Countdown
We've been
togerther for

ค้นหา
 
 

Display results as :
 


Rechercher Advanced Search


[fic]Remembrance[นายพลจางxปู่อู๋]

2 posters

Go down

[fic]Remembrance[นายพลจางxปู่อู๋] Empty [fic]Remembrance[นายพลจางxปู่อู๋]

ตั้งหัวข้อ by kuramajoy Thu 06 Nov 2014, 20:43

[fic]Remembrance[นายพลจางxปู่อู๋] 10152047_593547137435405_8563099825359050446_n

Remembrance

(เล่นกันขำๆ จะจบหรือไม่ช่างหัวมัน ชื่อเมะและเคะยังไม่รุ้เลยโอ๊ยยย จะเข้าฉากเรทยังไงเนี่ย)
Fic บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน
คู่ นายพลจางXปู่อู๋
สปอย 1-7
ฟิคนี้เกิดจากการมโนแลนด์ของจิ้งกับปลาล้วนๆเพราะยังไม่มีประวัติของรุ่นปู่แพลม ดังัน้นจึงผิดคาแรกเตอร์กันสุดกู่และอาจเป็นจิตนาการล้วนๆ
ฟิคนี้จะเป็นการพลัดกันแต่ง

ปู่อู๋ (อู๋เหลาโก่วอันนี้ไม่ใช่ชื่อนะคะเป็นฉายา แบบว่าหาชื่อไม่เจอจริงๆ) -จิ้งเมะ (kurama joy)
พลจาง-ปลาเคะ (silver fish)
เป็นเรื่องราวของเก้าตระกูล


วินาทีที่เราพบกันคือยามที่ดอกไม้โปรยปรายพวกพ้องของผมเห่าระงม พวกมันสัมผัสได้ถึงความอันตรายจากร่างกายของนายผมเงยหน้าขึ้นมองเขา

เรือนร่างสง่างามในชุดทหารนัยน์ตาเย็นชาที่ราวกับละทิ้งทุกสรรพสิ่ง เรือนผมสีดำขลับใบหน้าสมบูรณ์แบบที่เข้าคู่กับสีของทหารกล้า

นายจะรู้ไหมว่าผมชั่ววินาทีที่กลีบของดอกท้อปลิวปรายลงมา ติดบนศีรษะของนาย ผมคิดว่า..อาเหมาะดีเหลือเกิน

“มีธุระอะไรกับฉันหรือ” ผมเป็นคนจนแถมยังพวกแดนตายคว่ำกรวยหากินไปวันๆ เสื้อผ้ามอมแมมสกปรกหากไม่มีธุระใครจะอยากมาหา

“อยากให้นายมาร่วมงานกับฉัน”เสียงทุ้มของเขาดังขึ้น มือแกร่งกระชับปีกหมวกของทหาร ผมเหยียดยิ้มพาโบกมือให้พวกพ้องหยุดเห่ายามที่สุนัขเก่าไม่ใช่หมายความว่ามันจะขู่เพียงอย่างเดียวแต่มันกำลังหวาดกลัวอีกด้วย ผมเห็นเพื่อนสี่ขาตัวน้อยเห่าไปขาสั่นไป

“นายเป็นอะไรกันแน่ทำไมเพื่อนของฉันถึงได้กลัวขนาดนี้”ผมให้สุนัขนั่งร้องได้ยินเสียงร้อง งิ๊ดของเหล่าเจ้าตัวน้อยยามที่ผมก้าวเท้าเข้าใกล้เขา

“พวกมันคงตัดสินใจแล้วว่าฉันอันตรายกับนาย”นัยน์ตาเย็นชาของเขามองไปยังเจ้าสุนัขสี่ขาพวกมันหมอบลงราวกับเจอเจ้าป่าที่ทรงอำนาจกว่า ทำให้จำยอมผมคลี่ยิ้มหยุดตรงหน้าเขาไม่ถึงคืบ

“ถ้าัง้นคนอันตรายแบบนายต้องการอะไร”ผมเอียงคอ มองทหารหนุ่มตรงหน้า ร่างกายแข็งแกร่งยืดตรงการเดินดูภูมิฐาน

“ต้องการนาย”

คำตอบที่พาให้ผมหัวเราะ ....

“อย่าไปพูดแบบนี้กับคนอื่นเชียวนะเดี๋ยวเขาเข้าใจผิด”หมอนี่ดูท่าทางก็ดีอยู่หรอก เสียแต่แสดงออกได้แย่ชะมัด “ถ้าฉันไม่ร่วมงานด้วยละก็นายบอกเองว่าตัวเองเป็นอันตราย”

“นายไม่มีทางเลือก”มือแกร่งฉวยเอาข้อมือผมขึ้น แรงบีบหนักหน่วยทำให้ผมหรี่ตาคิดอยากจะหลบหนีจากข้อมือแต่เรี่ยวแรงมหาศาลสะกดผมให้อยู่กับที่“ถ้าสุนัขไม่เชื่อฟัง ก็มีหลายวิธีให้เชื่อฟังไม่ใช่หรือ”

“นั่นสินะ”ผมคลี่ยิ้มก่อนที่จะยกมือยอมแพ้ นายทหารผู้นั้นยอมละมือจากข้อมือของผมดูเหมือวันนี้เขามาเพียงแค่หยั่งเชิง นัยน์ตาสีราตรีกาลมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

“จางฉี่ซัน”

“หือ” ผมงุงงงได้เพียงครู่เดียวก่อนที่จะแตะที่ข้อมือตัวเองมันทอดทิ้งร่องรอยห้านิ้วของชายผู้ชื่อจางฉี่ซันเอาไว้ “ใครๆก็เรียกฉันว่าอู๋เหลาโก่ว”

“ฉันรู้แล้ว” จางฉี่ซันปรายตาผมก่อนที่จะกระชับหมวกเหลือบมองผมเป็นครั้งสุดท้าย “พรุ่งนี้จะมารับคำตอบ”

“ฉันดูมีทางเลือกด้วยหรือ” ข้อมือที่ถูกเขากำรอบเจ็บแปร๊บผมลูบมันท่ามกลางเสียงขู่ของเพื่อนตัวน้อยจางฉี่ซันชายผู้ราวกับจ้าวแห่งสัตว์ก็หายลับไปผมเอื้อมมือไปรับกลีบดอกท้อที่โปรยปรายลงมาพลางนึกขำ

ทำไมกันนะถึงได้คิดว่าชายผู้น่ากลัวคนนั้นช่างเหมาะกับดอกไม้ไม่เลว


+++++++++++++

‘ได้พบกับเขาแล้ว...’

ร่างสูงโปร่งซ่อนรูปร่างสมส่วนไว้ภายใต้เครื่องแบบทหาร เดินไปทางเงียบสนิทหลังจากไปเจอกับเจ้าบ้านสกุลอู๋เป็นการส่วนตัวมาเมื่อครู่

ดวงตาสีดำลึกล้ำทอดมองไปตามความมืดด้วยแววตาเรียบเฉยแฝงไปด้วยความคมกร้าวจนใครๆก็ไม่อาจต้านทาน แต่คงต้องเว้นไว้สักคนสองคน หนึ่งก็คือคนที่เขาเพิ่งเดินจากมา ใบหน้าที่ใครๆต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าน่าเอ็นดูตราตรึงอยู่ในห้วงความคิด

ริมฝีปากสีท้อขยับพูดท่าทางอวดดีเอาเรื่องจนน่าจับมากำราบเสียให้เข็ด เรือนผมสีน้ำตาลดูนุ่มแต่ยุ่งเหยิงเพราะอาชีพที่เจ้าตัวทำ เสื้อผ้าก็ดูมอมแมมคาดว่าสาเหตุคงมาจากเหล่าสมุนสี่ขาที่รายล้อมอยู่รอบกายคนๆนั้น ทั้งที่กลัวแสนกลัวแต่กลับซื่อสัตย์ไม่ยอมไปไหน ส่งเสียงเห่าขู่เพื่อปกป้องเจ้านาย ดูๆแล้วก็สมกับเป็นจ่าฝูงจริงๆ

อู๋หลาโก่ว...สุนัขจมูกบอดกับความสามารถที่ไม่ธรรมดา ฝึกสุนัขให้ทำในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้ และใช้ประสบการณ์ความรู้ที่สะสมมาทำอาชีพคว่ำกรวยที่ดูจะเป็นปรปักษ์กับเขา

ดูแล้วไม่น่าจะร่วมมือกันรอด ถ้าไม่ติดว่าพวกเขาต่างเป็นคนจากเก้าสกุลผู้จมดิ่งอยู่ในอาชีพนี้จนยากจะถอดตัว แม้ว่าเบื้องหน้าจะทำอาชีพอะไรก็ตาม อย่างเขาที่เป็นจอมพล อู๋กลาโก่วเปิดร้านรับซื้อและขายของโบราณ และอีกคนที่ไม่เกรงกลัวต่อสายตา ทุกการกระทำของเขา เอ้อเย่วหง...

“เป็นอย่างไรบ้างท่านนายพล ผู้นำสกุลอู๋คนปัจจุบัน ใช่อย่างที่ทุกคนเล่าลือหรือเปล่า”

น้ำเสียงเริงร่าที่เขาได้ยินจนชินหู แม้ว่าคนอื่นจะเคร่งเครียดหรืออยู่ในสถานการณ์เสี่ยงต่อความตายแค่ไหน คนๆนี้ก็ยังสามารถมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้ สมกับอาชีพเบื้องหน้า เล่นงิ้วและเครื่องดนตรีของจีน หากจะพูดว่าเป็นคนที่เขาสนิทด้วยมากที่สุดคงไม่ผิดนัก ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถเข้าใจความคิดของเขาได้แม้ไม่ต้องออกปากพูดออกมาสักคำเดียว

“นายเป็นคนแนะนำมา ย่อมรู้ดีที่สุด”

เขาตอบด้วบน้ำเสียงราบเรียบเป็นปกติ แต่คนฟังกลับเบิกตากว้างราวกับพบเห้นสิ่งประหลาดตรงหน้า

“ดูท่าอู๋หลาโก่วคนนี้จะมีดีอย่างที่คิดจริงๆเสียด้วย สามารถทำให้นายพลจางสนใจได้ ทั้งที่ปกติมองทุกชีวิตไม่ต่างจากมดปลวกแท้ๆ”

ดวงตาวาววับกับรอยยิ้มหวานประกอบกับวาจาไม่น่าฟังดังมาจากคนที่โผล่โผล่จากทางโค้งมายืนดักหน้า ทั้งที่คนดักต้องเป็นฝ่ายเงยหน้ามองอีกคน

“ฉันทำตามหน้าที่”

“นั่นสินะ จอมพลจางผู้เคร่งครัดในหน้าที่ สามารถทำทุกวิถีทางได้ขอแค่ภารกิจบรรลุไปตามเป้าหมายก็พอ”

ต้นประโยคลากเสียงยาวจงใจยียวน และท่าทางที่ดูจะสนุกสนานกับการทำตัวเป็นดอกไม้หยอกแมว ซึ่งแมวตัวนี้คงจะเป็นพยัคร้ายมากกว่าแมวเหมียวขนดำตามที่พบเห็นทั่วไป

“นายต้องการอะไร”

เขาถามเพราะอยากจะตัดจบบทสนทนายืดยาวที่ไม่มีวี่แววว่าจะหยุดเสียที เลยถามออกไปตรงๆตามนิสัยด้วยน้ำเสียงโทนเดิมไม่เปลี่ยนแม้แต่คีย์เดียว ดวงตาคมหรี่มองร่างเบื้องหน้าที่ตอบแต่ยอมหลีกทางให้ แล้วเลือกอยู่ข้างๆเดินขึ้นรถไปพร้อมกันแทน

สาเหตุที่เขาต้องมาบอกให้คนสกุลอู๋ช่วยนั้นเป็นเพราะ หัวหน้าของเขาเกิดความสงสัยกับสถานที่แห่งหนึ่งที่ดูจะเก่าแก่โบราณ ที่เกิดคดีต่อเนื่องและอดีตยังเคยเป็นที่ซ่องสุมของพวกที่ต่อต้าน

เขาที่พร้อมทุกอย่างไม่ว่าจะกำลังคน อุปกรณ์ สิ่งจำเป็นมากมายสำหรับงานนี้ เหลือเพียงสิ่งสำคัญสิ่งเดียวที่ขาดไปคือ คนที่รู้เรื่องราวของสถานที่แบบนี้ดี อย่างพวกนักคว่ำกรวย แม้เขาจะมีความรู้ทางด้านนี้อยู่บ้าง แต่นี่เป็นงานใหญ่พอสมควร หากดำเนินการด้วยตัวคนเดียวกับลูกน้องที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว สุดปลายทางก็มีแต่ความผิดพลาด

ความคิดเหล่านี้คือสิ่งที่เอ้อเย่วหงเป็นผู้แนะนำเขา พร้อมกับเสนอชื่อบุคคลที่เหมาะกับงานครั้งนี้มาให้ และถามอู๋หลาโก่วปฏิเสธ ชีวิตการทำงานในอาชีพของเขาคงจะติดขัดไม่น้อย นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมั่นใจนักว่าอีกฝ่ายต้องยอมตกลงแน่ๆ

ในคืนนั้นเลยขับรถวนไปส่งเอ้อเย่วหงที่มาช่วยทำธุระให้ ถึงค่อยตรงกลับบางสกุลจางของตนเอง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะประเมิณอีกฝ่ายต่ำไปหน่อย

หมาตัวนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่จ่าฝูงธรรมดา แต่ยังมีความกล้าที่จะปะทะกับพยัคร้ายโดยไม่หวั่นเกรง ราวกับจงใจจะท้าทายความอดทนของท่านจอมพลจาง

วันต่อมาเขามาที่บ้านสกุลอู๋อีกครั้งเพื่อรับคำตอบ แต่สิ่งที่ได้คือการปฏิเสธทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้ามาในเขตบ้านสกุลอู๋ ท่ามกลางเสียงหมาหลายตัวเห่าระงมน่าหนวกหู

“ฉันไม่ไป นายกลับไปซะเถอะ ไม่ว่านายจะมาขู่อะไรฉันก็ไม่สน การทำงานของฉันขึ้นอยู่กับความพึงพอใจเท่านั้น หากฉันไม่อยากทำก็จะไม่ทำ และไม่มีใครสามารถมาบังคับฉันได้ด้วย”

ร่างโปร่งที่ดูส่วนสูงน้อยกว่าถึงแค่ระดับอก กอดอกเชิดหน้าปรายตามองด้วยรอยยิ้มแสยะอย่างท้าทาย ชวนให้เขานึกไปถึงรอยยิ้มจากคนอีกคน คนพวกนี้สงสัยจะเห็นเขาไม่ค่อยยิ้มเท่าไหร่ ถึงได้ขยันยิ้มได้ ขยันยิ้มดีแบบนี้ ถึงบางทีรอยยิ้มมันจะดูเหมือนกำลังแสยะยิ้มแยกเขี้ยว ราวกับหงุดหงิดรูปหล่อปูนปั้นที่ไร้การตอบโต้ ซึ่งงานนี้ดูยังไงก็ไม่แตกต่างกัน

พอเขาเงียบไม่พูดอะไร ทางนั้นก็ขัดอกขัดใจที่เหตุการณ์ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ กับร่างบางคลายมือที่กำแน่น จากการรอลุ้นดูท่าทีของร่างสูงหน้าตาย ว่ามีอารมณ์อะไรนอกไปเสียจากใบหน้านิ่งเฉยไร้อารมณ์ ก่อนที่เขาจะสั่งให้พวกลูกสมุนมารุมกัดเขา

นายพลจางยอมเปิดปลาอธิบายถึงสาเหตุด้วยท่าทีไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก ไม่ใช่ว่ากลัวเจ้าพวกสี่ขา และเจ้าตัวเล็กจนปุยที่อยู่ข้างเท้าคุณสามของใครหลายๆคน แต่ที่ยอมเพราะไม่อยากเห็นคนตรงหน้ากลายพันธ์ไปแบบเดียวกับลูกสมุนของตัวเอง

“ถ้านายยอมรับงานนี้ ฉันอาจจะทำเป็นมองลืมบางคดีไปซะ”

ถึงการแสดงออกยังคงนิ่ง แต่นัยน์ตาสีน้ำตาลสวยพลันไหววูบอย่างลังเล ความมั่นใจในตอนแรกเริ่มถูกสั่นคลอนทีละน้อย ในเมื่อตัวเองเพิ่งจะก่อเรื่องใหญ่ไปไม่กี่เดือนก่อน ลักลอบขนของโบราญออกจากสุสานที่ไปคว่ำกรวย แต่เจ้าพวกลูกน้อยตัวดี ดันทำของตกกลางหมู่บ้าน หวิดจะโดนพ่อสอยไปเก็บไว้ในคุก
โชคดีที่พอมีเส้นสายพอสมควร เลยทำให้รอดจากสถานการณ์นั้นออกมาเก็บตัวเงียบอย่างตอนนี้ได้

“ฉันจะลบมันออกไปครึ่งหนึ่ง ถ้าอีกครึ่งนายทำงานให้ฉันจนเสร็จ ฉันจะเอาทุกอย่างมาคืนให้นายจัดการเอง ของที่นายได้จากงานนี้ ทุกอย่างเป็นสิทธิ์ของนาย”

เขาพูดประโยคที่ยาวที่สุดของวัน อีกฝ่ายดูลังเลได้ไม่นาน ก็เหมือนตัดสินใจได้ ในขณะที่กำลังจะอ้าปากบอก เขาก็พอเดาได้ว่าคนตรงหน้าจะปฏิเสธ นายพลจางอย่างเขาไม่มีเวลาทั้งวันมากล่อมแน่ ร่างสูงเลยตัดบทชิงพูดออกไปก่อน พลางเดินเข้าใกล้จนเจ้าบ้านจำต้องถอยหลัง

“ฉันบอกแล้วว่านายไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ และอย่าคิดว่าคนว่าอย่างฉันไม่เอาจริง”

พอแผ่นหลังติดกำแพง มือหนาถูกยกวางไว้บนกำแพง กักขังร่างบางภายใน ดวงตาคมจ้องนิ่งเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลวูบไหวอย่างเอาเรื่องเมื่อถูกข่มขู่ถึงในถิ่นตัวเอง

นายพลจางคว้าจับสอดนิ้วกับมือทั้งสองข้างของเจ้าบ้านสกุลอู๋เพื่อป้องกันไม่ให้ส่งสัญญาณกับเหล่าสุนัขที่เขาปรายตามองให้พวกมันอยู่นิ่งห้ามรบกวน ใบหน้าหล่อคมเข้มยื่นเข้าใกล้จนได้กลิ่นราวผลท้อจากร่างที่ถูกจับ

“ฉันเชื่อว่าฉันสามารถจัดการกับสุนัขและเจ้านายของมันได้ภายในเวลาไม่กี่นาที เรื่องนี้นายน่าจะรู้ตัวดีที่สุด อย่าได้ปฏิเสธ เตรียมตัวให้พร้อม อีกสามวันฉันจะมารับนายไปด้วย”

จบประโยคถึงยอมผละออก แต่ดูท่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมสิ้นฤทธิ์ง่ายๆ ยกขาหมายเตะเข้าจุดสำคัญ ร่างกายตอบสนองไปโดยฉับไว ขยับถอยหลังรอดจากการถูกทำร้ายไปอย่างหวุดหวิด

“โธ่เว้ย ทำไมคนอย่างอู๋หลาโก่วต้องฟังคนอย่างนายด้วย อุ๊บ!...”

ในตอนนั้นไม่รู้อะไรมันดลใจให้ความคิดอยากจะลงโทษมันโผล่ขึ้นมาในหัว ก้มลงไปบดเบียดจูบกับริมฝีปากนุ่มจนเห่อแดง ป้องกันทุกการโต้ตอบจนร่างบางถูกรวบอยู่ในอ้อมแขน ก่อนที่จะต้องขมวดคิ้วชะงักไปเล็กน้อย เมื่อคนช่างต่อปากต่อคำ ตอบโต้ด้วยการกัดที่ปากจนได้แผล ให้บดจูบหนักขึ้นเป็นการตอบแทน

เปิดศึกกันได้นาทีกว่า คนพยศเริ่มหยุดดิ้น จนวางใจถึงคลายวงแขนออก แล้วบอกย้ำทิ้งท้ายก่อนจากไปดื้อๆ ทิ้งคนอารมณ์เสียอยู่ด้านหลัง

“แล้วจะมารับ”

“จะไปตายที่ไหนก็ไปเลยไป!”

*******************************************
'แล้วจะมารับ'


คำพูดของชายหนุ่มผู้เอาแต่ใจวนเวียนอยู่ในสมองของอู๋เหลาดโก่ว ร่างบางยกชายเสื้อมอมแมมขึ้นเช็ดยังริมฝีปากของตนเอง ความหอมหวานคละเคบ้ารสร้อนแรงยังคงหลงเหลือในปาก ความรู้สึกราวกับตนเองเป็นผู้แพ้เต็มประตูพาให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจ


เผด็จการ เอาแต่ใจ...


อีกฝ่ายรู้เรื่องของเขาราวกับสืบมาอย่างดี รู้กระทั่งความลำบาก จะลบให้ครึ่งหนึ่งหรือ หยิ่งยโสชะมัด ยิ่งประกอบเข้ากับใบหน้าเย็นชา นัยน์ตาเรียบเฉยที่เพียงแค่มองลงมาก็พาให้เรือนร่างสั่นสะท้าย


ที่สำคัญ..ยังรสจูบนั้น


ไอ้บ้า!


มีใครที่ไหนเขาจูบผู้ชาย


ยิ่งกว่าความรู้สึกตกตะลึงคือความดื้อรั้น อู๋เหลาโก่วคนนี้แพ้ทั้งที่ยังไม่ได้ทันทำอะไร


แล้วจะมารับ..กับเตี่ยนายนะสิ


"โฮ่ง" เสียงร้องเรียกของบรรดาพรรคพวกพาให้เขารู้สึกตัว ร่างบางหันไปมองเจ้าตัวน้อยที่ยืนเรียงราย โดยเฉพาะเจ้าตัวโปรดมันใช้ร่างเล็กของมันถูไถกับขาของเขา เมื่อครู่เขาคงจะคิดมากจนลืมสนใจพวกมัน


สัตย์มีดียิ่งกว่ามนุษย์ พวกมันไม่เคยหักหลัง แถมยังเอาใจใส่ความรู้สึกของเขา ไม่ว่าผ่านไปกี่ปีหัวใจสื่อสัตว์ของพวกมันก็ไม่ผันแปร ไม่เหมือนกับคน


"ขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วง" อู๋เหลาโย่วหัวเราะพลางย่อตัวอุ้มเจ้าเพื่อคุ๋ใจ ลูบหัวทีละตัว สัมผัสนุ่มของขนสัตย์ช่วยให้จิตใจของเขาสงบลง


นั่นสินะ...ไม่มีอะไรต้องกลัว


อยากได้ฉันนักใช่ไหม ...ได้....ฉันจะเข้าร่วมตามที่นายต้องการ...คอยดูเถอะจะป่วนให้งานล่มไม่เป็นท่า!


หึหึหึ แบบนั้นก็น่าสนุกไม่เลวนะ ถ้าจะได้เห็นใบหน้าปลาตายนั้นมีความรู้สึก ท่าทางตอนโกรธของเขาจะเป็นอย่างไรนะ คงจะน่าหัวเราะน่าดูชม


*****************************อากาศเย็นสบายพาให้อยากลุกขึ้นจากที่นอน หากเป็นปกติ อู๋เหลาดก่วคงจะนินทรารมณ์ยันสาย แต่วันนี้คือวันที่เขาสัญญาว่าจะมารับ ร่างบางกอดหมอนข้างราวกับคนไม่อยากตื่น จนเจ้าสุนัขตัวน้อยขนปุกปุยผู้ได้รับหน้าที่ปลุกจำต้องกระโดดขึ้นมาบนเตียง ขาหน้าทั้งสองข้างแตะที่หลังของคนขี้เซา ลิ้นเลียยังพวงแก้มใสของผุ้อิดออด


"รู้แล้วนะ ขออีก ..5 " เขาขยับตัว รู้ว่าเจ้าตัวน้อยมาปลุก พลิกตัวไล่เพื่อนพ้องทังที่ไม่ยอมลืมตา


ง่วงเหลือเกิน


"5 อะไร ?" เสียงไม่คุ้นเคยดังขึ้น อู๋เหลาโย่วพลิกตัวคิดในใจว่ามันคงเป็นฝัน บ้านหลังนี้มีเพียงเขาและเหล่าเจ้าตัวน้อยสี่ขา ไม่มีผู้อื่นถ้าจะมีเสียงคนก็คงเป็นหมาพูดได้กระมั้ง


"5ชั่วโมง" ร่างบางพลิกตัวซุกไซร้ลงในผ้าห่ม หาความอบอุ่นของที่นอน อู๋เหลาโหย่วสะดุ้งในยามที่รับรู้ถึงสัมผัสที่พวงแก้มใส นิ้วมืออบอุ่นกำลังคลอเคลียหยอกล้อกับใบหน้าของเขา ลากไล้มาถึงซอกคอระหง รู้สึกจักจี้จนต้องพลิกตัวหนีแต่มืออบอุ่นข้างนั้นไม่ยินยอมให้ถอย แขนทั้งสองข้างถูกรวบขึ้น ร่างกายพลันรู้สึกเบาราวกับกำลังล่องลอยอยู่ในฝัน


เขาฝันว่าตนเองกำลังถูกโอบอุ้มจากอ้อมกอดแข็งแกร่ง ใครกันนะ ยังไม่ทันจะได้ลืมตาตื่นดีร่างกายก็ร่วงหล่นจากอ้อมกอดร้อนผ่าว ใบหน้าประทะเข้ากับน้ำเย็นพาให้ลืมตาตื่น อู๋เหลาโย่วสำลักน้ำ เขายังไม่ตื่นดี มือทั้งสองข้างตะเกียดตะกาย ก่อนที่จะถูกใครสักคนอระคองขึ้นให้พ้นน้ำ


"ตื่นได้หรือยัง" น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลแตกต่างการกระทำอันป่าเถื่อนดังขึ้นในโสตประสาท ผู้นำตระกูลอู๋กระพริบตาไล่หยดน้ำที่เกาะ สะบัดศีรษะให้หายมึนงง ท่วงท่าราวกับสุนัขสะบัดขนพาให้อีกฝ่ายเผลอหยักยิ้ม


"นี่มันอะไรกัน" นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มแข็งกร้าวเมื่อลืมตาขึ้นมากลับพานพบเข้ากับใบหน้าหล่อเหลาของคนบ้าอำนาจจอมเผด็จการ อู๋เหลาโย่วสำรวจร่างกายของตนเอง เขาอยู่ในชุดนอนสีขาวเปียกแนบเนื้อ ร่างกายทั้งร่างอยู่บนกำละมังใบใหญ่ขนาดใส่คนลงไปได้ รอบข้างมีน้ำบรรจุอยู่เต็ม แขนทั้งสองเกาะเกี่ยวแขนแกร่งของคนใจร้าย ครั้นรู้สึกตัวเขาก็ปล่อยความอบอุ่นที่ประคองเอาไว้ พลักไล่ไสส่งอีกฝ่าย แต่ติดอยู่ที่คนมีอำนาจกว่าไม่ยอมให้เขาทำเช่นนั้นได้


ร่างทั้งร่างถูกรวบเข้าไปชิดใกล้ ร่างกายที่ปกคลุมไปด้วยเสื้อเชิ๊ตสีขาวกับกางเกง ดุท่าอีกฝ่ายจะถอดเสื้อคลุมทหารก่อนกลั่นแกล้งเขา


"ปลุกนาย" นายพลจางตอบอย่างรวดเร็วพาให้คนโดนแกล้งแยกเขี้ยวใส่ อู๋เหลาดย่วนึกอยากถีบอีกฝ่าย พร้อมกับอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองแผงอกแน่นตึงได้รุปที่เปียกแนบเนื้อกับเสื้อเชิ๊ตสีขาว ใบหน้าหล่อเหลาหมดจดยามที่มีหยดน้ำไหลลงมาตามคาง นัยน์ตาสีราตรีลึกล้ำกระพริบ ขนตางอนยาวที่มีหยดน้ำเกาะพราว


คนหน้าตาดี ยิ่งเปียกน้ำกลับทำให้ดูดี อู๋เหลาโย่วปฎิเสธไม่ได้เลยว่า หัวใจของเขากำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ


ให้ตายเถอะ


"แค่ปลุกนายเขย่าตัวฉันก็ได้ ไม่เคยทำหรือไง หรือว่านายพลจางทำเป็นแต่การใช้กำลัง" อดไม่ได้ที่จะค่อยแขะใส่ อุ๋เหลาโย่วพลักอีกฝ่ายอีกครั้ง ครานี้เจ้าคนเอาแต่ใจยินยอมปล่อยให้เขาได้ยืนด้วยขาสองข้างของตัวเอง


"ทำแล้วนายไม่ตื่น " คำตอบที่พาให้จ่าฝูงสุนัขเบิกตากว้าง


"นายเลยโยนฉันลงน้ำนี่นะ นายมันช่าง!" เขารุ้สึกว่าตนเองอับจนคำพูด ไอ้หมอนี่สมควรได้รับบทเรียนหนักสักครั้ง


"นายชักช้า จะอาบเองหรือให้ฉันอาบให้"


ปกติมันคือประโยคคำถามแต่เมื่อออกมาจากปากของเขามันกลับเป็นประโยคคำสั่ง อู๋เหลาโย่วรู้าสึกตัวเองโกรธจนหน้ามืด อยากจะเรียกน้องหมาที่น่ารักมาขย้ำคอเจ้านายพลจางไปให้รู้แล้วรู้รอด


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

kuramajoy
kuramajoy
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า

จำนวนข้อความ : 206
Points : 3763
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[fic]Remembrance[นายพลจางxปู่อู๋] Empty Re: [fic]Remembrance[นายพลจางxปู่อู๋]

ตั้งหัวข้อ by kuramajoy Thu 06 Nov 2014, 20:44


สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขา ใครช่วยมายืนยันทีนี้คืออู๋หลาโก่วที่ทุกคนบอกว่าเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘เก่งกาจจนหาจับตัวยาก’ ใช่หรือไม่

ร่างในชุดนอนเปียกโชกยืนกอดอกในถังสำหรับแช่น้ำอาบ ขู่เขาจนเหมือนกับพวกตัวที่อยู่ด้านนอก ดวงตาจ้องเขม็ง ปากแยกเขี้ยวทั้งที่เริ่มสั่นจากความหนาว แต่ไม่มีทีท่าว่าจะอาบน้ำเลยสักนิด เขาเลยตัดสินใจถอดเสื้อผ้าอีกฝ่ายออก เมินเฉยไม่สนใจต่อเสียงน่าระคายหูที่แหกปากโวยวายอย่างกับเด็กสามขวบ

ว่าตามจริง เขาไม่เคยอาบน้ำสุนัขซะด้วย แต่อีกฝ่ายคือจ่าฝูงที่เป็นคนรู้สึกอาบให้ยากยิ่งกว่าพวกสี่ขาเสียอีก ทั้งดิ้นทั้งแหกปาก กว่าจะถอดเสื้อเสร็จก็กินเวลาไปเกือบห้านาที ถูสบู่ล้างฟองจนหมดอีกยี่สิบนาที

เจ้าบ้านสกุลอู๋ยังคงดื้อรั้นไม่เลิก แขนแกร่งเลยตวัดคว้าเอวเข้าประชิด แล้วจับห่อผ้าขนหนู ยกขึ้นพาดบ่าทั้งสภาพนั้น

คนอย่างจางฉี่หลิงไม่เคยอาบน้ำแต่งตัวให้ใครมาก่อนเลยในชีวิตนอกจากตัวเอง นี่ถ้าเอ้อเย่วหงรู้เข้า หากไม่หัวเราะงอหายก็คงจะอึ้งทะลึกจนอ้าปากค้างเป็นแน่

มันเป็นเวรกรรมอะไรของเขาที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ สั่งลูกน้องเป็นร้อยเป็นพันธ์ สังหารคนมานักต่อนัก มีประสบการณ์เสี่ยงอันตรายมากกว่านายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายคนรวมกันเสียอีก คิดไปพลางคิ้วก็ขมวด จับเช็ดตัวเร็วๆแล้วเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดออกมาบังคับใส่ส่งๆ

โชคยังดีหน่อยที่อู๋หลาโก่วเก็บกระเป๋าไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่งั้นคงได้เสียเวลาเพิ่มขึ้นอีกเป็นแน่

“มารดามันสิ! เอาแต่เงียบแล้วจับคนอื่นอาบน้ำแต่งตัวเนี่ยนะ ฉันไม่ใช่เด็กสามขวบนะโว้ย”

ดวงตาคมสีดำลึกล้ำก้มมองร่างที่บางกว่าตนด้วยสีหน้านิ่งสนิท ริมฝีปากได้รูปพูดออกมาแค่ประโยคเดียวที่มันคงทำให้ใครบางคนอยากลงไปชักตายอยู่กับพื้น


“นายช้า เสียเวลายิ่งกว่าเด็ก”
พูดจบเขาก็ก้มลงหยิบกระเป๋าเดินทางของเจ้าบ้านสกุลอู๋เดินนำออกไปทันที ทิ้งเสียงแหกปากอยู่ด้านหลัง พอเดินออกมาด้านนอกเจ้าพวกสี่ขาหน้ายาวพากันเห่าหอนน่ารำคาญไม่ผิดจากเจ้าของ จางฉี่ซันหยิบกระเป๋าใส่รถ จากนี้ยังต้องเดินทางไปจุดรวมพลอีก

แต่ยืนรอจนแล้วจนรอดอู๋หลาโก่วก็ไม่ยอมออกมา ต้องให้เขาเข้าไปตามอีกรอบ เจอเข้ากับคนคุ้นตา นั่งกินอาการเช้าโดยมีสุนัขตัวเล็กขนปุยอยู่บนตัก ส่วนตัวด้านนอกนั่งเรียนกันกินข้าว รู้สึกเหมือนเส้นเลือดในสมองจะแตก เขารีบแทบตาย แต่อีกฝ่ายตื่นสายไม่พอ ต้องให้เขาปลุก แล้วยังจะมีหน้ามากินข้าวเช้าสบายใจอีกหรือ

“มองทำไม ไม่เคยเห็นคนกินข้าวเช้ารึไง นายไม่รู้เหรอท่านนายพล ข้าวเช้ามันสำคัญมากนะ ถ้าไม่ได้กินฉันอาจจะไม่มีแรงไปช่วยงานก็ได้ เอ๊ะ แบบนั้นก็ดีไปอย่าง ยังไงฉันก็ไม่ได้เต็มใจไปอยู่แล้วนี้”

ลอยหน้าลอยตาพูดไม่พอ รอยยิ้มยียวนจนน่าจับมาพาดตักตีก้นเสียให้เข็ด จางฉี่ซันนับหนึ่งถึงสามในใจ

“ฉันคงต้องไปบอกคนอื่นๆแล้วว่าข่าวลือเกี่ยวกับอู๋หลาโก่วทุกคนเข้าใจผิด สิ่งที่ฉันเห็นมันก็แค่คนหนุ่มนิสัยเลือดร้อน ไร้มันสมอง ไม่ควรจะพาไปให้เรื่องเสียง คิดซะว่าเรื่องที่ฉันเรียกนายไปร่วมคณะเดินทางยกเลิกไปแล้วกัน บางทีถ้าไม่มีนายคณะเดินทางของฉันคงจะดีกว่านี้”

ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตที่เปียกจนเริ่มแห้ง หมุนกายเดินออกไปทันที ก่อนจะหยิบกระเป๋าเดินทางหลังรถมาโยนใส่หน้าบ้านแล้วขับรถออกไปโดยไม่สนใจอีก

คนอย่างจางฉี่ซันไม่เคยล้มเลิกอะไรง่ายๆ คนนิสัยแบบอู๋หลาโก่วเขาเคยเจอมาบ้าง จงใจกวนอารมณ์เขาแบบนี้ ยังห่างชั้นกับเอ้อเย่วหงนัก เด็กน้อยจริงๆ หากยิ่งไปวิ่งเต้นตามจะทำให้อีกฝ่ายยิ่งได้ใจ ต้องปล่อยทิ้งไว้ คนรักศักดิ์ศรีอย่างเขา โดนดูถูกไปขนาดนั้น กลัวแต่จะรีบเดินทางจนไปถึงจุดนัดหมายของเขาเสียอีก

และมันก็เป็นอย่างที่คิด ทันทีที่ก้าวเท้าลงจากรถ หนึ่งในคณะสำรวจท่าทางอารมณ์ไม่ดีก็ตรงเข้ามาโวยวายทันที เพียงแต่ครั้งนี้พูดให้ได้ยินกันแค่สองคนเท่านั้น คงจะห่วงภาพพจน์นั่นแหละ

“นายกล้าดียังไงถึงทิ้งฉันไว้แบบนี้ห๊ะ แม่งเอ๊ย! มาบังคับคนอื่นสารพัด พอจะเลิกก็เลิกง่ายๆ นายแม่งไม่สมเป็นจอมพลจริงๆ จางฉี่ซัน”

เขาตอบโต้ด้วยความเงียบ เดินผ่านไปหาเอ้อเย่วหงที่เดินทางในครั้งนี้ด้วย

“นายพลจาง นายไปทำอะไรเขาน่ะถึงได้ดูเหมือนสุนัขไม่ได้ฉีดยาแบบนั้น”

ดวงตาคมหรี่มองให้คนถูกจ้องยักไหล่ แล้วเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่

“โทษที พอดีฉันลืมไปว่านายไม่ชอบให้พูดจาดูถูกใคร นายมาสายเพราะเขาสินะ ตอนนี้ฉันชักนึกเสียใจแล้วสิที่เสนอเขาให้กับนาย”

“เขามีประโยชน์แน่เมื่อเราถึงที่หมาย บอกทุกคนเตรียมตัวออกเดินทาง รถจะมาแล้ว”

นายพลจางหันไปตรวจเช็คดูความเรียบร้อย งานนี้จะปล่อยให้พลาดไม่ได้เด็ดขาด ถึงจะเป็นเรื่องเล็กแต่อาจเกี่ยวพันธ์กับอะไรหลายๆสิ่ง เอ้อเย่วหงเมื่อเห็นว่าจางฉี่ซันละความสนใจไปแล้ว จึงเลือกเดินเข้าไปหาอู๋หลาโก่วที่ตรวจเช็คสัมภาระของตัวเอง เมื่อเห็นว่าคณะเดินทางกำลังจะเคลื่อนพล

“สวัสดี ฉันเอ้อเย่วหงฝากตัวด้วยนะ”

“ฉันรู้จักนาย นายคงเป็นคนบอกให้เจ้าเผด็จการนั้นมาชวนฉันสินะ คิดอะไรกันแน่เอ้อเย่วหง”

พวกเขาเคยเจอกันมาก่อน อยู่ในวงการนี้จะรู้จักเจอกันก็ไม่แปลก คนจากเก้าตระกูลเคยเห็นหน้าเห็นตากันหมด จะมีก็แค่นายพลจางกับใครอีกไม่กี่คน ที่น้อยนักจะเห็นหน้า

“ฉันคิดว่าความสามารถนายต้องช่วยเขาได้แน่ เพราะงานนี้ฉันตึงมือเกินไป หมอนั้นก็ทำหน้าตาย นิสัยย่ำแย่เพราะมนุษย์สัมพันธ์ติดลบไปอย่างงั้น ถ้านายได้รู้จักเขาไม่แน่นายอาจจะหลงเสน่ห์เขาก็ได้นะ จางฉี่ซันคนนั่นน่ะ”

น้ำเสียงชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง ท่ามกลางทุกคนที่ทำหน้าเคร่งเครียดจริงจังเพราะส่วนใหญ่เป็นทหาร คงมีแต่คนๆนี้ที่ดูจะอารมณ์ดีอยู่ได้เสมอ อู๋หลาโก่วทำหน้าราวกับกินของเสีย เรียกเสียงหัวเราะจากเอ้อเย่วหงได้ชะงัก จนจางฉี่ซันที่อยู่ห่างออกไปยังต้องหันกลับมามองด้วยความสงสัย

พอเห็นว่าไม่มีอะไรถึงหันกลับไปสั่งให้ทุกคนขึ้นรถบรรทุกทหารที่จัดหามาให้ ขายของส่วนใหญ่ทุกคนจะสะพายแบกไว้ติดตัว เว้นแต่พวกเครื่องมือชิ้นใหญ่ที่จะขนตามไปอีกคัน

ท้ายบนนทุกเปิดโล่ง รับแสงแดดและสายลมเต็มที่ ดูจะไม่ทำให้อู๋หลาโก่วอารมณ์เสียเลยสักนิด ออกจะดื่มด่ำไปกับมันเสียด้วยซ้ำ พลางชวนพวกทหารคุยสอบถามเรื่องต่างๆ สลับทำหน้าหงุดหงิด เนื่องจากพวกทหารไม่มีใครหลุดปากเรื่องของท่านจอมพลเลยสักนิด

ให้จางฉี่ซันส่ายหัวด้วยความเอือมระอา คิดยังไงถึงไปหลอกถามเอากับพวกทหารที่ทำงานกับเขามาเกือบสิบปี คนพวกนี้รู้ดีว่าอะไรควรไม่ควร ไม่มีทางปริปากพูดอะไรแน่

โดยเหตุการณ์นี้อยู่ในสายตาของเอ้อเย่วหงตลอด ดวงตาคู่สวยพราวระยับอย่างพบเจอเรื่องสนุก คิดไม่ผิดที่ดึงเจ้าบ้านสกุลอู๋มาร่วมด้วย จนทำให้ได้เห็นท่าทางสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของจางฉี่ซันบ้าง แม้ในใจจะนึกเสียดายที่ไม่ใช่ตนก็ตามที

พอถึงที่หมาย พวกเราก็ต่อด้วยรถไฟเข้าสู่ความทุรกันดารบ้านเรือนน้อยลงทุกที จนเหลือแต่ป่ากับหมู่บ้านสร้างจากวัตสดุตามธรรมชาติ พอลงจากรถไฟก็ต่อด้วยการเดินทางเท้าขึ้นเขา

ตลอดทางอู๋หลาโก่วไม่พูดบ่นสักคำ ดวงตาคู่นั่นจ้องมองรอบข้างอย่างสนใจ สีหน้าเปลี่ยนไปมาน่าชม ถ้าให้เดาคงจะสังเกตการณ์กับจำทางไปกลับแน่ๆ ระวังตัวสมกับเป็นนักคว่ำกรวยดี แม้ครั้งนี้จะไม่ได้พาลูกสมุนมาด้วยก็ตาม ในเมื่อมากับคณะเดินทางอื่นที่มีพร้อมทุกอย่างแล้ว

การเดินทางเท้าในช่วงแรกไม่เท่าไหร่ พอตัดเข้าลึกค่อนข้างลำบากขึ้นเล็กน้อยกับต้นหญ้ารกชัน สัตว์มีพิษเริ่มปรากฏตัว แต่ไม่เป็นปัญหาที่จะทำให้การเดินทางล่าช้าลงไป

ทั้งหมดกินระยะเวลาประมาณสามวัน พวกเราก็มาถึงหมู่บ้านในป่าลึก พวกเขารู้แต่แรกจากการแจ้งของพวกเราว่าจะมา จึงเตรียมจุดสำหรับกางเต็นน์ไว้ให้ เขาดูออก หมู่บ้านแห่งนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล สาเหตุที่จัดที่ทางไว้ให้อย่างดีคงจะเพื่อกันพวกเราออกห่างจากบางสิ่ง

ดูเหมือนเอ้อเย่วหงกับอู๋หลาโก่ว และทหารมากประสบการณ์อีกสองสามคนจะดูออก ทุกการกระทำจึงระมัดระวังมาก แต่ไม่เคร่งเครียดจนใครจับสังเกตได้ ผ่อนคลายดูปกติ ส่วนตัวเองคอยสังเกตการอยู่เงียบๆ

พวกเรากางเต็นน์กันด้วยความรวดเร็ว แบ่งส่วนเวรยามคอยสับเปลี่ยน อีกทีมออกไปหาอาหารเพราะพวกเราคงจะพึ่งเสบียงที่นำมาอย่างเดียวไม่ได้

คืนแรกทุกอย่างยังคงดูเงียบสงบ ให้พวกเรามีเวลาเตรียมการแบ่งทีมลอบเข้าไปในเขตโบราณในคืนวันรุ่งขึ้น ส่วนที่เหลือด้านนอกคอยเป็นฝ่ายหนุนและจับตาดูพวกชาวบ้าน

พอตื่นเช้ามาอุปสรรค์แรกเกิดขึ้น ขายของบางส่วนถูกขโมยไปโดยไม่มีใครรู้ตัว ส่วนใหญ่จะเป็นของเล็กๆน้อยๆน่าสงสัย หากเป็นพวกโจรคงจะขโมยพวกอุปกรณ์ ข้าวของที่มาราคาแพงกว่า เขาสั่งให้คนสองสามคนออกไปหาของที่หายไป เวลาล่วงเลยเข้าช่วงสาย

พวกเขาพบทุกอย่างแขวนวางอยู่ตามต้นไม่ที่อยู่ไม่ไกลจากจุดกางเต็นน์นัก ทหารบางส่วนตัดสินไปแล้วว่ามันคงจะเป็นพวกลิงป่าที่เข้ามาก่อกวน จึงเพิ่มคบเพลิงให้แสดงสว่างมากขึ้น

แต่เขาไม่คิดแบบนั้น ลิงพวกนี้เหมือนจงใจขโมยของไปให้เราพบในภายหลัง จึงสั่งให้ทุกคนระวังตัวเป็นพิเศษ และเลื่อนการลอบเข้าเขตโบราณออกไป จนกว่าจะมั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร

“จางฉี่ซัน ฉันจะเข้าไปอยู่กับพวกคนในหมู่บ้านสักหน่อย ที่นี้ลำบากไม่สบายตัว หวังว่านายจะไม่เหงานะ”

ในตอนเย็นเอ้อเย่วหงเดินมาบอกเขาที่เต็นน์ประชุมและวางแผนการ พลางชี้ไปด้านหลังที่มีชาวบ้านยืนอยู่สองคน คงจะมาส่งเสบียงให้พวกเราเพิ่ม

จอมพลจางพยักหน้ารับปล่อยให้เขาไปอย่างง่ายดาย ใจนึกเป็นห่วงนิดหน่อย หากพวกชาวบ้านคิดไม่ซื่อเขาคนเดียวท่ามกลางป่าเขาคงจะเอาตัวรอดลำบาก ที่จะไปเสี่ยงสืบข่าวให้ทางเขาแบบนี้

แต่เห็นสีหน้าอย่างคนตัดสินใจเด็ดขาด เลยไม่อยากห้าม อย่างน้อยๆหมู่บ้านก็ไม่ไกลจากเต็นน์ที่พวกเราอยู่สักเท่าไหร่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นคนอย่างเอ้อเย่วหงสามารถเอาตัวรอดมาบอกให้พวกเราช่วยอีกแรงได้อยู่แล้ว

พอเอ้อเย่วหงจากไปอู๋หลาโก่วก็เข้ามา ราวกับนัดแนะกันมาก็ไม่ปาน

“พวกเราควรจะเริ่มลงมือตั้งแต่คืนนี้”

“เหตุผล?”

“นายน่าจะรู้ ลิงพวกนั้นไม่ธรรมดาแต่ไม่มีพิษภัยอะไร ทิ้งคนอยู่ที่นี้ย่อมจัดการได้สบายอยู่แล้ว ถ้าเราเริ่มลงมือคืนนี้ หากพวกชาวบ้านสงสัยทำไมคนบางส่วนหายไปค่อยอ้างว่าไปตามลิงขโมยของก็ได้”

จางฉี่ซันคิดตามที่อีกฝ่ายออกแล้วก็พยักหน้ารับเมื่อช่างน้ำหนักความเป็นไปได้ในใจเสร็จสิ้น

“คืนวันนี้รบกวนด้วย”

เขาเลือกที่จะช้ำคำสั้นๆบอก ดูท่าอู๋หลาโก่วจะอึ้งมวดขนาดหยิกแขนตัวเองนึกว่าหูฟาด ทำให้ท่านนายพลขมวดคิ้วเล็กน้อย ไอท่าทางจริงจังตั้งแต่เหยียบเท้าเข้าที่นี้ ดูจะไม่สามารถลบล้างความกวนอารมณ์ออกไปได้เลยสินะ

ได้แต่หวังว่าเขาจะไม่โชว์นิสัยพวกนี้เอาตอนที่พวกเราเจอสุสานโบราณก็แล้วกัน

******************************
kuramajoy
kuramajoy
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า

จำนวนข้อความ : 206
Points : 3763
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[fic]Remembrance[นายพลจางxปู่อู๋] Empty Re: [fic]Remembrance[นายพลจางxปู่อู๋]

ตั้งหัวข้อ by Feran.FS Fri 14 Nov 2014, 00:36

//กัดกิน คือขอแทรกเมนท์นะเคอะ
ปู๋อู๋ เคะซึนนนนนนน 4555
Feran.FS
Feran.FS
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ

จำนวนข้อความ : 457
Points : 3934
Join date : 27/10/2014
Age : 28
ที่อยู่ : ใต้เตียงนอนเซี่ยจื่อหยาง...

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน


 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ