่ยอมๆง่ายๆดีกว่าหัวดื้อให้เรื่องเสียง นายแว่นดูจะพอใจกับการตัดสินใจของผม เขาอุ้มเบามือมากจนผมไม่รู้สึกเจ็บแผลตรงส่วนไหนเลย



พวกเขาเดินกลับออกมาจากภายในถ้ำ มีเต็นท์เดินทางตั้งอยู่ไม่ไกล มองจากตรงนี้ไม่รู้เลยสักนิดว่าที่นี้อยู่ส่วนไหนของบริเวณเมืองโบราณ แม้ผมจะหาข้อมูลมาอย่างดี แต่ไม่ได้ออกไปสำรวจกับคนอื่นๆ ติดต้องเลี้ยงเสี่ยวจางอยู่ที่เต็นท์ ขนาแค่เดินห่างออกมาหน่อยเดียวยังเกิดเรื่องเลย



ไม่รู้ว่าพวกนายอ้วนจะเป็นไงบ้าง คณะเดินทางของผมคงจะตามหากันให้วุ่น ยิ่งคิดยิ่งกลุ้มจนเริ่มปวดหัว



“จะคิดมากไปทำไมนายน้อย คิดเรื่องของตัวเองดีกว่า ว่าจะล่อเจ้านั่นออกมาได้มั้ย ถ้าไม่ได้ถึงคราวนี้ผมอยากช่วย ก็คงช่วยไม่ได้นา”



“นายพูดอะไรน่ะนายแว่น คนที่จับฉันกับเสี่ยวจางไปไว้ในที่อันตรายแบบนั้นคือนายนะ”



นายบอดหัวเราะ ดูไม่สนใจความโมโหของผมเลยสักนิด แต่ถึงโมโหให้ตายผมก็ทำอะไรเขาไม่ได้อยู่ดี และปฏิเสธไม่ได้ด้วยว่า ที่ผมยังรอดถึงตรงนี้ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากนายแว่นด้วย



ถ้าไม่ได้ตะเกียงเจ้าพายุ ผมคงตายตั้งแต่สามก้าวแรกในนั้นแล้วล่ะมั้ง...เสี่ยวจางเองก็เพลียจนหลับไปคาอกผม ระหว่างปล่อยให้นายแว่นอุ้มไปทำแผล ผมก็มองสำรวจหาทางหนีทีไล่เอาไว้



ของทุกอย่างดูทันสมัย ส่วนใหญ่เป็นของรุ่นใหม่ที่มีความแข็งแรงทนทานสูงทั้งนั้น บางชิ้นราคาแพงขนาดที่ผมยังกลืนน้ำลายไม่กล้าซื้อ คณะเดินทางของฉิวเต๋เข่าถูกเตรียมมาพร้อมแบบที่ไม่ใช่ระยะเวลาสั้นๆ



ดูเหมือนพวกเขาจะเตรียมการกันมานานแล้ว แต่ยังติดอะไรบางอย่างถึงไม่เดินทางเข้าไปด้านในผิดจากทุกครั้ง ไม่รู้ว่าข้างในนั้นมีกลไก หรืออะไรกันแน่ที่ทำให้พวกเขารีรออยู่แบบนี้ ส่วนหนึ่งน่าจะเกี่ยวกับสิ่งที่ใช้ผมกับเสี่ยวจางเป็นเหยื่อล่อ มันจะเป็นคนหรือผีกัน ผมขอให้เป็นอย่างแรกเถอะ อย่างน้อยๆคนน่าจะคุยง่ายกว่าผีเยอะ



“นายน้อย ที่นี้เป็นที่พักของคุณชั่วคราว ไม่ต้องห่วง มีฉันเฝ้าอยู่ตลอดคุณหนีไปไหนไม่ได้แน่ๆ แต่ตอนนี้ต้องทำแผลก่อน แผลดูไม่ลึกแค่เลือดออกเยอะจนน่ากลัวเท่านั้น นายน้อยที่ก็ฟิตไปนะ คิดว่าตัวเองเป็นใคร ออกมาแบบนั้นเสี่ยงตายชัดๆ”



นายแว่นจัดการเอาผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดตัวผม ก่อนที่ผมจะแย่งมาทำเอง ถอดกางเกงเช็ดตัวจนสะอาด ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นายแว่นเอามาให้ อันที่จริงผมก็ไม่ได้หน้าด้านอะไรหรอก ต่อหน้าคนตาบอดแบบนี้จะมัวกลัวโดนเห็นก็ดูจะเกินไป



ผมมองใบหน้าของเขาขนาดตอนกลางคืนก็ยังใส่แว่นดำ อธิบายไม่ถูกจริงๆ ว่าผมรู้อารมณ์ความรู้สึกของคนตรงหน้าได้ยังไง ในเมื่อดวงตาที่เป็นตัวสื่อถูกปิดบังไว้แบบนี้



แต่เอาเถอะคิดเรื่องนายแว่นไปก็เท่านั้น เขาเป็นคนอ่านยากยิ่งกว่าเมินโหยวผิงซะอีก ไม่รู้อันไหนจริง อันไหนเล่น เดายากกว่าเสี่ยวฮัวจอมแผนการ เพราะรายนั้นมีผลประโยชน์และเป้าหมายที่แน่นอน



พอจัดการตัวเองเสร็จผมก็หันไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เสี่ยวจางเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ถึงค่อยให้นายแว่นจัดการแผลด้านหลังที่ผมทำไม่ถึง



“นายแว่น ที่นี้พอมีนมมั้ย”



ผมนึกขึ้นได้ก็เลยถาม ข้าวของผมยังไม่เท่าไหร่ พอใส่ของนายแว่นได้ แต่ของเสี่ยวจางนี้สิ ชุดเสื้อผ้าไหนจะนมอีก ดีที่เสี่ยวจางเป็นเด็กฉลาดว่านอนสอนง่าย เวลาป่วยหนักเบาคอยบอกทำให้ผมไม่ต้องลำบากเท่าไหร่



“นายน้อย โง่จริงหรือแกล้งโง่เนี่ย ไอกระเป๋าใส่เสื้อผ้าเมินโหยวผิงย่อส่วนนั่นไม่คุ้นตาบ้างรึไง” นายแว่นทำหน้าเอือมเหมือนจะทั้งขำทั้งระอา ผมเลยรีบหันขวับไปดูชัดๆอีกที ถึงว่าทำไมที่นี้มีเสื้อผ้าเด็ก ที่แท้นายบอดแอบย่องไปขโมยเอามาจนหมด เดี๋ยวก่อนนะ...



“นายเอาของเสี่ยวจางมา ทำไมไม่เอาของฉันมาด้วยห๊ะ ถึงจะใส่เสื้อผ้านายได้แต่มันตัวใหญ่เกินไป!”



ใครก็ได้เอาค้อนมาให้ผมดี ผมอยากฟัดหน้านายบอดให้แว่นแตกทิ่มตาไปเลย จะได้ไม่ต้องทำหน้ายิ้มเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวแบบนี้ เจ้างูนี่คิดอะไรอยู่กันแน่ ตามไม่ทัน มึนหัวไปหมดแล้ว



“เอาหน่าอย่าคิดมาก ถึงฉันจะเก่งกางยังไงก็มีหลงลืมกันได้บ้าง นายน้อยเองใส่แบบนี้ก็เหมาะดีออก”



“เหมาะกับผีน่ะสิ! กางเกงขายาวจนต้องพับแล้วพับอีก ไอเสื้อตัวนี้ด้วยคอจะกว้างไปไหน ขืนฉันต้องลงกรวยในสภาพนี้ ได้ตายเพราะชุดตัวเองพอดี” ผมฮึดฮัดใส่นายแว่น ที่เอาแต่หัวเราะแล้วพูดหยอกไม่เลิก



“จะให้ทำยังไงได้เล่า นายน้อยอย่าเรื่องมากนักเลย ทำตัวว่าง่ายๆเป็นเจ้าหญิงที่รอเจ้าชายมาช่วยดีกว่า สองสามวันนี้คงไม่ลงกรวยง่ายๆแน่ น้ำกำลังมา ถ้ำนั้นเข้าไม่ได้ต้องรอไปก่อน”



“หมายความว่ายังไง จริงสิ ก่อนหน้านี้นายบอกว่าจะเข้าไปรับฉันกับเสี่ยวจางด้านใน แล้วยังเหยื่อล่ออีก เอาพวกฉันมาล่อใคร ถ้าจะล่อบ๊ะจ่างพวกนายใช้คนอื่นก็ได้ ไม่เห็นต้องลำบากไปพาตัวฉันมาเลย”



สบโอกาสผมเริ่มถามเพื่อไขข้อสงสัยทันที นายแว่นดูจะรู้ทันแต่ไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มน่าถีบ เอียงคอเหมือนจะน่ารัก แม้ผมจะปฏิเสธไม่ได้ก็ตามว่าคนหน้าตาดีทำอะไรก็ดูดี



“หลอกถามฉันแบบนี้ คิดว่าจะบอกรึ! อันที่จริงพานายน้อยไปปล่อยไว้ที่นั้นเพื่อล่อใครบางคนออกมา แต่ดูท่าไม่สำเร็จแถมนายน้อยอาจจะได้ตายก่อนล่อ ฉันเลยบอกให้เจ้านายไปพาออกมา เสียแต่นายน้อยช่างใจร้อน ออกมาเองซะก่อน....เรื่องเหยื่อล่อ อันนี้นายน้อยดีใจได้เลย ถ้าไม่ใช่นายน้อย คนๆนั้นไม่ออกมาแน่ เพราะพวกเราต้องใช้คนๆนั้นนำทางไปเอาของบานสิ่งข้างในนั่น”



เจ้าคนด้านหน้าผมเล่าอย่างออกรสออกชาติ ผมรู้ว่าเขาจงใจจะกวนประสาน ตอนแรกทำเหมือนจะไม่บอกสุดท้ายก็พ่นออกมาจนหมด คงมั่นใจน่าดูสินะถึงผมรู้ไปก็ทำลายแผนการของฉิวเต๋เข่าไม่ได้ ซึ่งนั่นมันเรื่องจริง...น่าเจ็บใจชะมัด



“อยากฉันจะล่อใครออกมาได้”



“จะใช่จริงๆหรือนายน้อย”



ผมนึกไม่ออกเลยจริงๆ จะบอกพวกนายอ้วนไม่ใช่แน่ พวกนั้นรู้พอๆกับผม อีกอย่างถ้าเขาอยาได้ตัวพวกนั้นคงจะไม่ใช่วิธีวุ่นวาย เข้าหาพวกนั้นแต่แรกไปแล้ว อาสามคงไม่ใช่ป่านี้ยังหายไร้ข่าวหาไม่เจอ ที่จะเหลือก็คงเป็น



จางฉี่หลิง!?



“พวกนายจะทำอะไรกับเขา” ผมลุกขึ้นคว้าคอเสื้อนายแว่นแล้วเขย่าอย่างรุนแรงทันที พอได้พักเรี่ยวแรงเริ่มกลับมา ถึงจะปวดเมื่อยอยู่บ้าง แต่มีแรงพอจะกระชากเสื้อคนแน่ ให้ตายเถอะผมเขย่าจนหัวเขาแทบหลุด แว่นยังไม่มีแววขยับออกจากหน้าเลยสักนิด นายทากาวไว้เรอะ!



“นายน้อยนี่ตกลงโง่หรือฉลาดกันแน่ ฉันชักงงแล้วนะ”



“นำทางเข้าสุสาน...”



“อ้าว ก็ยังสมองไม่เสื่อมนี้”



ผมปล่อยนายแว่น ไม่มีอารมณ์ไปสนใจใบหน้ายิ้มจอมปลอมนั่นอีก พวกเขาจะจับผมเป็นตัวประกันบังคับให้จางฉี่หลิงออกมานำทางให้ ไม่น่าเชื่อ เขาอยู่ที่นี้จริงๆนะหรือ ไม่ใช่ว่าทุกอย่างไร้ประโยชน์เพราะเขาไม่ได้อยู่ที่นี้ และไม่รับรู้ว่าผมกับเสี่ยวจางกำลังเจออะไร



นายแว่นทิ้งผมไว้คนเดียวในเต็นท์ แต่ที่นี้มันเต็นท์เขา ปกติทุกครั้งที่จัดคณะเดินทางเต็นท์จะพอดีกับจำนวนคน ท่าทางเขาไม่ใช่คนที่จะไปนอนเบียดคนอื่นด้วย หรือจะไปนอนตากน้ำค้างด้านนอกกัน ผมมองเสี่ยวจางที่หลับอยู่ตัดสินใจออกจากเต็นท์เพื่อบอกนายแว่นว่าไม่ต้องไปนอนที่อื่น ยังไงเขาก็ต้องเฝ้าผมอยู่แล้ว



แถมเขาอยู่ด้วยอย่างน้อยๆก็รู้สึกอุ่นใจกว่าอยู่กับคนพวกนั้นโดยตรง ฮิวเต๋เข่าเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด



เมื่อผมเดินออกมาปิดเต็นท์เรียบร้อย เห็นเงาหลังนายแว่นไวๆเลยเดินตามไป ในขณะที่จะทักเหมือนนายแว่นกำลังคุยกับใครบางคน เท้าผมหยุดชะงัก เปลี่ยนไปหลบหลังต้นไม้ทันที



“ไม่ต้องห่วง ฉันจะดูแลเขาเอง”



“….” มีอีกเสียงหนึ่งตอบกลับมาแต่มันเบามากผมฟังจับใจความไม่ได้



“หึหึ อย่าลืมที่ตกลงกันไว้แล้วกัน ดูเหมือนเจ้าหญิงจะออกมาตามแล้ว”



ผมสะดุ้ง นายแว่นตาบอด ตอนนี้กลางคืนมีแสงไฟแค่จากแคมป์เท่านั้นเขารู้ได้ยังไงว่าผมออกมา ผมเลยรีบกลับมาที่เต็นท์ทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนที่นายแว่นคุยด้วยคือใครกัน แล้วที่บอกว่าจะดูแลนั่นใช่ผมรึเปล่า



แค่ออกมาตามหาเสี่ยวเกอ ทำไมถึงเจอเรื่องชวนสงสัยมากมายขนาดนี้นะ



โดยไม่รู้เลยว่า มีดวงตาคู่หนึ่งกำลังเฝ้ามองเต็นท์หลักหนึ่งเงียบๆอยู่ในเงามืดที่ไม่มีใครสังเกตเห็น.....



[TBC]
Silver Fish
Silver Fish
ด้วงฝึกหัด
ด้วงฝึกหัด

จำนวนข้อความ : 17
Points : 3496
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

BABY - [fic]BABY [ผิงเสีย] - อัพตอนที่6 Empty Re: [fic]BABY [ผิงเสีย] - อัพตอนที่6

ตั้งหัวข้อ by Silver Fish Sun 11 Jan 2015, 00:20

ตอนที่4 แสงสว่าง

ผมกลับมาที่เต็นท์ เห็นเสี่ยวจางตื่นแล้ว กำลังนั่งมองซ้ายมองขวาทำท่าจะคลานออกจากเต็นท์พอดี สงสัยจะสะดุ้งตื่นเพราะไม่มีผมอยู่ด้วยเลยจะออกมาตามหาแน่ๆ ผมเลยก้มลงไปอุ้มเสี่ยงจางกลับเข้าไปนอนในเต็นท์ดีๆ จัดท่าจัดทางเรียบร้อย



หยิบผ้ามาห่มพวกเราทั้งคู่ พลิกตัวนอนตะแคงใช้มือลูบหลังเสี่ยวจางเบาๆ เพียงไม่นานดวงตาโตๆก็ปรือลงผล็อยหลับไปอีกรอบ ผมมองใบหน้าตอนหลับของเสี่ยวเกอย่อส่วน ปากนิดจมูกหน่อยน่ารักสมเป็นเด็ก แก้มนุ่มน่าหยิก เส้นผมเล็กนุ่มเหมือนขนแมว ผิวกายขาวดูยังไงก็เหมือนเมินโหยวผิง



ทำให้ผมรู้สึกดีใจและเศร้าในเวลาเดียวกัน ดีใจที่เหมือนมีเมินโหยวผิงอยู่ข้างๆ รู้สึกเสียใจที่เขาไม่ได้เห็นเสี่ยวจาง



ผมก้มลงไปจูบเบาๆที่หน้าผากเล็ก อีกสักพักนายแว่นคงจะกลับมา แม้จะสงสัยว่าคนที่นายแว่นคุยด้วยเป็นใคร แต่สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือการพักผ่อน เตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป เพราะไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีช่วงให้พักสบายๆแบบนี้อีกมั้ย



ไม่นานผมก็หลับตามเสี่ยวจางไป...ท่ามกลางความเงียบในตอนกลางคืน คนที่ถูกพาดพิงถึงกลับมาที่เต็นท์ของตัวเอง เปิดเข้าไปดูเห็นแขกพิเศษทั้งสองที่กำลังหลับสนิท



“ไม่ระวังด้วยเลยน้า”



ชายผู้สวมแว่นดำพึมพำออกมาพร้อมรอยยิ้มที่มีอยู่บนใบหน้าตลอด มีมากเสียจนใครบางคนไม่รู้สึกถึงมัน น่าเศร้านักทั้งๆที่คนๆนั้นไม่มีแม้แต่สีหน้าปกติธรรมดาด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรอยยิ้ม กลับสามารถยึดแสงสว่างดวงนี้เป็นของตนเองได้



ครั้งแรกที่เขารับงานจากอู๋ซันเซิ่งให้คอยดูแลนายน้อยสามแห่งสกุลอู๋ แวบแรกในความคิดเขาคือ คงจะเป็นไอหนูอ่อนโตโลกจัดการยากแน่ๆ ในเมื่อทุกคนดูจะทุ่มเทความรักให้มากขนาดนี้ เขายังจำได้ดี แววตาของอู๋ซันซิ่งบอกว่าคนๆนี้สำคัญกับเขามาก



พอมาเจอก็เป็นอย่างที่คิดไม่มีผิด อ่อนแอ ทำตัวเก่ง ช่วยเหลือคนอื่นทั้งที่เอาตัวเองยังไม่รอด จนเขายังนึกสงสัยว่า ผ่านการคว่ำกรวยก่อนหน้านี้มายังไง แล้วก็ได้รู้....เพราะคนๆนี้มีคนคอยช่วยเหลืออยู่รอบตัวนี่เอง...



อะไรทำให้คนๆหนึ่งเกิดมาท่ามกลางความอบอุ่น ตั้งแต่เข้าวงการนี้มาเขายังไม่เคยเจอนักคว่ำกรวยคนไหนเป็นได้อย่างนายน้อยสาม อบอุ่น ร้อนราวเปลวไฟ ที่ล่อเหล่าแมลงโง่เข้าไปติดกับ ซึ่งที่เห็นก็มีอยู่ซะด้วยแมลงโง่ที่ว่านั่น



ยกเว้นเพียงคนเดียว น่าสนใจ...นอกจากจะไม่ติดกับความอบอุ่นนั้น ยังสามารถปั่นหัวแสงสว่างดวงนี้ได้อีก ก่อนที่เขาจะหายตัวไปในอุกบาตร ตอนแรกยังคงรออยากรู้ว่าจะกลับออกมาได้ไหม



สุดท้ายมีแต่ความว่างเปล่า คนๆนั้นไม่กลับมา ทิ้งให้อีกคนยืนรอโดยไร้จุดหมาย ฉันลองชวนเขาออกไปดู แต่คำตอบที่ได้กลับปฏิเสธ ผมกับพวกที่เหลือเลยออกมาทิ้งพวกเขาไว้ที่นั้น แอบให้อาหารมากหน่อย เพราะคงต้องอยู่อีกหลายวัน ถ้ามีโอกาสคงได้พบกันอีกครั้ง



ต้องนับถือเจ้าอ้วนที่อยู่ด้วยจริงๆ สามารถทนอยู่เป็นเพื่อนได้ทั้งที่ผมสัมผัสได้ว่าเขาอยากจะออกไปเต็มแก่แล้ว แมลงโง่ก็คือแมลงโง่...



วันเวลาผ่านไป ผมลืมคนเหล่านั้นไปเสียสนิท คอยทำงานตามความต้องการไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายพวกเราก็ได้มาพบกันอีกครั้ง ด้วยสาเหตุเดียวกับตอนนี้



นายน้อยตามหาเจ้าหนุ่มไร้มนุษย์สัมพันธ์แต่ฝีมือเก่งกาจจนน่ายอมรับ ครั้งนี้ดูเหมือนจะมีแมลงโง่มาเพิ่มอีกด้วย แมลงโง่ที่มีกลิ่นหอมราวกับดอกไม้



ความคิดแรกของผมคือ น่าสนใจ คนๆนี้มีกลิ่นอายคล้ายกับผมแต่ก็ยังหลงใหลในแสงสว่าง และที่น่าสนใจที่สุดคงเป็นตัวนายน้อยเอง เพราะอะไรถึงได้ยึดมั่นกับเสี่ยวเกอได้ คนที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเลยในชีวิต



แล้วเขาก็เข้าใจ....สาเหตุที่แมลงโง่ทุกตัวถึงบินเข้าไปในกองไฟ รวมถึงเขาที่เริ่มเป็นหนึ่งในนั้นโดยไม่รู้ตัว



นายน้อยสามรวมทุกสิ่งที่ทุกคนทอดทิ้งมันไป และหยิบยื่นให้กับคนรอบข้าง...



ตั้งแต่เกิดมาโลกของเขาคือความมืดและกลิ่นคาวเลือด ไม่ฆ่าก็ต้องถูกฆ่า ไม่เหยียบคนอื่นก็ไม่อาจดันตัวให้สูงขึ้นไปได้ ความจริงใจคือหนทางสู่ความตาย หน้ากากเท่านั้นที่จะทำให้มีชีวิตรอด



นักคว่ำกรวยทุกคนมีความเป็นมาไม่ดีนัก อย่างว่า ถ้าดีจะมาทนลำบากเสี่ยงชีวิตตัวเองไปทำไม เว้นอยู่แต่คนเดียว เขาเข้าใจแล้ว ว่าทำไมแมลงโง่ทุกตัวถึงไม่คิดจะเปลี่ยนนิสัยของแสงสว่าง ใช่ว่าไม่คิดเปลี่ยน แต่มันไม่สามารถเปลี่ยนได้ต่างหาก เขาที่เคยทอดทิ้ง เคยทำเรื่องเลวร้าย มาตอนนี้ยังลักพาตัวไปปล่อยไว้เกือบตาย มือคู่นี้ก็ยังคงยื่นมาหา



เขาไม่เคยคิดอยากจะมองเห็นความโสมมของโลกใบนี้ รู้สึกตัวเองโชคดีที่ตาบอดทำให้ไม่ต้องทนเห็นสิ่งเหล่านั้น ใช้ประสาทสัมผัสอย่างอื่นแทนดวงตา มาตอนนี้เขากลับอยากลองมองเห็นดูสักครั้ง



เห็นแสงสว่างนี้ว่าเวลายิ้มจะชวนให้รู้สึกดีขนาดไหน แค่เสียงหัวเพราะสดใสนั่นมันยังไม่พอ อยากเห็นทุกอย่าง อยากสัมผัส อยากแตะต้อง รู้ตัวว่ากำลังจะเป็นแมลงโง่อีกตัวที่บินเข้าไปตายในกองไฟ ถ้าหากเขาได้เป็นหนึ่งคนที่อยู่ในใจของคนตรงหน้าจะดีแค่ไหนกัน



หากไม่สามารถเข้าไปอยู่ได้ด้วยความยินดี อย่างน้อยๆอยู่ด้วยความเกลียดชังอีกฝ่ายก็จะจำเขาไว้ตลอดไป ไม่แน่บางทีถึงเขาจะทำเรื่องร้ายแรง นายน้อยก็อาจจะยังยกโทษให้เหมือนเดิมก็ได้



ถอดแว่นสีดำเผยให้เห็นดวงตาคมไร้กระกาย ยื่นมือหมายจะสัมผัสแสงสว่างแล้วร่างที่นอนอยู่กลับลืมตาขึ้น



“กลับมาแล้วเหรอนายแว่น มัวแต่นั่งทำอะไรทำไมไม่นอน มีเวลานอนก็ควรจะนอนพักซะ ดูสินายอยู่ข้างนอกจนตัวเย็นหมดแล้ว”



เสียงงัวเงียดังขึ้นพลางลุกขึ้นมานั่งคว้ามือที่นายแว่นยื่นมาหา พอจับแล้วรู้สึกเย็นเฉียบเลยเอื้อมมือไปหยิบผ้าห่มอีกผืนมาโยนส่งให้



“อ้าว นายถอดแว่นเรอะ ฉันนึกว่านายจะใส่แม้เวลานอนซะอีก หืม...น่าเสียดาย ดวงตาของนายออกจะสวยแต่กลับชอบใส่แว่นปิดไว้”



มือที่เคยนุ่มเริ่มด้านจากการคว่ำกรวยแตะข้างแก้มของคนที่นั่งอยู่แผ่วเบาถ่ายเทความอบอุ่นไปให้ใบหน้าที่ยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม เสแสร้ง...



“ถ้านายไม่เต็มใจจะยิ้มก็ไม่เห็นต้องยิ้ม กับใครฉันไม่รู้ แต่กับฉันนายทำตัวตามสบายเถอะ ยังไงก็ไม่มีพิษภัยกับนายอยู่แล้ว เป็นอะไรไป ปกติออกจะพูดมาก ทำไมครั้งนี้เงียบอย่างกับคนใบ้”



ราวกับเข้ามานั่งลงกลางใจ...ใบหน้านี้ น้ำเสียงนี้ อยากเห็น อยากสัมผัส มือหนาจับมืออีกคนมาแนบแก้ม ดวงตาหลับลงทั้งที่มันไม่จำเป็น ซึมซ้ำความอบอุ่นเอาไว้ในส่วนลึกของความทรงจำ



ทำไมเขาถึงต้องตาบอดด้วย เพราะแม่ที่ไม่ต้องการให้เขาเกิดมา หรือพ่อที่หวังใช้ลูกเมียตัวเองเป็นเครื่องมือ ภาพความทรงจำในอดีตหวนกลับมาทั้งที่ลืมเลือนมันไปนานแล้ว



กลิ่นคาวเลือด ความเย็นของท่อเหล็กในมือ เสียงของแข็งกระทบเนื้อที่ได้ยิน ร่างของชายนิสัยชั่วที่นอนจมกองเลือดอยู่แทบเท้า เสี่ยงกรีดร้องร่ำไห้ของผู้หญิงที่เขามาทุบตีเขาที่ฆ่าสามีของเธอแล้วเขาก็ฆ่าเธอไปอีกคน ท่อเหล็กเสียบทะลุท้อง เสียงแหกปากบาดหูทุกอย่างเหมือนเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวาน



ทุกความคิดพลันชะงัก เมื่อมีอ้อมกอดอบอุ่นเข้ามาแทนที่ คนตัวเล็กกว่ากอดคนตัวโตแล้วลูบหลังเหมือนกับตอนกล่อมเด็กไม่มีผิด



“นายดูไม่ดีเลย เป็นอะไรรึเปล่า หรือคนที่นายไปเจอทำอะไรกัน บอกฉันได้นะเดี๋ยวจะช่วยคิดแผนจัดการให้”



นายแว่นหลุดหัวเราะ อารมณ์ที่กำลังดำดิ่งสู่ความมืดมิดถูกฉุดครั้งเดียวก็กลับมายังแสงสว่างที่อยู่ตรงหน้า แสดงว่าเมื่อกี้แอบตามไปจริงๆสินะ เจ้านั่นเองก็น่าจะรู้ถึงได้รีบตัดบทแล้วจากไปแบบนั้น



ที่สำคัญขนาดจะปลอบคนยังมีการหลอกล่อให้พูดในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้อีก ที่บอกว่าไม่พัฒนาคงไม่ได้ซะแล้ว ถึงแม้มันจะเป็นการหลอกล่อที่ดูไร้เดียงสาไปก็ตามแล้วยังไม่ช่วยเสียด้วย แค่คิดแผนให้เขาไปจัดการเอง ร้ายจริงๆ



“ไม่รู้สิ กำลังคิดว่าถ้าลองทำหน้านิ่งๆคนบางคนอาจจะสนใจขึ้นมาก็ได้ แถมเหมือนจะได้ผลซะด้วย”



วงแขนแกร่งโอบตัวอีกคนแนบกายมากขึ้น แกล้งหยอกเป่าลมใส่หูคนโนรังแกผลักออกทำท่าทางเหมือนกับเจอบ๊ะจ่างในกรวยอย่างไรอย่างนั้น



“นายแว่นแม่งเล่นบ้าอะไรน่าขนลุกชะมัด เอาความใจดีของฉันเมื่อกี้คืนมาเลยนะ”



ผมโวยวายนายแว่นที่หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ตรงหน้า หยิบแว่นกลับมาใส่ตามเดิมอีกต่างหาก คิดผิดจริงๆที่เมื่อกี้หลงใจดีด้วย งูพิษยังไงก็ยังเป็นงูพิษอยู่วันยังค่ำ แต่นิสัยของผมต่อให้มันร้ายแค่ไหนก็ตีให้ตายไม่ลง



ตอนที่นายแว่นยื่นมือมาขณะผมหลับ ผมคว้าจับโดยไม่รู้ตัว เหมือนว่ามือข้างนี้ต้องการให้ใครจับไว้ ฉุดออกมาจากความมืดมิด เมื่อกี้ยังทำหน้าเหมือนกับเจอฝันร้ายเลยเผลอปลอบไป พลิกลิ้นไปมาเอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่รู้แม่งด้วยแล้ว



ผมทิ้งตัวลงกอดเสี่ยวจางนอนเลิกสนใจเจ้างูลิ้นสองแฉก เห็นแบบนี้เสี่ยงหัวเราะถึงได้หยุดไปพร้อมกับวาจาน่าเตะปาก



“อ้าวงอนไปซะแล้ว ไม่คิดเลยว่าคนมีลูกจะขี้งอนขึ้นด้วย ความรู้ใหม่ๆ”



“มารดามันสิ นอนไปนายแว่น เลิกเห่าหอนได้แล้ว เป็นงูหงอนไก่รึไงห๊ะ”



จ้องเขม็งด้วยหางตาเพราะไม่อยากพลิกตัวไปมองเดี๋ยวเจ้าหนูในอ้อมแขนจะตื่น จะว่าไปเขาเหมาะกับงูหงอนไก่เหมือนกันนะ อธิบายไม่ถูกว่าทำไม แต่ผมรู้สึกว่ามันเหมาะสุดๆ



“ฝันดีฝันเห็นฉันนะนายน้อย”



มีขยิบตาส่งจูบให้ผมขว้างของใส่ นับวันยิ่งถนัดขว้างทำลายข้าวของ กลับบ้านไปต้องเปลี่ยนนิสัยไม่งั้นอารองด่าตายแน่ๆ จนนายแว่นยอมนอนดีๆนั้นแหละผมถึงค่อยวางใจแล้วหลับต่อ



อีกคนที่ควรนอนกำมืออยู่ท่ามกลางความมืด มั่นใจกับตัวเองแล้วว่าเขาคงจะกลายเป็นแมลงโง่อีกหนึ่งตัวไปเรียบร้อย นึกขำกับตัวเอง วันหลังหากไปขอหมอนั้นจะยอมยกแสงสว่างนี้ให้มั้ยนะ ชักไม่อยากส่งตัวคืนซะแล้วสิ



คิดๆไปก็เท่านั้น แม้จะเป็นแมลงโง่ แต่เขาก็เป็นแมลงโง่ที่พอมีสมองอยู่บ้าง ไม่คิดแย่งแสงสว่างนี้มาจากกิเลนดำ ในเมื่อมันไม่มีวันเป็นไปได้จะเหนื่อยไปทำไม เจ้าอ้วนนั่นคงจะรู้ตัวอยู่เหมือนกัน จะเหลือก็แค่ดอกไม้ที่ดูจะฝันลมๆแล้งๆ หากมีโอกาสช่วยทำให้ตาสว่างท่าจะดี





อากาศหนาวของป่าในตอนเช้าเข้ามากระทบผิวจนต้องตื่นด้วยความง่วงงุน ผมลืมตาก็ไม่เห็นนายแว่นอยู่ในเต็นท์แล้ว แถมยังเปิดประตูเต็นท์ทิ้งไว้อีก มิน่าล่ะทำไมรู้สึกหนาวเยือก ผมกระชับผ้าห่มให้เสี่ยวจาง ส่วนตัวเองลุกขึ้นไปจัดการกิจวัติประจำวันในตอนเช้า



เห็นนายแว่นกำลังดูแผนที่คุยอะไรกับพวกคนในคณะเดินทางอยู่ อดไม่ได้ที่จะเข้าไปหา ปกติผมเป็นหนึ่งในคนสุมหัวดูว่าบางทีอาจจะมีอะไรพอให้ผมช่วยได้บ้าง จะได้เลิกคิดเอาผมกับเสี่ยงจางเป็นเหยื่อล่อสักที



“ดูอะไรน่ะนายแว่น”



ผมส่งเสียงทักไปก่อนตามความเคยชิน คนรอบตัวผมประสาทไวเป็นพิเศษ ระบบการป้องกันตัวอัตโนมัติอีก ขืนเข้าไปไม่ดูตามาตาเรือได้โดนซักคว่ำเหมือนเวลาเข้าไปหาเสี่ยวฮัวกับเมินโหยวผิงแน่ ขนาดพานจื่อเองผมยังเคยเกือบโดนมีดปาดคอแล้วเลย คงมีแต่นายอ้วนที่ดูจะปลอดภัยที่สุดและน่าปวดหัวที่สุดในเวลาเดียวกัน



ฝรั่งตัวโตทำท่าไม่อยากให้ผมดู นายแว่นหันไปพูดอะไรสองสามคำถึงได้ยอมพยักหน้าแล้วปล่อยให้ผมเข้าไปดูได้



“ตื่นเช้าดีนี่นายน้อย”



“เจ้ากับผีน่ะสิ จะไม่ให้ตื่นได้ยังไงนายเล่นเปิดประตูเต็นท์ไว้แบบนั้น ถ้าเกิดเสี่ยวจางเป็นหวัด ฉันจะใช้งานให้นายไปหายารักษา!” นายแว่นยักไหล่ไม่สนใจคำพูดของผม ชี้ชวนดูกระดาษบนโต๊ะแทน



กระดาษพวกนี้นอกจากจะมีแบบแปลนโบราณแล้วยังมีกระดาษอีกหลายแผ่น ผมหยิบขึ้นมาดูทีละแผ่น อันไหนใหญ่ก็กางดูมันบนโต๊ะ ยิ่งดูก็ยิ่งขมวดคิ้ว คนพวกนี้รวบรวมได้มากกว่าผมเสียอีก แต่ก็มีบางอย่างที่ผมมีแต่พวกนี้ไม่มี



ส่วนใหญ่จะเป็นพวกบอกเส้นทางมากกว่า ภาษาโบราณที่ถูกเขียนไว้ มีเขียนแปลอยู่ข้างๆ พอดูก็ติดลม ลากหาเก้าอี้มานั่งเท้าคางอ่าน รับกาแฟจากนายแว่นมาดื่ม รสชาติดีกว่าที่พวกผมซื้อเป็นสิบเท่า



ของพวกนี้น่าทึ่งมาก ถึงจะบอกอธิบายถึงรายละเอียดโดยตรงแต่มีจุดสังเกตหลายจุด หากเดินทางเข้าไปในสุสานจริงๆจะหาทางออกคงเป็นไปได้ไม่ยาก เสียแต่จุดที่สำคัญที่สุดดันไม่มี พอเอาปะติดปะต่อกับข้อมูลที่มีอยู่ในหัวก็ไม่พบ



“มันขาดทางเข้าไป เป็นไปได้ยังไง”



ปกติแล้วทางเข้ามักจะเป็นสิ่งแรกที่มีบันทึกเอาไว้ อย่างน้อยๆขี้หมูขี้หมาก็ต้องมีคำใบ้อะไรบ้าง แต่นี้ไม่มีอะไรบอกเลยสักอย่าง เพ่งดูจนตาแทบทะลุกระดาษก็ไม่เจอ แม่ง ไอคนจดส่วนอื่นบันทึกซะดิบดี ตรงจุดที่สำคัญดันไม่มีซะได้ มันเป็นไอโง่หรือไอบ้าเนี่ย



“ก็อย่างที่เห็น เพราะแบบนี้พวกเราถึงต้องพึ่งนายน้อย พยายามทำหน้าที่เหยื่อล่อเข้านะ” นายแว่นตบบ่าผมสองที มันเป็นกำลังใจที่ผมไม่อยากได้เลยสักนิด



“แล้วนายน้อยออกมานานแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ”



“ทำไม หรือฉันต้องอยู่แต่ในเต็นท์ทำตัวเป็นเหยื่อล่อว่าง่ายหรือไง” ผมไม่สบอารมณ์เลยพูดไปแบบนั้น นายบอดหัวเราะแล้วชี้ไปด้านหลังผม



“อย่างนายน้อยจะเดินไปไหนย่อมได้อยู่แล้วขอแค่ไม่พยายามหนีออกไปก็พอ ฉันยังไม่อยากใช้ไม้แข็งนะ แต่เสี่ยวจางของนายน้อยน่ะ ปล่อยเด็กไว้แบบนั้นป่านี้ไม่คลานปรูดปราดเข้าป่าไปแล้วเรอะ คิดอีกทีอาจจะดี เด็กนี่ท่าทางฉลาด ไม่แน่ว่าจะหาทางเข้าเจอก็ได้”



“เวรล่ะ ลืมสนิท”



ผมลุกพรวดวิ่งกลับไปที่เต็นท์ทันที เพราะเจอของน่าสนใจเลยเสียเวลาดูเพลินไปหน่อย ตอนแรกว่าจะออกมาแค่ครู่เดียวแท้ๆ ป่านี้เสี่ยวจางคงตื่นแล้ว หวังว่าจะไม่คลานออกมาไปหลงที่ไหนหรอกนะ



พอเปิดเต็นท์ออกผมยิ่งหน้าซีด เสี่ยวจางหายไป มีคนเข้ามาในเต็นท์ ผมวิ่งกลับไปหานายแว่นทันที



“เสี่ยว แฮ่ก เสี่ยวจางหายไป!” พูดไปหอบไปจนนายแว่นต้องช่วยลูบหลังให้ ท่าทางเขาสบายๆดูไม่ตกใจเลยสักนิด ในขณะที่ผมแทบจะอกแตกตายอยู่แล้ว อยากจะเอามีดมาปาดคอตัวเองที่ปล่อยเสี่ยวจางไว้คนเดียวได้ ที่นี้ไม่เหมือนคณะเดินทางของผม



ถึงผมจะเผลอไม่ได้จับตาดูอยู่ตลอดเวลาก็มีคนอื่นๆช่วยดูให้ ผิดกับที่นี้ขนาดผมร้อนใจแทบบ้า พวกเขายังมองเหมือนผมเป็นโรคประสาท



“ใจเย็นๆก่อนนายน้อย คงไม่ได้หายไปไหนหรอกมั้งอยู่ในเต็นท์นั้นแหละ หาดูดีๆแล้วรึยัง”



“ไม่ฉันหาทุกซอกทุกมุมแล้วไม่เจอ บอกให้คนอื่นๆช่วยกันตามหาเร็วเข้า เสี่ยวจางยังเด็กที่นี้อันตรายปล่อยเขาไว้คนเดียวไม่ได้”



ทุกคนมองหน้ามองแล้วหันกลับไปทำกิจกรรมของตัวเองต่อ รู้สึกทั้งโมโหเสียใจจนอยากปล่อยด้วงศพมาถล่มที่นี้ให้ราบ โธ่เว้ย! ในเมื่อไอคนพวกนี้ไม่ช่วย ผมก็จะหาด้วยตัวเอง แต่ไม่ทันจะได้ออกวิ่งแขนก็ถูกนายแว่นคว้าไว้ รวบตัวผมเข้าไปกอดกันหนี



“เสียงเอะอะอะไร” เฒ่าเจ้าเล่ห์โผล่หัวออกมาจากเต็นท์ สีหน้ารำคาญเต็มที่



“พอดีหนึ่งในเหยื่อล่อของเราหายไปครับ” นายแว่นตอบส่วนผมพยายามดิ้นซึ่งไม่เป็นผลเลยสักนิด



“ช่างมัน ยังเหลืออีกคนก็ดี เตรียมตัวออกเดินทางพวกเราจะเข้าไปด้านใน ชักช้าไม่ได้” เฉินเต๋เข่าท่าทางเร่งรีบ แหงล่ะหากพลาดช่วงเวลานี้ไปกว่าจะได้เวลาอีกต้องรอไปถึงอาทิตย์ซึ่งพวกเขารอไม่ได้แน่ ผมไม่สนใจ เสี่ยวจางสำคัญกว่า



“ฉันจะไม่ยอมไปไหนทั้งนั้นจนหว่าจะหาเด็กคนนั้นเจอ!”



ผมประกาศกร้าวให้ได้ยินกันทั้งหมด จ้องเขม็งไปยังตาเฒ่าที่เดินเข้ามาบีบคางผม



“ไม่ไปพวกฉันก็จะทำให้ไปเอง เฮยเสียจื่อมัดเขาเอาไว้ ปิดปากด้วยฉันรำคาญเสียง”



“ก็อย่างที่ได้ยิน นายน้อยช่วยอยู่ดีๆแล้วฉันจะแบกไปเอง”



นายแว่นก้มหน้ามาพูดกับผมแล้วผมก็ถูกปิดปากด้วยผ้า มัดข้อมือข้อเท้าก่อนจะถูกนายบอดแบนขึ้นบ่าเดินตามคนอื่นๆไป พวกนี้เป็นมืออาชีพเพียงไม่กี่นาทีก็เตรียมตัวเสร็จ



กลุ่มเดินทางมีอยู่เกือบยี่สิบคน สามคนนำขบวนคอยเคลียทางด้านหน้า มีบางส่วนล้อมปกป้องเฉินเต๋เข่าอยู่ตรงกลาง อีกส่วนหนึ่งอยู่ข้างๆนายแว่น และอีกพวกรั้งท้ายขบวน ทุกคนมีวิทยุสื่อสารคอยติดต่อกับคนที่แคมป์เป็นระยะ



ทุกคนดูระมัดระวังเตรียมพร้อมยิ่งกว่าคราวของพวกอาหนิงซะอีก แถมยังใส่ชุดเหมือนกันหมดเว้นนายแว่นคนเดียวที่ไม่ใส่เหมือนคนอื่น



ในใจผมลุกเป็นไฟนึกถึงแต่เสี่ยวจาง เสี่ยวเกอก็หาไม่เจอ เสี่ยวจางดันหายไปอีก พยายามคิดปลอบใจว่าอย่างน้อยๆเสี่ยวจางอยู่ข้างนอกอาจจะปลอดภัยกว่ามาเป็นเหยื่อล่อเหมือนผมในกรวยก็ได้ อีใจก็กังวล คนพวกนี้เห็นแก่ตัวเอง เจอเด็กเล็กๆไม่รู้จะช่วยดูแล ปล่อยทิ้งขว้าง หรือจัดการให้มันจบๆ



ถ้าเป็นอย่างหลังหัวใจผมคงแหลกสลาย นายแว่นคงจะรู้สึกถึงความสั่นเทาของร่างที่อยู่บนบ่าได้ ถึงยื่นมือมาลูบๆหัว



“ไม่ต้องเป็นห่วง เด็กคนนั้นเป็นลูกของเสี่ยวเกอ ไม่เป็นไรง่ายๆแน่”



นายแว่นปลอบ ถึงจะเป็นลูกของเมินโหยวผิงที่แสนจะเก่งกาจก็ตาม ยังไงนั่นก็แค่เด็กเล็กนะยังพูดเป็นคำไม่ได้ด้วยซ้ำ



หัวผมแทบไม่คิดเรื่องอะไรเลยนอกจากเสี่ยวจาง เลยไม่ทันสังเกตว่าตอนนี้คณะเดินทางมาถึงจุดที่พวกแมลงโผล่แล้ว จนกระทั่งเสียงปืนดังขึ้นให้ผมเงยหน้าขึ้นมองภาพเบื้องหน้า คนพวกนี้แบกปืนพ่นไฟมาสลับกับใช้ปืนลูกซองยิงใส่พวกแมลงเปิดทางจนผ่านไปโดยง่าย



พวกที่อยู่ตรงกลางคอยใช้กระบองเหล็กดันตาข่ายถี่กันอยู่เหนือหัวไม่ให้พวกแมลงร่วงลงมาใส่ แต่ก็ยังมีบางคนพลาดท่าเป็นเหยื่อสังเวยให้พวกแมลง



คนพวกนี้เดินข้ามพวกเดียวกันเองที่ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น ดวงตาทุกคู่มองตรงไปด้านหน้าไม่ต่างจากหุ่นยนต์ไร้ชีวิตจิตใจ เทียบแล้วผมว่านายแว่นจะดูน่ารักกว่ากันเถอะ



ใช้เวลาเกือบชั่วโมงพวกเขาก็เคลียทางมุ่งไปด้านหน้าต่อได้ จุดพลุไว้กันพวกแมลงตามมา พอพ้นเขตถ้ำหินขรุขระมีรูพรุนก็เจอกับผนังเรียบในจุดที่ผมถูกเอามาปล่อยไว้ในตอนแรก ก้อนหินกับโครงกระดูกนั่นยังคงอยู่ที่เดิม แต่ท่าทางมันเปลี่ยนไป!



ผมตาโตจ้องเจ้าโครงกระดูกนั้นด้วยความกังวล ส่วนที่ควรเป็นตัวตากรวงโบ๋เหมือนมีอะไรเคลื่อนไหว พอมองชัดๆมันคือดวงตาสีแดงก่ำสะท้อนกับแสงไฟ ผมตัวแข็งทื่อนายแว่นรู้สึกได้เลยแอบแก้ผ้าปิดปากผมออก



“มีอะไรหรือนายน้อย”



นายแว่นกระซิบถาม ถึงเขาจะยังดูนิ่งๆแต่ผมพอรู้สึกได้ว่านายแว่นกำลังระวังตัวและสังเกตโดยรอบจากประสาทสัมผัส เพราะดวงตาไม่อาจมองอะไรได้ความมืด ไม่เห็นบรรยากาศที่น่ากลัวมันจึงไม่สามารถทำให้นายแว่นสติไขว้เขวได้



“โครงกระดูกที่ผ่านมาเมื่อกี้มันมันลูกตาสีแดง ไม่สิ เหมือนตัวอะไรบางอย่าง ท่าไม่ดีแล้วนายรีบบอกให้ทุกคนเร่งฝีเท้าเร็ว”



“แน่ใจนะนายน้อย”



“แน่ใจสิ ก็โครงกระดูกนั้นฉันเห็นมันตอน....เฮือก! นายแว่นวิ่ง!!”



เจ้าโครงกระดูกเมื่อครู่ตอนนี้มันมายืนอยู่ท้ายขบวนแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรให้มากความผมสั่งนายแว่นวิ่งทันที เขาไม่นึกสงสัยผมเลยสักนิด ยังไงผมมันก็เคยคว่ำกรวยเจออะไรมานักต่อนัก รู้ดีว่าอะไรควรพูดเล่นพูดจริง งานนี้เกี่ยวพันธ์ถึงชีวิต ผมไม่พูดพล่อยๆแน่



บางคนสถบด่า บ้างหัวเราะเยาะผมที่เป็นไอไก่อ่อนแหกปากไม่รู้เรื่อง เฉินเต๋เข่าใบหน้าเครียดเขม็ง ยิ่งเห็นเขาในที่มีแสงน้อยแบบนี้ น่ากลัวสูสีพอกับบ๊ะจ่าง เขาเองก็รู้ดีกว่าผมผ่านอะไรมาบ้าง พอนายแว่นออกวิ่งไม่สนหลัง เขาก็สั่งทุกคนทันที



“ตรวจเช็คดูรอบตัว ใครท่าทางแปลกๆยิงทิ้งซะ”



“ตรวจหาพ่องสิ รีบหนีเร็วเข้า!”



จบประโยคไม่ถึงวิเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดก็ดังขึ้นจากคนที่เดินรั้งท้ายสุด หลายคนเริ่มแตกขบวน แต่ส่วนใหญ่ยังปักหลักตั้งสติได้ดี ทุกคนเริ่มออกวิ่งมีคนคอยพยุงเฉินเต๋เข่าสองคน สลับยิงปืนไปด้านหลัง



นายแว่นวิ่งนำหน้าสุดทำให้ผมเบาใจ ก่อนจะได้ยินเสียงเหมือนอะไรคลานอยู่บนกำแพงหิน พอเงยหน้าขึ้นดูถึงเห็นโครงกระดูกตาสีแดงก่ำจ้องในระยะประชิด ช่องปากมีลิ้นยืดยาวออกมา



“อ๊ากกกกกกกกกก!”



ผมหลุดเสียงแหกปากออกมาดังลั่น นายแว่นประสาทไวหันตัวใส่ศอกหัวกะโหลกนั้นจนแตกหายไปครึ่งหัว ถึงได้เห็นชัดๆว่ามันคือลิงผีสวมโครงกระดูก เสียงปืนดังรัว ไม่มีใครยิงมันได้เลยสักนัด นอกจากนายแว่นที่คว้าปืนจากคนใกล้ๆมายิงเฉียดเข้าที่หัว



นายแว่นคงจะเล็งหัวแต่มันไวจนยิงไม่ทัน อย่างน้อยๆตอนนี้มันก็ล่าถอยออกไปแล้วให้พอมีจังหวะได้หายใจหายคอกันบ้าง



“จากนี้วุ่นแน่ นายน้อยรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ”



ผมคงจะเป็นตัวถ่วงทำให้นายแว่นเคลื่อนไหวลำบาก เขาเลยวางผมพิงไว้กับผนังถ้ำแถวนั้น ผมแทบอยากขุดโครงเง้าขึ้นมาด่า ก่อนจะไปอย่างน้อยๆช่วยแก้มัดให้ก่อนสิ



“อยากยืมคำของนายอ้วนมาชะมัด แม่งเอ๊ยทำไมฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย”



มือที่ถูกมัดยื่นไปแก้เชือกตรงข้อเท้า ส่วนที่ข้อมือพอลองใช้ฟันก็แก้ไม่ออก นายแว่นมันจะมัดแน่นทำไมนัก สถานการณ์ด้านหน้าไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ ผมเลยถอยหลังกวาดตามองหาอะไรที่พอจะเป็นอาวุธได้



จู่ๆมีอะไรบางอย่างมาวางอยู่บนหัวให้ผมสะดุ้ง หันขวับกลับไปมองวาดแขนออกไม่สนว่าจะเป็นตัวอะไร เข้ามาใกล้แบบนี้พ่อซัดเรียบแล้ว



หมับ



แขนผมโดนหยุดด้วยมือข้างหนึ่ง รอบข้างมืดมากจนผมมองอะไรไม่เห็น มีแค่แสงที่วูบไหวไปมาจากกระบอกไฟฉายของคนพวกนั้น



“อู่เฉีย เตี่ย เตี่ย...”



ใครมันมาร้องเรียกเตี่ยแถวนี้วะ ลูกผมมีแค่เสียวจางเท่านั้น คนอื่นอย่ามามั่ว!



“มองดีๆ”



คำสั้นๆจากน้ำเสียงแสนคิดถึง ผมเพ่งมองทันที...



“เสี่ยวเกอ! เสี่ยวจาง!!”



[TBC]
Silver Fish
Silver Fish
ด้วงฝึกหัด
ด้วงฝึกหัด

จำนวนข้อความ : 17
Points : 3496
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

BABY - [fic]BABY [ผิงเสีย] - อัพตอนที่6 Empty Re: [fic]BABY [ผิงเสีย] - อัพตอนที่6

ตั้งหัวข้อ by Silver Fish Sun 11 Jan 2015, 00:21

ตอนที่5 สุสานลวง

"เสี่ยวเกอ! เสี่ยวจาง!!"



“เบาเสียง”



เมินโหยวผิงบอกผมด้วยใบหน้านิ่งเรียบ สภาพเขาตอนนี้ถือว่าดูไม่แย่เท่าไหร่นัก แสดงว่าการลงกรวยที่นี้ไม่ทำให้เขาลำบากจนถึงขั้นโทรมเหมือนสมัยก่อน



จุดสำคัญคือแขนข้างหนึ่งที่อุ้มเสี่ยวจางไว้ ด้านหลังสะพายเป้ถึงแม้เห็นในพื้นที่มีแสงน้อย ผมก็พอจะมองออกว่ามันคือเป้ที่ผมใส่ข้าวของ ของเสี่ยวจางไว้ นายเองสินะเจ้าโจรขโมยเด็ก



“นายมาทำอะไรที่นี้ ทำไมถึงพาเสี่ยวจางไปอยากให้ฉันหัวใจวายตายรึไง อยากลงกรวยทำไมไม่บอก ฉันบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าจะไปไหนให้บอกกันบ้าง นายรู้มั้ยว่าฉันตามหานายแทบตาย”



ผมยอมลดเสียงลงอย่างเข้าใจ สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมาะจะเสียงดังเท่าไหร่ แต่ความโกรธของผมที่พุ่งสูงอยู่นี้มันต้องการที่ระบาย และคนที่จะตอบทุกคำถามของผมได้คือคนตรงหน้า เลยถามออกมาเป็นชุด



“ตอนนี้ไม่ได้”



เมินโหยวผิงส่ายหน้า ผมขมวดคิ้วสะบัดแขนออกจากการจับของมือหนาซัดกำปั้นใส่จนหน้าหัน ด้วยแรงของผมแค่นี้คงไม่ระคายผิวของเขาหรอก แต่ดูจะตกใจไม่น้อยเพราะผมไม่เคยลงมือกับเขามากก่อน



พวกเราจ้องตากันนิ่งไม่มีใครขยับจากจุดนั้น เสี่ยวจางน่าสงสารมองสลับไปมา ผมรู้การให้ลูกมาเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันแบบนี้มันไม่ดี แต่แปดเดือนที่ผ่านมา ผมตามหาเหมือนคนบ้า เขาทำแบบนี้ได้ยังไง



คนที่ขยับตัวก่อนคือจางฉี่หลัง มือที่มีสองนิ้วยาวต่างจากปกติยื่นมาตรงหน้าผม ผมกำมือแน่นรอรับสิ่งที่จะตามมา จะถูกชกคืน ตบหน้า หรืออัดผมให้สลบแล้วแบกออกจากที่นี้



ทุกอย่างที่ผมเดาผิดหมด มือนั่นเลยมาจับหลังคอจนผมสะดุ้ง พอผงะถอยก็ถูกรั้งเข้าหารับรู้ได้ถึงสัมผัสนุ่มตรงริมฝีปาก ลิ้นร้อนเลียจนผมเผลอเปิดปากให้เมินโหยวผิงสอดเข้ามาพัวพันกับลิ้นของผม การกระทำเหล่านี้เกิดขึ้นเพียงไม่ถึงนาที



จางฉี่หลิงถอยห่างออกจากผมเมื่อเห็นว่าผมเริ่มสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เขาเอาหน้าผากมาแตะกับหน้าผากผม มือข้างที่ว่างจากการอุ้มเสี่ยวจางสอดนิ้วกุมมือผมไว้



ผมได้กลิ่นสมุนไพรลอยออกมาจางๆ สัมผัสอุ่นจากฝ่ามือละทำให้หัวใจผมพลันอุ่นวาบตามไปด้วย ราวกับความเจ็บปวดก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ฝุ่นผงที่ถูกคนตรงหน้าเป่าทิ้งได้อย่างง่ายได้



“ขอโทษ...ที่นี้อันตราย ถ้าหากออกไปด้านนอกได้เมื่อไหร่ฉันจะตอบคำถามทุกอย่าง”



น้ำเสียงราบเรียบแต่ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่แฝงมาด้วย เลยเผลอพยักหน้ารับปล่อยให้เสี่ยวเกอจูงมือเดินหลบเลี่ยงจากบริเวณนั้นอย่างว่าง่าย



ให้ตายสิ นายแม่ง ใช้วิธีนี้ผมจะยังดื้อต่อไปได้ยังไงกัน พอหันไปมองเสี่ยวจางที่ยกสองมือเล็กๆปิดหน้าแต่แหวกนิ้วมองเหตุการณ์ทั้งหมดความร้อนยิ่งพุ่งขึ้นหน้า ผมเลยจ้องดุๆใส่จนเสี่ยวจางคอหดไปซุกเตี่ยจางฉี่หลิงตามเดิม เหมือนผมจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆลอยมาจากคนที่กำลังนำทางอยู่ด้วย



นิสัยไม่ดีทั้งพ่อทั้งลูกจริงๆ ถ้าออกไปได้เมื่อไหร่ต้องจับสั่งสอนทั้งคู่ซะให้เข็ด



“พวกเรากำลังจะไปที่ไหน”



เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศอบอวนด้วยความรู้สึกหวิวๆในอกแบบแปลกๆ ผมเลยเลือกที่จะถามถึงจุดหมายแทน ผมเชื่อใจเสี่ยวเกอก็จริง แต่อย่างน้อยๆก็อยากรู้ว่าปลายทางอยู่ที่ไหน



“ไปหาพวกนั้น”



“พวกนั้น? พวกไหน” ผมถามด้วยความสงสัย



“พานจื่อ”



ตาผมเบิกกว้างรีบเร่งฝีเท้าเดินเสมอไปทันที เลยได้เห็นว่าตั้งแต่เมินโหยวผิงมาทำไมตลอดทางถึงมีแสงสว่างทั้งๆที่มือข้างหนึ่งก็อุ้มเสี่ยวจาง อีกค้างก็จับมือผมไว้ เพราะว่าเหน็บตะเกียงเจ้าพายุไว้ตรงเอว เหมือนตอนผมหาทางออกจากถ้ำนั่นเอง



ไม่สิ ในเวลาแบบนี้ผมยังมาคิดนอกเรื่อง ถ้าเป็นอย่างที่เมินโหยวผิงพูด นั่นเท่ากับว่าพวกนายอ้วนยังอยู่ในสุสานและเจอกับเสี่ยวเกอแล้วสินะ แบบนี้ค่อยโล่งใจ พวกเขายังปลอดภัยดี หากตามไปสมทบอะไรๆน่าจะดีขึ้น



พวกเราเดินลัดเลาะไปตามทางแคบๆ ยิ่งเดินเข้าลึกผนังรอบข้างก็ยิ่งเปลี่ยนจากหินที่ถูกขุดเป็นหินเรียบและมีพวกภาพวาดเล่าประปราย สุดท้ายก็มาถึงทางตันเป็นกำแพงหนา เสี่ยวเกอเอาเสี่ยวจางมาให้ผมอุ้ม เขาทำท่าเคาะๆสองสามที กำแพงหินที่ปิดทางก็เริ่มเคลื่อนไหว จนมีช่องพอให้เดินเข้าไปทีละคน



เสี่ยวเกอนำไปก่อน เขายกตะเกียงเจ้าพายุขึ้นดูโดยรอบอย่างระแวดระวัง ผมอุ้มเสี่ยวจางตามหลัง มืออีกข้าวจับชายเสื้อเมินโหยวผิงไว้เพื่อความอุ่นใจ



พอมาถึงตรงนี้รอบข้างเหมือนห้องในสุสานธรรมดาทั่วไป มีข้าวของเครื่องใช้ ภาพวาดต่างๆ ใจจริงผมนึกอยากสำรวจแต่เวลานี้ไม่เหมาะผมเลยได้แต่เดินตามเสี่ยวเกอไปเงียบๆจนทะลุมาอีกห้องหนึ่ง



จากการมองของผมคิดว่ามันน่าจะเหมือนกับห้องที่ผ่านมาเมื่อครู่ราวกับแกะแน่ๆ เสียแต่ข้าวของหลายอย่างถูกเลื่อนเปลี่ยนตำแหน่งและดูเหมือนผมจะรู้ตัวการที่ทำของย้ายที่แล้วด้วย



“เสี่ยวเสียนี่ ตอนแรกเสี่ยวเกอบอกจะไปรับไม่คิดเลยว่าจะไปรับมาจริงๆ ใช้เวลาน้อยแบบนี้ไม่ใช่ว่านายแอบตามพวกเราเข้ามาหรอกนะ”



นายอ้วนวางจางกระเบื้องในมือลงเดินเข้ามาหาผม จากที่สังเกตดูท่าจะอยู่กันครบทั้งพวกนายอ้วนและคนที่ร่วมเดินทางมาด้วยอีกสองสามคน แม้สภาพแต่ละคนจะมอมแมมกับมีบาดแผลกันบ้างนิดหน่อย โดยรวมยังอยู่ในสภาพดี



“พวกนายเล่นหายไปหนึ่งอาทิตย์เต็มจะไม่ให้ฉันห่วงออกมาหาได้ยังไง ก็อยากจะพูดแบบนั้นหรอกนะ แต่สาเหตุที่ฉันมาโผล่ที่นี้ได้มันเพราะโดนเจ้าเฒ่ามันลักพาตัวมาเป็นเหยื่อล่อเสี่ยวเกอต่างหาก”



ผมบอกไปตามจริง อย่างพวกเราไม่มีอะไรต้องปิดบังกันอยู่แล้ว



“นายน้อยคนที่ลักพาตัวใช่ฉิวเต๋เข่ารึเปล่า”



เสี่ยวฮัวออกปากถามจนผมอึ้ง แม่นขนาดนี้แอบติดเครื่องส่งสัญญาณอะไรไว้บนตัวผมจริงๆรึเปล่าเนี่ย



“ไม่ต้องห่วงหรอกฉันไม่ได้ติดสัญญาณอะไรไว้กับนาย ถึงจะอยากทำก็ตาม” ประโยคหลังเริ่มเบาจนผมได้ยินไม่ค่อยชัด พอจะถามเสี่ยวฮัวก็พูดต่อหน้าตาเฉย รู้สึกเหมือนแถวนี้มีเครื่องสร้างอากาศหนาวถึงสองคน ทั้งจากเสี่ยวเกอขนาดปกติกับขนาดย่อส่วนที่อยู่ในอ้อมแขนผม



“พอดีพวกฉันเจอซากคนใส่ชุดแบบพวกนั้นเลยพอจะเดาได้” ผมพยักหน้ารับแล้วเล่าเรื่องทุกอย่างที่ตัวเองเจอมาให้ทุกคนฟัง ซึ่งตอนนี้เหมือนกำลังนั่งล้อมวงกันเล่านิทานทามกลางแสงสลัวไม่มีผิด



“ไอทานุกินั่นมันต้องการอะไรจากที่นี้กันแน่” พานจื่อท่าทางโมโหตั้งแต่ฟังตอนช่วงที่ผมเล่าว่าถูกลักพาตัวไปทำอะไรบ้าง



“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เสี่ยวเกอน่าจะรู้” ผมตอบตามจริง นายแว่นไม่ได้บอกว่าว่าของชิ้นนั้นมันคืออะไร บอกแค่ว่าผู้ที่จะนำทางไปถึงมันได้คือเสี่ยวเกอนั่งหน้ามึนเล่นกับเสี่ยวจางที่อยู่บนตัก มันคงจะดีกว่านี้ถ้าภาพพ่อลูกเหมือนฉบับตอนโตกับตอนเด็กไม่มานั่งหยอกกันในสุสานชาวบ้าน



เมินโหยวผิงเงยหน้าขึ้นมองผม ตอนนี้ดวงตาทุกคู่กำลังจับจ้องไปที่เขา



“ฉันไม่รู้ว่าพวกนั้นต้องการอะไร แต่ที่นี้ไม่มีของที่พวกนั้นต้องการแน่นอน”



“หมายความว่ายังไง” ผมขี้เกียจมานั่งรอคำใบ้ให้ทายเองเลยถามไปโต้งๆระหว่างที่ทุกคนกำลังจมอยู่ในห้วงความคิดตัวเอง อันที่จริงภารกิจของพวกเราเสร็จแล้ว ผมกับพวกนายอ้วนมาเพื่อตามหาเสี่ยวเกอ ซึ่งตอนนี้เจอตัวเรียบร้อย



เรื่องส่วนแบ่ง ขอแค่หยิบข้างของในนี้ออกไปสักสองสามชิ้น เลือกดีๆหน่อยก็ได้เงินไปแบ่งทุกคนแล้ว ส่วนความต้องการของตาเฒ่าเจ้าเล่ห์เองก็น่าสนใจ ละทิ้งไม่ได้สลัดไม่ออกจากหัว ลงทุนขนาดนี้เจ้าของชิ้นนั้นย่อมมีความสำคัญมากแน่ๆ



“สุสานของจริงไม่ได้อยู่ที่นี้” เมินโหยวผิงช่วยตอบขยายความให้



“นายจะบอกว่าที่นี้เป็นกลลวงล่อพวกโจรเรอะ...แต่ช่างมันเถอะ เสี่ยอ้วนไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าไหนจริงนายปลอม ในเมื่อพวกเราเจอตัวเสี่ยวเกอ แถมได้ตัวเสี่ยวเสียมาอีก หาทางออกจากที่นี้ดีกว่า”



นายอ้วนพูด พวกผมพยักหน้ารับเห็นด้วยมีแต่เมินโหยวผิงที่ไม่มีท่าทีคล้อยตาม นั่งเหม่อปล่อยให้เสี่ยวจางจับนิ้วยาวของเขาเล่น เป็นภาพน่าเอ็นดูจนผมหลุดยิ้มออกมาไม่ได้ ก่อนจะนึกอะไรออก



“จริงสิ พวกนายเจอกับเสี่ยวเกอได้ยังไง”



ผมนั่งลงข้างเมินโหยวผิง หันไปถามพานจื่อ เพราะตอนนี้นายอ้วนกับคนอื่นๆเริ่มเดินรอบห้องอีกรอบเพื่อเก็บของมีค่าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ทางเสี่ยวฮัวจ้องเขม็งไปทางสองจางซะจนน่ากลัวผมเลยทำเป็นไม่เห็น เลือกถามคนที่น่าจะคุยรู้เรื่องที่สุดในเวลานี้แทน



พานจื่อเล่าให้ฟังว่า หลังจากพวกเขาเริ่มออกเดินทางหาทางเข้า ก็บังเอิญไปพบกับรูโจรที่ถูกพรางไว้ด้วยพุ่มหญ้าเพราะนายอ้วนเกิดนึกอยากลองผลไม้ป่าขึ้นมาเลยไปวนเวียนอยู่แถวนั้นจนขนหล่นเข้าไปข้าง ลำบากคนอื่นๆช่วยกันลากขึ้นมา



พวกเขาลองโยนหินเข้าไปดู เสียงสะท้อนดังยาวน่าแปลกเหมือนมันกลิ้งไปตามทางเรื่อยๆ พานจื่อเลยจุดพลุไฟโยนเข้าไปเห็นว่าลงไปไม่เท่าไหร่ก็จะเจอกับทางโค้ง งานนี้เสี่ยวฮัวเป็นคนลงไปสำรวจคนแรก



ด้วยขนาดที่ผอมคล่องแคล่วกว่าทุกคน(ซึ่งปกติมันเป็นงานผม) โดยการมัดเชือกไว้ที่เอวสำหรับส่งสัญญาณให้พวกนายอ้วนดึงหากเจออะไรไม่ชอบมาพากล พอเห็นว่าปลอดภัยทุกคนเลยพากันลงไปปิดท้ายด้วยพานจื่อ จะติดปัญหาก็เพราะนายอ้วนคับรู



“ไออ้วนทำไมไม่ลดน้ำหนักบ้างวะ”



พานจื่อบ่นด้วยความหัวเสียเมื่อตัวเองคลานตามคนอื่นได้ลำบากยากเย็นเพราะเจ้าอ้วนเสียเวลากระดึบไปตามอุโมงค์โจร



“ความอ้วนเป็นจุดขาย ถ้าเกิดเสี่ยอ้วนผอมขึ้นมาก็ไม่มีแรงซัดกับพวกบ๊ะจ่างพอดีสิ”



“ถ้าฉันเจอพวกมันจะรีบถีบส่งนายไปแล้วกัน จะได้ใช้ความอ้วนของตัวเองให้คุ้ม!”



พานจื่อประชดนายอ้วน ลอยหน้าลอยตาไม่สนใจ ฟังมาถึงตอนนี้ไม่รู้ผมจะหัวเราะหรือเห็นใจดี ปกติคู่นี้ชอบทะเลาะกัดกันอยู่เรื่อย ถึงเวลาคับขันจะรู้งานช่วยกันดีก็ตาม ลงกรวยรอบนี้ไม่มีผมคอยห้ามทัพซะด้วย เสี่ยวฮัวกับคนที่เหลือคงจะหนวกหูพอดู



ระหว่างที่สองคนรั้งท้ายยังทะเลาะกันไม่เลิก เสี่ยวฮัวก็คลานจนมาถึงทางออก ทะลุมาอยู่บนเพดานตรงทางเดินกระโดดลงมาคนแรก ตามมาด้วยคนที่เหลือ



ในช่วงแรกก็เหมือนจะราบรื่น ทุกคนสามารถลงมาได้ครบสามสิบสองโดยไม่มีตัวอะไรรบกวนแล้วก็ต้องคิดผิด ทันทีเริ่มออกเดินต่อไปได้ไม่เท่าไหร่ เสียงกึกบางอย่างดึงขึ้น ตามมาด้วยเสียงกลไกหลังกำแพงทำงาน



กว่าทุกคนจะไหวตัวทันก็ร่วงลงไปสู่ความมืดมิดด้านใต้ โชคยังดีที่ทุกคนได้กระเป๋าสะพายช่วยลดแรงกระแทกเลยจุกถลอกเล็กน้อยเท่านั้น



พวกเขาโดนกับดักธรรมดาจนน่าโมโหเล่นงานเข้าอย่างจัง ภายในห้องใต้พื้นทางเดินเป็นห้องเรียบๆไม่มีอะไรเลยสักอย่าง กำแพงถูกขัดถูตั้งฉากยากจะปืนขึ้นไป แรกเริ่มพวกเขายังไม่ร้อนใจช่วยกันหากลไก หรือห้องลับเพื่อหาทางออก



จนผ่านไปหนึ่งวันก็แล้ว สองวันก็แล้ว เข้าวันที่สามก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหาเจอกันเลยสักนิด พวกเขาลองทุกวิถีทาง สิ้นคิดขนาดต่อตัวก็ยังลอง เสี่ยวฮัวอยู่ด้านบนสุดพอถึงเพดานบ้าง แต่มันเรียบจนไร้รอยต่อ ที่เห็นจะมีก็แต่ช่องแปลกๆขนาดเท่ากำปั้นผู้ใหญ่ไม่รู้เอาไว้ทำอะไร เรียงกันอยู่เกือบชิดเพดานห้อง



ในระหว่างที่กำลังคิดกันหัวแตกนั้น จู่ๆเริ่มมีน้ำหยดออกมาจากช่องเหล่านั้น หนึ่งในคณะเดินทางสังเกตเห็นคนแรกพูดออกมาด้วยความตกใจ



“น้ำ มีน้ำออกมา”



ทุกคนเริ่มสำรวจหยดน้ำมีมากขึ้นจนกลายเป็นสายเล็กๆ เพิ่มพุ่งออกมาจากรูบนกำแพง ในหัวคิดเรื่องเดียวกันว่า คนออกแบบกำดักนี้มันกะทรมานคนที่หลงเข้ามาติด หากไม่หิวจนตายก็คงถูกน้ำท่วมตาย



“ชิบหายแล้ว น้ำจากบนเขาไหลมาแน่ๆ สุสานนี้มันชักจะยังไงแล้วนะ”



นายอ้วนบ่นทั้งที่ร้อนใจกับปริมาณน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนตัวลอยขาไม่ติดพื้น เพียงไม่กี่นาทีน้ำก็ถูกเพิ่มสูงจนเต็มห้อง ในช่วงที่ทุกคนกำลังคิดว่าแย่แล้ว พื้นทางเดินที่เป็นเพดานห้องลับถูกงัดเปิดขึ้น คนที่ชะโงกหน้าลงมามองคือคนที่พวกเขาตามหา



เรื่องนี้ผมมาถามเขาที่หลัง เขาบอกว่ารู้ตำแหน่งพวกพานจื่อเพราะระหว่างกำลังสำรวจสุสาน เขาได้ยินเสียงกลไกทำงานเลยไล่มาจนถึงต้นตอ ได้ยินเสียงน้ำจากใต้พื้นจึงลองงัดดูพบกับพวกนายอ้วนเข้า



พานจื่อเล่าว่าตอนนั้นขนาดคุณชายฮัวยังหลุดด่าไม่แพ้นายอ้วน คนอื่นๆทำหน้าเหมือนเทวดามาโปรดแล้วทุกคนก็ถูกเสี่ยวเกอช่วยออกมา



ผมนึกภาพใบหน้าพวกเขาที่ทำปากพะงาบๆเก็บอากาศให้ได้มากที่สุด เสี่ยวเกอที่ชะโงกดูด้วยสีหน้าราบเรียบก็หลุดขำ คนที่อุตส่าออกมาหาจนเกือบตาย ดันเป็นคนที่โผล่มาช่วยได้อย่างหวุดหวิด เป็นผมเองก็คงจะอารมณ์เสียปนโล่งอกไม่น้อย



ช่วงที่ผมฟังพานจื่อเล่าปนบ่น จู่ๆเมินโหยวผิงก็อุ้มเสี่ยงจางมาไว้บนตักผม แล้วตัวผมที่ถูกยกลอยไปนั่งบนตักเขาอีกที เพราะกำลังฟังเพลินๆเลยไม่ใส่ใจ จนพานจื่อทำหน้าแปลกๆเหมือนกับพวกคณะเดินทางอีกสามคน เสี่ยวฮัวที่ยิ้มแย้มแต่ดูน่ากลัวยังไงชอบกล



“นายน้อย” พานจื่อหยุดเล่าแล้วเรียกผม “มีอะไร รีบๆเล่าต่อสิ”



“เขาคงเล่าไม่ออกหรอกถ้าเห็นภาพนี้ไปด้วย อู๋เสียฉันว่านายลงมานั่งข้างๆดีกว่าไหม”



เสี่ยวฮัวพูดให้ผมมองตัวเองตอนนี้ เสี่ยวจางนั่งบนตักผมจ้องพานจื่อตาแป๋วรอฟังนิทานพจญภัยเต็มที่ ส่วนผมนั่งอยู่บนตักจางฉี่หลิงอีกที แถมเขายังเอาคางมาเกยบนบ่าผมอีก ความร้อนพุ่งขึ้นหน้า อุ้มเสี่ยวจางลงมานั่งตามเดิมแทบไม่ทัน ไม่ได้หันไปสองใจการส่งกระแสไฟฟ้าระหว่างกิเลนดำกับดอกไม้พิษ



ผมมองพานจื่อเร่งให้เขาเล่าต่ออย่าสนใจสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่งั้นผมคงได้เอาหน้ามุดพื้นสุสานแน่



“อะแฮ่ม หลังจากนั้นพวกเราเลยหาที่ปลอดภัยพักรอจนเสื้อผ้าแห้งแล้วเสี่ยวเกอก็หายตัวไป พวกเราเลยหลงกันอยู่ในนี้ เพิ่งจะเจออีกทีเมื่อหลายชั่วโมงก่อน แล้วเขาก็หายอีกมารอบนี้พร้อมกับนายน้อยนั่นแหละ”



ผมพยักหน้ารับ พยายามไม่สบตาหยอกเย้าจากคณะเดินทางทั้งสามคน และพานจื่อที่มองเหมือนจะตักเตือนด้วยความหวังดี ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตั้งแต่ผมเจอจางฉี่หลิง ความหนักอึ้งในใจพลันหายไปจนรู้สึกปลอดโปร่งจนเผลอตัวขนาดนี้



สะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่าน กลับมาคิดเรื่องเป็นจริงเป็นจัง จากเมื่อครู่เท่าที่ผมฟังมา ดูเหมือนที่สุสานลวงนี้จะมีทางเข้าอยู่หลายทาง ซึ่งแต่ละทางมีอันตรายแตกต่างกันไป



จากการคาดเดาพวกฉิวเต๋เข่าไม่รู้ว่ามีรูโจรถูกพรางอยู่ เลยเข้าจากจุดนั้นแน่ๆ ต้องขอบคุณนายอ้วนที่นึกตะกละจนเจอทางเข้าง่ายๆ แม้จะมาติดกับดักเอาตอนหลังก็ตาม



“จริงสิ ทำไมนายคิดว่าเป็นสุสานลวงล่ะเมินโหยวผิง”



“เรื่องนี้เสี่ยอ้วนก็สงสัยนะ ของที่นี้ไม่ใช่น้อยๆ ถึงนายอ้วนดูไม่เก่งเท่าเทียนเจิน แต่ละอย่างคงจะราคาไม่เบาเลยทีเดียว”



นายอ้วนคงจะเสาะหาของจนพอใจแล้ว เดินกลับมาร่วมวงกับพวกเราอีกครั้ง เมินโหยวผิงละสายตาจากเสี่ยวฮัวมามองหน้าพวกเราทุกคนก่อนอธิบายง่ายๆ



“ฉันสำรวจมาได้สักพักหนึ่ง ไม่เจอโลงศพของจริงเลย”



“ไม่ใช่ว่าลงทุนล่อโจรเอาของราคาดีมาไว้ที่นี้ สุสานหลักไม่ยิ่งฟู่ฟ่ากว่ารึ” ผมเสนอความคิดเห็น เมินโหยวผิงไม่ตอบแต่ก็ไม่ปฏิเสธ เพียงเท่านี้ก็ทำให้นายอ้วนตาวาวแล้ว



“งั้นพวกเราจะช้าอยู่ทำไมล่ะ พวกนายคงไม่ได้รอเสี่ยอ้วนช้อปปิ้งใช่มั้ย รีบออกจากที่นี้กันดีกว่า จะได้พักให้เต็มที่แล้วไปกรวยอวบๆกันต่อไป”



“ไม่ได้ รอคน”



รอคน รอใคร? ที่นี้ไม่ใช่ว่าอยู่กันครบแล้วรึ



“รอนานมั้ยนายน้อย”



เสียงคุ้นหูกระซิบอยู่ในระยะประชิด พอผมหันไปก็โดนจมูกโด่งๆของนายแว่นกดเข้าเต็มแก้ม เมินโหวผิงใช้ขวดนมเสี่ยวจางที่อยู่ใกล้มือดันหัวนายแว่นออก ดวงตาจ้องมองดูไม่ค่อยพอใจ ทางเสี่ยวฮัวกลับดูสงสัยปนระวังตัวมากกว่า



“กำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอ ท่าทางน่าสนุกเชียว”



นายแว่นทำเนียนไปนั่งอยู่ข้างเสี่ยวฮัวจนผมหวั่นใจว่าจะเกิดศึกภายในก่อนจะได้ร่วมมือกันออกจากที่นี้ พานจื่อยิ่งแล้วใหญ่ พอเห็นนายแว่นแทบจะคว้าปืนสอยกะบาล ดีที่นายอ้วนห้ามไว้ทัน ถ้ารู้แต่แรกว่านายแว่นจะมีเอี่ยวในทัวร์ขาออก ผมคงจะไม่เล่าเรื่องที่ผมถูกนายแว่นลักพาตัวไปปล่อยถ้ำแล้ว



“ทำไมไอหมอนี้มากับเราด้วยล่ะเสี่ยวเกอ”



นายอ้วนเป็นคนถาม ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย จนผมชักเห็นใจนายแว่นตงิดๆ



“พวกเราร่วมมือกัน ไปกันเถอะ”



เมินโหยวผิงร่วมมือกับนายแว่น นี่ไม่เท่ากับว่าคนที่นายแว่นคุยด้วยตอนนั้นเป็นเขาเรอะ นายมีอะไรปิดบังเอาไว้กันแน่ ไม่สิ



นายมีเรื่องที่ไม่บอกฉันมากเท่าไหร่กัน ทำไมเหมือนนายบอดยังรู้มากกว่าที่ผมรู้เสียอีก ผมคิดในใจ รู้สึกตัวเองชักจะอารมณ์แปรปรวนมากขึ้นทุกที หรือที่นายอ้วนเคยพูดวัยว่าแม่ลูกอ่อนอารมณ์จะขึ้นๆลงๆมันจะเป็นเรื่องจริง



แต่เวลานี้ไม่ควรคิดไร้สาระ ผมเลยปัดความคิดพวกนี้ทิ้งไป จับมือที่เมินโหยวผิงยื่นมาช่วยดึงผมลุก เสี่ยวจางถูกเขาเอากลับไปอุ้มแล้ว พร้อมจูงมือผมไปด้วย



ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่า ดูจางฉี่หลิงจะไม่ยอมปล่อยผมให้ห่างตัวหรือคลาดสายตาเลยสักนิดตั้งแต่เจอกันอีกครั้ง



[TBC]
Silver Fish
Silver Fish
ด้วงฝึกหัด
ด้วงฝึกหัด

จำนวนข้อความ : 17
Points : 3496
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

BABY - [fic]BABY [ผิงเสีย] - อัพตอนที่6 Empty Re: [fic]BABY [ผิงเสีย] - อัพตอนที่6

ตั้งหัวข้อ by Silver Fish Tue 13 Jan 2015, 18:54

ตอนที่6 เป้าหมายของเมินโหยวผิง

ตอนเข้ากับตอนออกมันต่างกันลิบลับเลยให้ตาย ไม่ว่าจะฝั่งนายอ้วนที่เจอกับดักเกือบลอยอืดตายเป็นเพื่อนเจ้าของสุสาน หรือผมที่ฝ่าฝูงแมลงกับเจ้าลิงแห้งมา



พวกเราทั้งหมดกำลังเดินเลาะไปตามช่องกำแพงที่คนงานสร้างสุสานได้ทำไว้สำหรับให้ตัวเองหนี แวบแรกที่เสี่ยวเกอพามายืนในช่องนี้ เท้าผมชะงักชั่วครู่ ตั้งแต่ลงกรวยมาความทรงจำเกี่ยวกับช่องทางพวกนี้ไม่ดีเลยจริงๆ



งานนี้เสี่ยวเกอนำไม่น่าจะมีปัญหา เขาสำรวจสุสานนี้ทุกซอกทุกมุมแล้ว ผมคิดปลอบตัวเองในใจ แต่ดูเหมือนคนที่นำอยู่ด้านหน้าจะสังเกตได้



เมินโหยวผิงหันมามองก่อนจะดึงให้เดินในระดับเดียวกันแล้วเขาก็ก้มลงมากระซิบอยู่ข้างหู ผมได้ยินเสียงนายอ้วนกับนายแว่นปากไม่ได้ น่าเตะจริงๆ



“ที่นี้ปลอดภัยไม่ต้องห่วง”



ผมพยักหน้ารับ สามารถเดินไปได้ราบรื่นขึ้น ยังไงเสี่ยวเกอก็ยังอยู่ข้างๆ ด้านหลังก็มีพวกนายอ้วน เสี่ยวฮัว นายแว่นกับพี่พาน ทุกคนชำนาญเรื่องการคีมลามะ เจอผีดิบมานักต่อนัก ไม่มีอะไรต้องห่วงจริงๆนั้นแหละ แถมผมเองก็ความสามารถเพิ่มจากสมัยก่อนแล้วด้วย



ไม่รู้ทำไม ตอนผมอุ้มเสี่ยวจางไม่หลับเลยสักนิด ตื่นตัวลืมตาแป๋วช่วยผมอยู่ตลอด แต่พอเป็นเสี่ยวเกออุ้ม กิเลนรุ่นลูกถึงได้หลับปุ๋ยราวกับอยู่ในเปลแสนสบาย ขอโทษนะเสี่ยวจางที่เตี่ยคนนี้ไม่น่าวางใจเท่าเตี่ยจางฉี่หลิง ผมได้แต่คิดในใจ ไม่โทษเสี่ยวจางเลย ขนาดผมเองพอมีเสี่ยวเกออยู่ด้วย รู้สึกวางใจปลอดภัยกว่าเดิมเยอะ



พวกเราเดินลัดเลาะไปตามทางใช้ตะเกียงเจ้าพายุในการส่องทาง เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ เห็นซากศพโครงกระดูกเป็นระยะ ซึ่งผมเห็นจนชินไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว



เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมงก็เริ่มเห็นแสงสว่าง เมินโหยวผิงอุ้มเสี่ยวจางมาตลอดทางดูไม่ปวดเมื่อยแขนเลยสักนิด ผิดกับผมที่อุ้มไม่เท่าไหร่ก็ต้องพักแขนแล้ว ส่วนที่ผ่านมาลุยได้ขนาดนั้นเป็นเพราะพลังแฝงในร่างล้วนๆ



เสี่ยวเกอยื่นเสี่ยวจางมาให้ผมอุ้มต่อ ก่อนี่เขาจะกระโดดกำแพงตรงหน้าที่พอมีช่องให้คนออกไปได้ เขาออกไปดูเพื่อความแน่ใจว่าไม่มีพวกขอฉิวเต๋เข่า พอแน่ใจแล้วถึงดึงนายอ้วนไปก่อนผม จะได้รับช่วงอุ้มเสี่ยวจางด้วย ทางนายแว่นคอยระวังหลัง แต่ผมสังเกตเห็นเหมือนเสี่ยวฮัวที่รั้งท้ายเหมือนกัน จะตีกับนายแว่นตลอดทาง แม้ว่าจะไม่ทำให้การเดินทางล้าช้าก็ตาม



พานจื่อเองก็ขึ้นไปแล้วดูต้นทางให้เสี่ยวเกอที่รอดึงคน นายอ้วนที่อุ้มเสี่ยวจาง เหลือแต่ผมกับเสี่ยวฮัว นายแว่นอยู่สามคน เห็นสีหน้าคุณชายเก้าก็นึกสงสาร การเจอกับนายแว่นเป็นการทดสอบประสาทพอๆกับเจอบ๊ะจ่างเลย ผมเลยเลือกให้เสี่ยวฮัวขึ้นไปก่อน



“เสี่ยวฮัว นายขึ้นไปก่อนฉันเถอะ”



ผมพูดอะไรผิด ทำไมคุณชายเก้าถึงทำหน้ารับไม่ได้อย่างแรงขนาดนั้น ถึงจะแค่ชั่วแวบก่อนจะกลับมาดูสดใสตามเดิม



“ไม่เป็นไร นายขึ้นไปก่อนเถอะ”



เสี่ยวฮัวพูดพลางมองไปทางนายแว่นราวกับไม่ไว้ใจ เห็นท่าทางแบบนั้นผมเลยไม่เซ้าซี้ยอมจับมือเสี่ยวเกอดึงผมขึ้นไป แต่ผมไม่เข้าใจว่าจะดึงขึ้นแบบธรรมดาเหมือนคนอื่นไม่ได้หรือไง ทำไมต้องดึงไปกอดโอบเอวขนาดนี้ แล้วยังลุกออกมาจากช่องนั้นเลยอีกต่างหาก



“เดี๋ยวเสี่ยวเกอ พวกเสี่ยวฮัวยังอยู่ข้างในเลยนะ” ผมแตกตื่นรีบบอกทันที เสี่ยวเกอไม่น่าทำลืมนี้



“พวกนั้นขึ้นมาเองได้”



เจอประโยคเดียวผมชะงักมองไปตรงช่องที่มีพืชไม้ปกคลุมจนดูเหมือนรูอะไรสักอย่างมากกว่าทางลับเข้าออกจากสุสานลวง แถวๆนี้เองมีแต่พวกต้นไม้ขึ้น แตกต่างจากทางที่ผมกับฉิวเต๋อเข่าตั้งแคมป์ เพราะแถวนั้นยังพอมีซากอารายธรรมโบราณหลงเหลือบ้าง



เป็นอย่างที่พูด เสี่ยวฮัวกระโดดจับปีนขึ้นมาอย่างคล่องแคล่ว ตามมาด้วยนายแว่นที่ทำแบบเดียวกัน จบนี้ไปผมต้องไปฝึกร่างกายมั้ง จะว่าไป ผมพูดถึงเรื่องนี้มากี่ครั้งแล้วนะ อยากจะฝึกแต่ถ้าหากไม่เหนื่อยจนอยากพักสบายๆ ก็วิ่งวุ่นหาข้อมูล หรือไม่ก็ไปทรหดอยู่ในกรวย นี่มันจะข้ามขั้นไปแล้ว ไม่ทันฝึกพื้นฐานผมก็ลงไปปฏิบัติจริงเลยนี้หว่า



พอมากันครบ พวกเราก็ออกเดินทางอีกครั้งรอบนี้นายอ้วนเป็นฝ่ายอุ้มเสี่ยวจางต่อ เนื่องจากเสี่ยวเกอต้องคอยดูทาง ผมต้องไปห้ามทัพระหว่างเสี่ยวฮัวกับนายแว่น พานจื่อคอยประกบหลังให้



ทุกอย่างดูราบรื่น ราบรื่นซะเมื่อไหร่ล่ะ! เดินไม่ทันสามก้าวดีรอบข้างก็มีคนมากมายโผล่ออกมาแล้ว ดูๆก็รู้ว่าต้องเป็นคนของฉิวเต๋อเข่าแน่ๆ ไอแก่จิ้งจอกนั้นมันทิ้งคนไว้ด้านนอกรอดักพวกเรา เห็นแบบนี้ผมนึกเป็นห่วงนายแว่น เขาหักหลังฉิวเต๋อเข่าไม่รู้จะโดนอะไรบ้าง



ผมหันไปหานายแว่นว่าจะออกปากให้เขาหลบไปซะ สิ่งที่เห็นคือความว่างเปล่าข้างเสี่ยวฮัว ไอแมลงสาบใส่แว่นนี้มันจะไวเกินไปแล้ว เอาความเป็นห่วงของผมคืนมา!



“เทียนเจิน นายคงต้องอุ้มลูกเองแล้วล่ะ งานนี้เสี่ยอ้วนคงได้ออกแรงเยอะ”



เด็กน้อยชุดลูกเจี๊ยบถูกส่งเข้ามาในมือผม จากที่หลับตาพริ้มจนถึงเมื่อครู่ ตื่นทันที แบบนี้มันหมายความว่ายังไง ผมมันไม่น่าพึ่งพาขนาดนั้นเลยสินะ ไหงเมื่อครู่ตอนผมุ้มส่งให้นายอ้วนถึงไม่ตื่นล่ะ ราวกับรู้ว่าต้องอยู่กับผมยาวอย่างนั้นแหละ



ดวงตาสีดำเหมือนลูกแก้วถึงได้จ้องเป๋งไปยังชายแปลกหน้ารอบตัวซะอย่างนั้น พร้อมเกาะผมแน่น ผมเลยลูบหลังเล็กเบาๆ เสี่ยวจางเอ๋ย ตัวเท่านี้ริจะปกป้องเตี่ย ผมควรจะดีใจหรือร้องไห้ดี



ต่างฝ่ายต่างไม่ต้องเสียเวลาพูดอะไรให้มากความ ทันทีที่มีคนนึงพุ่งเข้ามาเสี่ยวเกอก็จัดการซัดกลับจนหงายหลังกลายเป็นสัญญาณเริ่มการต่อสู้ พานจื่อคอยประกบข้างผมไว้ไปหลบอยู่ในจุดปลอดภัยและห่างจากมือคนพวกนั้น ไม่งั้นถ้าผมถูกจับเป็นตัวประกันคงซวยกันไปหมด



เสี่ยวฮัวคนงามเองก็หยิบไม้พลองมาต่อกันจนกลายเป็นไม้พลองยาวฟาดซัดคนตัวใหญ่กว่าปลิวเป็นว่าเล่น นายอ้วนเหมือนหมูตกมันใครเข้าใกล้พ่อซัดอัดแหลก โชคดีที่คนพวกนั้นต้องการตัวเสี่ยวเกอแบบเป็นๆ ด้วยประโยชน์อะไรของฉิวเต๋อเข่าก็แล้วแต่



การต่อสู้นี้เลยไม่มีปืนเลยสักกระบอก มีแต่มือเท้าอาวุธใกล้มือล้วนๆ ผมถอนหายใจมองภาพความวุ่นวายตรงหน้า หวังว่าคนพวกนั้นจะไม่มาเพิ่มให้ทางเราตึงมือก่อนจะก้มลงมองเสี่ยวจาง เด็กน้อยเจอเรื่องแบบนี้อาจจะกลัวก็ได้ แต่คงต้องยกเว้นลูกของผมกับเสี่ยวเกอเอาไว้คน



เสี่ยวจางมองภาพเบื้องหน้าด้วยแววตาแฝงไปด้วยความสนุกสนาน ยังมีการส่งเสียงเชียร์แอ๊ๆเป็นระยะ พอเสี่ยวเกอโดนทำร้ายนิดหน่อยก็ฮึดฮัดดูไม่พอใจ ผมลองแหย่เอามือมาปิดตาดู เลยถูกมือเล็กๆปัดทิ้ง ทำซ้ำสามรอบ ก็ยังเป็นแบบเดิมสามรอบจนผมหลุดขำกลางสนามหมัด



“นายน้อย อย่ามัวแต่เล่นเลยพวกเราเตรียมตัวเถอะ ผมได้ยินเสียงฝีเท้าคนมาเพิ่ม”



พานจื่อเตือนให้ผมหยุดการรังแกเสี่ยวเกอย่อส่วนไปมองรอบข้างแทน พวกมันมาเพิ่ม? ไม่สิ นั่นมัน....



“ไปกันเถอะ แคมป์ของพวกเราถูกเก็บเรียบร้อยแล้ว รถเตรียมออกเดินทางทันทีที่พวกเราไปถึง”



เสี่ยวฮัวผู้สำเร็จเคล็ดวิชาหงอคงใช้พลองซัดคนใกล้ๆแล้วถอยฉากกลับมาคว้าแขนผมออกวิ่งทันที ขนาดพานจื่อยังทักท้วงหรือถามอะไรไม่ทัน



“เดี๋ยวเสี่ยวฮัว นายรู้ได้ยังไง นี่ เดี๋ยวก่อนสิ เสี่ยวเกอกับนายอ้วนยังไม่มาเลยนะ” ผมพยายามยื้อแต่สู้แรงเสี่ยวฮัวไม่ได้เพราะผมอุ้มเสี่ยวจางด้วยกลัวว่าจะร่วงไปซะก่อน



“พวกนั้นมังนายตลอดคงเห็นแล้วล่ะว่าถอย อีกพักคงตามมา”



คำพูดเหมือนจะใช้กล่อมผมมากกว่า เพราะสีหน้าคุณชายเก้าบ่งบอกชัดเจนว่าไม่อยากให้หนึ่งในสองคนนั้นตามมาด้วยซ้ำ คิดๆดูแล้วเหมือนจะเอาคืนที่เมินโหยวผิงปล่อยทิ้งยังไงชอบกลแฮะ ส่วนนายแว่นดำ ทางนั้นผมเลิกสนใจไปตั้งแต่เห็นเขาหายหัวแล้ว ระดับนายบอดเอาตัวรอดได้สบายๆ ห่วงแต่พวกผมที่เป็นเป้านี้แหละ



สักพักด้านหลังก็มีนายอ้วนกับเสี่ยวเกอตามมาจริงๆ พานจื่อเองคอยดูทางข้างหน้าผมค่อยวางใจแล้วออกวิ่งไปพร้อมๆกับเสี่ยวฮัว ลัดเลาะไปตามแนวป่า ผมเห็นคุณชายเก้าหยุดมองตามต้นไม้กิ่งไม้เป็นระยะถึงค่อยออกวิ่งโตจนพ้นป่ามาถึงพื้นที่ถูกถางให้รถเข้า



บนรถเห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาในแคมป์ปะปนกับคนใหม่ที่ผมยังไม่เคยเห็นหน้า มารู้เอาตอนหลังว่า เสี่ยวฮัวเป็นคนเรียกออกมาเองหลังจากออกจากสุสานลวงเขาก็ใช้โทรศัพท์วิทยุขนาดพกพาติดต่อส่งสัญญาณไปให้พวกที่อยู่ในแคมป์ไปสมทบกับคนที่มารับ



ได้ยินแบบนั้นแล้วผมรู้สึกนับถือขึ้นมา เสี่ยวฮัวนอกจากจะงามแล้วยังคิดรอบคอบผิดกับผมลิบลับ ถึงแม้เวลาในกรวยผมดูจะเป็นสมองในการคิดแก้ไขปริศนาก็ตาม



พวกเราทยอยกันขึ้นรถด้วยความเร็ว มีคนคอยยิงสกัดพวกที่ตามมาด้านหลังเป็นระยะ เสี่ยวจางเกาะเสื้อผมแน่นจนส่งต่อให้คนอื่นอุ้มไม่ได้ สงสัยวันนี้จะหมดโควตาผลัดมือคนอื่นแล้ว โดยไม่มีใครคาดคิด เสี่ยวเกอจัดการอุ้มผมจนตัวลอยขึ้นหลังรถ ส่วนตัวเองกระโดดขึ้นตามเรียบร้อย พอผมมองหน้าแบบอึ้งๆยังมีการมองกลับเหมือนสงสัยว่าผมมีอะไร



อยากจะทุบหัวเขานัก ยังดีที่ทุกคนตื่นตัวกับการหลบหนีเลยไม่ได้สนใจ แต่คนที่ทันเห็นนี่สิมองมาทางผมอย่างมีนัยแอบแฝง จะไม่ให้แฝงได้ไง คนพวกนี้เคยช่วยผมดูแลเสี่ยวจางไม่ให้ซุกซนคลานหนีไปไหน พอมาเจอเสี่ยวเกอรุ่นพ่อเข้าเลยทำหน้าบรรลุกันหมดว่าใครพ่อเด็ก



หน้าตา สีผม สีตาเล่นโขกพิมพ์เดียวกันออกมาแบบนี้ใครดูไม่ออกก็โง่เต็มทนแล้ว



“นายน้อยมานั่งตรงนี้เถอะครับ อยู่ตรงนั้นเดี๋ยวเด็กจะร่วงลงไป”



เพราะผมขึ้นมาทีหลังพานจื่อขึ้นก่อนเลยลุกที่นั่งของเขาให้ผม ส่วนตัวเองมานั่งด้านนอกแทนติดกับเสี่ยวเกอที่นั่งกอดอกนิ่งไม่สนโลกแทน เสี่ยวฮัวคุยกับลูกน้องอยู่ด้านใน นายอ้วนน่าเกลียดสุดนอนแผ่มันตรงพื้นที่ว่าง แถมยังกรนเสียงดัง ผมเลยยกเท้าเหยียบเตือน พอไม่เป็นผลเลยได้แต่ปล่อยไป



แค่ระยะเวลาสั้นๆก็ผ่านอะไรมามากมาย พอรู้สึกผ่อนคลายความง่วงเริ่มเข้าครอบงำ รอบนี้เสี่ยวจางเองก็หลับไปก่อนผมแล้ว สักพักผมก็เผลอหลับตามเด็กน้อยในอ้อมแขนไป ในความฝัน ผมรู้สึกถึงมือหนาที่ยื่นมาจับผมให้พองไหล่ กลิ่นสมุนไพรจางๆลอยมาตามกระแสลมทำให้ผมหลับสบายมากขึ้น



ไม่รู้ใช้เวลาไปเท่าไหร่ พวกเราก็มาถึงตัวเมืองที่ใกล้ที่สุด ผมถูกนายอ้วนปลุกตื่น ทุกคนเริ่มแยกย้ายเก็บข้าวของ เสี่ยวฮัวดูมีเรื่องต้องไปทำต่อเลยขอตัวจากไปพร้อมกับพวกลูกน้อง พานจื่อเองต้องกลับไปรอข่าวของอาสามต่อ



เหลือแค่ผม เสี่ยวเกอ เสี่ยวเกอน้อย และนายอ้วนหาที่พักแถวๆนั้น ฟื้นกำลังสักวันสองวันค่อยเดินทางกลับบ้านใครบ้านมัน



รอบนี้นายอ้วนเหมาห้องไปคนเดียว ผมต้องนอนกับเสี่ยวจางอยู่แล้ว แถมด้วยเสี่ยวเกอมาอีกคน จัดการจับเจ้ากิเลนน้อยอาบน้ำแต่งตัวชงนมให้พาเรอก่อนเข้านอนเรียบร้อย ทีนี้ก็ได้เวลาของผู้ปกครองสักที่



“เสี่ยวเกอ จะบอกมาได้รึยังทำไมถึงหายไปไม่บอก”



ผมลากเสี่ยวเกอออกมาคุยกันด้านนอก ด้านในปล่อยให้เสี่ยวจางนอนหลับไปจะได้ไม่เป็นการรบกวนเวลานอนเด็กในตอนที่ผมคุยกัน ซึ่งคงมีแต่ผมคนเดียวที่จะเสียงดัง



เมินโหยวผิงนิ่งคิดไปชั่วครู่เหมือนกับกำลังเรียบเรียงคำในหัวถึงค่อยตอบคำถาม



“ใกล้วันเกิดนายฉันเลยจะไปหาของขวัญให้” ตอบมาแค่นี้? ผมผ่อนลมหายใจพยายามคุมสติ จากตอนแรกมันเริ่มสงบลงไปแล้วพอมาคุยกันอีกทีก็ปะทุขึ้นมาอีกรอบ นี้คือสาเหตุที่เขาหายหัวไปในคืนวันเกิดผมสินะ



“ของขวัญนั่นคือเสี่ยวจางสินะ เขามาได้ยังไง”



ไม่ใช่ผมไม่รักเสี่ยวจาง ผมรักเขาตั้งแต่แรกเห็นเหมือนกับลูกคนนึง แต่เรื่องแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้ มันต้องมีอะไรบางอย่างเมินโหยวผิงทำอะไรลงไปกันแน่ เขาพยักหน้าให้ผมแล้วอธิบายต่อ



“ฉันกับนาย พวกเราสร้างเขาถึงมาจากกิ่งสำริด ตอนแรกไม่มีเลยต้องออกไปหา ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะออกมาจากที่นั้นได้ก็กินเวลาหลายเดือน”



ผมพอจะเข้าใจที่เขาบอกว่าพวกเราช่วยกันสร้างขึ้นมาในเมื่อหากทั้งคู่เกิดความคิดจิตนาการว่ามันสามารถเป็นไปได้จริง ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่สิ่งนั้นจะแฝงไปด้วยอะไรบางอย่าง เหมือนกับคราวของเหลาหย่างและแม่ของเขา



คงเพราะตอนที่เมินโหยวผิงพูดถึงของขวัญผมดันนึกถึงเด็กไปซะได้ ก่อนหน้านั้นดันไปเห็นครอบครัวหนึ่งท่าทางอบอุ่นระหว่างเดินซื้อของมาทำข้าวเย็นกินกับนายอ้วน เสี่ยวเกอคงจะสังเกตเห็นเลยกลายเป็นแบบนี้ขึ้นมา คิดแล้วก็หน้าแดง ยกมือกุมขมับแก้เขิน



เรื่องที่เมินโหยวผิงรู้เรื่องต้นสำริดทำให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นตามปรารถนานั้นผมไม่สงสัย คนอย่างเมินโหยวผิงจะรู้ก็ไม่แปลก เพียงแต่จะเกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวจางรึเปล่า....แม่งเอ๊ยเมื่อกี้ผมเพิ่งจะได้อารมณ์ดีกลับต้องมาหดหู่อีกแล้ว



“ฉันพอรู้จักเจ้าต้นสำริดนี้อยู่บาง แล้วแบบนี้เสี่ยวจางจะ...ปกติรึเปล่า” ผมกัดฟันพูดออกไป แค่นึกหัวใจก็กระตุกวูบ



มือหนาคว้าตัวผมเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนเขา ความอบอุ่นที่ได้รับทำให้ผมยกแขนกอดเขากลับ มือของจางฉี่หลิงลูบหลังผมเบาๆ เหมือนเวลาที่ผมใช้ปลอบเสี่ยวจางไม่มีผิด



“ไม่ต้องห่วง เสี่ยวจางจะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน เขาเป็นเด็กปกติ”



จะหาว่าผมเชื่อคนง่ายก็ได้ แต่คำพูดของคนที่ผมรู้สึกปลอดภัยและไว้วางใจที่สุดยามได้อยู่ด้วย ทำให้ผมไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะสงสัยในคำพูดของเขา ในเมื่อเจ้าตัวบอกว่าไม่มีปัญหาอะไรก็คือไม่มี นายเมินโหยวผิงเป็นคนตรงคิดยังไงพูดอย่างนั้น ถ้าไม่คิดบอกแต่เลือกที่จะไม่พูดเลยผมจึงวางใจ



พอโล่งอกก็นึกถึงความสงสัยอย่างอื่นตามมา เมินโหยวผิงไปทำอะไรที่สุสานลวงนั้น เกิดความคิดสงสัย ปากก็ถามทันที เจ้าตัวอุตส่าตอบทุกคำถามอย่างว่าง่ายแล้ว หากต้องการจะรู้อะไรต้องรีบถามให้หมด



“แล้วนายไปทำอะไรที่นั้น ดูนายจะอยู่นานจนรู้เส้นทางทุกอย่างแล้ว อย่าบอกนะว่านายไปหาของขวัญอีก” ผมถามเล่นๆ ไม่คิดว่าเขาจะพยักหน้าจริงๆ ทำเอาผมอ้าปากค้างผละออกจากแขนเขาแทบไม่ทัน



“ของขวัญอะไรให้นายไปหาในสุสานอีก ที่นายรู้สึกซอกทุกมุมคงไม่ใช่ว่านายหาไอของขวัญบ้านี้จนเดินเข้าออกสำรวจมันทั้งสุสานหรอกนะ”



“มันไม่ได้อยู่ที่นั่น ต้องไปหาที่สุสานของจริง”



“นี้นายยังจะไปอีกเรอะ! ฉันรู้ว่าฉันห้ามนายไม่ได้แน่แต่งานนี้ไม่ว่ายังไงนายต้องบอกและพาฉันกับเสี่ยวจางไปด้วย”



เมินโหยวผิงทำสีหน้าหนักใจแต่จำยอมรับคำ เขาคงรู้ว่าถึงจะไม่ยอมบอกไม่ยอมให้ผมไปผมก็ดึงดันหาเรื่องไปได้อยู่ดี ดังนั้นสู้พาไปด้วยกันน่าจะปลอดภัยกว่า พอๆกับเขาที่หัวดื้อหากตัดสินใจอะไรแล้วจะลงมือทำทันทีและใครก็ไม่สามารถมาเปลี่ยนความคิดได้นั่นแหละ



ก็ได้แต่หวังว่าเสี่ยวจางโตขึ้นมาจะไม่ได้นิสัยส่วนนี้ของผมกับจางฉี่หลิงมากเกินไป ไม่งั้นคงไม่มีคนคบแน่ๆ ผมชักกังวลถึงอนาคตซะแล้วสิ



พอได้คิดผมก็จะคิดมันอยู่นั้นขนาดเสี่ยวเกอเรียกยังไม่ทันได้สนใจ กิเลนรุ่นพ่อเลยเริ่มทำการเรียกร้องความสนใจฉบับสกุลจาง มานิ่งๆเรียบๆแต่ร้ายกาจ



วงแขนกระชับกอดผมเข้าแนบตัวมากกว่าเก่า มือหนาจับท้ายทอยให้ผมมองเขา ก่อนที่ปากได้รูปจะกดลงมาจนเกิดเป็นสัมผัสนุ่มตรงริมฝีปาก ลิ้นร้อนเบาๆเป็นสัญญาณ ผมเลยเปิดปากรับการสอดลิ้น เราแลกจูบกันอยู่นาน จมูกโด่งถึงเปลี่ยนตำแหน่งจากแถวหน้าไปอยู่ตรงลำคอ หลังผมพิงประตูกระจกตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ



มือของเมินโหยวผิงเริ่มสอดเข้ามาในเสื้อ ลมเย็นในยามกลางคืนดูจะไม่มีประโยชน์ในเมื่อร่างกายถูกปลุกจนอุณหภูมิขึ้นสูง ทำเอาความคิดของผมแตกกระเจิงไปจนหมดแล้วเพ่งความสนใจมาที่คนตรงหน้าเท่านั้น ความคิดถึงโหยหาเป็นตัวปลุกเร้าอารมณ์บางอย่างมากขึ้น



เริ่มปล่อยตัวปล่อยใจลืมสนว่าที่นี้คือสถานที่ใด สองแขนยื่นไปโอบลำคอแกร่ง มือไล้ลูบบางส่วนที่เริ่มขึ้นรอยสักกิเลนเลือนราง



กึก…



เสียงอะไร?



กึก...กึก....



สติผมกลับเข้าร่างเมื่อได้ยินเสียงแปลกประหลาด แต่ดูเมินโหยวผิงจะไม่ปล่อยผมไปง่ายๆ พอผมทำท่าจะขัดก็ถูกประกบปากจูบแทบสูบเรี่ยวแรงจนสมองมึนเบลออีกรอบ เสียงนั่นยังคงดังขึ้น



กึก! ปัง!!



ผมผลักกิเลนหน้ามืดออกจากตัวทันที รู้สึกเสียงมันดังจากในห้อง ที่นี้อยู่ใจเขตบ้านคนไม่ใช่จุดรวมพลังด้านลบเหมือนในสุสานไม่น่าจะมีอะไรแปลกปลอมได้ นอกเสียจาก...



“เสี่ยวจาง ทำไมไม่ไปนอนที่เตียงดีๆ”



เจ้าหนูตัวน้อยในชุดนอนตัวหนา ลากทั้งขวดนมและผ้าห่มมาทำการประท้วงอยู่ตรงกระจก ใบหน้ากลมจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ แต่ยังขมวดคิ้วเล็กๆพยายามเพ่งมองผมด้านนอกสุดชีวิต หัวเล็กๆผงกสัปหงกจนโขกเข้ากับประตูกระจก พอเจอความเจ็บก็สะบัดหัวไล่ความง่วงเพ่งผมต่อ



ผมหัวเราะดังลั่นอารมณ์กรุ่นๆไปด้วยไอประหลาดเมื่อครู่ปลิวหายไปปลิดทิ้ง



“เสี่ยวจางคงจะตื่นเพราะฉันไม่นอนอยู่ข้างๆ เข้าไปนอนกันเถอะเสี่ยวเกอ”



ผมหันมามองคนข้างตัวแล้วปิดประตูกระจกหอบอุ้มทั้งคนทั้งผ้าห่ม อ่อ แถมขวดนมด้วยกลับไปนอนที่เตียงตามเดิม ครั้งนี้มันเป็นเตียงคู่ เลยไม่ต้องห่วงว่าเตียงจะแคบเกินไปจนนอนสามคนไม่พอ



หลังจากถูกขัดจังหวะเมินโหยวผิงกลับไปเงียบตามเดิม ออกจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ใบหน้านิ่งเรียบเหมือนจะจ้องดุๆใส่เสี่ยวจางที่ปากเล็กๆหาววอดใส่ น่ารักจนผมอดไม่ไหวก้มลงไปหอมกอดฟัดแก้มนุ่มๆ



เมินโหยวผิงยอมปิดประตูกกระจกแล้วไปนอนเตียงที่อยู่ข้างๆ ปล่อยให้ผมนอนกับเสี่ยวจางสองคน โดยไม่รู้เลยว่าตอนกลางดึก ใครบางคนจะมุดเข้ามานอนในผ้าห่มด้วย



รุ่งเช้ามาเยือนนายอ้วนตื่นก่อนใครเพราะความหิวมันเรียกร้องจนต้องลุกมาปลุกเพื่อนอีกห้องให้ออกไปหาอะไรกินกัน แต่เคาะเท่าไหร่ก็ไม่มีคนตอบสักที เลยถือวิสาสะกลับเข้าห้องตัวเอง แอบลอบปีนเข้าไปทางระเบียง โชคดีที่ประตูกระจกตรงระเบียงไม่ล็อค เลยสบายเสี่ยอ้วนเดินเข้ามาอย่างเต็มภาคภูมิ



สิ่งที่เห็นทำให้นายอ้วนขำพรืด ผมยิ้มกับภาพตรงหน้า เทียนเจินหนอเทียนเจิน ช่างเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุดในโลกจริงๆ อย่างน้อยๆก็โลกของวงการของพวกเขา



นายน้อยสามนอนตรงกลางกอดเด็กน้อยซุกอกดูหลับสบายทั้งแม่ทั้งลูก แล้วมีของแถมเป็นคนพ่อที่มานอนกอดซ้อนด้านหลังอีกที ดูยังไงนี่มันก็ครอบครัวสุขสันชัดๆ เมินโหยวผิงประสาทไวตั้งแต่ได้ยินเสียงคนเคาะห้องจนเจ้าโจรอ้วนบุกเข้ามาค่อยลืมตามอง พอเห็นว่าเป็นใครก็หลับต่อ



เช้าวันนั้นนายอ้วนเลยต้องออกไปหาอะไรกินคนเดียว ไม่พอยังต้องซื้อมาให้สามคนนี้กินอีก พอนายอ้วนกลับมาทั้งครอบครัวก็ตื่นแล้ว



“นายอ้วนออกไปหาของกินก็ไม่เรียกกันบ้าง”



เปิดประตูรับคนเสียงแรกคือเสียงบ่นของคุณแม่มือใหม่ที่ดูท่าจะโมโหหิว เลยยกถุงของกินให้ดู



“ใครบอกเสี่ยอ้วนไม่เรียก มาเรียกแล้วไม่ตอบเองต่างหาก เอ้าเลิกบ่นแล้วเอาไปกินซะ วันนี้พวกนายต้องเจอศึกหนักอีกเยอะนะ”



“ศึกหนักอะไร” ผมเลิกคิ้วมองนายอ้วน ของที่เขาซื้อมามีแต่หอมๆน่ากินทั้งนั้น ไม่รอช้ารีบแกะออกมาใส่จานวางเรียงบนโต๊ะ



“มีเด็กก็ต้องซื้อของสิ! อย่าทำเป็นลืมนะ พวกนายมีเสี่ยวจางที่นอนดูดขวดนมอยู่ตรงนั้น ของแต่ละอย่างไม่ใช่ฉันหามาดัดแปลงก็ขอมาจากคนในหมู่บ้าน นายจะให้เสี่ยวจางผู้น่ารักต้องใส่ของแบบนั้นตลอดไปเลยรึไง”



พอนายอ้วนทักผมถึงนึกขึ้นได้ รู้สึกละอายใจเลยไม่ถูกเถียงออกไปสักคำแล้วยอมนั่งทานเงียบๆกับเสี่ยวเกอฟังนายอ้วนพล่าม



“พวกนายแม่งไม่ไหวเลย น่าสงสารเสี่ยวจางชะมัด”



“นายช่วยเอาไปเลี้ยงสักวันได้มั้ย” ประโยคนี้ผมไม่ได้พูด เป็นคนหน้าเมินที่นั่งหน้ามึนมาตั้งแต่เช้าต่างหาก



“ฮันแน่ พวกนายโดนขัดจังหวะตอนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มสินะ ใจจริงเสี่ยอ้วนก็อยากช่วยแหละ แต่อย่าลืมเสี่ยอ้วนไม่ได้ช่วยอยู่ดูเด็กตลอด ของพวกนี้พวกนายต้องจัดการเอง จะได้ดูแลกันได้ไม่มีปัญหา นี่เป็นรายการที่ฉันจดมาให้แล้ว”



นายเมินโหยวผิงก้มหน้ากินต่อไป ส่วนผมรับกระดาษเขียนด้วยลายมือหมูมาอ่าน พอเข้าใจว่ามันเป็นของจำเป็น แต่รายการมันเยอะจนผมตาลาย



“ต้องซื้อหมดนี้เลยเหรอ”



“ใช่! บางทีอาจจะไม่พอด้วยซ้ำ แต่เสี่ยอ้วนนึกออกแค่นี้ ไปบอกเดี๋ยวพนักงานที่ร้านก็แนะนำเองแหละ”



“ฉันไม่เคยเลี้ยงเด็ก ยิ่งเสี่ยวเกอยิ่งไม่ต้องพูดถึง นายอ้วนไปช่วยพวกเราเลือกซื้อหน่อยไม่ได้เหรอ” ผมเริ่มขอ ทุกครั้งนายอ้วนจะยอม ครั้งนี้ดูไม่ได้ผลเมื่อนายอ้วนกอดอกส่ายหัว



“พวกนายต้องไปกันเอง ขืนฉันไปก็ไม่ได้ฝึกซื้อของเด็กอ่อนกันพอดีสิ เอาหน่าฉันเชื่อว่าเทียนเจินทำได้อยู่แล้ว ทางฉันเองก็ว่าจะไปหาซื้อของขวัญมาให้เสี่ยวจางด้วย”



นายอ้วนตบไหล่ผมแทบทรุด จริงอย่างที่เขาพูด ผมจะหวังพึ่งนายอ้วนตลอดไปไม่ได้ นี้ลูกของผมกับเสี่ยวเกอพวกเราต้องรับผิดชอบเอง ได้แต่หวังว่าผมจะไม่เผลอซื้ออะไรผิดมาหรอกนะ การเลี้ยงเด็กอ่อนมันยากจริงๆ



[TBC]
Silver Fish
Silver Fish
ด้วงฝึกหัด
ด้วงฝึกหัด

จำนวนข้อความ : 17
Points : 3496
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

BABY - [fic]BABY [ผิงเสีย] - อัพตอนที่6 Empty Re: [fic]BABY [ผิงเสีย] - อัพตอนที่6

ตั้งหัวข้อ by Silver Fish Tue 13 Jan 2015, 21:15

ตอนที่7 อย่าหายไป

ที่มือของผมคือกระดาษลายมือเขี่ยของเสี่ยอ้วนที่มีรายการสิ่งของที่ต้องซื้อสำหรับเสี่ยวจาง ด้านข้างคือเมินโหยวผิงที่อุ้มเสี่ยวจางเอาไว้



สถานที่แห่งแรกที่แวบเข้ามาในหัวผมคือห้างสรรพสินค้า ที่นี้มีของมากมายให้เลือกซื้อแบบเดินที่เดียวครบไม่ต้องเสียเวลาไปหาหลายๆที่ แถมยังมีแอร์เย็นสบายไม่ต้องกังวลว่าเสี่ยวจางจะเป็นหวัดจากแดด



ผมเคยมาที่ห้างนี้บ่อยๆตั้งแต่สมัยที่ผมยังเฝ้าร้านเงียบๆก่อนลงกรวย จนกระทั่งเริ่มคว่ำกรวยครั้งแรกจนถึงตอนนี้ แม้ของส่วนใหญ่จะต้องสั่งซื้อโดยใช้เส้นสาย แต่ของหลายชิ้นเองก็สามารถซื้อที่นี้ได้โดยไม่ลำบาก ผมเลยมักจะมาบ่อยๆ รู้สึกว่าเคยเดินเล่นระหว่างรอของผ่านโซนเด็กอ่อนอยู่



ผมนึกทวนความทรงจำ เดินไปตามความคุ้นเคยโดยมีเสี่ยวเกอเดินตามอยู่ข้างๆ ในสุสานเขาเป็นผู้นำ ส่วนที่นี้ถิ่นผม ผมย่อมเป็นฝ่ายนำอยู่แล้ว ยังดีที่เมินโหยวผิงรับหน้าที่อุ้มเสี่ยวจางเองทำให้ผมสามารถเลือกซื้อของได้ง่ายๆ



มาคิดๆดูนี้มันไม่ต่างจากการช้อปปิ้งแบบครอบครัว ผมหัวเราะด้วยความรู้สึกหลากหลาย มันคือความฝันอย่างหนึ่งของลูกผู้ชายทุกคน ที่จะมีภรรยาแสนสวยเก่งงานบ้านงานเรือน และมีลูกตัวน้อยน่ารักสักคนสองคนไปเดินซื้อของด้วยกัน อยู่บ้านเดียวกัน



ซึ่งตอนนี้ผมก็ได้ตามที่ต้องการทุกอย่าง เพียงแค่มันพิสดารกว่าปกติไปหลายสิบตลบ เพราะผมไม่ใช่ผู้นำครอบครัว กลับต้องมาเป็นภรรยาแถมลูกชายอีกหนึ่งโดยไม่ทันตั้งตัว



หากนับเรื่องการวางแผนครอบครัวแล้ว เสี่ยวเกอทำพลาดไปอย่างมหันต์ดังนั้นคนที่ต้องมานั่งสานต่อคือผมเดินนำทัพกิเลนบุกแผนกเด็กอ่อน ตลอดทางมีแต่คนมองพวกเรา ผมใจจดจ่อกับเป้าหมายตรงหน้าเลยไม่ได้สนใจ เสี่ยวจางเป็นเด็กไม่ประสา เสี่ยวเกอยังไม่ต้องพูดถึง ผมเลยปล่อยวางเมินเฉยมันซะ รีบซื้อรีบกลับดีกว่า



“ขอโทษครับ พอดีผมต้องการซื้อของตามรายการนี้ คุณช่วยแนะนำหน่อยได้มั้ยครับ”



สิ่งแรกที่ต้องทำคือ การเดินเข้าไปหาพนักงานหญิงแล้วยื่นใบจดรายการให้อ่าน แค่ก้าวแรกผมก็เห็นของมากมายระรานตาจนแยกไม่ออกแล้วว่าอันไหนใช้ทำอะไร บางอย่างรูปร่างคล้ายกันแต่ใช้งานต่างกัน บางอย่างเป็นแบบเดียวกันแต่มีหลายยี่ห้อจนเวียนหัว



ผมเลยตัดสินใจให้พนักงานแนะนำรวดเดียวไปเลยนี้แหละดีที่สุด ถ้าให้ซื้อของไปคีบลามะผมจะไม่เครียดเท่านี้เลยจริงๆ



“คะ เชิญทางนี้เลยคะ จากที่อ่านดูเหมือนว่าทั้งหมดเป็นของใช้จำเป็นพื้นฐาน แต่ยังมีอีกหลายอย่างที่ขาดไป เดี๋ยวฉันช่วยแนะนำไปทีละอย่างนะคะ”



แวบแรกพนักงานสาวหลุดสีหน้าแปลกใจแล้วก็เปลี่ยนสีหน้าราวกับนึกอะไรออก ก่อนจะหันมายิ้มเหมือนล้วงรู้อะไรบางอย่าง เชื้อเชิญผมเข้าไปในแผนกขายของเด็กท่าทางดีอกดีใจน่าดูจนผมได้แต่ยิ้มรับบางๆไป รู้สึกรับมือยากกว่าพวกนักคว่ำกรวยด้วยกันซะอีก



อย่างน้อยๆพวกนั้นก็มีเป้าหมายตายตัวกลับกันกับพนักงานสาวตรงหน้าที่ดูจะมีความสุขกับการแนะนำของหลายอย่างให้ผมเหลือเกิน บางครั้งยังเรียกชวนให้เสี่ยวเกอมาช่วยเลือกด้วย ดูไม่ออกจริงๆ ผมเลยสรุปไปว่าเธอคงจะรักงานที่ทำมาก ถึงได้ดูมีความสุขขนาดนี้



ของชิ้นแรกๆส่วนใหญ่จะเป็นของที่ต้องมาซื้อบ่อยๆอย่างผ้าอ้อม นมผง ครีมอาบน้ำ แป้งเด็ก ครีมทาผิว พนักงานสาวแนะนำหลายยี่ห้อแต่ผมไม่รู้เรื่องเลยบอกให้เธอช่วยเลือกและบอกวิธีใช้ให้ผมเลย ซึ่งเธอเองก็เต็มใจแนะนำชวนให้ผมโล่งอก



ต่อมาเป็นของใช้อย่างขวดนม ผ้าอ้อมและอื่นๆ ผมหอบของจนล้นมือ พนักงานอีกคนเลยช่วยเอารถเข็นมาให้ แค่เริ่มแรกก็กินที่ไปหนึ่งในสี่ของรถเข็ดแล้ว ส่วนคนเข็นคือเสี่ยวเกอที่อุ้มเสี่ยวจางไปนั่งตรงตำแหน่งเด็กคอยเข็นตามผมกับพนักงานที่หยิบของใส่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ในขณะที่ผมกำลังหัวหมุนตาลายฟังเสียงพนักงานอธิบายจนทะลุหูซ้ายออกหูขวา มือหนาของเมินโหยวผิงก็ยื่นมือลูบหัวผมเบาๆ พร้อมกับเสี่ยวจางที่ยื่นมือเล็กๆมาลูบแขนผมมั้ง ทำให้ผมได้พลังคูณสองมีแรงฟันผ่ากับการจดข้อมูลชวนมึนยิ่งกว่าประวัติศาสตร์จีน



เมื่อซื้อครบเรียบร้อย พนักงานช่วยเอารถเข็นไปคิดเงินให้ พวกผมเลยยืนรอกันอยู่ที่ร้านสำรวจของใช้เด็กอ่อนไปเรื่อยเปื่อย ก่อนที่สายตาจะไปสะดุดเข้ากับสิ่งๆหนึ่ง



เจ้านี้หน้าตาเหมือนเป้ แต่มันเป็นเป้สำหรับสะพายเด็ก มีหลายรูปแบบ ทั้งแบบหวานแหววไปจนถึงเน้นคุณภาพการใช้งาน ทำให้เกิดความคิดนึงแวบเข้ามาในหัว



“เสี่ยวเกอมานี่หน่อย”



เมินโหยวผิงละสายตาจากเสี่ยวจางที่ย้ายมาอยู่ในรถเข็นเด็กที่พนักงานแนะนำให้ผมซื้อใช้เพื่อความสะดวกในการเดินทางไปไหนมาไหน ลุกขึ้นยืนข้างผม



“กางแขน”



พ่อกิเลนยอมทำตามอย่างว่าง่ายกางแขนออกให้ผมหยิบเป้สะพายทที่เข้าตามาลองสวมดู ถึงจะบอกว่ารถเข็นเด็กสบายสำหรับการเดินทางก็เถอะ คงต้องยกเว้นในกรวยสักหน่อย ที่แบบนั้นนึกภาพไม่ออกจริงๆถ้าผมกับเสี่ยวเกอจะเข็นรถเข็นเด็กไปคีบลามะด้วย ประเดี๋ยวได้โดนบ๊ะจ่างจัดการก่อนพอดี



อันนี้ดูเล็กเกินไปหน่อย เจ้านี้คงเป็นสิ่งแรกที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเลือกซื้อได้สนุก หยิบอันนู้นมาลองใส่ ไม่พอใจก็เปลี่ยนอัน ถ้าลังเลก็ยกทาบ ดึงเล็กน้อย มองตามตะขอดูความทนทาน ลงสุสานจะอุ้มก็คงลำบาก ประสบการณ์โดยตรงของผมจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา



จนได้อันที่พอใช้ ขนาดพอดีสำหรับเมินโหยวผิง ใส่ให้เสี่ยวเกอแล้วลองใช้งาน อุ้มเสี่ยวจางมาใส่ตรงตัวเป้สะพาย กลายเป็นภาพผู้ชายผู้ชายอายุยี่สิบต้นๆ ใบหน้านิ่งเรียบอุ้มสะพายเด็กน่ารักเหมือนจิ้งโจ้ นี่มันพ่อลูกอ่อนชัดๆ



ผมหลุดขำแต่ก็ไม่ลืมที่จะถามผู้ใช้งาน แถมเจ้านี้ยังปรับไซส์ได้ด้วย ถึงเวลาสลับเปลี่ยนให้ผมสะพายก็ไม่มีปัญหา



“เป็นยังไงบ้างเสี่ยวเกอ โอเคมั้ย”



เมินโหยวผิงลองจับๆดู เสี่ยวจางเองก็ดูจะสนใจไม่น้อย หันซ้ายหันขวามองใหญ่ ใบหน้าน่ารักยิ้มแป้นจนแก้มยุ้ยน่าหยิก อดไม่ได้ที่จะเข้าไปฟัด ทั้งที่ผมเองก็ไม่ใช่พวกรักเด็กอะไรมากมายขนาดนั้นแน่ๆ แต่เสี่ยวจางน่ารักจริงๆนะถ้าเกินเสี่ยวจางคนพ่อยิ้มได้ครึ่งของลูกคงจะดีไม่น้อย



“ยังแข็งแรงไม่พอ แต่เท่านี้ก็พอไหว”



“ถ้างั้นเอาเป็นอันนี้แล้วกัน เดี๋ยวค่อยเอาไปให้นายอ้วนช่วยเย็บเพิ่ม”



เสี่ยวเกอช่างรู้ใจผม จังหวะเดียวกับที่พนักงานสาวกลับมาพอดี พอเห็นภาพพวกผมตอนนี้เกือบทำของร่วงจนผมรีบไปช่วยคว้าไว้แทบไม่ทัน ใบหน้าสวนขึ้นสีจางน่ามอง ติดแต่ออร่าทมึนทั้งสองสายด้านหลังไม่อาจทำให้ผมเป็นเหมือนแต่ก่อนที่ชมชอบมองสาวงามได้อีก



“ผมซื้ออันนี้ด้วยนะครับ พร้อมกับรถเข็นเลย”



ยังไงรถเข็นก็ต้องใช้ระหว่างอยู่ที่บ้านหรือออกไปไหนล่ะนะ ผมอุ้มเสี่ยวจางเองให้เมินโหยวผิงถอดเป้สะพายออกยื่นส่งให้พนักงานสาว ดูเธอเร่งรีบรับของหายไปอีกรอบ



ใช้เวลาเพียงไม่นานเธอก็กลับมาพร้อมกับของและกล้องในมือ?



“ขอถ่ายรูปไว้หน่อยได้มั้ยคะ อันนี้ไม่เกี่ยวกับทางแผนก เอ่อ เป็นคำขอส่วนตัวเองคะ”



ผมขมวดคิ้วแปลกใจ พอเธออธิบายถึงเข้าใจหันไปหาเสี่ยวเกอไม่มีท่าทีปฏิเสธอะไร ผมเลยปล่อยให้พนักงานสาวถ่ายรูปได้ ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจก็เถอะว่าจะถ่ายไปทำไม อาจจะเป็นโฆษณาว่าผู้ชายสมัยนี้ก็มาซื้อของพวกนี้ได้ล่ะมั้ง พักหลังๆผมยิ่งได้ยินข่าวเรื่องสิทธิ์ของสตรีอยู่



ก่อนที่พวกเราจะออกจากร้อน พนักงานยื่นกระดาษจดของนายอ้วนคืนมาให้ พร้อมกับการดาษสะอาดและลายมือเรียบร้อยอีกหนึ่งใบ



“ขอบคุณนะสำหรับรูปภาพ อันนี้เป็นยาประจำบ้านที่ควรจะซื้อติดไว้คะ ขอบคุณที่มาใช้บริการคะ”



“ขอบคุณเช่นกันครับ ถ้าเกิดซื้อของอะไรผมคงต้องรบกวนคุณอีก”



“ไม่เป็นไรคะ ฉันพร้อมจะให้คำแนะนำเสมอมันเป็นหน้าที่ของพนักงานอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณมา ฉันจะแถมพิเศษให้นะคะ”



ผมหัวเราะ เธอดูนิสัยร่าเริงชวนให้รู้สึกดีจริงๆทำให้ผมนึกถึงฮัวซิ่วซิ่วขึ้นมาเลย พวกเราคุยกันอีกสองสามคำก็แยกย้าย เปลี่ยนตำแหน่งเป็นผมเข็นรถเข็นของเสี่ยวจาง ส่วนเสี่ยวเกอถือของมากมายที่ดูจะไม่เป็นอุปสรรค์สำหรับเจ้าตัวสักเท่าไหร่



ก่อนจะกลับผมต้องแวะซื้อของสดเข้าบ้านเพื่อทำอาหารเย็น เลยตัดสินใจเอาของทั้งหมดไปฝากไว้ที่จุดฝากของแล้วพวกเราก็เข้าไปในซุปเปอร์มาเก็ต



รอบนี้ง่ายเพราะผมมาซื้อพวกของสดบ่อยๆ พอนายอ้วนแวะมาหามักจะชอบทำกินกันมากกว่าที่จะไปกินตามร้าน ส่วนกินตามร้านหรูหลังคว่ำกรวยคงต้องยกผลประโยชน์ให้ไป ทานของอร่อยโดยไม่ต้องเหนื่อย กับที่นอนนุ่มๆอุ่นๆมันสวรรค์จริงๆ



ใช้เวลาเพียงไม่นาน ผมก็ซื้อของที่ต้องการจนครบ แต่เดี๋ยวต้องแวะไปซื้อพวกยาที่พนักงานแผนกเด็กอ่อนแนะนำมาสักหน่อย ส่วนใหญ่จากที่ผมอ่านก็จำเป็นพวกยาเล็กๆน้อยๆ แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคงเป็นยารักษาและยาป้องกันพวกแมลงกัดต่อย



ทำให้ผมหยุดคิด เสี่ยวจางเป็นลูกของผมกับเสี่ยวเกอ พวกเรามีเลือดที่ไล่พวกแมลงประหลาดในสุสานได้ แม้ของผมอาจจะไม่ดีเท่าของเสี่ยวเกอก็ตาม แต่เห็นนายอ้วนบอก เคยเอาเลือดของเมินโหยวผิงไปวางไว้ในห้องไล่แมลงไปจนหมดดีเสียยิ่งกว่ายาไล่แมลงยี่ห้อไหนจนผมนึกเห็นใจเลือดของเสี่ยวเกอจริงๆ



ถึงขนาดใช้สั่งบ๊ะจ่างได้แต่พอมาอยู่ในมือนายอ้วนกลับเป็นยาไล่แมลงไปซะแบบนั้น



เพื่อความสบายใจผมซื้อติดไว้ด้วยแล้วกัน มันไม่มีขายในโซนซุปเปอร์มาเก็ตผมเลยต้องไปร้านยาที่อยู่ใกล้ๆแทน



“เสี่ยวเกอ รอกับเสี่ยวจางตรงนี้นะ ฉันไปซื้อยาก่อนเดี๋ยวมา”



ไม่ต้องเสียเวลารอคำตอบ พูดจบผมก็เดินตรงเข้าร้านยาทันที เลือกซื้ออยู่นานสองนาน ก่อนเข้านึกถึงแต่ยาของเสี่ยวจาง พอเข้ามาทำให้นึกไปถึงคนอื่นๆด้วย เหมือนนายอ้วนจะมีแผลตอนลงกรวยยังไม่หาย ยาที่บ้านใกล้จะหมดคงต้องซื้อกลับไปเพิ่ม



เมินโหยวผิงเองก็ควรจะมีพวกยาบำรุง เขาชอบใช้ร่างกายหักโหมโดยไม่สนใจดูแล ว่าจะซื้อแค่ไม่กี่นาที กว่าผมจะจ่ายเงินออกจากร้านยาได้เกือบครึ่งชั่วโมง กลับมาอีกทีเสี่ยวเกอกับเสี่ยวจางก็หายไปแล้ว ขายของถูกวางทิ้งไว้ใกล้กับร้านยาเหมือนรอผมออกมาเอา



บางทีเสี่ยวเกออาจจะไปห้องน้ำ ผมเลยกดโทรศัพท์คุยกับเสี่ยวฮัวรอ จนแล้วจนรอดผ่านไปเกือบชั่วโมงก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา ผมเริ่มร้อนใจคุยกับเสี่ยวฮัว



‘เสี่ยวฮัวทำไงดี เสี่ยวเกอกับเสี่ยวจางป่านี้ยังไม่กลับมาเลย’ รอไม่นานข้อความก็เด้งกลับมา คุณชายเก้าพิมพ์มือถือไวกว่าผมเสียอีก



‘ฉันจะไปรับนายกลับบ้านก่อนดีมั้ย เผื่อพวกนั้นจะกลับไปรอที่บ้านแล้วก็ได้’



‘ฉันเชื่อว่าพวกนั้นยังไม่กลับนะ จะกลับได้ยังไงโดยที่ไม่บอกฉันสักคำ แค่นี้ก่อนนะเสี่ยวฮัว ฉันต้องออกตามหาพวกเขาแล้ว’



ตรงแจ้งเตือนบอกว่าเสี่ยวฮัวกำลังพิมพ์อะไรบางอย่างอยู่ แต่ผมไม่สนใจเก็บโทรศัพท์เลือกที่จะตามหาพวกเสี่ยวเกอก่อน ถ้าหลงทางจะได้ตามกลับมาทัน เกิดทิ้งไว้นานคงเดินหายไปถึงไหนต่อไหนแน่



ถ้าหาไม่เจอจริงๆคงต้องเกนคนออกตามหา ซึ่งผมอยากให้วิธีนั้นเป็นวิธีสุดท้าย ผมฝากของกับพนักงานแถวนั้นแล้วออกหาเสี่ยวเกอกับเสี่ยวจาง



ดวงตาพยายามสอดส่องจากกลุ่มคนมากหน้าหลายตา เดินเข้าไปถามคนนู้นคนนี้ว่าเห็นคนรูปร่างแบบเมินโหยวผิงที่อุ้มเด็กอายุเท่านี้บ้างไหม ซึ่งคำตอบส่วนใหญ่เป็นไปตามที่ผมคาดไว้ไม่มีผิด เสี่ยวเกอยังหายตัวเก่งเหมือนเดิม



ทุกคนที่ผมเข้าไปถามหรือเดินผ่านไปผ่านมามองผมราวกับเป็นตัวประหลาดที่ร้อนรนตามหาคนจนแทบบ้า มีหลายคนบอกจะช่วย พวกเขาจะช่วยอะไรได้ล่ะ ขนาดผมที่อยู่กับเมินโหยวผิงรู้จักกันมาหลายปียังตามตัวเขาไม่เจอเลยด้วยซ้ำ ผมเลยปฏิเสธความหวังดีเหล่านั้นไป



ผมวิ่งหาจนเหงื่อออกแม้จะอยู่ในห้างที่มีแอร์ วนไปทุกที่ๆผมกับเสี่ยวเกอเดินผ่าน แวะกลับไปที่แผนกขายของเด็กอ่อนก็ไม่เจอ แทบจะวนหาในห้องน้ำมันทุกชั้นอยู่แล้ว ในใจตอนนี้เกิดความรู้สึกหลากหลาย ทั้งเสียใจ ผิดหวัง และโมโห



มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ ทำไมเขาถึงทำกับผมแบบนี้ คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปงั้นเหรอ แถมยังพาเสี่ยวจางไปด้วย นายจางฉี่หลิงเห็นผมเป็นตัวอะไร ถึงแม้ผมจะไร้กำลังช่วยเขาไม่ค่อยได้ แต่อย่างน้อยผมก็ยังช่วยในเรื่องอื่นๆได้



หรือในความคิดของจางฉี่หลิงคนนั้นจะไม่เคยมีผมอยู่กัน ที่ผ่านมามันเป็นเพียงแค่การช่วยเหลือของเพื่อนมนุษย์งั้นหรือ ผมฟุ้งซ่านจนเริ่มคิดอะไรบ้าๆ ยกมือเคาะหัวตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างทุกการกระทำของเสี่ยวเกอเป็นคำตอบที่มากที่สุดแล้ว



คิดเรื่องเก่าตกไป เรื่องใหม่ก็แทรกเข้ามา หากเป็นแบบนั้นแสดงว่าเสี่ยวเกอคิดทำอะไรคนเดียวเพื่อให้ไม่ให้ผมต้องเสี่ยงไปด้วยอีกแล้วใช่มั้ย



อุตส่านึกว่าจะเข้าใจแล้วแท้ๆ สุดท้ายก็กลับเป็นแบบเดิมเหมือนตั้งแต่ช่วงแรกที่เจอไม่มีผิด ผมทิ้งตัวนั่งลงพักบนเก้าอี้ในห้าง กัดฟันจนปวดกราม ยกมือกุมขมับพยายามคิดให้ออกว่าเมินโหยวผิงจะไปที่ไหน



ไม่ว่าเขาจะหายตัวไปสักกี่ครั้ง ผมก็จะตามไปหาจนเจอและพากลับมาให้ได้ ครั้งนี้ผมจะจับล่ามเอาไว้เลยคอยดูสิ



ก่อนอื่นคงต้องโทรหานายอ้วน พอผมเปิดโทรศัพท์ถึงเพิ่งเห็นข้อความที่เสี่ยวฮัวส่งมาตอนที่ผมออกตามหาเสี่ยวเกอกับเสี่ยวจาง



‘ฉันว่าเขาคงไม่ได้ไปไหนไกลหรอก นายบอกว่าฝากของไว้ใช่มั้ย เขาอาจจะไปเอาของระหว่างรอนายก็ได้’



อ่านจบผมพลันชะงัก จริงสิ ที่นั้นที่เดียวที่ผมยังไม่ได้หา ผมมุ่งหน้าไปจุดฝากของทันทีแต่ก็ไม่เห็นเสี่ยวเกอ พอสอบถามจากพนักงานแล้วเขาบอกว่าผู้ชายท่าทางเหมือนเสี่ยวเกอมาเอาของไป ผมเลยย้อนกลับไปที่หน้าร้านขายยา ทำเอาผมแทบเข่าอ่อน



เมินโหยวผิงยืนเล่นกับเสี่ยวจางระหว่างรอผม บนรถเข็นมีของที่ฝากเอาไว้เพิ่มขึ้น ดวงตาสีดำสองคู่หันมามองผม



“อูเฉีย มา มาม้า”



เสียงเล็กๆเรียกผมอย่างดีใจ เมินโหยวผิงขมวดคิ้วมองผมที่ดูท่าทางเหนื่อยหอบอย่างสงสัย ไม่มีคำถามอะไรออกมา แววตานั้นสื่อออกมาทั้งหมดแล้วว่าคงจะเป็นห่วงผมน่าดูที่ผมหายไป



ทั้งที่มันไม่ควรแต่ผมกลับรู้สึกดีกับความรู้สึกที่ได้รับรู้ ผมเดินเข้าไปหาจับมือเขาไว้หลวมๆ



“พวกเรากลับบ้านกันเถอะ....”



เมินโหยวผิงเหมือนอยากถามเรื่องที่ผมหายไป ผมเลยส่ายหัวแล้วช่วยกันเข็นรถใส่ของที่มีเสี่ยวจางนั่งอยู่ไปที่ลานจอดรถ



มือทั้งคู่ยังคงจับกันเสี่ยวจางน้อยยื่นมือมาแตะด้วย สัมผัสอุ่นจากมือที่ได้รับ เป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเขายังอยู่ข้างๆผม ถึงไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปถึงตอนไหน แต่ในตอนนี้ ที่นี่ยังคงมีเขาก็พอแล้ว...





พวกเราเดินทางกลับมาที่บ้านก็เห็นนายอ้วนกำลังนั่งดูทีวีอยู่ ข้างๆเขามีตุ๊กตาลูกเจี๊ยกตัวขนาดพอๆกับเสี่ยวจาง ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้ดูจะชอบยัดเยียดเจ้าตัวกลมสีเหลืองติดปีกนี้ให้เสี่ยวเกอกับเสี่ยวจางนัก



“กลับช้าจังนะ โอโห พวกนายเหมาห้างมาเหรอเนี่ย”



ปากพูดแบบนั้นแต่ท่าทางชอบใจน่าดู รีบเข้ามาช่วยผมกับเสี่ยวเกอถือ ส่วนเสี่ยวจางอยู่ในเป้สะพายที่จางฉี่หลิงสวมอยู่



“ได้ของดีมาด้วยนี่ ใช่ได้ๆ คงให้พนักงานเลือกให้หมดเลยสิท่า”



“รู้ดีจริง อย่างน้อยๆไอนี้ฉันก็เลือกเองล่ะหน่า พอดีเลยนายอ้วนช่วยทำให้มันแข็งแรงทนทานกว่านี้หน่อยสิ”



เมินโหยวผิงอุ้มเสียวจางไปเล่นตุ๊กตาลูกเจี๊ยบบนโซฟา แล้วถอดเจ้าเป้สะพายเด็กให้นายอ้วน เจ้าตัวส่ายหัว



“พวกนายจะใช้เจ้านี้ไปลงกรวยสินะ ได้ เดี๋ยวเสี่ยอ้วนจัดการให้ ขอบอกไว้ก่อน ฉันไม่ปล่อยพวกนายไปกันสองคนแน่ งานนี้เสี่ยอ้วนจะไปด้วย”



“ทั้งที่มันอาจจะไม่มีของดีอะไรให้นายขนเลยก็ได้น่ะเหรอ”



“เทียนเจินเห็นเสี่ยอ้วนเป็นหนอนหิวเงินขนาดนั้นรึไง จะไปช่วยเลี้ยงเสี่ยวจางต่างหาก แถมขึ้นชื่อว่าสุสานยังไงก็ต้องมีสมบัติของมีค่าบ้างแหละหน่า เฮ้ยเสี่ยวเกอ เสี่ยอ้วนไม่ทันมอบของขวัญให้เลย ชิงตัดหน้าเอาคะแนนเรอะ”



นายอ้วนคุยกับผมพอหันไปเห็นเสี่ยวจางดึงปีกลูกเจี๊ยบก็โวยวายตามเสี่ยวเกอเข้าไปในห้องครัว ผมเลยมาดูแลเสี่ยวจางแทน ปล่อยพวกนั้นทำข้าวเย็นไป



ความจริงแล้ว นอกจากเสี่ยวเกอผมก็เป็นห่วงนายอ้วนเหมือนกัน เขาตามผมไปทุกที่ เสี่ยงอันตรายทุกรูปแบบ ปากบอกว่าเรื่องสมบัติๆ แต่ผมเชื่อว่าสาเหตุหลักน่าจะเพราะช่วยผม งานนี้เองก็เช่นกัน ก็ได้แต่หวังว่านายอ้วนจะไม่ฝืนเกินไปนัก



ยอมรับว่ามีนายอ้วนแล้วอุ่นใจ ยิ่งมีเสี่ยวเกอด้วยยิ่งดีใหญ่ อีกใจนึงก็ไม่อยากให้เขามาเสี่ยงด้วย สุดท้ายผู้ที่จะตัดสินใจก็คือเจ้าตัวเองแหละนะ เพราะผมรู้ดี ว่าการถูกคิดทุกอย่างแทนมันรู้สึกแย่แค่ไหน



[TBC]
Silver Fish
Silver Fish
ด้วงฝึกหัด
ด้วงฝึกหัด

จำนวนข้อความ : 17
Points : 3496
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

BABY - [fic]BABY [ผิงเสีย] - อัพตอนที่6 Empty Re: [fic]BABY [ผิงเสีย] - อัพตอนที่6

ตั้งหัวข้อ by Silver Fish Mon 02 Feb 2015, 15:56

เรื่องนี้แต่งจบแล้วครับ ตอนนี้กำลังจะเปิดพรีอีกไม่กี่วัน สนใจสอบถามรายละเอียดที่เพจ https://www.facebook.com/pages/Silver-Fish/1539533922963776?ref=hl
Silver Fish
Silver Fish
ด้วงฝึกหัด
ด้วงฝึกหัด

จำนวนข้อความ : 17
Points : 3496
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน

- Similar topics

 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ