Countdown
We've been
togerther for
ค้นหา
Latest topics
Most active topics
[SF] หนึ่งชีวิต (ผิงเสีย::จางฉี่หลิงxอู๋เสีย)
+2
Malangporyim
velvetronica
6 posters
หน้า 1 จาก 1
[SF] หนึ่งชีวิต (ผิงเสีย::จางฉี่หลิงxอู๋เสีย)
[SF] หนึ่งชีวิต (ผิงเสีย::จางฉี่หลิงxอู๋เสีย)
(1)
วันนี้ผมลืมเก็บผักดองที่ตากเอาไว้
คืนเดือนมืดในแถบชนบทอย่างหมู่บ้านฝนคือความมืดมิดที่แท้จริง ผมทำงานอย่างรวดเร็วใต้แสงตะเกียงชวนแสบตา หลังจากเก็บผักดองที่ตากเลยเวลาใส่ตะกร้าเสร็จผมก็ต้องกะพริบตาทำใจก่อนจะหันมองออกไปในที่มืด
เมื่อเราจ้องแสงนานๆจนรูม่านตาหดค้างการมองฝ่าความมืดไปก็เหมือนคนตาบอด ผมส่งสัญญาณไฟออกไปพร้อมนั่งรอ
ความมืดทำอะไรผมไม่ได้มานานแล้ว แต่บางทีก็ชวนให้คิดถึงความทรงจำในกรวยขึ้นมา ผมขยี้จมูกระงับอาการอยากบุหรี่ ผักดองพวกนี้แม้รสชาติจะไม่ดีเด่แต่ก็เป็นของซื้อของขายจะให้มีกลิ่นยาเส้นติดไปก็คงไม่งาม
เงาตะคุ่มในความมืดบอกว่าคนที่รออยู่มาแล้ว ผมพยักเพยิดไปทางตะกร้าด้านหลังแล้วบอกเขาว่าผมจะเดินไปสูบบุหรี่หลังต้นไทร
ไร้ซึ่งคำตอบเป็นปกติ ผมจึงเดินคลำทางออกไปตามความเคยชิน...บุหรี่ในกระเป๋าผมเป็นของนำเข้า เสี่ยวฮัวเอามาทิ้งไว้ให้ผมแถวนึงเมื่อสองเดือนก่อน เจ้าตัวว่ารสชาติดี...แต่ในเมื่อเขาไม่สูบแล้วผมก็ไม่รู้ว่าเขารู้ได้อย่างไรว่ารสชาติดี
"อู๋เสีย"
ผมส่งเสียงขานรับในลำคอก่อนจะขยี้ก้นบุหรี่กับก้อนหินแถวนั้น เสียงของเขาไม่กระตุ้นประสาทตาหลิวเค่อเหมือนผมจึงมีแต่ผมที่ต้องเป็นบ้าใบ้ตอนกลางคืน
ผมคิดว่าเสี่ยวเกอหอบตะกร้าผักไปเก็บหมดแล้ว นี่คงแค่มาตามผมกลับบ้าน แต่เมื่อหันไปเจอตะกร้าผักดองยังวางเรียงอยู่ผมก็ต้องกะพริบตาปริบๆ
"นายหายไปนานฉันเลยขึ้นมาตาม" เขากล่าวเสียงเบาพร้อมกับชี้ไปทางตะกร้าผักอันหนึ่ง
ผมสบถก่อนจะถลาเข้าไปทันที ลูกหมาพันธุ์ทางตัวหนึ่งกำลังฟัดกับสินค้าทำมาค้าขายของผมอย่างไม่น่าให้อภัย
ผมหิ้วคอหมาน้อยขึ้นมาด้วยมือเดียว เพื่อนเล่นคนแรกๆ ในชีวิตของผมล้วนเป็นสุนัขของปู่ ไอ้เรื่องรับมือกับสิ่งมีชีวิตสี่ขานั้นอยู่ในสายเลือด
"ตะกร้านี้คงต้องทิ้ง" ผมบ่นงึมงำมองผักที่เต็มไปด้วยขี้ดินกับรอยฟัน ก่อนจะถลึงตามองลูกหมาในมือ...เงาตะคุ่มที่เห็นเมื่อครู่คงจะเป็นเจ้านี่ไม่ใช่เสี่ยวเกอ สายตาผมแย่ถึงขั้นแยกคนกับหมาไม่ออกแล้วหรือไง
เสี่ยวเกอขนตะกร้าผักออกไปโดยไม่ถามว่าผมมัวไปทำอะไรอยู่จนปล่อยให้หมาเข้ามาทำลายข้าวของ ถ้านายอ้วนอยู่ด้วยผมคงโดนด่าไปหลายกระบวนท่าแล้ว แต่ตอนนี้ข้างกายผมมีแค่นายใบ้จางจึงไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายอะไร
พูดก็พูด เขาคุยกับผมด้วยสัญญาณไฟมากกว่าปากอีก นี่อาจจะเป็นหนึ่งในแรงผลักดันให้ผมเรียบเรียงภาษาสัญญาณไฟระหว่างพวกเรามาใช้จริงจัง
เจ้าหมาน้อยตรงหน้าผมตัวยาวราวท่อนแขน ใหญ่กว่าซันชุ่นติงของคุณปู่ หน้าตาของมันไม่สามารถระบุพันธุ์ได้ เนื้อตัวมอมแมมไม่มีปลอกคอบ่งบอกว่าคงไร้เจ้าของ แต่หมู่บ้านห่างไกลเช่นนี้หาหมาจรจัดได้ยาก
"ถ้าพรุ่งนี้หาเจ้าของแกไม่เจอ มาอยู่บ้านฉันมั้ย"
ผมคุยกับมันแล้วก็ได้ความเงียบเป็นคำตอบ...ดีดี คนก็ใบ้ หมาก็ใบ้ ชีวิตผมล้อมรอบด้วยสิ่งมีชีวิตใบ้มากไปหรือเปล่า
ผมตัดสินใจอุ้มมันด้วยหนึ่งมือแล้วเดินไต่หลังคากลับบ้านกับเสี่ยวเกอ
(2)
หลังจากประกาศตามหาเจ้าของอยู่สองวัน หมู่บ้านเล็กแค่นี้ถ้าไม่มีเจ้าของก็คงไม่มีแล้ว ผมจึงจับเจ้าตัวน้อยมาซักล้างใหม่จนขนสีน้ำตาลฟูๆ สะอาดเอี่ยม พร้อมกับหอบหิ้วลงเขาไปหาคลินิกสัตวแพทย์โทรมๆ ใกล้ทางหลวงเพื่อตรวจสุขภาพกับฉีดวัคซีนให้เรียบร้อย
ผมกลับมาถึงบ้านได้ไม่นาน เสี่ยวเกอก็หายตัวไป ผมค่อนข้างเคยชินกับพฤติกรรมนักหายตัวมืออาชีพนี่แล้ว เลยไม่วิ่งโร่ไปแจ้งความคนหายแบบตอนแรกๆ ที่ย้ายมาอยู่นี่
ด้วยอาชีพเดิมของเขาอาจจะทำให้เสี่ยวเกอชอบออกสำรวจรอบหมู่บ้าน บางทีก็หายตัวไปนานๆ แต่กลับมาทีมักจะมีของติดไม้ติดมือมาฝาก ผมเองแม้จะโกรธเคืองยังไงพอเห็นเขากลับมาทีไรก็โล่งใจจนหายโกรธไปทุกที
ผมมองหน้าหมาน้อยในมือ ดวงตาใสแจ๋วจ้องตอบผมได้สักพักก็หาที่นอนหมอบบนตักไม่ส่งเสียงอะไร
...ดูๆ ไปก็เหมือนเสี่ยวเกอ นอกจากชอบมาป้วนเปี้ยนคลอเคลียก็ไม่พูดอะไรเลย
"ผิงผิง"
ผมเรียกมันเบาๆ เจ้าหมาน้อยก็ไม่มีท่าทีต่อต้านอะไร จึงโมเมเอาว่ามันยอมรับชื่อเรียกนี้
ทีนี้บ้านผมก็มีขวดน้ำมันพ่อลูกแล้วสินะ...
ผมอุ้มหมาน้อยวางพาดบนบ่าแล้วลุกออกไปทำกับข้าวง่ายๆ กิน ผิงผิงก็นอนนิ่งอย่างเรียบร้อยอย่างกับตุ๊กตาหมา
ถึงจะเงียบสนิทแต่พอมีน้ำหนักของชีวิตเพิ่มมาบนบ่าก็ชวนให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นมานิดๆ พอเป็นแบบนี้ก็เริ่มเข้าใจความรู้สึกคุณปู่ที่ชอบเลี้ยงหมาเอาไว้ล้อมหน้าล้อมหลังเต็มบ้าน
หรือผมควรจะไปหาเสื้อแขนกว้างมาใส่ผิงผิงเดินไปมาบ้างดีนะ
เสี่ยวเกอกลับบ้านมาในตอนเย็นของวันนั้น ในมือมีเชือกหนังถักเก็บขอบอย่างดีเป็นสินค้าทำมือที่ประณีตไม่น้อย
ผมมองเสี่ยวเกอเอาปลอกคอใส่ให้หมาน้อยอย่างตื้นตันใจนิดๆ ผมเกือบจะคิดว่าเขาไม่รู้ด้วยซ้ำเรื่องที่มีสมาชิกใหม่ในบ้าน
"น่ารักมากผิงผิง"
อุ้งเท้าจิ๋วตะกุยๆ ปลอกคออย่างไม่คุ้นชินแต่ก็หันไปมาทำตาแป๋วจ้องจนผมอดอุ้มมาฟัดไม่ได้
เสี่ยวเกอไม่ได้ออกความเห็นอะไรกับชื่อเรียกที่ผมตั้งตามคาด อันที่จริงเขารู้เรื่องที่ผมแอบเรียก(นินทา)เขาด้วยชื่อเมินโหยวผิงมานานแล้ว...แต่ก็ไม่รู้จะเชื่อมโยงได้หรือเปล่า
เงยหน้ามาอีกทีผมก็เจอกับสายตาครุ่นคิดแบบไม่ปิดบัง
"มีอะไรหรือ?"
"แค่นึกเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาได้" เสี่ยวเกอตอบช้าๆ จ้องผิงผิงในอ้อมกอดของผม "สมัยที่ฉันเจออู๋เหลาโก่ว เขาอายุประมาณนายตอนนี้เห็นจะได้"
ผมรู้สึกประหลาดใจ เสี่ยวเกอไม่ได้พูดถึงคนอื่นมานานมากแล้ว...หรืออันที่จริงถ้าไม่ตามซักไซ้เขาก็ไม่เคยเล่าเรื่องอะไรให้ฟัง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยปากถึงเรื่องในอดีตให้ผมฟังจริงๆ
"ตอนที่คว่ำกรวยครั้งนั้นน่ะหรือ"
เขาพยักหน้า
"อู๋เหลาโก่วเป็นเก้าสกุลใหญ่ที่ไม่เหมือนคนอื่น เป็นคนที่มีรอยยิ้มกระจ่าง จิตใจดีงาม แต่ยามลงกรวยก็เป็นผู้มีฝีมือ เด็ดขาด เก่งกาจเป็นรองเพียงเฉินผีอาซื่อ...เหตุการณ์ครั้งนั้นแม้แต่ฉันเองก็ติดหนี้ชีวิตซันชุ่นติง"
ผมอ้าปากค้าง นี่คือคำพูดที่ยาวที่สุดนับตั้งแต่เขาก้าวออกมาจากประตูสำริด ทำยังไงดี...ผมมัวแต่ตกตะลึงไม่ทันนับคำไปอวดนายอ้วน
"นายสนิทกับคุณปู่?"
"หากไม่นับพ่อพระใหญ่จาง เขาก็เป็นเก้าสกุลใหญ่ที่ฉันใกล้ชิดที่สุด"
เสี่ยวเกอเล่าเสียงเรื่อยยามพูดถึงสหายเก่าแก่ก่อนจะยกมุมปากน้อยๆ อย่างที่หาดูได้ยากอย่างยิ่ง
"เขาเป็นคนที่ใครๆ ก็อยากให้มีความสุข ยามที่เขาถอนตัวจากเรื่องทั้งหมด แม้จะเป็นผลเสียกับสกุลจาง...ฉันก็รู้สึกยินดี"
แววตาว่างเปล่านั้นมีประกายบางอย่างไม่เหมือนเดิม ผมมองสายตาที่จ้องมายังผิงผิง
...พร้อมกับความรู้สึกเจ็บเสียดแปลกประหลาด
(3)
ผมรู้สึกงี่เง่าจนหงุดหงิดทบเท่าทวีคูณ
เช้าวันนี้เปิดฉากมาด้วยการทะเลาะกับยัยป้าข้างบ้าน เจ๊นี่ปรักปรำผิงผิงของผมเรื่องไปทำไก่ข้างบ้านตกอกตกใจ...เหอะ เห่าสักแอะยังไม่เคยมีมาให้ได้ยิน ลูกชายผมเรียบร้อยขนาดนี้จะไประรานไก่รั้วนู้นได้ยังไง
ผมเปิดสงครามอยู่นาน พอไม่มีนายอ้วนอยู่ด้วยขวดน้ำมันพ่อลูกก็ไม่คิดจะช่วยกันต่อปากคำ สุดท้ายผมก็ต้องเดินกลับบ้านมากินข้าวเช้าด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
ผมอุ้มผิงผิงพาดบ่าเป็นการเยียวยาจิตใจตัวเอง แต่พอหันไปเห็นสายตาที่จับจ้องข้ามโต๊ะมาของเสี่ยวเกอ...ผมก็ดึงหมาน้อยมาวางไว้บนโต๊ะแทน
สายตาของขวดน้ำมันสองขวดจ้องผมด้วยความงุนงง
อืม...ผมเข้าใจว่าความทรงจำตอนนั้นของเสี่ยวเกอน่าจะเลวร้ายมากจนถึงขั้นความจำเสื่อมรอบแรก ดังนั้นผมจึงคิดว่าตัวเองไม่ควรไปกระตุ้นมันขึ้นมาอีก
ผิงผิงน้อยมองผมตาละห้อยเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด พอเห็นว่าวันนี้ผมใจแข็งไม่อุ้มไปมาเหมือนวันก่อนๆ แล้วจึงเดินดุ๊กดิ๊กไปหาคนใจดีที่เพิ่งเอาปลอกคอมาให้แทน
เสี่ยวเกอไม่หือไม่อือ พอหมาน้อยเดินไปหาก็รับมาอุ้มพาดบ่าท่าเดียวกับผมเป๊ะๆ ชะ...ไอ้หมอนี่ก็รักสัตว์เป็นเหมือนกัน
เรากินข้าวเช้ากันในความเงียบ พอเสร็จเรียบร้อยเสี่ยวเกอก็ลุกออกไปพร้อมผิงผิง วันนี้เป็นเวรล้างจานของผม ผมจึงยกจานชามเข้ามาล้างในครัวเงียบๆ
จริงๆ มีหรือไม่มีผิงผิงห้องครัวก็เงียบสนิท แต่พอน้ำหนักบนบ่าหายไปก็กลับวูบโหวงในใจอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้ผิงผิงพ่อลูกจะกำลังทำอะไรอยู่...คงเหม่อมองฟ้าเหมือนๆ กันสินะ
หรือผมไม่ควรรับผิงผิงมาเลี้ยงกันแน่นะ ความทรงจำของเสี่ยวเกอเป็นสิ่งที่ผมเคยวิ่งตามหาเอาเป็นเอาตาย แต่อยู่ดีๆ ก็กลับขึ้นได้ว่ามันเป็นเรื่องอ่อนไหวไม่น่าแตะต้อง
มวลความคิดในหัวผมขมวดเป็นก้อนเมฆสีดำทะมึนลอยวนไปมาจนจานเกือบหลุดมือตกแตกไปสองครั้งผมจึงวางมือลงแล้วก้มหน้าอย่างอ่อนล้า
...เอาล่ะ ผมรู้สึกแย่อย่างไม่อยากจะยอมรับ...
และยิ่งย้อนคิดไปถึงสายตาเมื่อวานที่เสี่ยงเกอมองผมอุ้มผิงผิง ตะกอนในใจก็ถูกกวนฟุ้งขึ้นมาจนหายใจไม่ออก
ผมไม่ชอบความรู้สึกนี้ ยิ่งเห็นเสี่ยวเกอเอ็นดูผิงผิงผมก็ยิ่งรู้สึกตัวหดเล็กลงไปอีก
รู้อยู่ว่าโคตรงี่เง่า...แต่ผมกำลังอิจฉาปู่ตัวเอง
(4)
ด้วยความฟุ้งซ่านระดับนี้ทำให้ผมต้องการคุยกับใครสักคนอย่างเร่งด่วน แต่ก็รู้ว่าหากโทรหานายอ้วนผมจะต้องโดนประนามหยามเหยียดไปถึงตรุษจีนปีหน้าพร้อมแฉลงเว่ยปั๋วให้ซิ่วซิ่วมาสาดเสียงหัวเราะใส่เป็นแน่
ผมเลยโทรหาเสี่ยวฮัว
น้ำเสียงสบายๆ ของคุณชายเก้าทำให้ผมโล่งใจนิดๆ เพราะถ้าหากเขากำลังยุ่งอยู่แล้วผมไปงี่เง่าใส่คงโดนเล่นงานอ่วมหนัก
ผมเริ่มต้นถามสารทุกข์สุขดิบเบื้องต้นเหมือนทุกครั้ง เราไม่ค่อยได้คุยกันบ่อยๆ เหมือนช่วงก่อนหน้านี้แล้ว พอไม่มีเรื่องให้ร่วมขบคิด เตรีมการวางแผนรับมือสถานการณ์ต่างๆ วงจรชีวิตของผมกับเพื่อนสมัยเด็กคนนี้ก็เคลื่อนออกห่างกันทุกที
ผมพูดนู่นนี่จนหมดมุกก็เงียบไป ทางเสี่ยวฮัวเองก็คงไม่ได้อยากรู้รายละเอียดการตากผักดองของผมนักจึงหมดเรื่องจะถามเช่นกัน
"นายมีอะไรหรือ?"
เสี่ยวฮัวก็ยังคงเป็นเสี่ยวฮัว เขามีเซ้นส์ที่ดีเสมอในการจับผิดผม ผมจึงตัดสินใจถามคำถามแบบกลางๆ ออกไปนำร่องก่อน
"นายว่าปู่ฉันเป็นคนยังไง"
แต่ถามออกไปแล้วผมก็รู้สึกเดินเกมพลาด แต่เสี่ยวฮัวกลับตอบมาตามปกติทำให้โล่งใจ
"ท่านปู่ห้าเป็นคนใจดี เวลามาทีไรก็มักจะเอาหมามาเล่นกับพวกเราเสมอ...นายจะถามฉันในฐานะหลานเพื่อนหรืออะไร? เผื่อฉันพูดอะไรเสียหายนายจะได้ไม่หาว่าฉันด่าบรรพบุรุษนาย"
"งั้นเอาในฐานะหนึ่งในเก้าสกุลใหญ่ก็แล้วกัน"
เสี่ยวฮัวเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตอบออกมา
"อู๋เหลาโก่วเป็นหนึ่งในสกุลระนาบ เป็นคนมีฝีมือ โด่งดังตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นหนึ่งในเก้าสกุลที่น่าคบหาไม่แพ้เอ้อร์เย่ว์หง เป็นคนอารมณ์ดี ยิ้มง่าย แต่ยามลงกรวยก็โหดร้ายเด็ดขาดได้สมกับความเป็นยอดฝีมือ" ปลายสายกล่าวด้วยน้ำเสียงทางการ "ปู่ของฉันเคยพูดถึงครั้งหนึ่งว่าไม่อยากให้ปู่นายพัวพันกับเรื่องนี้มากที่สุด แต่สุดท้ายก็เป็นปู่ของนายเองที่หันกลับมาพัวพันทั้งที่ก้าวออกไปได้แล้วแท้ๆ"
ฟังดูแล้วก็ไม่ค่อยต่างกับที่เสี่ยวเกอพูดเท่าไหร่...ปู่ผมเป็นคนพิเศษขนาดนี้แต่บั้นปลายชีวิตก็แค่เก็บตัวเงียบร้องงิ้วริมทะเลสาบซีหูไปวันๆ เท่านั้น
"นี่นายคงไม่ได้กำลังเปรียบเทียบตัวเองกับปู่อยู่หรอกนะอาเฮีย"
ประโยคนี้ของเสี่ยวฮัวทำให้ผมสะอึกนึกคำตอบไม่ทัน จึงกลายเป็นการยอมรับในความเงียบ เสียงหัวเราะชั่วร้ายจากปลายสายทำให้ผมอยากกัดลิ้นตาย
"นี่นะ อาเฮีย...นายอย่าคิดไปเทียบกับพวกรุ่นปู่เลย ยุคนั้นโหดร้ายกว่านี้มาก ลำพังแค่ฝีมือคนสมัยก่อนก็นำหน้าไปไม่รู้กี่ขุม ยังไม่นับว่าอู๋เหลาโก่งเป็นยอดฝีมือในบรรดายอดฝีมืออีก
"หรือจะเรื่องนิสัยก็ตาม นายอาจจะเหมือนท่านปู่ตรงที่เป็นคนจิตใจดี ไม่เหมือนคนทางนี้เต็มตัวอย่างฉัน แต่พูดก็พูด ท่านปู่ห้าไม่ไร้เดียงสาอย่างนาย อย่างไรก็เทียบกันไม่ได้ ฉันแนะนำให้นายเลี้ยงหมาต่อแล้วเลิกคิดเรื่องนี้จะดีกว่า"
ได้ฟังดังนั้นผมไม่มีอะไรจะพูดต่ออีก พอว่าจบก็คุยกันอีกไม่กี่คำแล้ววางสาย ผมถอนหายใจเอนตัวไปกับเก้าอี้นวมตัวโปรด พยายามสะบัดความฟุ้งซ่านทั้งหลายให้ออกไปจากหัว
ก่อนจะคิดขึ้นมาได้ว่า...ทำไมเสี่ยวฮัวรู้ว่าผมเลี้ยงหมา
(5)
วันนี้ทั้งวันผมพยายามหลบหน้าสองชีวิตในบ้านอย่างสุดกำลัง หลังจากพิจารณาได้แล้วว่าปัญหามันอยู่แค่ที่ความรู้สึกของผมเองคนเดียว มันก็ต้องจัดการที่ผมเองคนเดียว
...แต่ถามว่ามันยากหรือไง ผมก็บอกได้เลยว่าไม่ เพราะแค่ผมนั่งเล่น PS4 ไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีใครมายุ่งกับผมแล้ว เสี่ยวเกอเคยชินกับการที่ผมติดเกม ส่วนผมก็เคยชินกับการที่เขาหายตัวไปบ่อยๆ
ผมเล่นแพ้ติดต่อกันหลายตา แต่ก็ไม่อาจวางมือได้ ผมนั่งขมวดคิ้วทู่ซี้เล่นต่อไปเรื่อยๆ แม้ในใจจะคิดถึงแต่เรื่องอื่น
ผมก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองจะสลดหดหู่อะไรนักหนา กับการที่แค่เสี่ยวเกอมองผมกับผิงผิงแล้วคิดถึงคุณปู่กับซันชุ่นติง
...แต่ผมไม่เคยได้ยินเสี่ยวเกอพูดถึงใครอย่างมีความหมายมาก่อน
ยิ่งเปรียบเทียบกันแล้ว ถึงผมจะเป็นคุณชายอู๋เสียแห่งสกุลอู๋...แต่ก็เทียบไม่ได้สักนิดกับเถ้าแก่หมาห้า ราชาสุนัข
เฮ้ย นี่ผมคิดเล็กคิดน้อยเป็นสตรีวัยหมดประจำเดือนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร...แต่มันก็ห่อเหี่ยวเกินกว่าจะรับได้จริงๆ
สุดท้ายผมจึงตัดสินใจเข้านอนเร็วกว่าปกติ พร้อมกับลงกลอนประตูห้องนอนไว้ แม้ผมจะรู้ว่าตัวล็อกใดๆ ในโลกล้วนไม่มีผลเมื่ออยู่ต่อหน้าสองนิ้วที่ยาวเป็นพิเศษของจางฉี่หลิงแต่ผมก็แค่อยากบอกโดยไม่พูดว่าวันนี้ผมอยากอยู่คนเดียว
ผมนอนคว่ำหน้านิ่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน หูได้ยินเสียงคนออกแรงเปิดประตูแต่ติดตัวล็อกแล้วก็เงียบไป เสี่ยวเกอคงรู้ว่าคืนนี้ผมไม่อนุญาตให้เข้ามาและเขาก็คงยอมรับจึงจากไป
ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนล็อกเองแท้ๆ แต่กลับรู้สึกแย่กว่าเดิมอย่างช่วยไม่ได้
...แต่จะให้เดินไปเปิดประตูตอนนี้ ผมก็ไม่พร้อมเหมือนกัน
ผมนอนฟุ้งซ่านต่ออีกสักพักหูก็ได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังขึ้นอีกครั้ง
"บ๊อก"
เสียงแผ่วเบาดังรอดประตูเข้ามาพร้อมกับเสียงตะกุยประตูไม้
โอเค...ผมยอมแพ้แล้ว
กระเด้งตัวที่เดียวกับอีกสองสามก้าวผมก็มาถึงประตูห้อง ในใจโยนเรื่องเศร้าทิ้งไปหมดแล้วแค่ได้ยินผิงผิงเห่าเรียก...ผิงผิงออกปากเรียกผมครั้งแรกเลยนะ
แต่เมื่อผมเปิดประตูห้องออกไป...สิ่งที่เจอกลับไม่ใช่แค่ขวดน้ำมันตัวน้อยของผมตัวเดียว
"เฮ้ย!"
ผมร้องพร้อมกับดันประตูปิด แต่เสี่ยวเกอไวกว่าพอที่จะผลักสวนมาจนผมหงายหลัง...ดีที่อีกฝ่ายยังมีจิตสำนึกรั้งผมเอาไว้ทัน ไม่งั้นถ้าก้นกระแทกลงไปจริงๆ เอวผมคงร้าวไปอีกนาน
เสี่ยวเกอลากผมกลับมาบนเตียงพร้อมกับผิงผิงที่วิ่งดุ๊กๆ ตามมาด้วยแววตาแป๋ว
...ไปอยู่กับขวดน้ำมันพ่วงตัวพ่อวันเดียวเปลี่ยนข้างแล้วหรือผิงผิง...
ผมร้าวระทมอยู่ในใจได้ชั่วครู่ก่อนจะโดนกระชากความคิดด้วยอ้อมกอดที่ไม่อาจต้านทานได้
เสี่ยวเกอไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ผมคิดว่าเขาก็คงมีคำถามในใจแต่ไม่รู้จะพูดออกมายังไง สุดท้ายผมก็เลยต้องออกปากเอง
"นายบอกว่า อยากให้คุณปู่มีความสุข แม้จะเป็นผลเสียกับสกุลจางนายก็รู้สึกยินดี ...แล้วกับฉันนายคิดเหมือนกันหรือเปล่า"
"ไม่"
ตอนที่ถามออกไปผมไม่ได้เตรียมใจจะรับคำตอบซึ้งทะลุกลางปล้องขนาดนี้ ผมจึงรู้สึกจุกจนหายใจไม่ออก ริมฝีปากเผยอค้างหมดซึ่งคำพูดใดๆ อีก
ผมรู้สึกดีที่เสี่ยวเกอกอดซ้อนหลังผมเอาไว้ เพราะผมไม่ต้องการให้เขาเห็นสีหน้าน่าสมเพชของผมตอนนี้เลยจริงๆ
"ไม่เหมือน"
เขาย้ำอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บกว่าเดิม ก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อมีสัมผัสร้อนแตะตรงหลังคอ
"ตอนที่ฉันเจอเขา อู๋เหลาโก่วมีคนที่รักและฉุดรั้งออกจากความทุกข์แล้ว แม้แต่ฉีเถียจุ่ยก็ยืนยันว่าชั่วชีวิตของเขานั้นดีและยืนยาว
"แต่กับนายไม่เหมือนกัน"
ความรู้สึกร้อนผ่าวไม่ได้อยู่แค่ตรงต้นคออีกต่อไป อุณหภูมิกายขออีกฝ่ายสูงขึ้นจนสัมผัสได้ว่าเมื่อหันกลับผมจะต้องได้เห็นลายสักกิเลนอันงดงาม
"ฉันคิดมาตลอดว่าต้องทำยังไงให้นายมีความสุข...หนึ่งชีวิตของฉันแลกกับสิบปีของนาย ไม่น่าเสียดายเลยสักนิด
"แต่ตอนที่อยู่หลังประตูนั้นฉันกลับคิดว่ามันยังไม่พอ สำหรับนายแค่สิบปียังไม่พอ...ฉันสาบานกับตัวเองเอาไว้ หากสิบปีที่ประตูเปิด แล้วฉันได้เจอนายอีกครั้ง หนึ่งชีวิตของฉันจะแลกกับความสุขทั้งชีวิตของนาย"
ความร้อนที่สัมผัสได้ลามมาถึงขอบตาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมกะพริบตาถี่ๆ แต่ก็ยังไม่ช่วยอะไร
"ไม่เห็นต้องทำขนาดนั้น ตอนนี้ตัวฉันก็มีความสุขดี" ผมกลั้นใจบอกออกไปด้วยเสียงที่ปกติที่สุด
"สิบปีที่ฉันอยู่หลังประตู นายก็ยังลำบากเพื่อฉันอีกมาก ถึงนายจะไม่ได้เล่าทั้งแต่ฉันก็รู้ดี สิ่งที่เชื่อมโยงตัวฉันกับโลกใบนี้ต่อให้คิดอย่างไรก็มีแต่นาย...แค่ชีวิตของฉัน ทำไมจะยกให้ไม่ได้"
เสี่ยวเกอจับตัวผมพลิกหันกลับมา ปลายนิ้วที่ยาวเป็นพิเศษเกลี่ยหยดน้ำที่เปรอะเปื้อนบนใบหน้าออกให้
"สิ่งที่ฉันเพิ่งนึกออกเมื่อวานนี้...อู๋เหลาโก่วเคยถามฉันในตอนนั้นว่า 'ท่านมีคนรักอย่างยิ่งจนสามารถละเว้นหน้าที่ได้บ้างไหม' ฉันได้ตอบไปว่า 'จางฉี่หลิงไม่ได้นับอนุญาตให้มีความเชื่อมโยงกับใคร' ...ตอนนี้คำตอบไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว"
แววตาของเสี่ยวเกอที่เคยว่างเปล่าเริ่มมีประกายบางอย่างที่ผมไม่เคยเห็น...ตอนแรกผมเข้าใจผิดไปว่าเขามอบมันให้กับอดีต
...แต่แท้จริงแววตานั้นเป็นของผมเอง
รสจูบคืนนั้นปนเปื้อนไปกับน้ำตา แต่ผมก็ไม่รู้สึกว่ามันแย่เท่าไร
ผิงผิวเองก็ทำตัวดี...แม้จะมีเสียงแปลกปลอมอะไรก็นอนขดตัวเงียบๆ ไม่ส่งเสียงอะไรออกมาสักคำ
(6)
เช้าวันต่อมาผมก็ได้รู้เหตผลว่าทำไมเสี่ยวฮัวถึงรู้เรื่องที่ผมเลี้ยงหมา
รูปของหมาน้อยในปลอกคอหนังถักดูน่าเอ็นดูปรากฏอยู่บนหน้าจอมือถือของผม อันที่จริงผมไม่รู้ว่าควรจะประหลาดใจเรื่องอะไรก่อนดีระหว่างการที่เสี่ยวเกอเล่นวีแชทเป็นแล้ว หรือการที่เขาใส่ใจโลกมนุษย์ขนาดมีปฏิสัมพันธ์ในโลกโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก
แคปชั่นของรูปนั้นเขียนแค่ "ผิงผิง" แต่ผมคิดว่าทุกคนคงเข้าใจดี คอมเมนต์ใต้ภาพจึงมีแต่ความหมั่นไส้ประนามหยามเหยียดผมรัวๆ
...แต่เมื่อไถหน้าจอไปอีกหน่อย ผมก็ต้องหลุดขำจนสำลักเมื่อเจอรูปตุ๊กตาสนูปปี้ที่มีแคปชั่นว่า "ฮัวฮัว" โพสต์โดยอาจารย์แว่นดำของผมเอง
ผมคิดว่าหลังจากนี้ต้องมีคนตาย และก็ไม่ต้องเดาด้วยว่าใคร
ผมวางมือถือคว่ำลงกับหัวเตียงแล้วอ้าแขนรับเจ้าหมาน้อยที่กระโดดเด้งดึ๋งใส่มาในอ้อมกอด
ตอนนั้นเสี่ยวเกอเดินเข้ามาปลุกผมพอดี พอผมหันไปมองเขาก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แววตายังคงมีประกายแปลกใหม่ที่ผมยังไม่คุ้นชินแต่ตัดสินใจได้ว่าตัวเองชอบมันมากๆ
ผมยิ้มตอบจางฉี่หลิง
ชีวิตของผมมีความสุขมากจริงๆ
END
::talk::
สวัสดีค่าาาาาา //สไลด์ตัวมา
ไม่ได้เขียนผิงเสียมานานมากกกกกก 5555555 มัวแต่ไปแจวจางอู๋(...)
จริงๆ ฟิคนี้เราเขียนแก้เฟลค่ะ ฮรึก (...) บวกกับได้รับคอมเมนต์จากฟิค「緣分」 fate จากคุณหยก(yokibear_yoko) และอัคคุง(Ak_zokyo) มาว่าอยากอ่านผิงเสียที่เชื่อมโยงกัน เลยแอบเอาโควตในเรื่องมาต่อยอดหน่อยแต่ไม่ได้เป็นเมเจอร์สปอยล์อะไรนะคะ ใครไม่ได้อ่าน/ยังไม่ได้อ่าน「緣分」 fate ก็อ่านเรื่องนี่ได้ค่ะ
คิดถึงผิงเสียจังค่ะ แม้กติจะหมั่นความเรียจูมากมายของสองคนนี้แล้วก็ตาม 5555555555
หวังว่าจะถูกใจผิงเสียของเรานะคะ ขอบคุณค่าาาา
(1)
วันนี้ผมลืมเก็บผักดองที่ตากเอาไว้
คืนเดือนมืดในแถบชนบทอย่างหมู่บ้านฝนคือความมืดมิดที่แท้จริง ผมทำงานอย่างรวดเร็วใต้แสงตะเกียงชวนแสบตา หลังจากเก็บผักดองที่ตากเลยเวลาใส่ตะกร้าเสร็จผมก็ต้องกะพริบตาทำใจก่อนจะหันมองออกไปในที่มืด
เมื่อเราจ้องแสงนานๆจนรูม่านตาหดค้างการมองฝ่าความมืดไปก็เหมือนคนตาบอด ผมส่งสัญญาณไฟออกไปพร้อมนั่งรอ
ความมืดทำอะไรผมไม่ได้มานานแล้ว แต่บางทีก็ชวนให้คิดถึงความทรงจำในกรวยขึ้นมา ผมขยี้จมูกระงับอาการอยากบุหรี่ ผักดองพวกนี้แม้รสชาติจะไม่ดีเด่แต่ก็เป็นของซื้อของขายจะให้มีกลิ่นยาเส้นติดไปก็คงไม่งาม
เงาตะคุ่มในความมืดบอกว่าคนที่รออยู่มาแล้ว ผมพยักเพยิดไปทางตะกร้าด้านหลังแล้วบอกเขาว่าผมจะเดินไปสูบบุหรี่หลังต้นไทร
ไร้ซึ่งคำตอบเป็นปกติ ผมจึงเดินคลำทางออกไปตามความเคยชิน...บุหรี่ในกระเป๋าผมเป็นของนำเข้า เสี่ยวฮัวเอามาทิ้งไว้ให้ผมแถวนึงเมื่อสองเดือนก่อน เจ้าตัวว่ารสชาติดี...แต่ในเมื่อเขาไม่สูบแล้วผมก็ไม่รู้ว่าเขารู้ได้อย่างไรว่ารสชาติดี
"อู๋เสีย"
ผมส่งเสียงขานรับในลำคอก่อนจะขยี้ก้นบุหรี่กับก้อนหินแถวนั้น เสียงของเขาไม่กระตุ้นประสาทตาหลิวเค่อเหมือนผมจึงมีแต่ผมที่ต้องเป็นบ้าใบ้ตอนกลางคืน
ผมคิดว่าเสี่ยวเกอหอบตะกร้าผักไปเก็บหมดแล้ว นี่คงแค่มาตามผมกลับบ้าน แต่เมื่อหันไปเจอตะกร้าผักดองยังวางเรียงอยู่ผมก็ต้องกะพริบตาปริบๆ
"นายหายไปนานฉันเลยขึ้นมาตาม" เขากล่าวเสียงเบาพร้อมกับชี้ไปทางตะกร้าผักอันหนึ่ง
ผมสบถก่อนจะถลาเข้าไปทันที ลูกหมาพันธุ์ทางตัวหนึ่งกำลังฟัดกับสินค้าทำมาค้าขายของผมอย่างไม่น่าให้อภัย
ผมหิ้วคอหมาน้อยขึ้นมาด้วยมือเดียว เพื่อนเล่นคนแรกๆ ในชีวิตของผมล้วนเป็นสุนัขของปู่ ไอ้เรื่องรับมือกับสิ่งมีชีวิตสี่ขานั้นอยู่ในสายเลือด
"ตะกร้านี้คงต้องทิ้ง" ผมบ่นงึมงำมองผักที่เต็มไปด้วยขี้ดินกับรอยฟัน ก่อนจะถลึงตามองลูกหมาในมือ...เงาตะคุ่มที่เห็นเมื่อครู่คงจะเป็นเจ้านี่ไม่ใช่เสี่ยวเกอ สายตาผมแย่ถึงขั้นแยกคนกับหมาไม่ออกแล้วหรือไง
เสี่ยวเกอขนตะกร้าผักออกไปโดยไม่ถามว่าผมมัวไปทำอะไรอยู่จนปล่อยให้หมาเข้ามาทำลายข้าวของ ถ้านายอ้วนอยู่ด้วยผมคงโดนด่าไปหลายกระบวนท่าแล้ว แต่ตอนนี้ข้างกายผมมีแค่นายใบ้จางจึงไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายอะไร
พูดก็พูด เขาคุยกับผมด้วยสัญญาณไฟมากกว่าปากอีก นี่อาจจะเป็นหนึ่งในแรงผลักดันให้ผมเรียบเรียงภาษาสัญญาณไฟระหว่างพวกเรามาใช้จริงจัง
เจ้าหมาน้อยตรงหน้าผมตัวยาวราวท่อนแขน ใหญ่กว่าซันชุ่นติงของคุณปู่ หน้าตาของมันไม่สามารถระบุพันธุ์ได้ เนื้อตัวมอมแมมไม่มีปลอกคอบ่งบอกว่าคงไร้เจ้าของ แต่หมู่บ้านห่างไกลเช่นนี้หาหมาจรจัดได้ยาก
"ถ้าพรุ่งนี้หาเจ้าของแกไม่เจอ มาอยู่บ้านฉันมั้ย"
ผมคุยกับมันแล้วก็ได้ความเงียบเป็นคำตอบ...ดีดี คนก็ใบ้ หมาก็ใบ้ ชีวิตผมล้อมรอบด้วยสิ่งมีชีวิตใบ้มากไปหรือเปล่า
ผมตัดสินใจอุ้มมันด้วยหนึ่งมือแล้วเดินไต่หลังคากลับบ้านกับเสี่ยวเกอ
(2)
หลังจากประกาศตามหาเจ้าของอยู่สองวัน หมู่บ้านเล็กแค่นี้ถ้าไม่มีเจ้าของก็คงไม่มีแล้ว ผมจึงจับเจ้าตัวน้อยมาซักล้างใหม่จนขนสีน้ำตาลฟูๆ สะอาดเอี่ยม พร้อมกับหอบหิ้วลงเขาไปหาคลินิกสัตวแพทย์โทรมๆ ใกล้ทางหลวงเพื่อตรวจสุขภาพกับฉีดวัคซีนให้เรียบร้อย
ผมกลับมาถึงบ้านได้ไม่นาน เสี่ยวเกอก็หายตัวไป ผมค่อนข้างเคยชินกับพฤติกรรมนักหายตัวมืออาชีพนี่แล้ว เลยไม่วิ่งโร่ไปแจ้งความคนหายแบบตอนแรกๆ ที่ย้ายมาอยู่นี่
ด้วยอาชีพเดิมของเขาอาจจะทำให้เสี่ยวเกอชอบออกสำรวจรอบหมู่บ้าน บางทีก็หายตัวไปนานๆ แต่กลับมาทีมักจะมีของติดไม้ติดมือมาฝาก ผมเองแม้จะโกรธเคืองยังไงพอเห็นเขากลับมาทีไรก็โล่งใจจนหายโกรธไปทุกที
ผมมองหน้าหมาน้อยในมือ ดวงตาใสแจ๋วจ้องตอบผมได้สักพักก็หาที่นอนหมอบบนตักไม่ส่งเสียงอะไร
...ดูๆ ไปก็เหมือนเสี่ยวเกอ นอกจากชอบมาป้วนเปี้ยนคลอเคลียก็ไม่พูดอะไรเลย
"ผิงผิง"
ผมเรียกมันเบาๆ เจ้าหมาน้อยก็ไม่มีท่าทีต่อต้านอะไร จึงโมเมเอาว่ามันยอมรับชื่อเรียกนี้
ทีนี้บ้านผมก็มีขวดน้ำมันพ่อลูกแล้วสินะ...
ผมอุ้มหมาน้อยวางพาดบนบ่าแล้วลุกออกไปทำกับข้าวง่ายๆ กิน ผิงผิงก็นอนนิ่งอย่างเรียบร้อยอย่างกับตุ๊กตาหมา
ถึงจะเงียบสนิทแต่พอมีน้ำหนักของชีวิตเพิ่มมาบนบ่าก็ชวนให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นมานิดๆ พอเป็นแบบนี้ก็เริ่มเข้าใจความรู้สึกคุณปู่ที่ชอบเลี้ยงหมาเอาไว้ล้อมหน้าล้อมหลังเต็มบ้าน
หรือผมควรจะไปหาเสื้อแขนกว้างมาใส่ผิงผิงเดินไปมาบ้างดีนะ
เสี่ยวเกอกลับบ้านมาในตอนเย็นของวันนั้น ในมือมีเชือกหนังถักเก็บขอบอย่างดีเป็นสินค้าทำมือที่ประณีตไม่น้อย
ผมมองเสี่ยวเกอเอาปลอกคอใส่ให้หมาน้อยอย่างตื้นตันใจนิดๆ ผมเกือบจะคิดว่าเขาไม่รู้ด้วยซ้ำเรื่องที่มีสมาชิกใหม่ในบ้าน
"น่ารักมากผิงผิง"
อุ้งเท้าจิ๋วตะกุยๆ ปลอกคออย่างไม่คุ้นชินแต่ก็หันไปมาทำตาแป๋วจ้องจนผมอดอุ้มมาฟัดไม่ได้
เสี่ยวเกอไม่ได้ออกความเห็นอะไรกับชื่อเรียกที่ผมตั้งตามคาด อันที่จริงเขารู้เรื่องที่ผมแอบเรียก(นินทา)เขาด้วยชื่อเมินโหยวผิงมานานแล้ว...แต่ก็ไม่รู้จะเชื่อมโยงได้หรือเปล่า
เงยหน้ามาอีกทีผมก็เจอกับสายตาครุ่นคิดแบบไม่ปิดบัง
"มีอะไรหรือ?"
"แค่นึกเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาได้" เสี่ยวเกอตอบช้าๆ จ้องผิงผิงในอ้อมกอดของผม "สมัยที่ฉันเจออู๋เหลาโก่ว เขาอายุประมาณนายตอนนี้เห็นจะได้"
ผมรู้สึกประหลาดใจ เสี่ยวเกอไม่ได้พูดถึงคนอื่นมานานมากแล้ว...หรืออันที่จริงถ้าไม่ตามซักไซ้เขาก็ไม่เคยเล่าเรื่องอะไรให้ฟัง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยปากถึงเรื่องในอดีตให้ผมฟังจริงๆ
"ตอนที่คว่ำกรวยครั้งนั้นน่ะหรือ"
เขาพยักหน้า
"อู๋เหลาโก่วเป็นเก้าสกุลใหญ่ที่ไม่เหมือนคนอื่น เป็นคนที่มีรอยยิ้มกระจ่าง จิตใจดีงาม แต่ยามลงกรวยก็เป็นผู้มีฝีมือ เด็ดขาด เก่งกาจเป็นรองเพียงเฉินผีอาซื่อ...เหตุการณ์ครั้งนั้นแม้แต่ฉันเองก็ติดหนี้ชีวิตซันชุ่นติง"
ผมอ้าปากค้าง นี่คือคำพูดที่ยาวที่สุดนับตั้งแต่เขาก้าวออกมาจากประตูสำริด ทำยังไงดี...ผมมัวแต่ตกตะลึงไม่ทันนับคำไปอวดนายอ้วน
"นายสนิทกับคุณปู่?"
"หากไม่นับพ่อพระใหญ่จาง เขาก็เป็นเก้าสกุลใหญ่ที่ฉันใกล้ชิดที่สุด"
เสี่ยวเกอเล่าเสียงเรื่อยยามพูดถึงสหายเก่าแก่ก่อนจะยกมุมปากน้อยๆ อย่างที่หาดูได้ยากอย่างยิ่ง
"เขาเป็นคนที่ใครๆ ก็อยากให้มีความสุข ยามที่เขาถอนตัวจากเรื่องทั้งหมด แม้จะเป็นผลเสียกับสกุลจาง...ฉันก็รู้สึกยินดี"
แววตาว่างเปล่านั้นมีประกายบางอย่างไม่เหมือนเดิม ผมมองสายตาที่จ้องมายังผิงผิง
...พร้อมกับความรู้สึกเจ็บเสียดแปลกประหลาด
(3)
ผมรู้สึกงี่เง่าจนหงุดหงิดทบเท่าทวีคูณ
เช้าวันนี้เปิดฉากมาด้วยการทะเลาะกับยัยป้าข้างบ้าน เจ๊นี่ปรักปรำผิงผิงของผมเรื่องไปทำไก่ข้างบ้านตกอกตกใจ...เหอะ เห่าสักแอะยังไม่เคยมีมาให้ได้ยิน ลูกชายผมเรียบร้อยขนาดนี้จะไประรานไก่รั้วนู้นได้ยังไง
ผมเปิดสงครามอยู่นาน พอไม่มีนายอ้วนอยู่ด้วยขวดน้ำมันพ่อลูกก็ไม่คิดจะช่วยกันต่อปากคำ สุดท้ายผมก็ต้องเดินกลับบ้านมากินข้าวเช้าด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
ผมอุ้มผิงผิงพาดบ่าเป็นการเยียวยาจิตใจตัวเอง แต่พอหันไปเห็นสายตาที่จับจ้องข้ามโต๊ะมาของเสี่ยวเกอ...ผมก็ดึงหมาน้อยมาวางไว้บนโต๊ะแทน
สายตาของขวดน้ำมันสองขวดจ้องผมด้วยความงุนงง
อืม...ผมเข้าใจว่าความทรงจำตอนนั้นของเสี่ยวเกอน่าจะเลวร้ายมากจนถึงขั้นความจำเสื่อมรอบแรก ดังนั้นผมจึงคิดว่าตัวเองไม่ควรไปกระตุ้นมันขึ้นมาอีก
ผิงผิงน้อยมองผมตาละห้อยเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด พอเห็นว่าวันนี้ผมใจแข็งไม่อุ้มไปมาเหมือนวันก่อนๆ แล้วจึงเดินดุ๊กดิ๊กไปหาคนใจดีที่เพิ่งเอาปลอกคอมาให้แทน
เสี่ยวเกอไม่หือไม่อือ พอหมาน้อยเดินไปหาก็รับมาอุ้มพาดบ่าท่าเดียวกับผมเป๊ะๆ ชะ...ไอ้หมอนี่ก็รักสัตว์เป็นเหมือนกัน
เรากินข้าวเช้ากันในความเงียบ พอเสร็จเรียบร้อยเสี่ยวเกอก็ลุกออกไปพร้อมผิงผิง วันนี้เป็นเวรล้างจานของผม ผมจึงยกจานชามเข้ามาล้างในครัวเงียบๆ
จริงๆ มีหรือไม่มีผิงผิงห้องครัวก็เงียบสนิท แต่พอน้ำหนักบนบ่าหายไปก็กลับวูบโหวงในใจอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้ผิงผิงพ่อลูกจะกำลังทำอะไรอยู่...คงเหม่อมองฟ้าเหมือนๆ กันสินะ
หรือผมไม่ควรรับผิงผิงมาเลี้ยงกันแน่นะ ความทรงจำของเสี่ยวเกอเป็นสิ่งที่ผมเคยวิ่งตามหาเอาเป็นเอาตาย แต่อยู่ดีๆ ก็กลับขึ้นได้ว่ามันเป็นเรื่องอ่อนไหวไม่น่าแตะต้อง
มวลความคิดในหัวผมขมวดเป็นก้อนเมฆสีดำทะมึนลอยวนไปมาจนจานเกือบหลุดมือตกแตกไปสองครั้งผมจึงวางมือลงแล้วก้มหน้าอย่างอ่อนล้า
...เอาล่ะ ผมรู้สึกแย่อย่างไม่อยากจะยอมรับ...
และยิ่งย้อนคิดไปถึงสายตาเมื่อวานที่เสี่ยงเกอมองผมอุ้มผิงผิง ตะกอนในใจก็ถูกกวนฟุ้งขึ้นมาจนหายใจไม่ออก
ผมไม่ชอบความรู้สึกนี้ ยิ่งเห็นเสี่ยวเกอเอ็นดูผิงผิงผมก็ยิ่งรู้สึกตัวหดเล็กลงไปอีก
รู้อยู่ว่าโคตรงี่เง่า...แต่ผมกำลังอิจฉาปู่ตัวเอง
(4)
ด้วยความฟุ้งซ่านระดับนี้ทำให้ผมต้องการคุยกับใครสักคนอย่างเร่งด่วน แต่ก็รู้ว่าหากโทรหานายอ้วนผมจะต้องโดนประนามหยามเหยียดไปถึงตรุษจีนปีหน้าพร้อมแฉลงเว่ยปั๋วให้ซิ่วซิ่วมาสาดเสียงหัวเราะใส่เป็นแน่
ผมเลยโทรหาเสี่ยวฮัว
น้ำเสียงสบายๆ ของคุณชายเก้าทำให้ผมโล่งใจนิดๆ เพราะถ้าหากเขากำลังยุ่งอยู่แล้วผมไปงี่เง่าใส่คงโดนเล่นงานอ่วมหนัก
ผมเริ่มต้นถามสารทุกข์สุขดิบเบื้องต้นเหมือนทุกครั้ง เราไม่ค่อยได้คุยกันบ่อยๆ เหมือนช่วงก่อนหน้านี้แล้ว พอไม่มีเรื่องให้ร่วมขบคิด เตรีมการวางแผนรับมือสถานการณ์ต่างๆ วงจรชีวิตของผมกับเพื่อนสมัยเด็กคนนี้ก็เคลื่อนออกห่างกันทุกที
ผมพูดนู่นนี่จนหมดมุกก็เงียบไป ทางเสี่ยวฮัวเองก็คงไม่ได้อยากรู้รายละเอียดการตากผักดองของผมนักจึงหมดเรื่องจะถามเช่นกัน
"นายมีอะไรหรือ?"
เสี่ยวฮัวก็ยังคงเป็นเสี่ยวฮัว เขามีเซ้นส์ที่ดีเสมอในการจับผิดผม ผมจึงตัดสินใจถามคำถามแบบกลางๆ ออกไปนำร่องก่อน
"นายว่าปู่ฉันเป็นคนยังไง"
แต่ถามออกไปแล้วผมก็รู้สึกเดินเกมพลาด แต่เสี่ยวฮัวกลับตอบมาตามปกติทำให้โล่งใจ
"ท่านปู่ห้าเป็นคนใจดี เวลามาทีไรก็มักจะเอาหมามาเล่นกับพวกเราเสมอ...นายจะถามฉันในฐานะหลานเพื่อนหรืออะไร? เผื่อฉันพูดอะไรเสียหายนายจะได้ไม่หาว่าฉันด่าบรรพบุรุษนาย"
"งั้นเอาในฐานะหนึ่งในเก้าสกุลใหญ่ก็แล้วกัน"
เสี่ยวฮัวเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตอบออกมา
"อู๋เหลาโก่วเป็นหนึ่งในสกุลระนาบ เป็นคนมีฝีมือ โด่งดังตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นหนึ่งในเก้าสกุลที่น่าคบหาไม่แพ้เอ้อร์เย่ว์หง เป็นคนอารมณ์ดี ยิ้มง่าย แต่ยามลงกรวยก็โหดร้ายเด็ดขาดได้สมกับความเป็นยอดฝีมือ" ปลายสายกล่าวด้วยน้ำเสียงทางการ "ปู่ของฉันเคยพูดถึงครั้งหนึ่งว่าไม่อยากให้ปู่นายพัวพันกับเรื่องนี้มากที่สุด แต่สุดท้ายก็เป็นปู่ของนายเองที่หันกลับมาพัวพันทั้งที่ก้าวออกไปได้แล้วแท้ๆ"
ฟังดูแล้วก็ไม่ค่อยต่างกับที่เสี่ยวเกอพูดเท่าไหร่...ปู่ผมเป็นคนพิเศษขนาดนี้แต่บั้นปลายชีวิตก็แค่เก็บตัวเงียบร้องงิ้วริมทะเลสาบซีหูไปวันๆ เท่านั้น
"นี่นายคงไม่ได้กำลังเปรียบเทียบตัวเองกับปู่อยู่หรอกนะอาเฮีย"
ประโยคนี้ของเสี่ยวฮัวทำให้ผมสะอึกนึกคำตอบไม่ทัน จึงกลายเป็นการยอมรับในความเงียบ เสียงหัวเราะชั่วร้ายจากปลายสายทำให้ผมอยากกัดลิ้นตาย
"นี่นะ อาเฮีย...นายอย่าคิดไปเทียบกับพวกรุ่นปู่เลย ยุคนั้นโหดร้ายกว่านี้มาก ลำพังแค่ฝีมือคนสมัยก่อนก็นำหน้าไปไม่รู้กี่ขุม ยังไม่นับว่าอู๋เหลาโก่งเป็นยอดฝีมือในบรรดายอดฝีมืออีก
"หรือจะเรื่องนิสัยก็ตาม นายอาจจะเหมือนท่านปู่ตรงที่เป็นคนจิตใจดี ไม่เหมือนคนทางนี้เต็มตัวอย่างฉัน แต่พูดก็พูด ท่านปู่ห้าไม่ไร้เดียงสาอย่างนาย อย่างไรก็เทียบกันไม่ได้ ฉันแนะนำให้นายเลี้ยงหมาต่อแล้วเลิกคิดเรื่องนี้จะดีกว่า"
ได้ฟังดังนั้นผมไม่มีอะไรจะพูดต่ออีก พอว่าจบก็คุยกันอีกไม่กี่คำแล้ววางสาย ผมถอนหายใจเอนตัวไปกับเก้าอี้นวมตัวโปรด พยายามสะบัดความฟุ้งซ่านทั้งหลายให้ออกไปจากหัว
ก่อนจะคิดขึ้นมาได้ว่า...ทำไมเสี่ยวฮัวรู้ว่าผมเลี้ยงหมา
(5)
วันนี้ทั้งวันผมพยายามหลบหน้าสองชีวิตในบ้านอย่างสุดกำลัง หลังจากพิจารณาได้แล้วว่าปัญหามันอยู่แค่ที่ความรู้สึกของผมเองคนเดียว มันก็ต้องจัดการที่ผมเองคนเดียว
...แต่ถามว่ามันยากหรือไง ผมก็บอกได้เลยว่าไม่ เพราะแค่ผมนั่งเล่น PS4 ไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีใครมายุ่งกับผมแล้ว เสี่ยวเกอเคยชินกับการที่ผมติดเกม ส่วนผมก็เคยชินกับการที่เขาหายตัวไปบ่อยๆ
ผมเล่นแพ้ติดต่อกันหลายตา แต่ก็ไม่อาจวางมือได้ ผมนั่งขมวดคิ้วทู่ซี้เล่นต่อไปเรื่อยๆ แม้ในใจจะคิดถึงแต่เรื่องอื่น
ผมก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองจะสลดหดหู่อะไรนักหนา กับการที่แค่เสี่ยวเกอมองผมกับผิงผิงแล้วคิดถึงคุณปู่กับซันชุ่นติง
...แต่ผมไม่เคยได้ยินเสี่ยวเกอพูดถึงใครอย่างมีความหมายมาก่อน
ยิ่งเปรียบเทียบกันแล้ว ถึงผมจะเป็นคุณชายอู๋เสียแห่งสกุลอู๋...แต่ก็เทียบไม่ได้สักนิดกับเถ้าแก่หมาห้า ราชาสุนัข
เฮ้ย นี่ผมคิดเล็กคิดน้อยเป็นสตรีวัยหมดประจำเดือนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร...แต่มันก็ห่อเหี่ยวเกินกว่าจะรับได้จริงๆ
สุดท้ายผมจึงตัดสินใจเข้านอนเร็วกว่าปกติ พร้อมกับลงกลอนประตูห้องนอนไว้ แม้ผมจะรู้ว่าตัวล็อกใดๆ ในโลกล้วนไม่มีผลเมื่ออยู่ต่อหน้าสองนิ้วที่ยาวเป็นพิเศษของจางฉี่หลิงแต่ผมก็แค่อยากบอกโดยไม่พูดว่าวันนี้ผมอยากอยู่คนเดียว
ผมนอนคว่ำหน้านิ่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน หูได้ยินเสียงคนออกแรงเปิดประตูแต่ติดตัวล็อกแล้วก็เงียบไป เสี่ยวเกอคงรู้ว่าคืนนี้ผมไม่อนุญาตให้เข้ามาและเขาก็คงยอมรับจึงจากไป
ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนล็อกเองแท้ๆ แต่กลับรู้สึกแย่กว่าเดิมอย่างช่วยไม่ได้
...แต่จะให้เดินไปเปิดประตูตอนนี้ ผมก็ไม่พร้อมเหมือนกัน
ผมนอนฟุ้งซ่านต่ออีกสักพักหูก็ได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังขึ้นอีกครั้ง
"บ๊อก"
เสียงแผ่วเบาดังรอดประตูเข้ามาพร้อมกับเสียงตะกุยประตูไม้
โอเค...ผมยอมแพ้แล้ว
กระเด้งตัวที่เดียวกับอีกสองสามก้าวผมก็มาถึงประตูห้อง ในใจโยนเรื่องเศร้าทิ้งไปหมดแล้วแค่ได้ยินผิงผิงเห่าเรียก...ผิงผิงออกปากเรียกผมครั้งแรกเลยนะ
แต่เมื่อผมเปิดประตูห้องออกไป...สิ่งที่เจอกลับไม่ใช่แค่ขวดน้ำมันตัวน้อยของผมตัวเดียว
"เฮ้ย!"
ผมร้องพร้อมกับดันประตูปิด แต่เสี่ยวเกอไวกว่าพอที่จะผลักสวนมาจนผมหงายหลัง...ดีที่อีกฝ่ายยังมีจิตสำนึกรั้งผมเอาไว้ทัน ไม่งั้นถ้าก้นกระแทกลงไปจริงๆ เอวผมคงร้าวไปอีกนาน
เสี่ยวเกอลากผมกลับมาบนเตียงพร้อมกับผิงผิงที่วิ่งดุ๊กๆ ตามมาด้วยแววตาแป๋ว
...ไปอยู่กับขวดน้ำมันพ่วงตัวพ่อวันเดียวเปลี่ยนข้างแล้วหรือผิงผิง...
ผมร้าวระทมอยู่ในใจได้ชั่วครู่ก่อนจะโดนกระชากความคิดด้วยอ้อมกอดที่ไม่อาจต้านทานได้
เสี่ยวเกอไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ผมคิดว่าเขาก็คงมีคำถามในใจแต่ไม่รู้จะพูดออกมายังไง สุดท้ายผมก็เลยต้องออกปากเอง
"นายบอกว่า อยากให้คุณปู่มีความสุข แม้จะเป็นผลเสียกับสกุลจางนายก็รู้สึกยินดี ...แล้วกับฉันนายคิดเหมือนกันหรือเปล่า"
"ไม่"
ตอนที่ถามออกไปผมไม่ได้เตรียมใจจะรับคำตอบซึ้งทะลุกลางปล้องขนาดนี้ ผมจึงรู้สึกจุกจนหายใจไม่ออก ริมฝีปากเผยอค้างหมดซึ่งคำพูดใดๆ อีก
ผมรู้สึกดีที่เสี่ยวเกอกอดซ้อนหลังผมเอาไว้ เพราะผมไม่ต้องการให้เขาเห็นสีหน้าน่าสมเพชของผมตอนนี้เลยจริงๆ
"ไม่เหมือน"
เขาย้ำอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บกว่าเดิม ก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อมีสัมผัสร้อนแตะตรงหลังคอ
"ตอนที่ฉันเจอเขา อู๋เหลาโก่วมีคนที่รักและฉุดรั้งออกจากความทุกข์แล้ว แม้แต่ฉีเถียจุ่ยก็ยืนยันว่าชั่วชีวิตของเขานั้นดีและยืนยาว
"แต่กับนายไม่เหมือนกัน"
ความรู้สึกร้อนผ่าวไม่ได้อยู่แค่ตรงต้นคออีกต่อไป อุณหภูมิกายขออีกฝ่ายสูงขึ้นจนสัมผัสได้ว่าเมื่อหันกลับผมจะต้องได้เห็นลายสักกิเลนอันงดงาม
"ฉันคิดมาตลอดว่าต้องทำยังไงให้นายมีความสุข...หนึ่งชีวิตของฉันแลกกับสิบปีของนาย ไม่น่าเสียดายเลยสักนิด
"แต่ตอนที่อยู่หลังประตูนั้นฉันกลับคิดว่ามันยังไม่พอ สำหรับนายแค่สิบปียังไม่พอ...ฉันสาบานกับตัวเองเอาไว้ หากสิบปีที่ประตูเปิด แล้วฉันได้เจอนายอีกครั้ง หนึ่งชีวิตของฉันจะแลกกับความสุขทั้งชีวิตของนาย"
ความร้อนที่สัมผัสได้ลามมาถึงขอบตาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมกะพริบตาถี่ๆ แต่ก็ยังไม่ช่วยอะไร
"ไม่เห็นต้องทำขนาดนั้น ตอนนี้ตัวฉันก็มีความสุขดี" ผมกลั้นใจบอกออกไปด้วยเสียงที่ปกติที่สุด
"สิบปีที่ฉันอยู่หลังประตู นายก็ยังลำบากเพื่อฉันอีกมาก ถึงนายจะไม่ได้เล่าทั้งแต่ฉันก็รู้ดี สิ่งที่เชื่อมโยงตัวฉันกับโลกใบนี้ต่อให้คิดอย่างไรก็มีแต่นาย...แค่ชีวิตของฉัน ทำไมจะยกให้ไม่ได้"
เสี่ยวเกอจับตัวผมพลิกหันกลับมา ปลายนิ้วที่ยาวเป็นพิเศษเกลี่ยหยดน้ำที่เปรอะเปื้อนบนใบหน้าออกให้
"สิ่งที่ฉันเพิ่งนึกออกเมื่อวานนี้...อู๋เหลาโก่วเคยถามฉันในตอนนั้นว่า 'ท่านมีคนรักอย่างยิ่งจนสามารถละเว้นหน้าที่ได้บ้างไหม' ฉันได้ตอบไปว่า 'จางฉี่หลิงไม่ได้นับอนุญาตให้มีความเชื่อมโยงกับใคร' ...ตอนนี้คำตอบไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว"
แววตาของเสี่ยวเกอที่เคยว่างเปล่าเริ่มมีประกายบางอย่างที่ผมไม่เคยเห็น...ตอนแรกผมเข้าใจผิดไปว่าเขามอบมันให้กับอดีต
...แต่แท้จริงแววตานั้นเป็นของผมเอง
รสจูบคืนนั้นปนเปื้อนไปกับน้ำตา แต่ผมก็ไม่รู้สึกว่ามันแย่เท่าไร
ผิงผิวเองก็ทำตัวดี...แม้จะมีเสียงแปลกปลอมอะไรก็นอนขดตัวเงียบๆ ไม่ส่งเสียงอะไรออกมาสักคำ
(6)
เช้าวันต่อมาผมก็ได้รู้เหตผลว่าทำไมเสี่ยวฮัวถึงรู้เรื่องที่ผมเลี้ยงหมา
รูปของหมาน้อยในปลอกคอหนังถักดูน่าเอ็นดูปรากฏอยู่บนหน้าจอมือถือของผม อันที่จริงผมไม่รู้ว่าควรจะประหลาดใจเรื่องอะไรก่อนดีระหว่างการที่เสี่ยวเกอเล่นวีแชทเป็นแล้ว หรือการที่เขาใส่ใจโลกมนุษย์ขนาดมีปฏิสัมพันธ์ในโลกโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก
แคปชั่นของรูปนั้นเขียนแค่ "ผิงผิง" แต่ผมคิดว่าทุกคนคงเข้าใจดี คอมเมนต์ใต้ภาพจึงมีแต่ความหมั่นไส้ประนามหยามเหยียดผมรัวๆ
...แต่เมื่อไถหน้าจอไปอีกหน่อย ผมก็ต้องหลุดขำจนสำลักเมื่อเจอรูปตุ๊กตาสนูปปี้ที่มีแคปชั่นว่า "ฮัวฮัว" โพสต์โดยอาจารย์แว่นดำของผมเอง
ผมคิดว่าหลังจากนี้ต้องมีคนตาย และก็ไม่ต้องเดาด้วยว่าใคร
ผมวางมือถือคว่ำลงกับหัวเตียงแล้วอ้าแขนรับเจ้าหมาน้อยที่กระโดดเด้งดึ๋งใส่มาในอ้อมกอด
ตอนนั้นเสี่ยวเกอเดินเข้ามาปลุกผมพอดี พอผมหันไปมองเขาก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แววตายังคงมีประกายแปลกใหม่ที่ผมยังไม่คุ้นชินแต่ตัดสินใจได้ว่าตัวเองชอบมันมากๆ
ผมยิ้มตอบจางฉี่หลิง
ชีวิตของผมมีความสุขมากจริงๆ
END
::talk::
สวัสดีค่าาาาาา //สไลด์ตัวมา
ไม่ได้เขียนผิงเสียมานานมากกกกกก 5555555 มัวแต่ไปแจวจางอู๋(...)
จริงๆ ฟิคนี้เราเขียนแก้เฟลค่ะ ฮรึก (...) บวกกับได้รับคอมเมนต์จากฟิค「緣分」 fate จากคุณหยก(yokibear_yoko) และอัคคุง(Ak_zokyo) มาว่าอยากอ่านผิงเสียที่เชื่อมโยงกัน เลยแอบเอาโควตในเรื่องมาต่อยอดหน่อยแต่ไม่ได้เป็นเมเจอร์สปอยล์อะไรนะคะ ใครไม่ได้อ่าน/ยังไม่ได้อ่าน「緣分」 fate ก็อ่านเรื่องนี่ได้ค่ะ
คิดถึงผิงเสียจังค่ะ แม้กติจะหมั่นความเรียจูมากมายของสองคนนี้แล้วก็ตาม 5555555555
หวังว่าจะถูกใจผิงเสียของเรานะคะ ขอบคุณค่าาาา
velvetronica- ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา
- จำนวนข้อความ : 100
Points : 3619
Join date : 08/11/2014
Re: [SF] หนึ่งชีวิต (ผิงเสีย::จางฉี่หลิงxอู๋เสีย)
ถึงกับต้องล็อกอินเข้ามาประณามหยามเหยียดชีวิตดีดีที่ลงตัวของอู๋เสีย
อิ้วววววววววว~!
ดีใจที่จบแฮปปี้เอนดิ้ง แหม่ะ นายดูโชคดีกว่าปู่นายอีกนะคะอู๋เสีย
ส่วนผิงผิง โธ่ ผิงผิง... เพิ่งมาอยู่ได้แป๊บเดียว ก็ได้เข้าชมฉากสำคัญของปะป๊าหม่าม้าแล้ว ไม่เป็นไรนะลูก ฝึกให้ชิน อีกเดี๋ยวโตไปก็แกร่งเองค่ะ (???)
โอ๊ย ทนไม่ไหว หมั่นย์ชีวิตดี๊ดี 5555
อิ้วววววววววว~!
ดีใจที่จบแฮปปี้เอนดิ้ง แหม่ะ นายดูโชคดีกว่าปู่นายอีกนะคะอู๋เสีย
ส่วนผิงผิง โธ่ ผิงผิง... เพิ่งมาอยู่ได้แป๊บเดียว ก็ได้เข้าชมฉากสำคัญของปะป๊าหม่าม้าแล้ว ไม่เป็นไรนะลูก ฝึกให้ชิน อีกเดี๋ยวโตไปก็แกร่งเองค่ะ (???)
โอ๊ย ทนไม่ไหว หมั่นย์ชีวิตดี๊ดี 5555
Malangporyim- ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
- จำนวนข้อความ : 290
Points : 3751
Join date : 27/10/2014
ที่อยู่ : ทุ่งด้วงโฮโม
Re: [SF] หนึ่งชีวิต (ผิงเสีย::จางฉี่หลิงxอู๋เสีย)
พี่เวลลลลล แว แววววว แงงงงง ขอบคุณกั๊บ ไม่คิดว่าจะได้เห็นจริงๆด้วย แงงงง ผิงผิงน่ารักกก ถึงกับหลุดหัวเราะพรืดตรงท่อนขวดน้ำมันพ่อลูก แงงง นายน้อยอายุเท่าไหร่แลเว งอนล็อกประตูเนี่ย แล้วดูคนพาหมามาง้อเส่ะะะ แง ความเยียวยาอบอุ่นหัวใจนี้ พาร์ทวีแชทก็ตลก นายน้อยต้องเข้าใจนะความเรียจูนี้ต้องได้รับการสรรเริญในคอมเม้นท์จริงๆ.... รีเควสต่อพาร์ทสนูปปี้ฮัวฮัวได้มั้ยกั๊-- #พี่เวลตบบอกเขียนเองเส่ะ #แงงงงงงง หลังจากนี้ต้องมีคนตาย และด้วงก็จะตายไปพร้อมกับคนนั้นด้วยค่ะ /กุมใจ
Ak_Zokyo- ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา
- จำนวนข้อความ : 154
Points : 3617
Join date : 27/10/2014
Re: [SF] หนึ่งชีวิต (ผิงเสีย::จางฉี่หลิงxอู๋เสีย)
น่ารักมากๆ เลยค่ะ ตอนนี้มีความอ่อนไหวเป็นพิเศษกับปู่อู๋และนายน้อย พอเจอเอามารวมกันทีไร อินมากๆๆ ทุุกทีเลย
เสี่ยวเกอก็ดีดี๊ ฮือ ชีวิตดีงามที่หมู่บ้านป่าฝน
เสี่ยวเกอก็ดีดี๊ ฮือ ชีวิตดีงามที่หมู่บ้านป่าฝน
ืnao- ด้วงฝึกหัด
- จำนวนข้อความ : 9
Points : 2799
Join date : 16/08/2016
Re: [SF] หนึ่งชีวิต (ผิงเสีย::จางฉี่หลิงxอู๋เสีย)
อ่านถึงชื่อผิงผิงก็ยอมรับว่าอยากจะประนามหยามเหยียดใครบางคนรัวๆ
แต่ที่น่าตกใจกว่าคือเสี่ยวเกอเล่นวีแชท ถถถถ
แต่ที่น่าตกใจกว่าคือเสี่ยวเกอเล่นวีแชท ถถถถ
Rozenkreuz- ด้วงอาณาจักรเจ้าแม่ซีหวังหมู่
- จำนวนข้อความ : 625
Points : 3819
Join date : 01/07/2015
Age : 31
ที่อยู่ : กองทัพผีเก็บเห็ดแห่งประตูสำริด
Re: [SF] หนึ่งชีวิต (ผิงเสีย::จางฉี่หลิงxอู๋เสีย)
ผิงผิงน่ารักมากคะ
yakusoku- ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
- จำนวนข้อความ : 369
Points : 3801
Join date : 05/11/2014
ที่อยู่ : โลงในสุสานโบราณ
Similar topics
» [Drabble] #dmbjdaily (หนึ่ง) หนึ่งชีวิต [เมินโหยวผิง&อู๋เสีย/ผิงเสีย] สปอยล์เล่ม 10
» [OS] #dmbjdaily '520' (ผิงเสีย :: เหม่งจาง,ผิงเสีย)
» [FIC] ซีรี่สวรรค์องค์ที่ 1 [ผิงเสีย]
» [OS] สิ่งที่ไม่อาจปล่อยวาง [ผิงเสีย]
» [OS] ไม่มีครั้งที่สอง (ผิงเสีย)
» [OS] #dmbjdaily '520' (ผิงเสีย :: เหม่งจาง,ผิงเสีย)
» [FIC] ซีรี่สวรรค์องค์ที่ 1 [ผิงเสีย]
» [OS] สิ่งที่ไม่อาจปล่อยวาง [ผิงเสีย]
» [OS] ไม่มีครั้งที่สอง (ผิงเสีย)
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|
Fri 24 Jul 2020, 01:39 by gustoon
» [คู่มือด้วง] Keyword จีนสำหรับการขุด(แฟนดอม)สุสาน
Thu 21 Jun 2018, 00:29 by miskizfullmoon
» มังฮวาและภาคทิเบต
Thu 21 Jun 2018, 00:23 by miskizfullmoon
» [OS] Father is the best (ผิงเสีย)
Thu 03 Aug 2017, 16:12 by schneewittchen
» [Fic] สิ่งเล็กๆที่เชื่อมโลก5 [เมินโหยวผิง+อู่เสีย+เสี่ยอ้วน]+OC
Tue 01 Aug 2017, 12:30 by natsume
» [OS] #dmbjdaily (จูปาจุ๊บ) Bittersweet [ผิงเสีย AU]
Thu 06 Apr 2017, 15:58 by Zeth
» [OS] #dmbjdaily "โทรศัพท์มือถือ" - no Pairing [All]
Tue 04 Apr 2017, 22:27 by Zeth
» [OS] #DMBJDaily (แว่น): ระยะที่มองไม่เห็น [ฮัวเสีย]
Sat 01 Apr 2017, 16:55 by Zeth
» [OS] #DMBJdaily (5.20) ท่านยอดฝีมือ [หวังเหมิง (+เหมิงเสีย)(+ผิงเสีย)]
Thu 30 Mar 2017, 17:24 by Zeth