Countdown
We've been
togerther for

ค้นหา
 
 

Display results as :
 


Rechercher Advanced Search


[To my secret] felis_d

2 posters

Go down

Secret - [To my secret] felis_d Empty [To my secret] felis_d

ตั้งหัวข้อ by felis_d Mon 29 Dec 2014, 18:43

อะ จะ อะ สวัสดีค่ะ 5555555555555555
ร้อยวันพันปีไม่เล่นบอร์ด จะเล่นก็คราวนี้เเหละ!
รีเควสที่จะขอมีดังนี้...

1) ผิงเสียสลับร่าง สลับนิสัยกันค่ะ จะสลับจริงๆ หรือเเกล้งทำ หรือสวมหน้ากากมนุษย์สลับกัน หรืออื่นๆเเล้วเเต่สะดวกเลยค่ะ
2) ว่านวังค่ะ ขอว่านวังงงงง  .....อยากเห็นคิงว่านหนูมุมอ่อนโยน
3) พี่พานจื่อ กับช่วงเวลาที่มีความสุขค่ะ...
4) อาสาม อารองกับการสืบคดีลึกลับ(5555) ถ้าสายเเฟนอาร์ต วาดอารองชุดโฮล์มส์ อาสามเป็นวัตสัน หรือสลับกันก็ได้
   \เเอบลังเลว่าอารองน่าจะเหมาะลุคคุณหมอ 55555
5) ตัวละครไหนก็ได้ หรือคู่ไหนก็ได้ค่ะ กับชุดเเฟชั่นฤดูหนาว


///w//) ทั้งหมดนี่ยกเว้นข้อสอง เปิดกว้างค่ะ จะวายไม่วายก็ได้
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ ...
felis_d
felis_d
ด้วงฝึกหัด
ด้วงฝึกหัด

จำนวนข้อความ : 10
Points : 3498
Join date : 28/10/2014
ที่อยู่ : เป็นขี้เล็บนิ้วนางมือที่6ของคิงว่านหนู

ขึ้นไปข้างบน Go down

Secret - [To my secret] felis_d Empty Re: [To my secret] felis_d

ตั้งหัวข้อ by Shiaeri Sat 24 Jan 2015, 23:32

สวัสดีค่ะ มาส่งซีเคร็ทแล้ววว >___<)// /อะไรนะผิดหวังขึ้นมาทันที------ล้อเล่นค่ะ

เลือกหัวข้อว่านวังนะคะ แอร๊ อาจจะมั่วๆเมาๆไปนิดนึงเพราะรู้สึกว่าไม่รู้จะเขียนไรเกี่ยวกับคู่นี้ดี แต่ก็ชอบคู้่นี้เหมือนกันค่ะ! /เขย่ามือ

ถ้าไม่พอใจประการใดมาตามตบได้ที่ทวิตเรานะคะ พร้อมรับฟังเสมอ v___v)

มาเป็นทีมตะขาบกันเถอะค่ะ-----

--------------------------
The reason why I hate snow [ว่านวัง]
--------------------------




วังฉางไห่เกลียดหิมะ เพราะหิมะ…คือจุดเริ่มต้น…และจุดจบของ
‘ทุกสิ่ง’




ในวันที่อากาศไม่ถึงกับแย่แต่ไม่แจ่มใส ใกล้อาณาเขตป่าสีเขียวขจี มีม้าสีขุ่นตัวหนึ่งถูกควบมาด้วยชายหนุ่มที่สวมอาภรณ์ดูสูงศักดิ์ประหนึ่งขุนนางจากวังหลวงที่ถูกเนรเทศ หากแท้จริงเขาเพียงต้องการขี่ม้าโลดแล่นไปอย่างอิสระเท่านั้น

เนิ่นนานที่’วังฉางไห่’ สถาปนิกหนุ่มมากฝีมือเที่ยวเล่นชมธรรมชาติเพื่อหาแรงบันดาลใจในการทำงานชิ้นต่อไป ซึ่ง ณ ภูเขาแห่งนี้ก็ดูจะเป็นสิ่งที่เหมาะเจาะ ภูมิทัศน์งดงามไปด้วยสีสันต์หลากหลายที่รังสรรค์เคียงคู่กันราวกับสวรรค์บรรจงตกแต่งให้เป็นสวนพักผ่อนหย่อนใจขนาดย่อมสำหรับเทวดา

ต้นไม้เรียงรายกันงดงามหลากสีแข่งกันผลิใบอวดความงาม ยิ่งบุปผาสีสดที่แย้มบานราวกับเชื้อเชิญให้เข้าไปแตะต้องนั้นดูเหมือนจะดึงดูดให้หลงไปกับความงดงามอันยากจะปฏิเสธ หากเขาก็บอกตัวเองเสมอ
ไม่มีความงามใดที่ไร้หนามแหลม

เมื่อปรารถนาจะครอบครองความงาม ก็ต้องถามตนเองว่าพร้อมจะจ่ายค่าตอบแทนหรือยัง ถ้าไม่ ก็อย่าบังอาจเอื้อมสิ่งสูงค่าถ้าไม่อยากให้มือของตนเองนั้นกลายเป็นเหมือนที่รองรับฝนสีชาด

ที่ตีนเขาเต็มไปด้วยความงดงามอันอุดมสมบูรณ์หากขึ้นไปเรื่อยๆก็เริ่มมีสิ่งมีชีวิตน้อยลง สถาปนิกหนุ่มควบม้ามาจนถึงบริเวณที่เหลือเพียงสีขาวโพลน ความหนาวเย็นคืบคลานปกคลุมรอบกายจนเขาสั่นสะท้านหากก็ไม่อาจหยุดอาชาที่ก้าวต่อไปราวกับไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นนี้

วังฉางไห่หยิบเสื้อคลุมตัวนอกมาสวมทับแต่ก็ไม่อาจห้ามร่างกายให้สั่นสะท้านจากความหนาวได้ เขาพ่นลมหายใจที่กลายเป็นไอขาวลอยสู่ฟ้า เริ่มรู้สึกชาตามใบหน้าและมือ

“เจ้านำข้ามายังที่ใดกันนะ…”
เสียงที่เปล่งอย่างยากลำบากเพราะทุกครั้งที่อ้าปากลมหนาวจะเข้าปากไปทำให้แสบๆคันๆ ดวงตาสีน้ำสนิทหันกลับไปมองข้างหลังแล้วไม่พบรอยเท้าเลยแม้สักนิดเดียว เพราะในขณะนี้เองหิมะก็ตกอยู่

เขาแบมือรับละอองค้างแข็งนั้นไว้ราวกับต้องการสัมผัส หากเมื่อมันมากระทบกับมือเขามันก็ละลายหายไปอย่างรวดเร็ว หนาวเย็น ไร้สีสัน และไม่สามารถสัมผัสได้ ห่างไกล เย็นชา
สิ่งนี้… ว่างเปล่าเสียจนน่าชิงชัง

ในขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆเจ้าอาชาตัวสนิทก็หยุดเสียเฉยๆ เขารู้สึกถึงความผิดแปลกจนต้องค่อยๆสงบสติอารมณ์ตัวเอง ควบคุมลมหายใจไม่ให้ถี่รัวเหมือนจังหวะหัวใจที่กำลังบีบรัดด้วยความกลัวระคนตื่นเต้น
เมื่อมองไปรอบกายอีกครั้งจึงรู้สึกได้ … ว่าเขาถูกล้อมจนไม่มีทางหนีแล้ว..

“ ช้าก่อนสหาย เราไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใดต่อผืนดินนี้ เหตุใดพวกท่านจึงมิเผยตัวและสนทนาสักนิดเล่า ”
วังฉางไห่เอ่ยขึ้นเสียงดัง เขาไม่ต้องการมีเรื่องและแน่นอนว่าตัวเขาที่เป็นแค่สถาปนิกจับดินสอจะสู้กับผู้อื่นได้อย่างไร วิธีเดียวที่อาจช่วยเขาคือการเจรจา
แต่ทุกสิ่งไม่เป็นดังที่เขาคาด

“!!”
เมื่อทุกอย่างเผยตัวออกมาอย่างชัดเจน เขากลับกลัว รอบข้างเขาถูกล้อมด้วยสีดำ ไม่ว่าจะเป็นอาภรณ์ ใบหน้า อาชา หรือแม้แต่ก้นบึ้งของจิตใจนั้นก็เป็นสีดำสนิท .....ฤๅผู้คนบนภูเขาก็เย็นชาเหมือนหิมะนี้กัน ?

“เฮ้ย!!พวกเจ้า!! จะทำอะไร!! ปล่อย!!!!”
คนทรงอาชาในชุดเกราะสีทมิฬเดินเข้ามาใกล้แล้วเหวี่ยงวังฉางไห่ลงจากม้าก่อนกดเขาลงกับพื้นโดยไม่ทันคาดคิด คนถูกกดอยู่พยายามดิ้นออกจากการพันธนาการแต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่อาจสู้แรงได้

ดิ้นจนเหนื่อยตายเขาก็ดิ้นไม่หลุดจึงยอมจำนนในที่สุด ก่อนที่ดวงตาพร่ามัวด้วยหิมะจะมองไม่เห็นสิ่งใด เขากลับมองเห็นร่างกายที่แปลกประหลาดกับมือจำนวนที่ไม่เหมือนคน
...ฝันหรือ

ดวงตาสีหม่นนั้นทอดมองมายังตัวเขาอย่างเย็นชา ราวกับทุกสรรพสิ่งบนโลกนั้นเป็นเพียงหนอนแมลงหรืออะไรในกำมือที่จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด …..คิดว่าตัวเองนั้นสูงส่งมาจากไหน

วังฉางไห่สบตากับคนแปลกหน้าโดยตรง ท้าทาย ไม่ยอมแพ้…. เพิ่งแค่สบตา เขากลับชิงชังคนตรงหน้าที่เหมือนมองทุกสิ่งว่าต่ำต้อยเสียเหลือเกิน ....ชิงชัง….จนอยากฆ่าให้ตาย

โดยไม่รู้เลยว่า… สายตาของตน ทำให้ผู้สูงศักดิ์นั้น… หวั่นพระทัยอย่างพระองค์เองคาดไม่ถึง

…เจ้าของมือนับสิบย่อตัวลงใกล้ร่างของสถาปนิกที่หมดสติไปเพราะความหนาวเย็น หนึ่งในมือนั้นจับใบหน้างามคมขำให้เงยขึ้นมาพลันก็รู้สึกว่าพระทัยสั่นรัว...

จมูกโด่งรั้นรับกับริมฝีปากรูปกระจับที่แห้งแตกเพราะความเย็น ผิวขาวขึ้นสีเลือดฝาด ชายแปลกหน้าเผลอไผลกับความงดงามตรงหน้าจนลูบไล่เส้นผมดำเล่นอย่างหลงใหล

ไม่มีความงามใดที่ไร้หนามแหลม

---------------------------------------

มืด....หรือกำลังหลับตาอยู่กัน
วังฉางไห่ค่อยๆเปิดเปลือกตาอย่างยากลำบาก ก่อนรู้สึกว่ารอบกายสัมผัสถึงสิ่งแข็งๆและขรุขระคล้ายหิน กลิ่นอับชื้นลอยตลบไปทั่วจนเขาตกใจตื่นเต็มตา

“!?!”
สิ่งแรกที่เห็นหลังลืมตาตื่นคือเพดานที่มีลักษณะคล้ายถ้ำ เป็นหินที่มีตะไคร่น้ำเกาะเขียวครึ้มและมีหยดน้ำร่วงสู่พื้นเสียงเบา วังฉางไห่ค่อยๆดันตัวขึ้นมาและมองสภาพรอบๆอย่างขยะแขยง เขาค่อยๆกระพริบตาถี่ๆเพื่อปรับแสงจนกระทั่งเห็นลูกกรงตรงหน้า .....
.....คุกใต้ดินงั้นหรือ

สถาปนิกหนุ่มผู้เคยชินกับแสงสว่างและพระราชวังงดงามย่นหน้าเมื่อได้กลิ่นสาบไม่น่าอภิรมย์ ก่อนพยายามนึกถึงเหตุการณ์ใดๆก็ตามที่พาเขามาจนถึงทีนี่ ....จนกระทั่งนึกถึงบางอย่าง

มนุษย์ ....ที่มีมือนับสิบ

เพียงนึกถึงเขาก็ขนลุกไปทั่วร่าง อุณหภูมิดูจะลดลงจนเขาเสียวสันหลัง ความกลัวแล่นจับขั้วหัวใจก่อนจะกลายเป็นความพิโรธเมื่อนึกถึงนัยน์ตาแบบเดียวกับเหยี่ยวที่มองหนอนของคนแปลกหน้าผู้นั้น

เสียงเดินลงบันไดมาพร้อมกับแสงไฟสะท้อนเข้าตาเรียกให้วังฉางไห่หันไปมองและพบกับ....คนที่เพิ่งนินทาในใจเมื่อครู่

“…..ฟื้นแล้วหรือ”
ภาษาจีนสำเนียงแปร่งที่ฟังดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนชาติเดียวกับเขาแน่ๆ แต่ท่าทางการพูด กริยา และเสียงทุ้มกังวานทรงอำนาจนั้นบวกกับอาภรณ์ที่ตัดเย็บอย่างวิจิตรทำให้ดูออกได้ไม่ยากว่า ... เขาจะต้องเป็นราชนิกูลชั้นสูงไม่ผิดแน่

คนถูกถามเงียบไปเพื่อต้องการหยั่งเชิงว่าคนตรงหน้าจะทำเช่นไร จนกระทั่งอีกชันเข่าลงหน้า “เราคือว่านหนู กษัตริย์แห่งอาณาจักรนี้ เจ้าบุกรุกอาณาจักรเรา..... ”

สำเนียงที่ฟังเสนาะหูทำให้เขาเผลอพูดชื่อตัวเองออกไปอย่างไม่รู้ตัว “วังฉางไห่ ....กระหม่อมมีนามว่าวังฉางไห่”

‘ว่านหนู’ แย้มพระสรวลพึงพอใจ
“เอาล่ะวังฉางไห่ ......เจ้าขึ้นภูเขามามีธุระอันใด”
“ข้าแต่พระองค์ ม้าของกระหม่อมนำทางมาด้วยกระหม่อมหมายชมธรรมชาติเพื่อสะสางงานของกะหม่อมให้บรรลุ แม้งานสร้างพระราชวังจะมีเค้าโครงมิต่างกัน หากก็ต้องการเอกลักษณ์ที่น่าหลงใหล”

“เจ้าเป็นสถาปนิกหรือ ?”
ดวงตาสีทองมองวังฉางไห่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยความคาดไม่ถึง “...อย่ากล่าวเช่นนั้นเลย กระหม่อมเป็นเพียงคนสร้างบ้านฝีมือไร้ความประณีต”
เขาพูดถ่อมตัวอย่างระวังภัย

หากดูเหมือนผู้สูงศักดิ์ไม่ได้สนพระทัยอีกแล้ว เขาเรียกทหารมาเปิดประตูคุกให้วังฉางไห่ออกมา หากคนที่ถูกปล่อยตัวยังไม่ทันตั้งคำถาม เขาก็เป็นคนกล่าวออกมาเอง

“วังฉางไห่ เรามีงานให้เจ้าทำ”
ประโยคนั้นไม่ใช่ประโยคบอกเล่า คำถาม หรือขอร้อง ....แต่มันคือคำสั่ง ... และหากปฎิเสธจ้าวเหนือหัว โทษสถานเดียวนั้นคือ
ตาย

ผู้ได้รับโอกาสให้มีชีวิตรอดคักเข่าลงทำความเคารพแล้วเอ่ยออกไปด้วยใจที่แตกสลาย
“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง....”
จะมีสักวันไหมหนอ ....ที่วังฉางไห่ผู้นี้จะได้กลับคืนสู่บ้านเมืองเดิม



---------------------------------------


ตำหนัก .....
แค่ได้ยินชื่อก็คิดหนักจนจะลมจับ ของแบบนั้นคิดกันได้ง่ายๆที่ไหน แล้วกว่าจะสร้างเสร็จอีก แต่ผู้บุกรุกที่ตกอยู่ในตำแหน่งจะบีบก็ตายจะคลายก็ไม่รู้จะกลับบ้านถูกหรือเปล่าจะสามารถเถียงอะไรกับผู้อยู่เหนือสรรพสิ่งได้เล่า

เฮ้อ...
วังฉางไห่ถอนหายใจเป็นรอบที่ล้านของวัน แม้หลังจากเขาได้รับงานชิ้นนี้แล้วชีวิตในอาณาจักรนี้จะดีขึ้นมาผิดหูผิดตาแต่ก็ไม่มีใครมาคบค้าสมาคมด้วยอยู่ดี เป็นเพราะทั้งอาณาจักรมีเพียงกษัตริย์ว่านหนูคนเดียวที่พูดภาษาเดียวกันกับเขาได้

“ ...อยากกลับบ้านเหลือเกิน.. ”
ใช่ว่าเขาไม่เคยจากบ้าน แต่ครั้งนี้เขาไม่รู้ว่าเขาจะมีโอกาสได้กลับบ้านอีกครั้งหรือไม่ บนโต๊ะมีกระดาษสีขาวโล่งวางไว้ ในมือมีพู่กันที่แห้งกรังด้วยน้ำหมึกสีดำ เขายอมรับว่าเขาคิดอะไรไม่ออกเลย ด้วยความกดดัน ความเครียด และไร้แรงบันดาลใด งานศิลป์ชิ้นหนึ่งใช่จะขีดเขี่ยพาไปทีได้

ดวงตาสีดำขลับมองรอบห้องแล้วพบเจอแต่แบบงานก่อสร้างที่ไม่คุ้นตา แม้แต่ถ้วยกระเบื้องใส่น้ำชายังเป็นรูปลักษณ์และลวดลายแปลก มันคือ....ตะขาบงั้นหรือ …

เขาเผลอยื่นมือไปแตะตรงลวดลายตะขาบนั้นแล้วก็ต้องตกใจเมื่อสัมผัสโดนตะขาบนั้นก็คล้ายจะสะดุ้งแล้วหายไปทันที !

เพล้ง!!
เขาปั่นกาน้ำตาตกแตกในทันทีที่เห็นเช่นนั้น เขาตกใจ...ใช่ ตกใจมากด้วย หลังจากตั้งสติได้เขากุมบริเวณหัวใจตัวเองที่สั่นระรัวอย่างห้ามไม่ได้ จนกระทั่งรู้สึกถึงเงาใหญ่ที่ทาบทับร่างกายตน

“!?!”
“เราเองวังฉางไห่”
เมื่อหันมาก็พบกับเจ้าเหนือหัวว่างงานที่ชอบมานั่งเล่นกับเขาเมื่อมีโอกาส บางครั้งก็จะมาดื่มชาด้วย เขาไม่มีสิทธิ์ปฎิเสธแม้บางครั้งจะชิงชังและรำคาญเล็กน้อยแต่ก็ไม่เคยออกปากไล่ “เราเพียงได้ยินเสียงของตกแตก เจ้าปัดกานร่ทิ้งทำไมหรือ ?”

วังฉางไห่ก้มหน้างุดด้วยเกรงอาญาผิด
“…กระหม่อม...”
“เจ้าหาใช่ข้าราชบริพารของเราไม่ โปรดใช้คำปกติเช่นที่เจ้าเคยชินเถิด”
คิ้วของสถาปนิกหนุ่มขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยิ้มให้ก็ไม่อาจปฎิเสธ “ขอรับ... เมื่อครู่ข้าบังเอิญพบตะขายเกาะอยู่ที่ถ้วยชา ด้วยความตกใจจึงเผลอปัดมันตก…”

หมับ!
“โถ ขวัญเอ้ยขวัญมา…”
ไม่รู้ว่าผู้สูงศักดิ์คิดเช่นไรจึงดึงตัววังฉางไห่แล้วรวบกอดแน่นพร้อมลูบหัวปลอดประโลม คนที่ตกใจเมื่อครู่ตกใจมากกว่าเดิมเพราะสัมผัสอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับ ....ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นในจิตใจทำให้เขารู้สึกแปลกจนผลักว่านหนูออกไป “ท ท่านทำอะไร!?!”

คนถูกผลักขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “ปกติมนุษย์เขาไม่ได้ปลอบกันเช่นนี้หรือ”
“ถ้าใช่ก็แย่แล้ว!!”

คนถูกกอดแว้ดขึ้นอย่างไม่รู้ตัวเรียกเสียงหัวเราะจากอีกคนได้ เสียงขำยิ่งทำให้วังฉางไห่หน้าขึ้นสีแดงด้วยความทั้งโกรธทั้งอาย แต่ไม่ทันได้ทำอะไรอีกฝ่ายก็ชิงถามก่อน “เป็นอะไรหรือ คิดไม่ออกหรืออย่างไร” ..เรียกสัพยอกอาจเหมาะกว่า

เมื่อถูกถามคนหัวใสก็พบช่องทางกลับบ้าน เขาแย้มยิ้มขึ้นพร้อมเตรียมแผนการ
“ ไม่ผิด... เนื่องจากกระหม---- ... ข้าอยู่แต่ในห้องเช่นนี้ จะคิดงานศิลป์ออกได้เป็นเรื่องยากยิ่งนักฝ่าบาท ”
คนรู้ทันหรี่ตามองคนหัวแหลมแล้วแย้มยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ “ เจ้าจะขอออกไปข้างนอกงั้นหรือ ”

ชิบหาย..วังฉางไห่คิดแต่ยังประดับยิ้มไว้บนใบหน้าที่มีเหงื่อผุดพราย แต่ยังไม่ได้หาข้อแก้ตัว...
“ได้ เราอนุญาต”
และไม่ปล่อยให้วังฉางไห่ดีใจผู้อยู่เหนือหัวก็เอ่ยประโยคที่ดับพระอาทิตย์ในใจ “แต่!.....เราจะไปกับเจ้าด้วย”

ผู้คิดหลบหนีหม่นหมองลงในทันทีและถอนหายใจ
“..เป็นน้ำพระทัยอันมากล้นเหลือเกินพะย่ะค่ะ”


---------------------------------------


แม้จะไม่อาจหลบหนีได้ดั่งใจแต่ก็ถือว่ามาสำรวจทางหนีทีไล่แล้วกัน... เขาก้าวตามกษัตริย์แห่งว่านหนูไปด้วยใจห่อเหี่ยว กระนั้นเขาก็ยอมรับว่าสถาปัตย์อันแปลกตานี้สร้างความพึงใจให้เขาไม่น้อย
เอกลักษณ์ของมันต่างกับสถาปัตยกรรมจีนที่เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ที่เต็มไปด้วยสีแดงและสีทอง มันหม่นหมอง เศร้าสร้อย เชกเฉ่นคีรีที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งและหิมะทั้งปี

“บรรยากาศที่นี่.... เหตุใดจึงเศร้าหมองนัก”
คำลอยๆที่เอ่ยขึ้นไร้คำตอบ ดวงตาสีดำยังคงมองไปรอบๆอย่างชื่นชม ทั้งๆที่วิจิตรบรรจงและประณีตขนาดนี้แท้ๆ แต่กลับแผ่รังสีเทาจางๆออกมาราวกับบ่งบอกถึงความแข็งกระด้างของผู้คนในอาณาจักร เพราะอยู่ท่ามกลางความหนาวเย็นมานานเกินไปหรือ ....

ทั้งสองคนเดินมาเรื่อยๆตามทางเต็มไปด้วยพืชสีเขียวเข้ม ไม่ก็ต้นสน หรือเฟิร์น มอสอันเป็นพืชที่ขึ้นตามที่หนาวอยู่แล้ว เดินมาไกลจนกระทั่งถึงสถานที่ประหลาด ...
....แปลงดอกไม้

ทำไมถึงมีแปลงดอกไม้อยู่ที่นี่!? สีสดของดอกไม้สร้างความประหลาดใจให้มาก โดยเฉพาะดอกสีแดงที่มีหนามแหลมนั่นช่างไม่ต่างกับที่เขาเห็นแถวพระราชวังเลย

“แม้ภายนอกพวกเราจะดูหยาบกระด้าง แต่หากเจ้าได้อยู่ร่วมกันแล้ว ...เราก็ไม่เป็นอย่างที่เจ้าคิด”
รอยยิ้มอ่อนโยนที่ทอดส่งมาให้พร้อมสายตาที่สื่อความนัยน์ทำให้หน้าซับสีแดง วังฉางไห่แกล้งเบือนไปมองดอกไม้ ....เขาไม่เคยได้รับอะไรแบบนี้จากใคร ในยามปกติเพียงพบและร่วมงานก่อนลาจากก็พอแล้ว

แม้จะเป็นแปลงดอกไม้แต่อากาศที่นี้ก็หนาวอย่างเหลือเชื่อจนเขาห้ามร่างกายไม่ให้สั่นไม่ได้

ในดวงตาสีอำพันที่สะท้อนภาพอีกคนกอดอกตัวเองหนาวสั่นทำให้เขาส่ายหน้าแล้วแย้มสรวลเบาบาง ก่อนถอดเสื้อตัวเองแล้วคลุมให้จนแม้แต่วังฉางไห่ยังตกใจเบิกตาแล้วมองอย่างไม่เข้าใจ
“…ทำไม”

“ก็หนาวไม่ใช่หรือ”
ผู้อยู่เหนือผู้คนเรือนหมื่นแสนยิ้มอย่างอ่อนโยนขนาดที่เจ้าตัวยังคาดไม่ถึง พร้อมถึงวิสาสะกุมมือวังฉางไห่ที่อุ่นกว่ามือตัว คนถูกจับมืออึ้งจนทำอะไรไม่ถูก

ทั้งที่มืออีกฝ่ายเย็นจนเหมือนไม่มีชีวิต แต่ความอบอุ่นที่เกิดขึ้นไปทั่วร่างกายนี่มันหมายความว่าอะไรกันหนอ...

วังฉางไห่หลับตาลงปล่อยให้ความอบอุ่นครอบงำความรู้สึกเอาไว้ตราบเท่าที่เขายังอยู่ตรงนี้
...ก่อนที่เขาจะจากไป

...

หลังจากวันนั้นวังฉางไห่ก็ไม่ออกไปไหนอีกเลย เขาง่วนกับการร่างแบบแปลนตำหนักที่เขาชมนกชมไม้มองฟ้าแล้วก็คิดออก.....ตำหนักทิพย์พิมานเมฆ .... เขาจะต้องทำมันออกมาให้ดีที่สุด

แม้จะเป็นงานที่ไม่ได้อะไรตอบแทน แม้จะเป็นงานที่แลกกับการมีชีวิตอยู่ เขาควรทำมันออกมาให้ดีที่สุด ไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงในฐานะสถาปนิกคนหนึ่ง

ไม่ได้ทำเพื่อใครบางคน.....

เพียงคิดถึงก็เหมือนกับอีกคนจะมาโผล่ด้านหลังและสวมกอดเขาอีกครั้ง …..ด้วยความเคยชินเพราะถูกกระทำเช่นนี้บ่อยแล้วจึงไม่ผลักออก “เฮ้อ... ท่านอีกแล้วหรือ”

“เราเห็นเจ้าเครียด”
วังฉางไห่วางพู่กันลงแล้วปล่อยให้อีกคนกอดตนตามใจชอบ เมื่อเห็นคนในอ้อมแขนมีท่าทีอ่อนลงว่านหนูก็เกยคางของตนบนบ่าอีกฝ่าย

ท่ามกลางความเงียบที่ไร้คำพูดใดสายสัมพันธ์เบาบางคล้ายจะเชื่อมทั้งสองคนเอาไว้จนกว่าจะถึงวันพรากจาก ความหวานลอยอ้อยอิ่งอยู่รอบตัวจนวังฉางไห่ยังแปลกใจที่ตัวเองปล่อยใจให้อีกคนมากมายขนาดนี้
อาจเพราะท่ามกลางสถานที่ไม่รู้จักแห่งนี้ ว่านหนูเป็นคนเดียวที่เข้ามาในชีวิต มานั่งคุยเล่น ดื่มชาทุกครั้งที่เขาแทบคลั่งตายกับภาวะสมองตีบตัน

ทั้งยังมีน้ำใจชวนชมเมือง ชมสรรพสิ่งมากมาย ชมนมชมไม้ ให้เขามีโอกาสหนีหลายครั้งเมื่ออีกฝ่ายละสายตาไป
แต่เขาไม่ทำ...เป็นเพราะอะไรกันหรือวังฉางไห่ เจ้าตอบตัวเองได้หรือไม่
จะโกหกตัวเองว่าเป็นเพราะไม่อาจละทิ้งงานได้หรือ ......

ไม่ เขารู้ตัวเองดีว่ามันมีเหตุผลมากกว่านั้น

วังฉางไห่หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้าเอนหัวซบกับศีรษะอีกฝ่าย ทิ้งความคิดไว้เบื้องหลัง รับความอบอุ่นที่แทรกซึมผ่านมือทั้งหลายที่คล้ายจะปลดเปลื้องเขาออกจากความกดดันใดๆ
คงต้องรีบทำให้เสร็จสิ้นเสียที

เจ้าของมือนับสิบขมวดคิ้วมองคนในอ้อมกอดอย่างประหลาดใจ แม้ก่อนหน้านี้เขาจะทำอะไรแล้วคนข้างๆนี้ไม่ปฎิเสธ แต่ก็ไม่เคยแสดงท่าทีว่ายอมเขาเลยสักครั้ง แล้วครั้งนี้เหตุใดจึงออดอ้อนเช่นนี้
“วังฉางไห่ เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า”

“...เปล่าครับ ข้าแค่เหนื่อยนิดหน่อย”
กระแสเสียงนั้นเบาบางจนรู้สึกได้ กว่าจะรู้สึกว่าอ้อมกอดคลายออกวังฉางไห่ก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปเสียแล้ว

จักพรรดิแห่งอาณาจักรหยัดยืนขึ้นมองคนที่หลับไปฟุบอยู่กับโต๊ะก่อนระบายยิ้มบางอย่างเศร้าสร้อย เขาไม่อาจขังอีกฝ่ายไว้ได้ตลอดไป เขารู้ดี แต่เขาต้องการยื้ดเวลาให้ทุกอย่างเนิ่นนานกว่านี้

เขาไม่เคยเชื่อในรักแรกพบ แต่วตั้งแต่วินาทีแรกที่สบตากับวังฉางไห่คนนี้ เขากลับรู้สึกเป็นครั้งแรกว่า...ความรักมันเป็นแบบนี้ ภายใต้ความภักดีเขาไม่เคยพบสิ่งใดนอกจากความยำเกรง
หากคนตรงนี้กลับกล้า ท้าทาย คล้ายยอมหักไม่ยอมงอ แต่ด้วยความจำเป็นต้องรักษาชีวิตรอดจึงต้องโอนอ่อนอย่างเสียไม่ได้ ..แต่หลายครั้งอีกฝ่ายก็ดูจะหวั่นไหวไม่น้อยเช่นกัน

หนึ่งในสิบมือปัดผมที่ปรกหน้าวังฉางไห่ออกก่อนที่ว่านหนูจะก้มลงไปใกล้ๆแล้วมอบจุมพิตใกล้พวงแก้มใส
“ราตรีสวัสดิ์”
ด้วยห่วงว่าจะอากาศหนาวขึ้นอีกจึงปลดผ้าคลุมแล้วคลุมให้คนที่นอนหลับอยู่อย่างห่วงใย และเดินจากไป


---------------------------------------


คนแกล้งหลับลืมตาในความมืด ใบหน้าขึ้นสีแดงอย่างห้ามไม่ได้เช่นเดียวกับใจที่เต้นแรง เขาไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมต้องรู้สึกอะไรกับคนที่ดูจะไม่ใช่มนุษย์แบบนั้น

หากสัมผัสที่อบอุ่นที่เคยถูกจับต้องมือยังคงอยู่และยังคงส่งความอบอุ่น ไม่ต่างกับเสื้อที่เขาคลุมให้ หรือแม้แต่แก้มที่ถูกชิงจูบก็ยังเห่อร้อน....
....ไม่สมควรเลย

เขามองแบบแปลนที่วางเอาไว้ มันเสร็จสมบูรณ์แล้ว เหลือเพียงให้จ้าวเหนือหัวมาพบและนำมันไปทำเท่านั้น
...ควรจะกลับไปหาแสงตะวัน ณ บ้านของตนได้แล้ว
...เวลาที่บิดเบี้ยวนี้ควรจบลงได้แล้ว

สถาปนิกหนุ่มคิดได้ก็คว้าตะเกียงน้ำมันขึ้นมาจุด เขาวางผ้าคลุมนั้นไว้ในห้องและเดินจากไป

ออกมาจากห้องนั้นได้สักกี่ครั้งกันนะเรา ... เขาคิดพร้อมไม่รู้จะก้าวเดินไปทางไหนดี เนื่องจากไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับอาณาจักรลึกลับนี้ ควรจะก้าวไปทางใด แล้วในความมืดนี้เขาควรทำเช่นไรดี

ดวงตาสีดำยิ่งวกว่าท้องฟ้าในยามนี้แหงนมองดวงจันทราสีนวลผ่องพร้อมอธิษฐานในใจ
ได้โปรด ... ปลดปล่อยข้าออกจากสถานที่แห่งนี้ด้วย

มาทางนี้สิ....
ราวกับได้ยินเสียงแปลกประหลาดเรียกให้เขาเดินตามไป และไม่มีเวลาตัดสินใจ เขารีบหมุนตัวและเดินไปตามเสียงนั้นทันทีโดยไม่คิด หากมีทางเดียวที่เหลืออยู่ ก็จะขอตามไปอย่างไม่ลังเล
ไม่ว่าจะเจอสิ่งใดก็ตาม...

สองขาก้าวไปเรื่อยๆคล้ายไม่รู้สติ ลึกลงไปใต้ดิน บันไดคล้ายเป็นใจให้เขาเดินเข้าไป แสงจันทร์ส่องทางให้ร่วมกับแสงจากตะเกียง ลึกลงไป..ลึกลงไป.... จนไร้แสงใดนำทาง มองเห็นเพียงพื้นข้างหน้าไม่กี่เมตร...
...จนไร้ซึ่งบันไดให้ก้าวต่อ

พื้นราบเรียบขรุขระไปด้วยหินทำให้เดินลำบากนิดหน่อย แต่กลิ่นอับชื้นปนกลิ่นสาบสางแปลกๆทำให้วังฉางไห่นิ่วหน้า ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็เกลียดกลิ่นนี้

!
เขารู้สึกเหมือนเดินสะดุดอะไรบางอย่าง ด้วยความสงสัยจึงเก็บมันขึ้นมาดู .... ลัญจกร ? ทำไมจึงมาอยู่ในที่แบบนี้กัน

เมื่ออยู่ในที่มืดนานๆเขาก็เริ่มปรับสายตาได้ และชิน...... และตกใจ

หลังจากมองเห็นสถานที่ที่ตนหลงเข้ามาแล้วก็ต้องตกใจ เมื่อมองขึ้นไปเจอประตำสำริดขนาดยักษ์ที่สลักลวดลายแปลกประหลาดเหมือนเป็นรูปแต่ก็ไม่ใช่ อักษรก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาเคยพบ เขาตะลึงงันไปนาน
กว่าจะรู้ตัว...ประตูนั่นก็เปิดออกแล้ว..

ควันสีฟ้าลอยฟุ้งตลบในอากาศราวกับมนต์สะกดให้เขาก้าวเข้าไปอย่างไร้ความลังเล

แม้ใจจะกล้าๆกลัวๆแต่ไม่อาจหยุดร่างกาย ไม่อาจหยุดขาที่ก้าวเข้าไปในประตูที่เปิดอ้าเชื้อเชิญ

ทันทีที่ก้าวเข้าไปเขาก็ต้องแปลกใจกับสิ่งที่เห็น เหมือนสติที่หายไปถูกดึงกลับมาอยู่กับตัวอย่างไม่คาดคิด เขาหมดแรงลงดื้อๆพร้อมกับความรู้สึกบางอย่างจุกที่ลำคอ

พูดไม่ออก บอกไม่ถูก เหลือเพียงความว่างเปล่าในหัว

รู้สึกตัวอีกที ก็ถูกลากออกมานอกประตูสำริดด้วยมือจำนวนมาเสียแล้ว

“เมื่อกี้มัน.....”
ยังไม่ทันได้พูดจบก็ถูกปิดปากด้วยมือของใครบางคน กลิ่นที่คุ้นเคยลอยแตะจมูกจนเขาสะดุ้ง เมื่อหันไปมองก็พบกับคนๆเดียวที่เห็นหน้ามาตลอดหลายเดือน “....ฝ่าพระบาท”

ไม่มีอีกแล้ว.. สายตาอ่อนโยนที่เคยมอบให้ เหลือเพียงสายตาผิดหวังที่คล้ายจะตำหนิ สถานที่แห่งนี้ดูอย่างไรก็เป็นความลับ แต่เขาก็ยังเข้ามา ความรู้สึกผิดโถมเข้าใส่ราวกับคลื่นซัดอย่างแรง

สายตาที่มองทอดมาเหมือนหิมะที่ขาวโพลน เย็นชาและว่างเปล่า ....

ราวกับรู้ถึงสิ่งที่กำลังจะมาถึง วังฉางไห่หลับตาลงอย่างยอมรับ ไม่เกรงกลัวว่าชีวิตตัวเองจะถูกปลิดทิ้ง

หากสิ่งที่ได้รับกลับตรงกันข้าม

ริมฝีปากอุ่นนุ่มทาบทับลงมาจนวังฉางไห่เบิกตากว้าง รสสัมผัสที่ไม่เคยได้ลับประหลาด ทั้งหวานซึ้ง เศร้าระทม ผิดหวัง ......แต่ที่สำคัญที่สุด ..... คืออาลัย
ราวกับต้องจากกันไกลตลอดกาล

น้ำตาที่ไหลโดยไม่รู้ตัวถูกอีกฝ่ายเช็ดให้อย่างอ่อนโยน พร้อมกล่าวอย่างชัดเจน
“กลับไปซะวังฉางไห่ กลับไปสู่โลกของเจ้า”

“ท่านหมายความว่าอย่างไร...”
อีกฝ่ายทอยิ้มละมุน ไม่ตอบคำถาม “ความลับบาองย่าง ก็จงให้มันเป็นความลับต่อไปเถิด”

ผู้สูงศักดิ์ยื่นมือมาปิดตาวังฉางไห่ รู้สึกแปลกประหลาดจนต้องท้วงถาม “ทำอะไร!?!”
“ไม่ต้องห่วงนะ....อีกไม่นานเจ้าก็จะลืม ทุกเรื่องที่พบที่นี่”….รวมทั้งเรื่องของเราด้วย
ว่านหนูจูบเขาอีกครั้งและอีกครั้ง เพราะมันคือครั้ง... ‘สุดท้าย’

“ไม่เอา....ข้าไม่อยาก...ลืม....”
ไม่มีคำตอบใดหลุดออกจากปากนอกจากแรงดึงให้เดินตาม เขาหยุดไม่ได้ ห้ามไม่ได้ มีก้อนความรู้สึกมาจุกที่ลำคอจนไร้คำพูดใดๆจนกระทั่งเดินมาถึงหน้าม้าตัวหนึ่ง

“วังฉางไห่”
ชื่อที่คนตรงหน้าเรียก..ช่างมีอิทธิพลอย่างร้ายกาจ หัวใจที่บอบช้ำค่อยๆทำลายตัวเองอย่างช้าๆ .... ยิ่งเจ็บปวดทบเท่าทวีคูณเมื่ออีกฝ่ายจูบซับน้ำตาให้ “ไปซะ ....ก่อนที่เจ้าจะไม่มีโอกาส”
…เพราะกฎบอกเอาไว้ว่าผู้ใดบังอาจล่วงรู้ความลับโดยไม่ได้รับอนุญาต โทษอย่างเดียวคือประหาร

เขาเคยคิดว่าเขาเป็นคนไร้หัวใจ แต่ไม่ใช่กับคนๆนี้ เขาไม่อาจทำใจปลิดชีวิตผู้เป็นดั่งใจได้
ความเย็นชาครั้งนี้อาจเป็นความอ่อนโยนเดียวที่เขามีก็เป็นได้

“ลาก่อน ....ตลอดกาล”
อย่าได้หันหลังกลับมาอาลัยอีกเลย ....

เมื่อไม่อาจปฎิเสธคำกล่าวไล่ที่เป็นเหมือนคำอ้อนวอนได้ เขาจำใจควบม้าลงเขามา น้ำตารื้นขึ้นบดบังทุกสิ่งราวกับจะช่วยชะล้างความเจ็บปวดที่ไม่มีวันสิ้นสุด

นานเท่าไรที่ขี่ม้ามา เนิ่นนานเพียงไรกว่าจะมาถึงหน้าบ้านของตนและพบว่าไม่มีใครอยู่ในนั้น

ในสมองเริ่มสับสนเลือนราง เขาคว้าของสองสามชิ้นที่มีลักษณะเป็นปลาหางมังกร สลักทุกสิ่งที่พบ สลักทุกสิ่งที่ยังคงจำได้ สลักความทรงจำ....เพื่อให้มาอ่านอีกครั้งแล้วจะไม่ลืม

น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไม่อาจหยุดมือที่สลัก แม้ความเจ็บปวดรวดร้าวจะทำให้ในที่สุดก็ไม่อาจเขียนสลักลงไปเป็นภาษาได้ เขากุมหัวใจตัวเองที่บีบรัดอย่างหนัก

ร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตา ...จนหลับไป

และเมื่อตื่นมา.....เรื่องราวทั้งหมด...ก็ได้ลบเลือนไปแล้ว

วังฉางไห่เดินออกมาหน้าบ้านด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด โหวงเหวง ทั้งที่จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ในใจกลับระทมเสียจนไม่อยากมีชีวิตอยู่

“หืม....”
เขามองปุยนุ่มสีขาวที่ร่วงลงมาจากฟ้า ....ฤดูหนาวแล้วหรือ... หิมะเริ่มพัดมาแล้วสินะ เขาคิดเช่นนั้น หิมะก็เป็นแค่หิมะ ลำบากนิดหน่อยตอนจะเก็บกวาด ไม่เห็นจะมีอะไรสลักสำคัญ ...

“เอ๊ะ...”
กระนั้น...เขากลับสัมผัสได้ถึงหยาดน้ำเค็มปร่าที่ไหลอาบแก้ม
ทั้งที่ไม่รู้ ทั้งที่ไม่เข้าใจ แต่กลับเศร้าใจเหลือจะกล่าว ชิงชังเจ้าก้อนสีขาวที่ตกลงมาบนมือแล้วละลายหายไป หนาวเย็น ไร้สีสัน ห่างไกล เย็นชา
ว่างเปล่า.... แต่กลับทำให้โหยหา
อ้างว้าง ...อย่างที่ไม่เคยเป็น

วังฉางไห่ ....เกลียดหิมะที่ทำให้เขาโดดเดี่ยวขนาดนี้
เกลียดเหลือเกิน...

The end

---------------------------------------


/อ่อนโยนนี่แต่งยากจังค่ะ /จบแบบนี้จะตามมาตบเราไหม ฮือ ขอโทษค่ะ ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

ยังไงก็ สวัสดีนะคะคุณเจ้าของซีเคร็ท เย้ ; v Wink/
Shiaeri
Shiaeri
ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา
ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา

จำนวนข้อความ : 135
Points : 3667
Join date : 10/11/2014
ที่อยู่ : หน้าประตูสำริด

ขึ้นไปข้างบน Go down

Secret - [To my secret] felis_d Empty Re: [To my secret] felis_d

ตั้งหัวข้อ by felis_d Mon 26 Jan 2015, 02:03

โฮรวววววว คู่นี้มันหวานปนขมสินะ.....TVT) เเต่คิงก็อ่อนโยนในเเบบของคิงเเล้วล่ะ ไม่เอานะท่านวังอย่าร้อง โอ๋ๆ....ปลาสามตัวนั่นมีที่มาอย่างงี้นี่เองงงงง  
กอดคุณดาวววววว ขอบคุณมากค่ะ
felis_d
felis_d
ด้วงฝึกหัด
ด้วงฝึกหัด

จำนวนข้อความ : 10
Points : 3498
Join date : 28/10/2014
ที่อยู่ : เป็นขี้เล็บนิ้วนางมือที่6ของคิงว่านหนู

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน

- Similar topics

 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ