Countdown
We've been
togerther for

ค้นหา
 
 

Display results as :
 


Rechercher Advanced Search


[To my secret] galu

2 posters

Go down

Secret - [To my secret] galu Empty [To my secret] galu

ตั้งหัวข้อ by galu Thu 01 Jan 2015, 16:59

เดียร์มายซีเคร็ต..., อันนี้เป็นรีเควสจากเราค่ะ หวังว่าคงไม่ยากจนเกินไป


1.ฮัวเสียในชุดหน้าฤดูหนาว กำลังแลกของขวัญให้กัน(มีอารมณ์เขิน หรือตกใจร่วมด้วยก็จะดีคะ เอาแบบน่ารักๆ)

2.เสี่ยวเกอกับเสี่ยวเสีย คีย์เวิร์ดคือมีดอกไม้ซักหนึ่งอย่างมาประกอบ ไม่ว่าจะเป็นแบ็คกราวหรือจะทัดดอกไม้ที่หูก็ได้ ขอเป็นแบบมุ้งมิ้งนะคะ

3.สามเหลี่ยมเหล็ก/ร่วมกันทานอาหารประจำเทศกาลฤดูหนาว เช่น เดินกินซาลาเปาร้อนๆ ดื่มโกโก้อุ่น หรือกินเค้ก ขอแบบเฮฮา มีความสุข

4.ปู่เอ้อร์กับฮูหยินเฉินผีอาซื่อ นั่งล้อมวงกินปูหม้อไฟ(ใฝ่ฝัน)

5.ฟรีสไตล์

ตอนแรกสองจิตสองใจลงดีไม่ลงดี แถมคิดหัวข้อไม่ออกด้วย UvU)7 ถ้ายากเกินไปให้ฟรีสไตล์ได้เลยน้าไม่ซีเรียสค่า
ขอขอบคุณมายซีเคร็ตเอาไว้ล่วงหน้าเลยนะคะ<3
galu
galu
ด้วง
ด้วง

จำนวนข้อความ : 46
Points : 3530
Join date : 31/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

Secret - [To my secret] galu Empty Re: [To my secret] galu

ตั้งหัวข้อ by BleuOnMine Sun 25 Jan 2015, 21:22

ขอส่งเป็นข้อ 1 ฮัวเสียชุดหน้าหนาว กำลังแลกของขวัญกันนะคะ /// v ///

.

.

.

.

ผมกำลังอยู่ในร้าน นั่งเบื่อ นั่งว่าง ไม่มีอะไรทำ ขนมบัวลอยที่ตกค้างจากเทศกาลตงจื้อเมื่อ 2 วันก่อนพึ่งถูกผมกินหมดไป เหลือบมองปฏิทินข้างฝา นึกขึ้นได้ว่าลืมฉีกแผ่นของเมื่อวานทิ้ง ผมเอื้อมมือไปฉีกมันแล้วปาทิ้งลงถังขยะ พิจารณาดูวันเดือนปี พบว่าพรุ่งนี้เป็นวันฉลองอีกวันหนึ่ง

2 วันก่อนเป็นเทศกาลจีน พรุ่งนี้เป็นเทศกาลสากล อีกอาทิตย์หนึ่งเป็นเทศกาลปีใหม่สากล ช่วงปลายเดือนธันวาคนนี่งานฉลองติดๆกันจริงๆ

แม้ว่าขนมบัวลอยแบบต่างๆยังคงเต็มอยู่ในท้อง แต่ผมก็อยากมีส่วนร่วมกับเทศกาลทุกเทศกาล เกิดความคิดชั่ววูบว่าอยากจัดงานคริสต์มาส จึงเดินเข้าไปคุ้ยห้องเก็บของในร้าน ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่งผมเคยโยนต้นคริสต์มาสกับของประดับไว้ข้างใน หาอยู่สักพักหนึ่งก็พบ ผมนำมันไปทำความสะอาด ปัดฝุ่น เท่านี้เป็นอันใช้ได้

อีกส่วนประกอบหนึ่งที่สำคัญคือขนมอาหาร ปาร์ตี้คริสต์มาสที่ขาดขนมและอาหารไม่อาจเรียกว่าสมบูรณ์แบบ ผมนิ่งคิดนิดหน่อยแล้วเดินไปบอกหวังเหมิงให้เฝ้าร้าน ส่วนตัวผมเองออกรถไปซุปเปอร์ที่ใกล้ที่สุด

เดินเข็นรถเข็นเลือกขนม รู้สึกเหมือนประสบการณ์เก่าๆย้อนเข้ามาในความทรงจำ มันเป็นความทรงจำที่ไม่ดีแม้แต่น้อย ผมส่ายหน้า สลัดภาพในหัวทิ้ง มองขนมยี่ห้อต่างๆ คิดว่าจะซื้อแบบไหนดี

เลือกมาได้แล้วประมาณ 4-5 อย่าง อย่างละ 2-3 ถุง กำลังจะหยิบเพิ่ม จังหวะนั้นเสี่ยวฮัวโทรมาพอดี

ผมกดรับ พูดทักทายเขา “ฮัลโหลเสี่ยวฮัว โทรมามีอะไร?”

“ไม่มีอะไรมาก แค่อยากโทรมาถามทุกข์สุข” ปลายสายว่า ผมไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ บางครั้งเสี่ยวฮัวก็ชอบโทรมาคุยเรื่องไร้สาระเมื่อเขาว่างไม่มีอะไรทำ

“ฉันสบายดี ตอนนี้กำลังเลือกซื้อขนมไปจัดปาร์ตี้คริสต์มาส” ผมตอบ อีกมือหนึ่งที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์หยิบกล่องคุกกี้หลายๆยี่ห้อมาคำนวณเปรียบเทียบกัน

“จัดปาร์ตี้? ทั้งๆที่บัญชีร้านนายกำลังจะไม่รอดตัวแดง” เสี่ยวฮัวทักในสิ่งที่ใกล้เคียงกับสภาพปัจจุบันของร้านผมตอนนี้ เมื่อย้อนมองดูความเป็นจริงแล้วมันทำให้ผมถึงกับสะอึก

“ใช่” ผมยอมรับ ยืนกราน เขาว่ากันว่าความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย และผมต้องเอาชนะมันให้ได้

“เฮ้อ” เขาถอนหายใจ “ดูท่าทางแล้วสกุลอู๋จะล่มสลายที่รุ่นของนายนี่แหละ” เสียงเสี่ยวฮัวที่ดังออกมาตามสายทำเอาผมจุก

ไม่นะ สกุลอู๋ผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดอย่างรุ่นปู่ของผมที่เห็นสุนัขสำคัญกว่าลูกหลานมาแล้ว ผมแค่ใช้เงินเกินตัวแล้วก็ร้านไม่ค่อยมีลูกค้านิดหน่อยเอง ถือเป็นปัญหาพื้นฐานทั่วๆไป ดูยังไงๆเรื่องที่สกุลของผมจะจบสิ้นที่ผมก็เป็นไปไม่ได้หรอก

มั้ง

พูดถึงเรื่องนี้แล้วอันที่จริงก็นับได้ว่าเป็นความคับแค้นใจในวัยเด็กของผมเอง ปู่ของผมได้ชื่อว่าเจ้าแห่งสุนัข พวกมันคือสมบัติอันล้ำค่าของปู่ โดยเฉพาะตัวพันธุ์ทิเบตันสแปเนียลที่ชื่อว่า‘ซันชุ่นติง’ มันคือศัตรูคู่อาฆาตของผมเลยก็ว่าได้

ผมยอมรับว่ามันน่ารักมาก ตัวป้อมๆขนฟูๆวิ่งไปวิ่งมา แต่เมื่อเห็นอาหารของมันที่ดีกว่าของผมและปู่ที่คอยลูบหัวลูบตัวมันก็รู้สึกเจ็บอยู่ในใจลึกๆ อยากจะถามให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลยว่าสรุปแล้วผมหรือเจ้าตะปูสามหุนกันแน่ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของปู่

และผมเชื่อว่าเตี่ย อารอง รวมถึงอาสามก็รู้สึกไม่ต่างจากผมนักหรอก

“เฮ้ นายน้อยสาม นี่นายโกรธที่ฉันพูดหรือไง?” เหมือนจะเห็นผมเงียบไปนานเสี่ยวฮัวเลยทักท้วง “ไม่คิดเลยว่านายจะจริงจังกับคำพูดเล่นๆของฉัน”

หมอนี่ก็รู้ตัวนี่ว่าชอบพูดเล่นในช่วงเวลาที่ไม่ควรพูด ตอนอยู่ในถ้ำสี่ดรุณีที่เสฉวนก็รอบนึงแล้ว ที่หลอกผมว่าตัดเส้นเลือดใหญ่ของผมขาด ผมยังจำความรู้สึกอึ้งทึ่งเสียวตอนนั้นได้อยู่เลย

แต่รอบนี้เอาจริงๆผมแค่โมโหหมา เมื่อนึกถึงมันขึ้นมาผมก็ตกอยู่ในภวังค์เหมือนสติหลุดจนเงียบไป ไม่ได้โกรธเขาเลยแม้แต่น้อย

หรือจะลองแกล้งทำเป็นโกรธเขาดูดีนะ?

ไม่ดีหรอก คนอย่างเขาต้องจับได้แน่นอน

“อ้อ เปล่าๆ พอดีกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่” ผมตอบไปตามความเป็นจริง นึกไม่ถึงว่าจะทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิด

“เวลาคุยกับคนอื่นแล้วนึกถึงเรื่องอื่นมันเสียมารยาทมากนะเสี่ยวเสีย” น้ำเสียงของเขาแปลกไปเล็กน้อย ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆตามมา “ช่างมันเถอะ ตอนนี้ฉันอยู่หน้าร้านนายนะ”

“หา?” คำพูดของเขาทำเอาผมตกใจ มือที่กำลังจะหยิบถุงขนมชะงักไป “อีกนานเลยนะกว่าฉันจะกลับไปถึง”

“ไม่เป็นไร ฉันรอได้” คำพูดของเขาทำเอาผมใจไม่ค่อยดีเท่าไหร่ บอกเขาว่าจะรีบกลับไป คว้าถุงขนมกับกล่องคุกกี้มาเพิ่มในจำนวนที่พอจะจัดปาร์ตี้ได้ ชำระเงินแล้วกลับไปที่ร้าน

ระหว่างทางผมก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ปีนี้ผมได้คุยกับเสี่ยวฮัวค่อนข้างบ่อยพอควร ทั้งเรื่องมีสาระและเรื่องไร้สาระ เรื่องคว่ำกรวย ค้าขายของเก่า สถานที่ท่องเที่ยว และนินทาคน เขาเป็นคนที่ผมพูดด้วยแล้วสบายใจ แม้ใจจริงๆผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าเขาสบายใจหรือเปล่ากับการพูดคุยกับคนอย่างผม

เมื่อกลับไปถึงที่ร้าน แน่นอนว่าหน้าร้านมีเสี่ยวฮัวที่บอกผมไว้แล้วว่าจะรออยู่ตรงนั้น แต่ที่ทำให้ผมแปลกใจคือสิ่งมีชีวิตในอ้อมกอดเสี่ยวฮัว

ผมไม่ใช่นักสัตววิทยาหรือนักอนุกรมวิธาน ปกติผมเลยแยกพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตไม่ออกภายในพริบตาเดียว

แต่นี่คือกรณียกเว้น

มันคือสุนัขพันธุ์ทิเบตันสแปเนียล ตัวเล็กๆ ป้อมๆ ขนฟูๆ ตัวหนึ่ง

พลันในใจของผมรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาอย่างแปลกๆ

ไอ้หมาตายยากเอ๊ย! เพิ่งนินทาในใจไปเมื่อกี้นี้เองนะเว้ย!

เสี่ยวฮัวเมื่อเห็นผมมาถึงแล้วก็ยิ้มให้ “กลับมาเร็วกว่าที่คิดนะนายน้อยสาม” เขาพูด

“นายมาที่นี่ทำไม? แล้วหมานั่น?” ผมเหลือบสายตาไปมองหมากระแดะที่จ้องผมตาแป๋วทั้งๆที่ตัวของมันยังคงซุกหาไออุ่นจากอ้อมอกของเสี่ยวฮัวอยู่

ผมรู้สึกหมั่นไส้มันอย่างไร้เหตุผล แม้ว่าปกติผมก็ดูเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเหตุผลอยู่แล้วก็ตามเถอะ

“หมานี่หรอ?” เขาก้มลงมองดูมัน “มีคนให้มาน่ะ แล้วฉันก็คิดว่ามาฝากให้นายเลี้ยงดีกว่า เพราะฉันไม่ค่อยสะดวกเลี้ยงหมาสักเท่าไหร่”

“อย่าบอกนะว่านายมาหาฉันเพื่อฝากเลี้ยงหมา?” ผมอึ้งจนไม่รู้ว่าเผลอแสดงสีหน้าอะไรออกไปให้เขาเห็น

“ใช่ ทำไมหรอนายน้อยสาม?” เสี่ยวฮัวดูท่าทางแปลกๆไปเล็กน้อย

นี่เขาไม่รู้จริงๆหรอว่าผมไม่ชอบสุนัข โดยเฉพาะสุนัขพันธุ์ทิเบตันสแปเนียลนี่ต้องเรียกติดบัญชีดำ

เขาเป็นเพื่อนผมภาษาอะไรกัน ใช้ไม่ได้ๆ

“ถ้าบอกว่าไม่รับฝากล่ะ?” ผมตีหน้าเคร่งขรึม สังเกตได้ว่าอีกฝ่ายชะงักไปนิดหน่อยก่อนปรับสีหน้าเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว

“ก็หมายความว่าจากนี้ไปนายอย่าหวังเลยว่าจะได้เงินจากฉันสักหยวน เรื่องแค่นี้ยังช่วยกันไม่ได้”

คำตอบของเขาทำเอาผมนิ่งไป

ไอ้บ้าเสี่ยวฮัว! ไอ้เพื่อนเลว! เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันเกี่ยวกันตรงไหน? ผมสบถในใจ

“แค่ล้อเล่นเอง หมาตัวเดียวฉันเลี้ยงได้อยู่แล้ว” ผมปั้นยิ้ม ถ้าให้ผมเลือกระหว่างเงินกับไม่ต้องเลี้ยงหมา ผมย่อมเลือกเงินอยู่แล้ว “จะฝากนานแค่ไหนล่ะ?”

“ตลอดชีวิตเลยได้มั้ย?” เสี่ยวฮัวพูดขึ้นมาทันที ไม่เว้นจังหวะให้ผมหายใจเลยสักนิด

“ไม่!” ผมปฏิเสธเสียงดัง

“งั้นนายก็คืนเงินที่ยืมฉันไปมาเดี๋ยวนี้เลย แล้วไปหาเจ้าหนี้ใหม่หรือจะทนกับร้านที่โดนตัดน้ำตัดไฟก็เลือกเอา” เขาพูด สีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนอะไรมากนัก แน่นอนว่าเจ้าตัวป้อมๆในอ้อมกอดเขาก็ยังคงจ้องผมตาแป๋วเหมือนเดิม

สาบานว่ามันไม่ได้ทำให้เจ้าสิ่งมีชีวิตตัวนั้นดูน่ารักขึ้นเลย ตรงกันข้ามกลับดูน่าถีบให้กระเด็นไปไกลๆมากขึ้น

“เข้าใจแล้ว” ผมยอมรับ

“เข้าใจว่าร้านจะโดนตัดไฟ?” เขาถาม

“เข้าใจว่าต้องเลี้ยงหมาตัวนี้” ผมเห็นเขาคลี่ยิ้มออกมาทันทีที่ผมพูดจบ

เดี๋ยวค่อยไปโยนให้หวังเหมิงเลี้ยงแล้วขึ้นเงินเดือนให้เขาสักสิบหยวนละกัน ผมถอนหายใจ

เราสองคนเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนเสี่ยวฮัวจะโพล่งขึ้นมา

“เอาล่ะ ไปเดินเล่นกันเถอะ” เขาพูดโดยในอ้อมแขนของเขายังคงมีหมาตัวนั้นอยู่ ไม่ได้ส่งมาให้ผมแต่ประการใด

“นี่ฉันพึ่งกลับมาเองนะ แล้วสรุปนายจะเอายังไงกับมัน?” ผมขมวดคิ้ว จ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของเขาสักเท่าไหร่

“ก็หมายความว่า ให้นายไปเดินเล่นกับฉันเสร็จก่อน แล้วฉันถึงค่อยฝากมันไว้กับนาย” สมองของผมมึนตึ้บ

เดี๋ยวนะ หมายความว่าผมต้องไปกับเขาก่อน? เขาต้องการอะไรจากผมกันแน่?

“อืมๆ เข้าใจแล้ว” เข้าใจตรงไหนกันละ อย่างที่เห็นว่าผมยังงงอยู่เลย

“แต่ก่อนอื่นนายควรไปเก็บของก่อนนะ” เสี่ยวฮัวมองมายังของเยอะแยะมากมายในมือผม ผมพยักหน้าตอบรับแล้วนำมันไปเก็บไว้ในร้าน

“เถ้าแก่” เข้ามาภายในร้าน ได้ยินเสียงทักทายของหวังเหมิง ในมือของหมอนั่นถือไม้กวาด ส่วนตามองกล่องคุกกี้เป็นประกาย “นั่นให้ผมหรอ?”

“ฝันไปเถอะ” พวกเห็นแก่กินเอ๊ย เห็นของกินก็ตาลุกวาว คิดผิดจริงๆที่เมื่อกี้คิดจะเพิ่มเงินเดือนให้ สิบหยวนก็ถือว่าเยอะมากละนะในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้

ผมวางกองขนมไว้บนโต๊ะ พลางสั่ง “ดูแลดีๆ ตอนกลับมาอย่าให้ฉันเห็นว่าขนมพวกนี้หายไป”

“เถ้าแก่เพิ่งกลับมาไม่ใช่หรอ? จะไปไหนอีก? ไม่อยู่ติดร้านแบบนี้ระวังสักวันจะมีแต่คนเข้าใจผิดว่าผมเป็นเจ้าของร้านไม่ใช่เถ้าแก่นะ” หวังเหมิงบ่นอุบ ผมส่งสายตาดุๆให้เขาครั้งหนึ่ง

“หักเงินเดือน” ผมพูดสั้นๆ ลูกจ้างหกร้อยหยวนที่อยู่ตรงหน้าแหวขึ้นมาทันที

“อีกแล้ว ขู่หักเงินเดือนตลอด แค่นี้ผมก็ไม่มีอะไรจะกินละนะ” เขาเบ้ปาก แล้วก็หันไปก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดร้านต่อ

จะว่าไปผมยังไม่ได้บอกเขาถึงเงื่อนไขเพิ่มเงินเดือนเลย ไว้ก่อนละกัน รอตกลงกับเสี่ยวฮัวให้แน่ๆก่อน

ผมเดินออกมานอกร้าน เสี่ยวฮัวรอผมอยู่ แน่นอนว่าหมาตัวนั้นด้วยเช่นกัน

“นายอยากไปไหน?” ผมถามเขา

เสี่ยวฮัวนิ่งคิดนิดหน่อยแล้วตอบ

“เดินเล่นชมหิมะไปเรื่อยๆ” คำตอบอาร์ตสมเป็นเจ้าแม่โรงงิ้ว แน่นอนว่าผมไม่ได้กล่าวออกไป

“ดูไร้จุดหมายดีนะ”

เขายิ้มให้ ผมไม่รู้จะเรียกมันว่าเป็นรอยยิ้มที่งดงามหรือน่าหวาดกลัวดี “ใครบอกว่าไม่มีจุดหมายกันล่ะ?”

น้ำเสียงของเขาหวานจับใจ แต่ยังคงแฝงไปด้วยความลับเหมือนเดิม

ผมไม่รู้จะต่อปากต่อคำอะไรกับเขาดี จึงตัดสินใจเดินคู่กับเขาไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าผมจะเป็นเจ้าถิ่น แต่ในเมื่อเขาไม่บอกจุดมุ่งหมายอะไรผมสักนิด ผมก็ไม่รู้จะพาไปไหนดี รสนิยมของเขาบอกตรงๆว่าผมที่เป็นเพื่อนกับเขามาตั้งนานยังไม่รู้แน่ชัดเลย แม้จะเคยเห็นเขาดูสนูปปี้ แต่ใครมันจะกล้าพาผู้ชายอายุ 30 กลางๆไปดินแดนเด็กๆแบบนั้น หรือจะพาเขาไปเดินชมร้านขายเสื้อผ้าสตรีดี? เพื่อรำลึกความหลังสมัยที่พวกเรายังคงเป็นเด็กๆ และครั้งแรกที่เราเจอกันอีกทีที่หมอนั่นใส่เสื้อผ้าผู้หญิงในร่างของซิ่วซิ่ว ไม่นับรอบที่ภัตตาคารซินเย่ว์ เพราะผมจำเขาไม่ได้

ทว่า มีสิทธิ์สูงที่ความจริงแล้วเขาจะไม่ได้ชอบการแต่งตัวเป็นกะเทย ในกรณีนี้ถ้าพาเขาไปผมคงถูกฆ่าตายไม่เหลือซาก ดังนั้นแล้วผมควรสงบปากสงบคำไว้จะเป็นการดีต่อชีวิตของผมมากที่สุด

เห็นเขาเดินมองนู่นมองนี่เอื่อยๆไปตลอดทางก็แอบอึดอัดใจ สังเกตดีๆวันนี้เขาใส่เสื้อโค้ตหนาสีดำสนิท ไม่รู้ด้านในเขาใส่เชิ้ตชมพูแบบที่เขาชอบใส่ประจำหรือเปล่า แต่ผมแปลกใจนิดหน่อยที่ผ้าพันคอของเขาสีเทาอ่อน นึกว่าคนอย่างเขาจะพันผ้าคอสีชมพูหรือผ้าพันคอสีหวานๆเสียอีก

ชุดของเขาตัดกับหิมะสีขาวโพลนที่กองๆอยู่บนพื้นถนน นับว่าดูดีมาก อันที่จริงเสี่ยวฮัวใส่ชุดอะไรก็ดูดีอยู่แล้ว

แต่ถ้าไม่มีหมาหน้าตาน่าหมั่นไส้ในอ้อมแขนของเขาจะสมบูรณ์แบบ

“นี่” จู่ๆเสี่ยวฮัวก็ทักระหว่างที่เราเดินไปตามทางเดินเลียบถนน ผมหันหน้าไปมองเขา “นายว่าเจ้าตัวนี้ชื่อจะชื่ออะไรดี” เขาก้มลงมองหมาตัวนั้น ดวงตาฉายแววประกายอบอุ่น

“นายตั้งสิ หมาของนายนะ” ผมตอบกลับ สรุปเขาไม่รู้จริงๆหรอว่าผมมีความแค้นกับสัตว์สี่เท้าประเภทนี้

“ฉันอยากให้นายตั้ง” เสี่ยวฮัวพูดโดยไม่ได้หันมามองผมเลยแม้แต่น้อย เหมือนพูดลอยๆ ทำเอาผมรู้สึกแปลกๆหวิวๆ

“ชื่ออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ซันชุ่นติง” ผมตอบ

“นายแค้นมันมากสินะ?” นางเอกงิ้วคนงามขมวดคิ้ว ถึงแม้ว่าจะทำหน้าแบบนั้นก็ยังคงงดงามอยู่ ไม่นับลูกกระเดือกโปนๆทิ่มตาอันสุดแสนจะแสลงใจผม

“ก็ไม่ได้แค้นอะไรมากหรอก” ผมแย้ง

“แต่แค้นมาก?”

ผมเหลือบไปมองคนพูด นี่สิถึงจะเรียกว่าเพื่อนของผม รู้ใจผมจริงๆ

“ใช่เลย”

หมอนั่นถอนหายใจแล้วบ่นอุบ “นายไร้สาระกว่าที่ฉันคิดมาก”

คนที่เดินเรื่อยเปื่อยไม่มีจุดหมายนี่เขาเรียกว่าไม่ไร้สาระใช่ไหม? ผมย้อนในใจอย่างเซ็งๆ

“รู้แบบนี้แล้วนายยังจะฝากฉันเลี้ยงอยู่มั้ย?” ผมถามเขาไปเผื่อเขาจะคิดพิจารณาใหม่ หมอนั่นควรจะคิดได้แล้วนะว่าผมไม่ใช่ปู่ ผมไม่มีทางเลี้ยงดูหมาได้เหมือนปู่ เผลอๆมันอาจจะได้จากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร

“ฉันว่าฉันเปลี่ยนใจแล้ว” เสี่ยวฮัวเหม่อมองฟ้า เกล็ดหิมะตกโปรยปราย ให้อารมณ์พระเอกหนัง “อันที่จริงแต่แรกฉันก็ไม่ได้คิดจะฝากมันไว้กับนายหรอก” เขาพูด เหมือนจะสารภาพ

“ว่าไงนะ?” ผมหันหน้าไปหาเขา สายตาของผมคงเต็มไปด้วยความสงสัยงุนงง ไม่เข้าใจจริงๆว่าสรุปแล้วเขาต้องการอะไรกันแน่ เอาหมามาให้เลี้ยง บอกไม่เลี้ยงจะไม่ให้ยืมเงิน แล้วจู่ๆก็มาบอกว่าไม่ได้คิดจะฝากให้ผมเลี้ยง

ผมงงไปหมดแล้ว สมองผมหรือเขากันแน่ที่มีปัญหา

“มีคนฝากเจ้านี่มาให้ฉันเลี้ยงน่ะ พอฉันเห็นมันแล้วก็นึกถึงนาย ฉันยังจำได้อยู่เลยนะที่ตอนเด็กๆนายวิ่งไปหาปู่ของนาย แต่ปู่ของนายดันสนใจแต่หมาที่อยู่ในแขนเสื้อจนนายร้องไห้โยเย มันตลกมาก” เขาหัวเราะ ในขณะที่ผมสัมผัสได้ถึงเส้นเลือดปุดๆตรงขมับ ความทรงจำแบบนั้นไม่เห็นน่าจำ ทำไมเขาถึงยังจำมันได้อยู่กัน? “ก็เลยเอามาให้ดู อย่างที่คิดเลยว่าปฏิกิริยาของนายเมื่อเห็นเจ้าสุนัขทิเบตันสแปเนียลต้องเป็นอะไรที่น่าสนุก” เขายิ้มกว้างขึ้น ส่วนผมหน้าบึ้งขึ้น

“ลงทุนมากไปไหม? ฉันว่านายคงไม่ลงทุนมาถึงหังโจวเพื่อแกล้งฉันอย่างเดียวนะ”

“ใช่ ฉันไม่ได้มาหังโจวเพื่อแกล้งนายอย่างเดียว” เขาหยุดเดิน หันมามองหน้าผม สายตาของเขาจริงจังจนใจผมเต้นตึกตัก “ฉันอยากมาหานาย อยากเดินเคียงข้างนาย อยากมีคนที่อยู่ด้วยแล้วอุ่นใจแม้ว่าหิมะจะตกจนหนาวเหน็บ”

สิ้นคำพูด เสียงของผมเหมือนจุกอยู่ที่คอ พูดอะไรไม่ออก ราวกับว่าโลกทั้งโลกหยุดเคลื่อนไหว ถนนทั้งสายมีเพียงแค่พวกเราสองคน พอตั้งสติได้ก็พูดออกไปโดยคุมตัวเองไม่ให้เสียงสั่น

“ล้อเล่นสินะ” หน้าของผมร้อนผ่าว อีกฝ่ายมองมาอย่างอึ้งๆ หลุดขำ สายตาจริงจังของเขาเปลี่ยนไปแล้ว

“ใช่แล้ว ล้อเล่น” เขายิ้ม ยิ้มแบบหัวเราะ ยิ้มแบบที่กระแทกเข้าหน้าผากผมอย่างจัง

คุณชายเก้าจะรู้ตัวหรือไม่ว่านี่เป็นการล้อเล่นที่น่ากระทืบทิ้งที่สุด  แต่ผมเกลียดตัวเองชะมัด ผมไม่ใช่สาวน้อยวัยแรกแย้มเสียหน่อย ทำไมถึงใจสั่นไปกับคำพูดหวานๆเลี่ยนๆแบบนั้นได้

“อาเฮียนี่น่ารักจริงๆเลยนะ บอกอะไรก็เชื่อหมด” เสี่ยวฮัวหันหน้ามองตรงไปตามทาง จากนั้นก็พูดพึมพำเบาๆ “เชื่อทุกอย่างนอกจากสิ่งที่เป็นความจริง”

“หา?” ผมหลุดอุทาน เกิดอารมณ์ศิลปินอะไรขึ้นมาอีกเนี่ยคุณชายเก้า ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะว่าความหนาวของหิมะทำให้คนเกิดอาการสับสนมึนงงได้ด้วย

“ช่างมันเถอะ” เขาสั่นหัว หันตัวกลับไปทางที่พวกเราเดินมา “กลับร้านของนายกัน” พูดจบเขาก็เดินนำผมไปลิ่วๆ ส่วนผมเดินตามไปอย่างงงๆ

สมกับที่เขาเคยบอกว่า ‘เดินเล่นชมหิมะไปเรื่อยๆ’ จริงๆ สรุปคือได้แต่เดินไปตามถนนที่เต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน ไม่ได้แวะที่ไหนเลย

ขากลับเราเดินกันอย่างเงียบๆ ผมยังคงเดินตามเสี่ยวฮัวต้อยๆ เกิดความสงสัยในใจขึ้นว่าใครกันแน่นะที่เป็นเจ้าถิ่น อยากตบหน้าตัวเองชะมัด

พอถึงหน้าร้าน  เขาหันมามองผมแล้วพูด “พรุ่งนี้ฉันมีธุระที่ปักกิ่ง ถ้าเสร็จแล้วจะมาหานาย” ได้ยินแล้วผมถึงกับเหวอ สีหน้าของเขาไม่ปรากฏคำว่าล้อเล่น หรือจริงๆเขาล้อเล่นแต่ผมไม่รู้ก็ไม่รู้

จากปักกิ่งมาหังโจวถ้าเดินทางโดยรถไฟความเร็วสูงก็ 5 ชั่วโมงครึ่ง หรือถ้าเขาจะลงทุนโดยการมาทางเครื่องบินก็ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมงกว่า

เดี๋ยวสิ วันนี้เขาพาหมามาด้วย แสดงว่าต้องมาทางไหนสักทางที่นานกว่านี้แน่ๆ

วันนี้เขามาหาผมรอบหนึ่ง แล้วกลับอีกรอบหนึ่ง ถ้าพรุ่งนี้เขามาจริงๆก็อีกรอบหนึ่ง นี่เขาลงทุนมากไปหน่อยไหม? มองไม่เห็นตรรกะเหตุผลอะไรเลย หรือเขาจะมีเหตุผลในแบบที่มนุษย์โลกทั่วไปไม่สามารถเข้าใจได้

ผมว่าอย่างหลัง

ร่ำลากันนิดหน่อยแล้วเขาก็จากไป ผมเดินเข้าไปสำรวจในร้าน พบว่าถุงขนมยังคงระเกะระกะเหมือนเดิม ผมบอกให้หวังเหมิงดูแลอย่างเดียวไม่ใช่ให้จัดสินะ ซื่อบื้อแบบนี้หักเงินเดือนดีมั้ย?

ผมส่งสายตาดุๆไปให้หวังเหมิง ในขณะที่เอื้อมมือเอากองขนมไปเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย

คิดได้ว่านี่เป็นอีกวันแล้วสินะที่ไม่มีลูกค้าเข้าร้าน เสี่ยวฮัวมาทั้งทีกลับลืมบังคับเขาซื้อของ

ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เขามาใหม่ เงินคุณชายปักกิ่งยังมีโอกาสบินเข้ามาในร้านผมอยู่

ผมยิ้มน้อยๆ พลางคิดว่าจะเอาของชิ้นไหนไปเสนอขายคุณชายเก้าดี


--------

<ต่อโพสต์ล่างค่ะ>
BleuOnMine
BleuOnMine
ด้วงฝึกหัด
ด้วงฝึกหัด

จำนวนข้อความ : 22
Points : 3477
Join date : 21/12/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

Secret - [To my secret] galu Empty Re: [To my secret] galu

ตั้งหัวข้อ by BleuOnMine Sun 25 Jan 2015, 21:27

<ต่อ>

วันรุ่งขึ้น เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดผมก็ประดับต้นคริสต์มาสสำเร็จ  แม้จะไม่เข้ากับบรรยากาศร้านเก่าๆเลยสักนิด แต่ก็นับได้ว่าเข้ากับบรรยากาศเทศกาล

ใช่แล้ว วันนี้คือวันไซเลนท์ไนท์หรือวันคริสต์มาสอีฟ วันที่ตอนดึกๆผู้ใหญ่ชอบหลอกเด็กว่าจะมีซานตาคลอสเอาของขวัญมาให้ถ้าเป็นเด็กดี

ถึงกับมีเพลงที่ว่าไว้ว่าไม่ให้ร้องไห้ ไม่ให้ทำหน้าบูดบึ้ง เพราะซานตาคลอสกำลังจะมา ซานต้ารู้ว่าเธอหลับหรือตื่น เป็นเด็กซนหรือเด็กเรียบร้อย

ตอนเด็กผมตื่นเต้นมาก ผมอยากได้ของขวัญจากคุณซานต้า เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่านั่นเป็นแค่เรื่องหลอกเด็ก ถ้าตำนานซานต้าเป็นแบบนั้นจริงผมก็แอบอยากรู้เหมือนกันว่านั่นคือซานต้าหรือตาวิเศษเห็นนะ

เมื่อวานเสี่ยวฮัวบอกว่าจะมา แต่นี่ราวๆหกโมงเย็นแล้วยังไม่เห็นหัว ผมรู้สึกท้องว่างๆเลยหยิบกล่องคุกกี้มาเปิดแล้วหยิบกิน ด้วยความใจดีของผมจึงแบ่งให้หวังเหมิงด้วย

แม้จะกินคุกกี้ไปนิดหน่อยแล้วสมองก็ยังคงเรียกร้องว่าอยากกินอะไรอีก จึงหันไปหยิบห่อขนมมาเปิดเพิ่ม

กินนิดกินหน่อยไม่กระเทือนปาร์ตี้คืนนี้หรอก สำหรับผมที่ถือคติว่าได้กินดีกว่าได้นอน การมีอาหารอยู่ในท้องนับว่าเป็นสวรรค์

ขณะกำลังอ้าปากจะงับข้าวเกรียบกุ้ง เสี่ยวฮัวก็วิ่งเข้ามาในร้านแบบรีบๆ สังเกตว่าหมอนั่นดูท่าทางอึ้งๆกับความการกระทำของผมตอนนี้

เขาคงจำสภาพตอนที่ผมโดนยัดขนมทั้งชั้นวางและต้องออกกำลังกายไม่ให้น้ำหนักเพิ่มแม้แต่ครึ่งกิโลได้ คงนึกว่าผมจะเข็ดกับอะไรพวกนี้แล้ว แต่เขาควรรู้ไว้ว่าอย่าเอาตรรกะพวกนี้มาใช้กับผม

“กินไหม?” ผมยื่นห่อขนมอีกห่อให้เขา เขามองนิดหน่อยแล้วปฏิเสธ

“นายกินคนเดียวเถอะ ฉันนึกว่านี่คือขนมของงานเลี้ยงคืนนี้เสียอีก” เสี่ยวฮัวพูด พลางนั่งลงข้างๆ สายตาเขาดูหนักใจ

“ขนมของงานเลี้ยงคืนนี้ฉันซื้อมาตั้งเยอะ กินนิดเดียวไม่เป็นไรหรอก ถ้าไม่กินจะให้ฉันทำอะไรระหว่างรอนาย?” ผมถามกลับ เขาถอนหายใจ เอ็ดผมว่าคนลงกรวยอ้วนไปจะลำบาก ขยับเขยื้อนทำอะไรไม่สะดวก เผลอๆจะหลบกับดักไม่ทัน

ผมคิดตาม นั่นสินะ แต่ดูอย่างนายอ้วนสิ ไว้ผมอ้วนขนาดเขาแล้วค่อยคิดใหม่แล้วกัน

วันนี้เป็นวันฉลอง ไม่ควรคิดถึงเรื่องอะไรเครียดๆ ผมทิ้งถุงขนมที่กินหมดแล้ว เปิดเพลงหลิงเออร์เสี่ยงติงตังคลอบรรยากาศ

“นายว่าเราควรจะทำอะไรกันในคืนวันคริสต์มาสอีฟดี?” ผมเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวที่วางตั้งอยู่ตรงข้ามกับเขา บนโต๊ะตอนนี้มีขนมไม่กี่ห่อ ขนมส่วนที่เหลือผมเอาไปประดับกองๆใต้ต้นคริสต์มาส

“ปกติแล้ววันคริสต์มาสอีฟจะมีกิจกรรมแลกของขวัญ งานเลี้ยงสังสรรค์ ไม่ก็การแสดง” คุณชายเก้าตอบอย่างเป็นทางการ

งานเลี้ยงสังสรรค์ ผมกำลังทำอยู่แล้ว ข้ามไป

พูดถึงการแสดง ผมเองก็อยากให้คุณชายเก้าแสดงงิ้วให้ดู เป็นการแสดงรอบพิเศษที่แสดงให้ผมดูคนเดียวประมาณนั้น คงจะรู้สึกประทับใจไม่เบา

ถึงแม้ว่างิ้วกับวันคริสต์มาสอีฟดูไม่เข้ากันเลยแม้แต่น้อย แต่ผมถือว่าความแตกต่างทำให้เกิดรสชาติใหม่ สิ่งสำคัญคือต้องอ้อนวอนขออย่างไรเสี่ยวฮัวถึงจะยอมแสดง

“ส่วนตำนานที่เกี่ยวกับวันคริสต์มาสอีฟ ต้องยกให้เรื่องซานตาคลอส” เขาพูด ผมชะงัก ซานต้าอีกแล้ว ผมเบื่อจริงๆ

“เรื่องซานตาคลอสดูเป็นเรื่องเพ้อฝัน” ผมแย้ง เสี่ยวฮัวหัวเราะกับท่าทีของผม

“นึกไม่ถึงว่าอาเฮียเทียนเจินจะไม่ชอบตำนานน่ารักๆพวกนี้” เขาขำอย่างไม่ปิดบัง

“ไม่เห็นน่ารักเลยแม้แต่นิด”

จะให้ผมเล่าได้อย่างไร ว่าสมัยเด็กผมเคยเชื่อเรื่องพวกนี้มากๆ แขวนถุงเท้า เฝ้าภาวนา เห็นตอนเช้ามีของขวัญอยู่ข้างในก็วิ่งไปบอกเตี่ยแบบมีความสุขมาก เตี่ยหัวเราะพูดว่ายินดีด้วย วิ่งไปหาอารอง อารองไม่ได้พูดอะไรมากแค่ยิ้มๆ แต่อาสาม รายนั้นหัวเราะเยาะ และเฉลยหมดเปลือกว่าเตี่ยเป็นคนเอาไปใส่ให้เอง ถ้าไม่เชื่อให้รอดูปีหน้า ผมเฝ้ารอวันคริสต์มาสอีฟเป็นเวลา 1 ปีเต็มด้วยหัวใจแตกสลาย คืนนั้นผมพบว่าเตี่ยเป็นคนใส่เองจริงๆ

ผมรู้สึกเหมือนถูกหักหน้า จากนั้นมาก็ไม่เชื่อเรื่องซานตาคลอสอีกเลย

“รู้ไหม ถึงซานตาคลอสจะไม่มีจริง แต่เราสามารถทำให้มีจริงได้” เสี่ยวฮัวพูดเป็นปริศนาอีกแล้ว พูดอะไรให้สามารถเข้าใจง่ายๆไม่ได้หรืออย่างไรกัน?

“จะมีจริงหรือไม่มีจริงก็ช่างมันก่อนเถอะ วันนี้เป็นวันคริสต์มาสอีฟ เราควรฉลอง เราควรมีความสุข” ไม่ใช่มานั่งถกประเด็นปรัชญา ผมต่อเองในใจ

คุณชายเก้าพยักหน้ารับ หยิบเครื่องดื่มมารินแล้วจิบอย่างสง่างาม ส่วนผมหยิบแคนดี้เคนมาอมเล่น

ความแตกต่างนี้มันคืออะไร?

เพลงหลิงเออร์เสี่ยงติงตังยังคงดำเนินวนไปเรื่อยๆ เสียงกระดิ่งติงติงตังในเพลงไม่ค่อยเข้ากับความเงียบที่ก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเราสองเสียเท่าไหร่ แต่ดีกว่าปล่อยให้เงียบไปเรื่อยๆในตอนนี้ ผมไม่รู้จะทำอะไรดีเลยไปหยิบอาหารที่เตรียมไว้แล้วมาตั้งบนโต๊ะ นับถอยหลัง 3 2 1 เริ่มปาร์ตี้อย่างเป็นทางการ

ปากของผมเคี้ยวอาหาร เห็นเสี่ยวฮัวที่กินน้อยเหมือนเล็มก็รู้สึกอยากขุนเขาให้อ้วน มือผมถือช้อน ส่วนใจผมกำลังเฝ้ารอเวลา

นอกร้านหิมะตกหนักขึ้น ส่งผลให้ในร้านของผมหนาวขึ้นตาม ชัดเจนว่าเสี่ยวฮัวคงฝ่าหิมะกลับปักกิ่งในคืนนี้ไม่ได้ ต้องค้างอยู่ที่นี่สักคืน ผมว่าเรื่องนี้เขารู้ดี พรุ่งนี้เขาคงไม่มีงานอะไรถึงกล้ามาตอนใกล้ค่ำ และอยู่ร่วมฉลองเล็กๆกับผมสองคน

แต่ดีแล้วที่เขายอมมาหาผมทั้งๆที่ปักกิ่งกับหังโจวไม่ได้ใกล้กันมากมาย เพราะไม่เช่นนั้นผมคงเตรียมตัวเก้อแน่ๆ

เวลาผ่านไป อาหารและขนมลดลงไปเรื่อยๆจนหมด เกือบทั้งหมดเป็นฝีมือของผม เห็นแล้วผมก็รู้สึกละอายใจไม่เบา อยากจะถามตรงๆว่าเขาอิ่มหรือไม่ เขากินน้อยจริงๆ

ผมหันไปหรี่เสียงเพลงที่วนซ้ำจนผมเริ่มรู้สึกเบื่อ เสี่ยวฮัวไม่ได้ห้ามอะไร ในจังหวะนั้น ผมมองเห็นลูกจ้างหกร้อยหยวนเดินเข้ามาตามที่ผมได้เคยสั่งไว้

มันเป็นไปตามแผนที่ผมคิดเมื่อเช้าตอนที่เขายังไม่มา ผมวางไว้ให้หวังเหมิงเอาของขวัญที่ผมเตรียมให้เสี่ยวฮัวมอบให้เขาตอนที่พวกเรากินกันอิ่มแล้ว ถือเป็นคำขอบคุณจากผมที่เสี่ยวฮัวคอยอยู่เคียงข้างผมและสละเวลาอันมีค่าของเขาให้ผมขนาดนี้ แต่ภาพที่ผมเห็นทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจ

หวังเหมิงหอบของขวัญของผมด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งก็หอบกล่องของขวัญอีกกล่อง

“อย่าบอกนะว่า” ผมกับเสี่ยวฮัวพูดพร้อมกันและหันมามองกันทันที ความรู้สึกแปลกๆก่อตัวขึ้นในใจ พวกเราสองคนสบตากันอยู่นานมากเหมือนตกอยู่ในภวังค์บางอย่างก่อนจะหลุดขำออกมาเหมือนกัน

“เอ้า เจ้านายทั้งสอง ทีหลังแลกกันเองน่าจะง่ายกว่านะ” หวังเหมิงคืนกล่องของขวัญของผมให้ผม ส่วนอีกกล่องคืนให้เสี่ยวฮัว

“ไม่เอาเงินค่าจ้างดูแลของขวัญหรือไง?” ผมทักท้วง หมอนั่นยิ้มให้ ผมไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือไม่ว่ามันเป็นรอยยิ้มที่เห็นแก่เงินแปลกๆ

“เอาสิครับเถ้าแก่” หวังเหมิงโค้งให้ผมกับเสี่ยวฮัวเล็กน้อย “อย่าลืมเงินค่าจ้างที่ติดไว้ด้วยนะครับเจ้านาย ผมไปก่อนนะ ไม่อยากขัดจังหวะคนกำลังหวานแหวว” จบประโยคนี้ผมนึกว่าเขาจะไปพ้นๆแล้ว แต่เขากลับพูดต่อในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง “จีบคนนี้ให้ติดนะเถ้าแก่ เขารวยมาก ดูจากเงินค่าจ้างดูแลของขวัญก็รู้ ถ้าเป็นฝั่งเป็นฝากันแล้วอย่าลืมขึ้นเงินเดือนให้ผมด้วยนะ” ลูกจ้างหกร้อยหยวนขยิบตา แล้ววิ่งหนีไปหลบหลังร้านทันที

ไอ้เด็กนี่!

ใจของผมรู้สึกเดือดปุดๆ ส่วนอีกคนที่ถูกพาดพิงอย่างเสี่ยวฮัวกลับหัวเราะ สีหน้าของเขาบอกได้ชัดเจนว่าเขากำลังมีความสุข เขายื่นกล่องของขวัญในมือเขามาให้ผม ผมเองก็ยื่นให้เขาเช่นกัน

“นึกไม่ถึงว่านายน้อยสามก็เตรียมของขวัญให้ฉันด้วย” เขายิ้ม ปกติเขาก็ยิ้มอยู่บ่อยๆแต่ไม่รู้ว่าทำไมรอยยิ้มครั้งนี้ของเขาทำให้ใจของผมเต้นในจังหวะที่แปลกไป

“เพิ่งเตรียมเมื่อเช้านี้ เมื่อวานนายบอกว่าจะมาใหม่ ถ้าไม่มีของขวัญให้ทั้งๆที่วันนี้เป็นวันคริสต์มาสอีฟก็คงไม่ดีเท่าไหร่” แม้ใจของผมจะร้องบอกว่าตอนซื้อของขวัญให้เขาผมไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากอยากให้ แต่เรื่องแบบนี้ใครมันจะบอกไปตรงๆ

“ส่วนฉันเอามาฝากที่ลูกจ้างนายเมื่อวาน ตอนนั้นนายออกไปซื้อของพอดี ฉันเลยตกลงกับเขาว่าถ้านายกลับมา ฉันจะลากนายไปไกลๆ ระหว่างนั้นให้หาที่ซ่อนที่คิดว่านายไม่มีวันหาเจอ” เสี่ยวฮัวสารภาพ “ฉันอยากเซอร์ไพรส์นาย เสี่ยวเสีย พูดตรงๆว่านี่ไม่ใช่ของขวัญตามมารยาท แต่ฉันอยากให้นายจริงๆ” เขาสบตาผม หน้าของผมเห่อร้อน “ถึงนายจะให้ของขวัญฉันเพราะเป็นเทศกาล ฉันก็ดีใจมากนะ”

“พอได้แล้ว” ผมพูดขัด หมอนี่ไม่คิดหยุดจนกว่าผมจะเขินตัวแตกตายใช่ไหม? ถ้าสรุปแล้วหมอนี่เฉลยว่าล้อเล่นผมควรจะเอาหน้าไปมุดดินที่ไหนดี?

เสี่ยวฮัวหยุดไปพักเดียว แล้วพูดต่อ “แม้จะเป็นแผนที่ทำให้นายไม่อยู่ติดร้าน แต่เมื่อวานฉันมีความสุขมากจริงๆที่ได้เดินเคียงข้างนาย”

“นายควรรู้ว่าประโยคพรรค์นี้มันทำให้ฉันเขิน” ผมลองพูดขัดอีกรอบ แต่กลับกลายเป็นว่าตัวผมเองนี่แหละที่เขินมากขึ้นเพราะสิ่งที่ผมพูด

ครั้งนี้เสี่ยวฮัวยอมหยุดพูดประโยคเลี่ยนๆพวกนั้น แต่สายตาที่จ้องมองมาทำให้ผมรู้สึกร้อนราวกับจะละลายเป็นของเหลว

พวกเราเงียบกันไปนานหลายนาที ไม่หลุดคำพูดอะไรออกมาสักคำ ฝ่ายหนึ่งนั่งยิ้ม ส่งสายตาวาบหวามดั่งผู้กุมชัย ส่วนอีกฝ่ายอย่างผมที่นั่งเงียบเพราะความรู้สึกแปลกประหลาดผสมปนเปกันเอ่อล้นจุกอยู่ที่คอ

ทั้งๆที่ผมอยากให้เขาหยุดพูดแท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไมสภาพเงียบๆแบบนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกสติแตกไม่แพ้กัน

ราวกับว่าในเวลานี้ เพียงแค่มีผู้ชายชื่อเซี่ยอวี่เฉิน เขาทำให้ผมกลายสภาพเป็นตัวผมอีกคนที่ผมไม่อาจเข้าใจ

“นายอยากทำอะไรต่อไหม?” ผมตัดสินใจทำลายความเงียบ เสี่ยวฮัวหลุบตาลงเมื่อได้ยินผมพูด เอื้อนเอ่ยประโยคด้วยน้ำเสียงหวาน

“อยากแกะของขวัญเลยไหม?” เขาถาม ผมมองกล่องของขวัญในมือสองจิตสองใจ

แน่นอน ผมอยากรู้ว่าเขาให้อะไรผม แต่ฝั่งเขาล่ะ? ผมกลัวว่าเขาจะไม่ชอบสิ่งที่ผมให้ไป ถ้าเขาเผลอแสดงสีหน้าบ่งบอกว่าไม่ชอบออกมาแม้แต่นิด ผมคงรู้สึกแย่ไปจนวันตาย

เหมือนเขาจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของผม จึงพูด “นายไม่แกะ ฉันแกะนะ” ไม่รอให้ผมอนุญาต เขาแกะกระดาษห่อของขวัญอย่างประณีตบรรจง ผมเห็นดังนั้นก็จัดการแกะเหมือนกัน แต่เพียงแค่นิ้วสะกิดโดนกระดาษห่อของขวัญก็ขาดแคว่ก

ผมรู้สึกหัวเสีย หมดอารมณ์ศิลป์ ฉีกกระดาษแบบปกติที่เคยทำ ไม่สนว่าสายตาที่เสี่ยวฮัวมองมาเป็นอย่างไร เขาควรรู้ว่านี่คือวิธีที่คนปกติเขาทำกัน

เมื่อใช้การฉีกทิ้งพริบตาเดียวก็เสร็จ ผมเงยหน้าขึ้นมองคุณชายเก้า เห็นแล้วรู้สึกอยากปรบมือให้ แม้แต่สก็อตเทปใสยังไม่ติดขุยกระดาษสีเลยสักนิด เขาทำได้อย่างไรกัน? มนุษย์จริงๆใช่หรือไม่?

อดใจรอเขาแกะเสร็จ พวกเราสองคนเปิดกล่องของขวัญในมือแต่ละคนพร้อมๆกัน ผมหยิบของขวัญข้างในขึ้นมาอย่างตื่นเต้น พิจารณานิดหน่อยก็รู้ว่ามันคือโทรศัพท์มือถือ มือถือฝาพับสีชมพูเหมือนที่เขาชอบใช้ พอเห็นผมก็ดีใจจนทำตัวไม่ถูก นึกขึ้นได้จึงรีบมองเสี่ยวฮัวกับของขวัญที่ผมมอบให้

ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือเสี่ยวฮัวที่ดูอึ้งๆกับตุ๊กตาสนูปปี้ผูกโบว์สีชมพูหวานแหวว ผมใจแป้วเล็กน้อย โทรศัพท์มือถือเทียบกับตุ๊กตาสนูปปี้ ฟ้ากับเหว

ในคืนนี้ ผมได้เรียนรู้ว่าของขวัญที่คุณเลือกซื้อบ่งบอกอะไรได้หลายอย่าง ทั้งนิสัยใจคอ ฐานะการเงิน ความคิด สมอง เอาเป็นว่าหลายอย่างจริงๆ

“ใครสั่งใครสอนนายน้อยสามให้ซื้อตุ๊กตาเป็นของขวัญให้ผู้ชายอายุสามสิบกว่ากัน?” เสี่ยวฮัวพูดคล้ายจะหัวเราะ ผมก้มหน้างุด

ดีกว่าพานายเข้าไปสนูปปี้ช็อปอย่างที่คิดไว้ตอนแรกนะ ผมแย้งในใจ

“ฉันเห็นมันแล้วนึกถึงนาย เลยซื้อมา” ผมสารภาพ สนูปปี้ บวกกับสีชมพู ไม่นึกถึงเสี่ยวฮัวแล้วให้นึกถึงใคร?

เสี่ยวฮัวยิ้มๆพลางส่ายหัว “ส่งโทรศัพท์มือถือที่ฉันให้นายไปมา” เขาแบมือ ไม่นะ นี่เขาจะยึดของขวัญคืนเพราะของขวัญผมไม่ดีหรอ? ไม่เอาๆ ให้แล้วให้เลยสิ

เห็นผมไม่ยอมส่งให้สักทีเขาก็ใช้วิชามือไวหยิบโทรศัพท์เครื่องนั้นไปจากมือผมทันที จากนั้นผมเห็นเขาหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วแปะไปที่ฝาพับของโทรศัพท์ ยื่นคืนมาให้ผม

โทรศัพท์ฝาพับสีชมพูตอนนี้มีสติกเกอร์รูปสนูปปี้แปะอยู่

“เห็นว่าน่ารักดีเลยซื้อมา ตอนแรกคิดว่านายน้อยสามไม่ชอบเลยไม่ได้แปะไว้ แต่พอเห็นนายซื้อนี่มาก็เลยคิดว่าแปะให้เข้าคู่ดีกว่า” เสี่ยวฮัวยกตุ๊กตาในมือขึ้นมาเทียบ ตอนนี้ของทั้งสองอย่างมีสนูปปี้และสีชมพู ดูเข้าคู่กันจริงๆ “เรียกว่าพวกเราใจตรงกันหรืออย่างไรดีนะ?” เขาพึมพำ สัมผัสได้ถึงรังสีแห่งความสุขที่แผ่อบอวล “ขอบใจนะ จะดูแลมันอย่างดีเลย”

“เหมือนกัน” ผมตอบเขากลับ พยายามนึกประเด็นบทสนทนาที่จะพูดต่อ แต่อีกฝ่ายกลับพูดขึ้นมาก่อน

“นี่ ที่ฉันพูดไว้ว่า‘ถึงซานตาคลอสจะไม่มีจริง แต่เราสามารถทำให้มีจริงได้’ ฉันพูดจากใจฉันจริงๆนะ” สายตาของเสี่ยวฮัวดูเหม่อลอย แขนของเขากอดตุ๊กตาสนูปปี้ไว้แน่น ทำเอาผมคล้ายสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากอ้อมกอดนั้นด้วย “นิยามซานตาคลอสสำหรับฉันแล้วไม่ใช่ตาแก่หนวดยาวชุดแดง แต่คือคนที่มอบความสุขให้ เป็นคนที่แค่เห็นก็อุ่นใจ และทำให้รู้สึกอยากขอบคุณท้องฟ้าที่บันดาลให้มีคนๆนี้อยู่บนโลก” เขาเว้นไปสักพัก เงยหน้าขึ้นมาสบตาผม สายตาของเขาจริงจังและหวานซึ้งเกินกว่าจะบรรยายเป็นตัวอักษร “อู๋เสีย นายคือซานตาคลอสของฉัน”

ทั้งร่างกายร้อนระรุ่ม โดยเฉพาะในอกนั้นเหมือนถูกไฟเผา หมอนี่ใช้ชีวิตอยู่ในโรงละครนานเกินไปแน่ๆถึงได้มีประโยคชวนเขินมากมายให้เลือกสรร สมองของผมว่างเปล่าไม่รู้จะทำอะไรต่อไปดี ได้แต่พยักหน้าหน่อยๆบอกว่ารับรู้สิ่งที่เขาพูดแล้ว

เสี่ยวฮัวขยับเก้าอี้มานั่งข้างๆ เอนตัวซบลงบนบ่าของผม เหลือบสายตาขึ้นมามอง เมื่อเห็นผมไม่ได้ว่าอะไรเขาก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางหลับตาลงด้วยรู้ว่าผมอนุญาตแล้ว

นี่คืออีกสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ในคืนนี้ บางครั้งคนเราไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมาย เมื่ออยู่อย่างเงียบๆ ปราศจากเสียงรบกวน ก็จะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกต่างๆที่ไหลเวียนเข้ามา ทั้งจากในหัวใจของตัวเราเองที่กำลังเต้นเป็นจังหวะ และอุณหภูมิจากคนข้างกายที่เผาไหม้ความทุกข์ต่างๆให้มลายหายไป

วันคริสต์มาสอีฟคือวันแห่งความสงบสุข เป็นความรู้สึกที่เบาบางลอยละล่องเหมือนปุยนุ่น  น่าแปลกที่แม้จะเบาบาง แต่กลับสามารถสร้างความอบอุ่นในใจได้แม้ภายนอกจะเป็นหิมะที่แสนหนาวเหน็บ ผมดีใจที่ในวันนี้มีคนที่ทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความสงบสุขอยู่เคียงข้าง

ผมไม่อาจกล่าวได้ว่าเขาคือซานตาคลอสของผม เพราะสำหรับผมเขาเป็นมากกว่านั้น เขาไม่ใช่คนที่ให้ของขวัญเพียงแค่คืนคริสต์มาสอีฟ แต่เขาให้ของขวัญผมอยู่ทุกวัน ความสุขที่เขามอบให้ผมฝังลึกลงไปจนยากจะถอนออก

แน่นอนว่าผมไม่ได้บอกเขา ผมเชื่อว่าเขาจะต้องสัมผัสได้ เหมือนที่ผมสัมผัสได้ถึงตัวเขาที่อยู่ข้างๆนี้

ผมยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มแห่งความสงบสุข พลันสายตาเหลือบไปเห็นของขวัญ 2 ชิ้นที่วางคู่กัน

แม้ว่าปกติผมจะไม่ชอบสุนัขสักเท่าไหร่ แต่สำหรับสนูปปี้ผมคงต้องมองว่ามันเป็นข้อยกเว้น

นึกขำกับความคิดของตัวเอง ผมหลับตาลงอย่างช้าๆ เอียงซบศีรษะของอีกฝ่าย รู้สึกว่าเสี่ยวฮัวขยับตัวนิดหน่อยเปลี่ยนท่าให้สบาย

ผมเอ่ยขอบคุณเขาในใจที่อยู่เคียงข้างผมตั้งแต่อดีตเรื่อยมาจนถึงตอนนี้ และขอบคุณเผื่อไปถึงเวลาในอนาคตด้วย

สุขสันต์วันคริสต์มาสนะ เซี่ยอวี่เฉิน

-------

เคยมีเนื้อเพลงหนึ่งกล่าวไว้ ฉันจะบอกให้ฟัง ซานตาคลอสกำลังมา เขากำลังเขียนรายการ ตรวจตรามันอีกรอบ เขารู้ว่าใครเป็นเด็กดื้อหรือเด็กดี

หากมองย้อนกลับไป จะรู้ว่าเราไม่จำเป็นต้องรอซานตาคลอสจากที่ไหนไกล ไม่มีผู้ใดที่รู้เรื่องของตัวเราเองได้ดีขนาดนั้น

นอกจากคนใกล้ๆตัวเราเอง

End.

-----

ก่อนอื่น ฟิคนี้ชื่อ Santa Claus is coming to town ค่ะ หล่อนมาบอกอะไรตรงนี้

สวัสดีค่ะกาลูซัง มะเหมี่ยวเองนะคะ /// v /// ตามส่องงานกาลูซังมานานแล้วค่ะ ดีใจมากๆเลยที่ได้เป็นซีเคร็ตของกาลูซังนะคะ

ไม่รู้กาลูซังจะชอบมั้ย ถ้าไม่ชอบก็ขออภัยเป็นอย่างสูง ถ้าชอบก็ขอบคุณมากๆเลยนะคะ~

สารภาพว่ามะเหมี่ยวติดภาพนายน้อยขี้แซะมาจากงานแปลค่ะ ติดแบบแกะไม่ออก ถ้าไม่ถูกใจก็ขอโทษอีกรอบค่ะ ส่วนเรื่องหมา มะเหมี่ยวแค่อึดอัดจากเนต้าที่ไม่ได้แปลต่อ เลยเอามายัดลงด้วย (?)

คุณชายฮัวก็ไม่ได้ชอบสนูปปี้ขนาดนี้ ฟิลเตอร์ค่ะ ฟิลเตอร์ล้วนๆ 5555

สามารถตบจิกกัดมะเหมี่ยวได้ที่ทวิตเตอร์นะคะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ <3

BleuOnMine
BleuOnMine
ด้วงฝึกหัด
ด้วงฝึกหัด

จำนวนข้อความ : 22
Points : 3477
Join date : 21/12/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน

- Similar topics

 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ