Countdown
We've been
togerther for
ค้นหา
Latest topics
Most active topics
[SF] แมวน้อยกับเปลือกส้ม (ซื่ออากง,OC)
หน้า 1 จาก 1
[SF] แมวน้อยกับเปลือกส้ม (ซื่ออากง,OC)
Rate : G
Pairing : (ไม่มี๊!!!!!!!!!!//แว่วเสียงคนแต่ง)
ชั่วชีวิตของเฉินผีอาซื่อมีแต่กลิ่นคาวเลือด
ฆ่า...หลอกลวง...คือวิถีชีวิตของเขา
ยกเว้นเพียงเรื่องเดียวที่ใช้เวลาทั้งชีวิตคิดก็ไม่อาจหาคำตอบได้
“ผีอาซื่อ ข้าอยากฝากเด็กคนนี้ไว้ให้เจ้าดูแล”
อู๋เหล่าโก่ว ราชาสุนัขสกุลห้ากล่าวพร้อมกับรุนหลังเด็กผู้หญิงวัยสี่ห้าขวบคนหนึ่งมาตรงหน้า เด็กน้อยมีผมสีน้ำตาลตามพันธุกรรมคนสกุลอู๋ ทว่ากลับมีดวงตาสีอำพันสวยที่แปลกประหลาดกว่าใครๆ แม่หนูน้อยมองใบหน้าของเขาแล้วก็คลี่รอยยิ้มเอียงอาย ให้ความรู้สึกเหมือนดอกไม้น้อยๆที่ยังไม่ผลิบานเต็มที่
ช่างบอบบาง...
“ใคร?” ชายชราถามเสียงห้วนสั้น รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่สหายเก่าแก่ถึงกับมาหาเขาที่หน้าด่านด้วยตัวคนเดียว ปราศจากบุตรชายคนรองและคนสุดท้ายติดตามเหมือนเคย
“อู๋ซือ หลานสาวของข้าเอง”
ดวงตาที่ใกล้บอดสนิทใต้แว่นเลนส์หนาเบิกกว้าง มองใบหน้ากลมเกลี้ยงของยัยหนูสลับกับสหาย พบความคล้ายคลึงอยู่หลายส่วนทีเดียว
แต่ไม่ใช่ว่าสกุลอู๋มีเพียงบุตรชายหรอกหรือ?
หรือว่า...
สหายของเขายังคงอ่านสีหน้าได้ทะลุปรุโปร่ง จึงพยักหน้ารับแล้วเอ่ยต่อไปว่า “คนที่ข้าไว้ใจเหลือเพียงเจ้า...ผีอาซื่อ ข้าต้องรบกวนเรื่องนี้กับเจ้าแล้ว”
แผนการอันยาวนานที่ถูกทำนายโดยเจ้าบ้านแปดฉีเถียจุ่ย...ถึงเด็กผู้หญิงคนเดียวที่ถือกำเนิดในสกุลห้า
“เจ้าแน่ใจหรือ” นัยน์ตาที่แม้จะเลือนรางแต่ยังคงความทรงอำนาจไม่เปลี่ยนตวัดมองสหายในอดีต “ตัวข้ามีนิสัยเช่นไรเจ้าก็น่าจะรู้ ถึงเป็นหลานสาวของสหายอย่างเจ้าข้าก็ไม่เว้นหรอกนะ”
“ข้าไม่มีวันเปลี่ยนใจ” อู๋เหล่าโก่วกล่าวน้ำเสียงหนักแน่น “เพราะยัยหนูเองก็เป็นคนเลือกแล้วเหมือนกัน”
เพียงคำพูดนั้น...เขาถึงยอมรับเด็กคนนั้นมาเป็นศิษย์
เสี่ยวซือเป็นเด็กขยันและมีความมุมานะ สั่งให้ทำอะไรก็ทำอย่างตั้งใจ คงความซื่อตรงเอาไว้หลายส่วนทั้งที่บางสิ่งช่างเลวร้ายเหลือเกินที่เขาให้เด็กอายุห้าขวบทำ
ที่บอกว่านางเป็นคนเลือกเองคงมิผิด...เพราะเขาสังเกตเห็นมือน้อยสั่นเทาขณะจับมีดสังหารลูกน้องผู้หนึ่งที่ทรยศตามคำสั่งของเขา แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังใจแข็งทำตามที่สั่งอย่างไม่บิดพลิ้ว
นางเตรียมใจสังหารคนมาตั้งแต่แรก...
เรื่องลงดินขุดสุสานไม่ใช่เรื่องเล่น บางอย่างก็ต้องใช้การตัดสินใจอย่างเด็ดขาดอย่างมากเช่นการสังหารคนเป็นต้น อู๋ซือถูกวางตัวให้เป็นผู้สืบทอดวิชาขุดสุสานรุ่นที่สามของสกุลอู๋ ต่อจากเอ้อร์ไป๋และเด็กเวรซันเสิ่งที่ชอบมาขัดแข้งขัดขาเขาเหลือเกิน
“อาจารย์ น้ำชาค่ะ”
ความคิดของเขาถูกขัดลงเมื่อเด็กสาวเจ้าของใบหน้าไร้เดียงสาที่คล้ายคลึงกับราชาสุนัขห้าเดินเข้ามาพร้อมสองมือที่ประคองถาดน้ำชา กลิ่นหอมของใบชาลอยกรุ่นท่ามกลางห้องอันหนาวเหน็บ เมื่อรินชาใส่ถ้วยดินเผาเสร็จเธอก็เดินไปจุดไฟที่กระถางน้อยพร้อมกับโปรยบางสิ่งลงไปให้เกิดกลิ่นหอมกลบกลิ่นควันฟืน
ทุกย่างก้าวล้วนไร้เสียงแต่หนักแน่น
หนึ่งในวิชางิ้วที่เขาถูกสอนโดยเจ้าบ้านสองเอ้อร์เยว่หง...ไม่สิ...เรียกได้ว่าครูพักลักจำมากกว่า เขานำมันถ่ายทอดให้แก่ลูกศิษย์ตัวน้อย...ทั้งที่เคยคิดเอาไว้ว่าจะไม่ถ่ายทอดให้ใครอีกเป็นอันขาด
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเด็กคนนี้เป็นศิษย์คนเดียวที่เป็นหญิง หรือความไร้เดียงสาที่ชวนให้นึกถึงอาจารย์แม่ เขาถึงไม่เคยทอดทิ้งหรือเอาเด็กคนนี้เป็นตัวตายตัวแทนยามลงดินเหมือนที่เคยทำกับลูกศิษย์หลายๆคนก่อนหน้า
“เสี่ยวซือ หนาวหรือไม่?”
สีหน้าของนางดูงุนงงไม่น้อย แต่ก็ค่อยๆพยักหน้า “หนาวค่ะอาจารย์”
“ออกไปคุกเข่าอยู่ด้านนอกห้องจนกว่าข้าจะสั่งให้ลุก”
เธอไม่ได้ชักสีหน้าหรือตื่นตระหนกใดๆ เพียงแค่หัวเราะเจื่อนพร้อมกล่าวเสียงอ่อนว่า “มันหนาวจริงๆนะคะอาจารย์” แล้วจากนั้นก็เดินไปคุกเข่าอยู่ด้านนอกตามคำสั่งอย่างไม่บิดพลิ้ว
เธอคือความซื่อตรงของเขา
เขานั่งนิ่ง เฝ้ามองหิมะเกล็ดแล้วเกล็ดเล่าร่วงโปรยจากท้องฟ้าสีมัว บนไหล่ของลูกศิษย์ตัวน้อยมีสีขาวเกาะอยู่เต็มไปหมด ใบหน้าของเธอมีรอยแดงก่ำจากการถูกความเย็นจัด ในขณะที่ริมฝีปากเริ่มซีดและแต่งแต้มด้วยสีม่วงคล้ำ เมื่อผ่านไปหนึ่งชั่วยามเขาจึงวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ เป็นสัญญาณให้ร่างบางลุกขึ้นยืน ปัดหิมะออกจากไหล่และโค้งคำนับ
“เสี่ยวซือขอกลับห้องนะคะ”
เขาเพียงพยักหน้ารับ ก่อนที่ความเงียบงันจะเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง
ชั่วชีวิตนี้...เขาไม่คิดว่าจะมีเวลาที่ตนถูกให้อภัย
ลมหายใจของเขาเริ่มขาดห้วงลงเรื่อยๆ ลูกน้องคนสนิทที่ติดตามมาด้วยในสุสานนั้นล้มหายตายจากไปเสียจนหมดแล้ว ขณะนี้เหลือเพียงเขาคนเดียวที่นั่งพิงผนังของตำหนักทิพย์พิมานเมฆ บาดแผลบนหน้าท้องและกลางหลังจากเจ้านกเวรนั่นแทบไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกแล้ว
เสียงฝีเท้าและเสียงขบจะงอยปากของพวกมันดังระลมและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เฉินผีอาซื่อแค่นยิ้ม นึกถึงคำพูดสุดท้ายของเหลาอู่ บุคคลที่นับได้ว่าเป็นสหายผู้หนึ่ง
หึ...ไม่นึกว่าคนอย่างเขาก็มีวันที่ตายเป็นด้วย
ยามนึกถึงชีวิตที่เคยได้โลดแล่นท่ามกลางโลกสีเทาดำใบนั้น...เขาไม่นึกเสียดายหรืออาวรณ์ต่อสิ่งใดอีกแล้ว
แล้วในตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาขุมหนึ่งย่างเข้ามา และเข้าแทนที่เสียงของพวกนกเวรซึ่งตีปีกห่างหายออกไป
และมือคู่หนึ่งที่เข้าสัมผัสแขนของเขาอย่างอ่อนโยน
“อาจารย์...ทำใจดีๆนะคะ ฉันจะพาคุณออกไป” เสียงนุ่มนวลที่เขาได้ยินมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาดังขึ้น เสียงนั้นเต็มไปด้วยความร้อนรนชัดเจน อีกทั้งเขายังได้กลิ่นคาวเลือดจางๆซึ่งไม่ใช่ของเขาเอง
“ยัยเด็กโง่เอ๋ย” เขาแค่นเสียงต่ำ แต่ก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะเอื้อมไปเขกหัวทุยๆนั้นอย่างที่เคย
เวลาของเขาใกล้หมดลงแล้ว…
ท้ายที่สุด...ก็มีเพียงยัยหนูที่คอยเคียงข้าง
เจ้าลูกแมวน้อยตัวนั้นพาเขาออกมายังโถงบ่อน้ำพุร้อน ค่อยๆประคองเขาให้นั่งพิงก้อนหินและนำน้ำจากบ่อมาเช็ดคราบเลือด หูที่เริ่มเลือนได้ยินเสียงฉีกขาดของผ้า ยัยหนูฉีกผ้าส่วนหนึ่งจากในกระเป๋าออกมาพันเพื่อห้ามเลือดให้เขา
ยัยหนู...เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นเลย
ข้าไม่ใช่อาจารย์ที่ดีสำหรับเจ้า...ข้าเคยทอดทิ้งเจ้าไปกี่ครั้งแล้ว เหตุใด…..
เหตุใดจึงช่วยคนเช่นข้า?
ว่ากันว่าคนที่กำลังใกล้ตายมักจะมองเห็นอดีตทั้งหมด
เขารู้สึกเช่นนั้น...รู้สึกราวกับว่ากำลังย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิต
ช่วงเวลาที่เขาเป็นเพียงเด็กชายผู้ไร้เดียงสา เด็กชายที่เชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์และอาจารย์แม่อย่างเคร่งครัด
ช่วงเวลาที่เขาได้พบกับความอบอุ่นอย่างแท้จริง
“ท่านอาจารย์...อาจารย์คะ...อาจารย์!!!”
แว่วเสียงเรียกตะโกนของยัยหนูค่อยๆแผ่วลง
อา...ขอโทษด้วยนะยัยหนู...ไม่สิ…
.
.
.
.
เสี่ยวซือ
ข้าไม่อาจสั่งสอนเจ้าได้อีกแล้ว...เด็กน้อย
จงมีชีวิตต่อไปเถิด...หลานสาวคนเดียวแห่งสกุลอู๋
ข้าไม่เคยเสียใจที่ได้เจ้ามาเป็นศิษย์เลย...รู้ไหม?
----------------------------------------------
เป็นช็อตสั้นๆที่เอาลงไปในกลุ่มน่ะค่ะ วันนี้เน็ตเป็นใจเลยเอามาลงในบอร์ดซะเลย5555
Pairing : (ไม่มี๊!!!!!!!!!!//แว่วเสียงคนแต่ง)
ชั่วชีวิตของเฉินผีอาซื่อมีแต่กลิ่นคาวเลือด
ฆ่า...หลอกลวง...คือวิถีชีวิตของเขา
ยกเว้นเพียงเรื่องเดียวที่ใช้เวลาทั้งชีวิตคิดก็ไม่อาจหาคำตอบได้
“ผีอาซื่อ ข้าอยากฝากเด็กคนนี้ไว้ให้เจ้าดูแล”
อู๋เหล่าโก่ว ราชาสุนัขสกุลห้ากล่าวพร้อมกับรุนหลังเด็กผู้หญิงวัยสี่ห้าขวบคนหนึ่งมาตรงหน้า เด็กน้อยมีผมสีน้ำตาลตามพันธุกรรมคนสกุลอู๋ ทว่ากลับมีดวงตาสีอำพันสวยที่แปลกประหลาดกว่าใครๆ แม่หนูน้อยมองใบหน้าของเขาแล้วก็คลี่รอยยิ้มเอียงอาย ให้ความรู้สึกเหมือนดอกไม้น้อยๆที่ยังไม่ผลิบานเต็มที่
ช่างบอบบาง...
“ใคร?” ชายชราถามเสียงห้วนสั้น รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่สหายเก่าแก่ถึงกับมาหาเขาที่หน้าด่านด้วยตัวคนเดียว ปราศจากบุตรชายคนรองและคนสุดท้ายติดตามเหมือนเคย
“อู๋ซือ หลานสาวของข้าเอง”
ดวงตาที่ใกล้บอดสนิทใต้แว่นเลนส์หนาเบิกกว้าง มองใบหน้ากลมเกลี้ยงของยัยหนูสลับกับสหาย พบความคล้ายคลึงอยู่หลายส่วนทีเดียว
แต่ไม่ใช่ว่าสกุลอู๋มีเพียงบุตรชายหรอกหรือ?
หรือว่า...
สหายของเขายังคงอ่านสีหน้าได้ทะลุปรุโปร่ง จึงพยักหน้ารับแล้วเอ่ยต่อไปว่า “คนที่ข้าไว้ใจเหลือเพียงเจ้า...ผีอาซื่อ ข้าต้องรบกวนเรื่องนี้กับเจ้าแล้ว”
แผนการอันยาวนานที่ถูกทำนายโดยเจ้าบ้านแปดฉีเถียจุ่ย...ถึงเด็กผู้หญิงคนเดียวที่ถือกำเนิดในสกุลห้า
“เจ้าแน่ใจหรือ” นัยน์ตาที่แม้จะเลือนรางแต่ยังคงความทรงอำนาจไม่เปลี่ยนตวัดมองสหายในอดีต “ตัวข้ามีนิสัยเช่นไรเจ้าก็น่าจะรู้ ถึงเป็นหลานสาวของสหายอย่างเจ้าข้าก็ไม่เว้นหรอกนะ”
“ข้าไม่มีวันเปลี่ยนใจ” อู๋เหล่าโก่วกล่าวน้ำเสียงหนักแน่น “เพราะยัยหนูเองก็เป็นคนเลือกแล้วเหมือนกัน”
เพียงคำพูดนั้น...เขาถึงยอมรับเด็กคนนั้นมาเป็นศิษย์
เสี่ยวซือเป็นเด็กขยันและมีความมุมานะ สั่งให้ทำอะไรก็ทำอย่างตั้งใจ คงความซื่อตรงเอาไว้หลายส่วนทั้งที่บางสิ่งช่างเลวร้ายเหลือเกินที่เขาให้เด็กอายุห้าขวบทำ
ที่บอกว่านางเป็นคนเลือกเองคงมิผิด...เพราะเขาสังเกตเห็นมือน้อยสั่นเทาขณะจับมีดสังหารลูกน้องผู้หนึ่งที่ทรยศตามคำสั่งของเขา แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังใจแข็งทำตามที่สั่งอย่างไม่บิดพลิ้ว
นางเตรียมใจสังหารคนมาตั้งแต่แรก...
เรื่องลงดินขุดสุสานไม่ใช่เรื่องเล่น บางอย่างก็ต้องใช้การตัดสินใจอย่างเด็ดขาดอย่างมากเช่นการสังหารคนเป็นต้น อู๋ซือถูกวางตัวให้เป็นผู้สืบทอดวิชาขุดสุสานรุ่นที่สามของสกุลอู๋ ต่อจากเอ้อร์ไป๋และเด็กเวรซันเสิ่งที่ชอบมาขัดแข้งขัดขาเขาเหลือเกิน
“อาจารย์ น้ำชาค่ะ”
ความคิดของเขาถูกขัดลงเมื่อเด็กสาวเจ้าของใบหน้าไร้เดียงสาที่คล้ายคลึงกับราชาสุนัขห้าเดินเข้ามาพร้อมสองมือที่ประคองถาดน้ำชา กลิ่นหอมของใบชาลอยกรุ่นท่ามกลางห้องอันหนาวเหน็บ เมื่อรินชาใส่ถ้วยดินเผาเสร็จเธอก็เดินไปจุดไฟที่กระถางน้อยพร้อมกับโปรยบางสิ่งลงไปให้เกิดกลิ่นหอมกลบกลิ่นควันฟืน
ทุกย่างก้าวล้วนไร้เสียงแต่หนักแน่น
หนึ่งในวิชางิ้วที่เขาถูกสอนโดยเจ้าบ้านสองเอ้อร์เยว่หง...ไม่สิ...เรียกได้ว่าครูพักลักจำมากกว่า เขานำมันถ่ายทอดให้แก่ลูกศิษย์ตัวน้อย...ทั้งที่เคยคิดเอาไว้ว่าจะไม่ถ่ายทอดให้ใครอีกเป็นอันขาด
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเด็กคนนี้เป็นศิษย์คนเดียวที่เป็นหญิง หรือความไร้เดียงสาที่ชวนให้นึกถึงอาจารย์แม่ เขาถึงไม่เคยทอดทิ้งหรือเอาเด็กคนนี้เป็นตัวตายตัวแทนยามลงดินเหมือนที่เคยทำกับลูกศิษย์หลายๆคนก่อนหน้า
“เสี่ยวซือ หนาวหรือไม่?”
สีหน้าของนางดูงุนงงไม่น้อย แต่ก็ค่อยๆพยักหน้า “หนาวค่ะอาจารย์”
“ออกไปคุกเข่าอยู่ด้านนอกห้องจนกว่าข้าจะสั่งให้ลุก”
เธอไม่ได้ชักสีหน้าหรือตื่นตระหนกใดๆ เพียงแค่หัวเราะเจื่อนพร้อมกล่าวเสียงอ่อนว่า “มันหนาวจริงๆนะคะอาจารย์” แล้วจากนั้นก็เดินไปคุกเข่าอยู่ด้านนอกตามคำสั่งอย่างไม่บิดพลิ้ว
เธอคือความซื่อตรงของเขา
เขานั่งนิ่ง เฝ้ามองหิมะเกล็ดแล้วเกล็ดเล่าร่วงโปรยจากท้องฟ้าสีมัว บนไหล่ของลูกศิษย์ตัวน้อยมีสีขาวเกาะอยู่เต็มไปหมด ใบหน้าของเธอมีรอยแดงก่ำจากการถูกความเย็นจัด ในขณะที่ริมฝีปากเริ่มซีดและแต่งแต้มด้วยสีม่วงคล้ำ เมื่อผ่านไปหนึ่งชั่วยามเขาจึงวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ เป็นสัญญาณให้ร่างบางลุกขึ้นยืน ปัดหิมะออกจากไหล่และโค้งคำนับ
“เสี่ยวซือขอกลับห้องนะคะ”
เขาเพียงพยักหน้ารับ ก่อนที่ความเงียบงันจะเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง
ชั่วชีวิตนี้...เขาไม่คิดว่าจะมีเวลาที่ตนถูกให้อภัย
ลมหายใจของเขาเริ่มขาดห้วงลงเรื่อยๆ ลูกน้องคนสนิทที่ติดตามมาด้วยในสุสานนั้นล้มหายตายจากไปเสียจนหมดแล้ว ขณะนี้เหลือเพียงเขาคนเดียวที่นั่งพิงผนังของตำหนักทิพย์พิมานเมฆ บาดแผลบนหน้าท้องและกลางหลังจากเจ้านกเวรนั่นแทบไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกแล้ว
เสียงฝีเท้าและเสียงขบจะงอยปากของพวกมันดังระลมและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เฉินผีอาซื่อแค่นยิ้ม นึกถึงคำพูดสุดท้ายของเหลาอู่ บุคคลที่นับได้ว่าเป็นสหายผู้หนึ่ง
หึ...ไม่นึกว่าคนอย่างเขาก็มีวันที่ตายเป็นด้วย
ยามนึกถึงชีวิตที่เคยได้โลดแล่นท่ามกลางโลกสีเทาดำใบนั้น...เขาไม่นึกเสียดายหรืออาวรณ์ต่อสิ่งใดอีกแล้ว
แล้วในตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาขุมหนึ่งย่างเข้ามา และเข้าแทนที่เสียงของพวกนกเวรซึ่งตีปีกห่างหายออกไป
และมือคู่หนึ่งที่เข้าสัมผัสแขนของเขาอย่างอ่อนโยน
“อาจารย์...ทำใจดีๆนะคะ ฉันจะพาคุณออกไป” เสียงนุ่มนวลที่เขาได้ยินมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาดังขึ้น เสียงนั้นเต็มไปด้วยความร้อนรนชัดเจน อีกทั้งเขายังได้กลิ่นคาวเลือดจางๆซึ่งไม่ใช่ของเขาเอง
“ยัยเด็กโง่เอ๋ย” เขาแค่นเสียงต่ำ แต่ก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะเอื้อมไปเขกหัวทุยๆนั้นอย่างที่เคย
เวลาของเขาใกล้หมดลงแล้ว…
ท้ายที่สุด...ก็มีเพียงยัยหนูที่คอยเคียงข้าง
เจ้าลูกแมวน้อยตัวนั้นพาเขาออกมายังโถงบ่อน้ำพุร้อน ค่อยๆประคองเขาให้นั่งพิงก้อนหินและนำน้ำจากบ่อมาเช็ดคราบเลือด หูที่เริ่มเลือนได้ยินเสียงฉีกขาดของผ้า ยัยหนูฉีกผ้าส่วนหนึ่งจากในกระเป๋าออกมาพันเพื่อห้ามเลือดให้เขา
ยัยหนู...เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นเลย
ข้าไม่ใช่อาจารย์ที่ดีสำหรับเจ้า...ข้าเคยทอดทิ้งเจ้าไปกี่ครั้งแล้ว เหตุใด…..
เหตุใดจึงช่วยคนเช่นข้า?
ว่ากันว่าคนที่กำลังใกล้ตายมักจะมองเห็นอดีตทั้งหมด
เขารู้สึกเช่นนั้น...รู้สึกราวกับว่ากำลังย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิต
ช่วงเวลาที่เขาเป็นเพียงเด็กชายผู้ไร้เดียงสา เด็กชายที่เชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์และอาจารย์แม่อย่างเคร่งครัด
ช่วงเวลาที่เขาได้พบกับความอบอุ่นอย่างแท้จริง
“ท่านอาจารย์...อาจารย์คะ...อาจารย์!!!”
แว่วเสียงเรียกตะโกนของยัยหนูค่อยๆแผ่วลง
อา...ขอโทษด้วยนะยัยหนู...ไม่สิ…
.
.
.
.
เสี่ยวซือ
ข้าไม่อาจสั่งสอนเจ้าได้อีกแล้ว...เด็กน้อย
จงมีชีวิตต่อไปเถิด...หลานสาวคนเดียวแห่งสกุลอู๋
ข้าไม่เคยเสียใจที่ได้เจ้ามาเป็นศิษย์เลย...รู้ไหม?
----------------------------------------------
เป็นช็อตสั้นๆที่เอาลงไปในกลุ่มน่ะค่ะ วันนี้เน็ตเป็นใจเลยเอามาลงในบอร์ดซะเลย5555
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|
Fri 24 Jul 2020, 01:39 by gustoon
» [คู่มือด้วง] Keyword จีนสำหรับการขุด(แฟนดอม)สุสาน
Thu 21 Jun 2018, 00:29 by miskizfullmoon
» มังฮวาและภาคทิเบต
Thu 21 Jun 2018, 00:23 by miskizfullmoon
» [OS] Father is the best (ผิงเสีย)
Thu 03 Aug 2017, 16:12 by schneewittchen
» [Fic] สิ่งเล็กๆที่เชื่อมโลก5 [เมินโหยวผิง+อู่เสีย+เสี่ยอ้วน]+OC
Tue 01 Aug 2017, 12:30 by natsume
» [OS] #dmbjdaily (จูปาจุ๊บ) Bittersweet [ผิงเสีย AU]
Thu 06 Apr 2017, 15:58 by Zeth
» [OS] #dmbjdaily "โทรศัพท์มือถือ" - no Pairing [All]
Tue 04 Apr 2017, 22:27 by Zeth
» [OS] #DMBJDaily (แว่น): ระยะที่มองไม่เห็น [ฮัวเสีย]
Sat 01 Apr 2017, 16:55 by Zeth
» [OS] #DMBJdaily (5.20) ท่านยอดฝีมือ [หวังเหมิง (+เหมิงเสีย)(+ผิงเสีย)]
Thu 30 Mar 2017, 17:24 by Zeth