Countdown
We've been
togerther for

ค้นหา
 
 

Display results as :
 


Rechercher Advanced Search


[Fic] Lost Child [ผิงเสีย] Chapter 1

2 posters

Go down

Lost - [Fic] Lost Child [ผิงเสีย] Chapter 1 Empty [Fic] Lost Child [ผิงเสีย] Chapter 1

ตั้งหัวข้อ by MinMin Mon 06 Jun 2016, 21:40




Lost Child


fiction บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน
Pairing เมินโหยวผิงxอู๋เสีย
Timeline หลังจากเมินโหยวผิงออกจากประตูสำริด ผ่านไปประมาณ 1 ปี


คำเตือน : อาจมีสปอลย์ภาคทิเบตและซ่าไห่ โปรดระวัง






ผมตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะเข้าใจประโยคเพียงประโยคเดียวของเสี่ยวฮัว ผมหันไปมองเมินโหยวผิง เขามองผมอยู่เช่นกัน คิ้วขมวดมุ่นเล็กน้อยเหมือนสงสัย ผมรู้ว่าเขาหูดี คงได้ยินบทสนทนาของผมกับเสี่ยวฮัวแน่ๆ ต่อให้ผมไม่ได้เปิดลำโพงคุย

ลางสังหรณ์ร้ายที่หายไปเพราะถูกน้ำเย็นสาด กลับมารู้สึกได้อีกครั้ง

“นายไม่ได้หลอกฉันใช่มั้ย” ผมถาม

“ถ้าฉันจะหลอกนาย คงหลอกอะไรที่มันดูน่าเชื่อถือกว่านี้” เสี่ยวฮัวพูด

ผมยกมือนวดขมับ ในหัวตีกันยุ่งไปหมด เชี่ยแม่ง นี่มันเรื่องบ้าอะไร พวกเราไม่ได้ลงไปจากหมู่บ้านฝนยกเว้นตอนตรุษจีน อีกทั้งช่วงสิบปีเมินโหยวผิงก็อยู่แต่ในประตูสำริด ส่วนผมก็ตะลอนหาเรื่องใส่ตัว พาตัวเองกระโจนหาปริศนาจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด พวกเราจะเอาเวลาที่ไหนไปมีลูก ไอ้นี่มั่วมาจากไหน ถ้าคำพูดพวกนั้นเป็นจริงไม่เท่ากับว่าผมกับเมินโหยวผิงแต่งงานกันแล้วมีลูก อย่างนี้ใครจะเป็นพ่อใครจะเป็นแม่ ชีวิตมันจะสับสนมั่วนิ่มเกินไปแล้ว

แต่การที่พูดชื่อจางฉี่หลิงออกมา แสดงว่าต้องมีเรื่องราวบางอย่างอยู่เบื้องหลังแน่ๆ ผมไม่ชอบให้ใครล้อเล่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อก่อนไม่ชอบยังไง ตอนนี้ก็ยังไม่ชอบอยู่แบบนั้น

“นายถามอะไรเด็กนั่นไม่ได้เลยเหรอ” ผมเชื่อว่าเขามีวิธีร้อยแปดที่จะทำให้คนสารภาพความจริงออกมา

“ตระกูลเซี่ยยังพอมีความเป็นผู้ดีอยู่บ้าง ฉันไม่อยากข่มขู่หรือใช้กำลังกับเด็ก” เสี่ยวฮัวบอก

“นายใช้อมยิ้มหรือขนมหลอกสิ” ผมแนะนำ

เสี่ยวฮัวหัวเราะ “นายมาถึงก็จะรู้เอง เด็กนี่มีปัญหา”

ผมต่างหากที่มีปัญหา ขนาดเก็บตัวอยู่แต่ในหมู่บ้านยังมีปัญหา เมื่อเสี่ยวฮัวยืนยันชัดเจนว่าให้ผมจัดการเรื่องนี้เอง ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่น จึงฝากเขาดูแลเด็ก
หลังจากวางสาย ผมเปิดเน็ต กำลังจะจองตั๋วเครื่องบิน พลันรู้สึกถึงมือหนึ่งบีบที่ไหล่ ผมเงยหน้าสบตาเมินโหยวผิง

“ฉันไม่มีบัตรประชาชน”

...ผมลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย

ถ้ามีโอกาส ผมจะทำบัตรประชาชนปลอมให้เขาสักใบ แต่ตอนนี้ทำได้แค่เปลี่ยนวิธีเดินทาง พวกเราจัดกระเป๋าเอาของไปเล็กน้อย ผมรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี ประกอบกับนิสัยหวาดระแวงที่ยังบำบัดไม่ได้ภายในหนึ่งปี จึงพกอาวุธเก่าลงกรวยสมัยก่อนติดตัวไปด้วย

ผมขับรถกระบะนิสสันมือสองออกจากหมู่บ้าน วนอ้อมภูเขาไปในเมืองแล้วขึ้นทางด่วนไปหังโจว ตลอดสิบกว่าชั่วโมงผมเกือบวูบหลับไปหนึ่งครั้ง เมินโหยวผิงจึงเปลี่ยนมาขับแทน แต่ก่อนเข้าหัวโจว เจอตำรวจตั้งด่านตรวจ โชคดีที่เขาจอดรถปลุกผม เปลี่ยนที่นั่งได้ทัน เขาไม่มีใบขับขี่ หากโดนเรียกคงไม่ใช่เรื่องดีแน่

ผมมาถึงร้านของตัวเองที่หังโจวในที่สุด สภาพร้านยังคงเหมือนเดิม ร้างและเก่ายังไงก็คงอยู่อย่างนั้น เสี่ยวฮัวไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไรที่นี่เลย ทำให้รถหงฉีที่จอดอยู่หน้าร้านโดดเด่นแบบแปลกแยก ผู้ชายร่างใหญ่ในชุดสูทเห็นว่าคนที่ลงจากรถนิสสันซอมซ่อเป็นผม ก็ผ่อนคลายท่าทางข่มขู่ลง ทำมือเชื้อเชิญให้ผมเข้าไปในร้าน เมินโหยวผิงเดินตามมาติดๆ

เสี่ยวฮัวนั่งกดโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะตั้งคอมพิวเตอร์ พอเห็นผมก็เดินมากอดทักทาย ส่งยิ้มทะเล้นให้

“มารับลูกชายกลับบ้านแล้วเหรอ”

ผมด่าเขาสองสามคำ ถามหาตัวการปัญหาที่ทำให้ผมต้องถ่อจากหมู่บ้านฝนมาถึงที่นี่ เสี่ยวฮัวชี้ไปด้านใน ผมเดินเข้าไปในห้องเล็กๆหลังร้าน ที่ตัวเองมักจะหลบมานอนกลางวันตอนไม่มีลูกค้าเข้า แล้วก็พบว่าเก้าอี้ตัวโปรดของผมมีเด็กคนหนึ่งนั่งอยู่ เขาไม่ต่างจากรูปภาพที่เสี่ยวฮัวส่งให้ผม ทั้งตัวพันเป็นมัมมี่ ไม่รู้ว่าตลอดการเดินทางมาที่นี่ รอดพ้นจากการถูกจับส่งตำรวจได้ยังไง

ผมสังเกตว่าก้าวแรกที่ผมเดินเข้ามาในห้อง ไอ้หนูนี่ก็รู้สึกตัว เขาหันมามองผมด้วยการขยับคอครั้งเดียว ไม่มีการเคลื่อนไหวที่เป็นส่วนเกิน พวกเราจ้องตากันอยู่นาน ไอ้หนูนี่นิ่งมาก หากไม่กะพริบตา ผมคงนึกว่าเป็นหุ่น ความนิ่งที่เทียบเคียงได้กับเมินโหยวผิงทำให้ผมประหลาดใจ เผลอคิดแวบหนึ่งว่าหรือเป็นลูกของเสี่ยวเกอจริงๆ ถ้าอย่างนั้นผมควรจะเป็นพ่อหรือแม่

ผมไล่ความคิดไร้สาระออกจากหัว เสี่ยวฮัวยืนข้างๆ ผม ส่งกระดาษสีน้ำตาลซีดมาให้ บนนั้นมีข้อความเขียนด้วยลายมือคุ้นเคยว่า “ฝากดูแลด้วย”

ผมมองข้อความกับชื่ออู๋เสียที่ลงไว้ท้ายกระดาษ จ้องแล้วจ้องอีกก็ต้องยอมรับอย่างไม่เต็มใจนัก...นี่คือลายมือของผมจริงๆ แต่ผมจำไม่ได้ว่าเคยเขียนอะไรแบบนี้ เป็นไปได้ว่ามีคนปลอมจดหมายขึ้นมา แต่จุดมุ่งหมายนั้นเพื่ออะไร ทำไมต้องฝากดูแลเด็กคนนี้ อีกอย่าง...คนที่ปลอมลายมือของผมได้ขนาดนี้...

ผมนึกถึงลายมือที่เคยเห็นบนกระดาษปิดผนึกในมหาวิทยาลัยที่ฉางซาเมื่อหลายปีก่อน หากเป็นผมในตอนนั้นจะต้องรู้สึกหนังหัวชา ตัวสั่นสะท้านด้วยความตกใจพร้อมกังวลว่านี่เรื่องบ้าอะไร แต่ผมในตอนนี้ผ่านเรื่องมามาก เพียงแค่จดหมายประหลาดไม่สามารถสั่นคลอนจิตใจของผมได้

ผมพอจะคาดเดาอะไรบางอย่างออก แต่ยังหาจุดเชื่อมโยงไม่ได้ ที่ผมแน่ใจคือจดหมายฉบับนี้เขียนโดยคนอื่น และคนที่เขียนแบบนี้ได้ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

ผมตัดสินใจพักเรื่องจดหมายไว้ก่อน หันไปถามเสี่ยวฮัว

“ทำไมไอ้หนูนี่ถึงต้องพันตัวแบบนี้”

เสี่ยวฮัวยักไหล่ ทำท่าไม่รู้ ชี้ให้ผมถามเอง ผมไม่มีทางเลือก เดินไปยืนหน้าไอ้หนูมัมมี่ สองมือล้วงกระเป๋า ก้มมองถาม

“เธอเป็นใคร”

ดวงตาสีดำกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลเงยขึ้นมองผม บรรยากาศรอบตัวเด็กชายทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ คันยุบยิบในใจขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ โดยเฉพาะเมื่อมองสบดวงตาคู่นั้น

“คุณบอกว่าจะช่วยผม”

“ฉันไม่รู้จักเธอ ทำไมฉันต้องช่วยเธอด้วย” ผมบอกตามตรง ปรับน้ำเสียงให้แข็งขึ้นอีกเล็กน้อย “การที่เธอเอาจดหมายอ้างชื่อฉันมั่วซั่วมาขอความช่วยเหลือจากฉัน น่าสงสัยว่าเธอเป็นพวกขบวนการต้มตุ๋นหลอกลวงหรือเปล่า”

เด็กนั่นไม่ตอบ ผมเริ่มหงุดหงิด แต่ไม่อยากจะข่มขู่เด็กไปมากกว่านี้ ไอ้หนูนี่ไม่พูดไม่จา ไม่ขยับตัว ทำแค่จ้องมองผม ผมหันไปหาเสี่ยวฮัว เขาทำท่าประมาณว่า ฉันก็จนปัญญา หากเป็นผู้ใหญ่คงจับมัดแล้วเค้นคอถามได้โดยไม่รู้สึกผิดมากนัก แต่อีกฝ่ายเป็นแค่เด็กอายุไม่น่าจะเกินสิบขวบ ทั้งผมและเสี่ยวฮัวไม่มีใครอยากถูกตราหน้าว่าผู้ใหญ่รังแกเด็ก

“เธอต้องการให้ฉันช่วยอะไร” ผมตัดสินใจถามไปก่อน แล้วจะทำยังไงค่อยว่ากันอีกที อย่างน้อยก็ควรรู้ให้ได้ว่าจุดประสงค์ของเด็กคนนี้คืออะไร ถ้าเป็นพวกหลอกต้มตุ๋นก็ไม่ต้องคุยต่อ จบกันทันที

ไอ้หนูมัมมี่กล่าวเสียงเรียบ

“พาผมกลับบ้าน”

...

บ้านพ่อง เอ็งเป็นใครข้ายังไม่รู้จัก จะให้พากลับบ้านที่ไหนฟะ

ผมจุดบุหรี่สูบ นึกในใจว่าคุ้นๆ กับคำพูดนี้ หันข้างไปพ่นควันบุหรี่ พลันเห็นเมินโหยวผิงยืนกดโทรศัพท์มือถืออยู่ไม่ไกล ช่วงนี้เขาจะติดเกมหนักเกินไปแล้ว ผมไม่น่าโหลดแอปให้เขาเล่นเลย เขาเหมือนได้ยินคำตำหนิของผม เงยหน้าขึ้นมามอง ตอนนั้นเองผมจึงเข้าใจความรู้สึกคันยุบยิบในใจ

...ไอ้หนูนี่มีดวงตาคล้ายเมินโหยวผิงก่อนที่จะเข้าประตูสำริด

ดวงตาของคนที่ชินชาและมองผ่านโลกทั้งใบราวกับไม่มีความสำคัญอะไร มีเพียงการมุ่งไปสู่จุดหมายอันเป็นหน้าที่เท่านั้นที่แสดงถึงการมีตัวตนอยู่

ผมนึกถึงตัวเองสมัยเด็กที่ยังเล่นอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่โลกที่ปลอดภัย ภาพถ่ายของผมในช่วงนั้นเป็นภาพที่มีชีวิตชีวา แต่ยิ่งโตก็ยิ่งหม่นหมองลง การเติบโตเป็นการรับรู้ความโหดร้ายของโลก สีสันที่เคยคิดว่าสดใสยังจางซีดไปตามเวลา ความสุขที่ไร้เดียงสาก็เช่นกัน ตัวผมโชคดีหน่อยที่ยังมีช่วงเวลามองโลกด้วยดวงตาสดใส ส่วนไอ้หนูนี่มืดหม่นไปแล้ว เป็นเด็กเป็นเล็กกลับมีดวงตาแบบนี้ ไม่รู้ผ่านอะไรมาบ้าง

ผมมองเด็กชาย ใจอ่อนลงเล็กน้อย ผ่อนคลายท่ายืน

“เล่าเรื่องของเธอมา ถ้าอารมณ์ดีฉันอาจจะช่วย”

ก่อนถาม ผมได้เตรียมใจไว้แล้วว่าอาจจะได้รับความเงียบกลับมา และก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ พอรู้ว่าเขาคล้ายกับเมินโหยวผิง ผมเหมือนทำใจได้หลายส่วน ผมเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการถูกเมิน ความดื้อด้านและความพยายามวิ่งไล่ตามอะไรสักอย่างของผม ไม่มีใครสู้ได้ เพราะฉะนั้น เมินโหยวผิงเวอร์ชั่นเด็กแบบนี้ไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจสักนิด

...ก็แค่เสี่ยวผิงน้อย

“ฉันไม่รู้ว่าเธอปิดบังเรื่องอะไรอยู่” ผมพ่นควันบุหรี่ “แต่การไม่พูดจาให้เคลียร์ เก็บงำเรื่องทุกอย่างไว้กับตัวเอง เพราะคิดว่ามีเพียงตัวเองเท่านั้นที่จะทำสิ่งนั้นได้ เธอคิดว่าเป็นการกระทำที่เลิศเลอเหรอ”

เสี่ยวผิงไม่ตอบ ผมจ้องตาเขา พูดต่อ “พวกที่คิดว่าไม่มีใครเข้าใจตนอย่างนี้ ไม่ได้รู้เลยว่าโลกนี้มีคนประเภทนี้อยู่ดาษดื่น ถ้าเธออยากได้ความช่วยเหลือจากฉัน ก็จงเล่ามาให้หมด และอย่าได้โกหก ฉันไม่ใช่คนนิสัยดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว”

เพราะมีผ้าพันแผลทั้งหน้า ผมจึงไม่รู้ว่าสีหน้าของเขาเป็นยังไง แต่ดวงตาคู่นั้นไหววูบเสี้ยววินาที หึ จะวางตัวนิ่งยังไง แต่เด็กก็คือเด็ก ประสบการณ์ยังไม่มาก ระดับต่างกับเมินโหยวผิงโดยสิ้นเชิง

“เธอยังไม่รู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าผู้ใหญ่มันน่ากลัวและชั่วร้ายขนาดไหน ต่อให้เธอไม่เล่า ผู้ใหญ่อย่างพวกเราก็มีวิธีอื่นอีกมากมาย” ผมกล่าว ชี้ไปทางเสี่ยวฮัว “เพื่อนฉันคนนี้ มีเครือข่ายหาข้อมูลกว้างขวาง ภายในสามวัน เขาสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับเธอได้แน่นอน เมื่อฉันรู้เรื่องทั้งหมดและคิดว่ามันไม่น่าสนใจ การมีตัวตนของเธอก็จะไม่สำคัญอีกต่อไป”

เสี่ยวผิงยังคงนิ่งสงบ ไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของผม แต่บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปแล้ว คงเพราะผมอยู่กับสนามพลังของเมินโหยวผิงมานาน จึงสัมผัสได้ว่าความนิ่งแบบไหนจึงเป็นความนิ่งอย่างแท้จริง ผมเชื่อว่าคำพูดอีกไม่กี่ประโยคก็จะสามารถทำให้เสี่ยวผิงเปิดปากเล่าเรื่องได้

ผมกำลังคิดหาคำพูดปิดท้ายไล่ต้อน ไม่คิดว่าเขาจะทนไม่ไหว เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน

“ถึงคุณไม่ช่วยผม จางฉี่หลิงก็จะช่วยผม”

ไอ้เด็กนี่จะเล่นลูกไม้อะไรอีก ขอร้องผมไม่ได้ก็จะไปขอให้คนอื่นช่วยแทน

ผมหันไปมองเมินโหยวผิง เขาเก็บโทรศัพท์มือถือแล้ว วิถีแห่งการยุ่งเรื่องคนอื่นก็ไม่ใช่แนวทางของเขา จึงไม่ออกความเห็นใดๆ แต่จ้องมองเด็กชายด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออก

“ถ้าพวกเราไม่มีใครช่วยเธอล่ะ” ผมถาม

“ผมมาขอความช่วยเหลือ ผมมาด้วยความหวัง แต่ถ้าสิ่งที่คุณมีให้ผมคือความสิ้นหวัง ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากขอบคุณ และเดินทางด้วยตัวเอง”

เสี่ยวผิงลุกขึ้น ยกมือประสานขอบคุณ สถานการณ์เปลี่ยนแปลงเหนือความคาดหมาย ผมไม่คิดว่าเขาจะถอดใจเดินไปง่ายขนาดนี้ แต่ก็ทำให้ผมแน่ใจแล้วว่าเสี่ยวผิงปิดบังอะไรที่สำคัญมากถึงขั้นชีวิตตัวเองก็ไม่เสียดาย นี่เป็นรูปแบบของคนที่ผมแพ้ทาง คนพวกนี้ไม่กลัวตาย กลัวแต่จะทำหน้าที่ไม่สำเร็จ ไอ้หนูนี่คงไม่ได้กุมความลับสวรรค์ห้ามแพร่งพรายหรอกใช่มั้ย ผมปวดหัวกับคนพวกนี้เหลือเกิน เมื่อก่อนเจอแต่พวกผู้ใหญ่หัวแข็งยังพอเข้าใจ ตอนนี้แม้กระทั่งเด็กก็ยังกลายเป็นแบบนี้ โลกมันผิดเพี้ยนไปแล้วหรือไง

ท่าทางเหมือนจะเดินทางไปตายเพียงลำพังของเขาทำให้ผมนึกถึงเมินโหยวผิง คุณธรรมอันน้อยนิดในใจกระตุ้นให้ผมเดินไปขวางหน้าเขา ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแค่เด็ก แถมยังทำท่ารนหาที่ตายขนาดนี้ ปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ ถ้าหายตัวไปแล้วอีกสองวันมีข่าวหน้าหนึ่งว่าเด็กมัมมี่ถูกพบเป็นศพข้างถนน พวกเราปัดความรับผิดชอบไม่ได้แน่

จังหวะที่ผมก้าวออกไป ชนกับเมินโหยวผิงที่โผล่มาพอดี พวกเราสองคนยืนขวางทางออก มองหน้ากัน ผมขยี้บุหรี่กับที่เขี่ยบุหรี่ สูดหายใจลึกๆ

“ฉันจะช่วยเธอ ต่อให้บ้านเธออยู่ในเมืองใต้บาดาลหรือวิมานบนภูเขา ฉันก็จะพาไปส่ง เพราะฉะนั้น เล่าเรื่องของเธอมา”










MinMin
MinMin
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า

จำนวนข้อความ : 222
Points : 3835
Join date : 28/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

Lost - [Fic] Lost Child [ผิงเสีย] Chapter 1 Empty Re: [Fic] Lost Child [ผิงเสีย] Chapter 1

ตั้งหัวข้อ by kampe Mon 06 Jun 2016, 22:16

จะกี่ปีผ่านไปนายน้อยก็คือนายน้อยสินะคะ ปากแข็งแต่ใจอ่อนและมีความอยากรู้อยากเห็นเสมอ(ฮา) จะติดตามนะคะ
kampe
kampe
ด้วง
ด้วง

จำนวนข้อความ : 32
Points : 3500
Join date : 27/10/2014
Age : 26
ที่อยู่ : ใต้บันไดร้านนายน้อย

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน

- Similar topics

 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ