Countdown
We've been
togerther for
ค้นหา
Latest topics
Most active topics
[OS] Lies and Truth *No Pairing*
4 posters
หน้า 1 จาก 1
[OS] Lies and Truth *No Pairing*
สวัสดีอีกรอบค่า
แวะเอาฟิคพิลึกมาแปะอีกแล้วค่ะ ฮืออออออออ
คือในหัวไม่รู้ทำไมถึงมีแต่ฟิคแบบนี้เด้งออกมาอ่ะค่า
เรื่องนี้จะมองว่าผิงเสียก็ได้ คิงกะท่านวังก็ดีค่ะ แต่พูดจริงๆคือไม่มีอะไรในกอไผ่ แหะๆ
เอาไว้อ่านเล่นเย็นๆใจนะค้า
//มุดรูด้วงหนีด้วยความเขิน
ก้นเหวลึกล้ำราวไร้ก้นบึ้ง มืดสนิทดุจจมอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดแห่งห้วงอนธการ ไร้สิ้นซึ่งสำเนียงใดที่จะบ่งบอกถึงสิ่งมีชีวิต
ความเงียบงันที่ดำเนินมานับร้อยนับพันปีครอบคลุมที่พำนักสุดท้ายแห่งกษัตริย์ตงเซี่ย และประตูสำริดบานยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่เชิงหน้าผา
ท่ามกลางความเงียบยิ่งเงียบ เสียงของวัตถุบางอย่างกระทบกับพื้นแข็งดังขึ้นเป็นระยะ จากไกลมาสู่ใกล้
เสียงนั้นใสกระจ่างดุจแท่งหยกกระทบกับจานหิน ไล่จากโพรงถ้ำแห่งหนึ่งดังสูงๆต่ำๆไล่มาจนถึงหน้าประตูสำริดยักษ์ที่ปิดสนิทแน่น
“อาเฮีย...เฮียประตูสำริด”
เสียงเล็กๆใสราวแก้วดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“ตื่นหน่อยเฮีย มีเรื่องจะคุยด้วย”
นาน...ช้า...แสงเรืองอมเขียวค่อยแผ่กระจายออกมาจากประตูสำริดบานใหญ่ รอยสลักงามวิจิตรปรากฎชัดต่อสายตา
“หือ? ใครกันมาเอะอะวุ่นวายแถวนี้”
เสียงต่ำงัวเงียนิดๆดังขึ้นจากประตูสำริด แสงเรืองที่เพิ่มความเข้มขึ้นส่องให้เห็นเจ้าของเสียงที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก
ประตูบานใหญ่ที่ยังเมาขี้ตาพยายามเพ่งมองก้อนสี่เหลี่ยมกระจิ๊ดริดที่ตั้งอยู่ใกล้เชิงประตูพักใหญ่ก่อนจะอ้าปากหาวยาวเหยียด
“ฮ้าววววววววว...นึกว่าแมวที่ไหน ที่แท้ก็นายนี่เอง มีธุระอะไรเหรอลัญจกรผี?”
ตราหยกทรงสี่เหลี่ยมสลักลายกิเลนเหยียบผี งามประณีตยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าประตูบานใหญ่
เนื้อหยกเนียนใสสะท้อนกับแสงเรืองจากบานประตูจนดูราวกับเปล่งแสงได้
“แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าไม่มีอะไรฉันจะยอมเปลืองเนื้อเปลืองตัวกระโดดกระเด้งมาตามทางขรุขระจากถ้ำน้ำพุร้อนมาจนถึงตรงนี้เรอะ?
ให้ตายสิ! ตอนซ่อมที่นี่ทำไมท่านวังฉางไห่ถึงไม่รู้จักปูพรมแดงบ้างนะ พื้นหยกฉันช้ำหมด”
บ่นงึมงำพลางพลิกมุมซ้ายมุมขวาตรวจดูรอยบุบบิ่นของตัวเองที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเดินทางวิบากมาจนถึงนี่
แน่นอนว่าเพราะเป็นลัญจกรผีที่มีหน้าที่ประดุจกุญแจ ทำให้บรรดาบ๊ะจ่างและอสุรกายผู้พิทักษ์ไม่มีใครคิดจะมาวอแวด้วย
แต่พื้นถ้ำหินเป็นสิ่งนอกประเด็น
ประตูสำริดทำตาปริบๆ ที่จริงก็รู้อ่ะนะว่าตราลัญจกรแต่ละอันมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันไป แต่แบบขี้บ่นเป็นแม่แก่แบบนี้ไม่เคยเจอมาก่อน...
“แล้วทำไมนายต้องมาเองล่ะ? เจ้าหนูอู๋เสียเดี้ยงไปแล้วเรอะ?”
ตั้งข้อสงสัยแบบงงแอนด์ก๊ง เพราะปกติแล้วตราลัญจกรมีหน้าที่เหมือนกุญแจไข เวลามาปรากฎอยู่หน้าประตูก็คือ
เวลาที่มีคนต้องการจะผ่านเข้าหรือออกมาจากด้านใน แต่กรณีลูกกุญแจถ่อสังขารมาเองนี่ยังไม่เคยปรากฎ
“ปากเสียน่าเฮีย ถึงอู๋เสียจะแบ๊วๆบื้อๆเอ๋อๆแต่ก็ไม่ตายง่ายอย่างนั้นหรอก”
ลัญจกรผีบ่นอุบอิบ ฟังเผินๆเหมือนจะแก้ต่างให้ผู้ถือครองที่ตอนนี้หลับกลิ้งอยู่ที่ถ้ำน้ำพุร้อนด้านนอก แต่ไม่รู้ทำไมเนื้อความมันออกจะทะแม่งชอบกล
“ว่าแต่ผู้ถือครองลัญจกรหลักล่ะเป็นไงบ้าง?”
ประตูสำริดเลิกคิ้วนิดหน่อย
“เจ้าหนูจางฉี่หลิงน่ะเหรอ? น่าจะโอเคอยู่มั้ง นี่ก็นั่งพิงหลังฉันอยู่เนี่ย”
ประตูตอบพลางทำท่าบุ้ยใบ้ไปยังอีกฟากของตัวเองทั้งๆที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางมองทะลุบานประตูที่ทั้งหนักและหนาทึบไปได้
อีกฟากนั้นชายหนุ่มร่างเพรียวในชุดเกราะสำริดผุพังกำลังนั่งพิงอยู่กับบานประตู ดวงตาทั้งคู่หลับสนิท
บนตักพาดดาบเล่มใหญ่ที่เจ้าตัวกุมไว้ในสภาพเตรียมพร้อม แท่นหินใกล้ตัววางลัญจกรอีกอันที่เรืองแสงอ่อนจางจนแทบจะมองไม่เห็น
“สายเลือดตระกูลจางแถมยังสืบทอดชื่อจางฉี่หลิง อึดถึกทนขนาดนี้ต่อให้ตีกับกษัตริย์ว่านหนูก็คงไม่สะเทือนหรอก”
ว่าแล้วก็เหล่มองลัญจกรอันเล็กที่อยู่เบื้องหน้า
“แล้วที่ว่ามีธุระคืออะไรล่ะ? อย่าบอกนะว่ามาถามสภาพความเป็นอยู่ของเจ้าหนุ่มหลังบานประตูแล้วจะเอาไปรายงานผู้ถือครองนาย”
“จะบ้าเรอะ!อู๋เสียได้ยินเสียงฉันซะที่ไหน” ลัญจกรหยกโวย
“ฉันแค่สงสัยว่าทำไมจู่ๆผนึกฉันถึงคลายออกจนมีคุณสมบัติเปิดประตูได้ต่างหากล่ะ”
เพราะประตูสำริดเป็นประตูเปิดไปสู่โลกใต้พิภพอันลึกลับของจอมกษัตริย์แห่งตงเซี่ย ความลับอันน่าประหวั่นพรั่นพึงแถวมากมายล้วนเก็บซ่อนไว้ที่นี่
หากปราศจากลัญจกรแล้วไม่มีใครหน้าไหนที่จะสามารถผ่านไปยังด้านหลังของบานประตูได้ เมื่อเป็นดังนั้นความลับก็จะยังคงเป็นความลับต่อไป
“ตั้งแต่ท่านวังฉางไห่พาฉันออกไปจากที่นี่ ฉันก็เหมือนจะโดนปิดผนึกไว้ตลอด มันนานเสียจนฉันจำอะไรไม่ค่อยได้ก็เลยอยากจะมาถามนายน่ะ”
“ที่จริงคุณสมบัติการเป็นกุญแจเปิดประตูมันก็ติดตัวนายมาตั้งแต่แรกสร้างแล้วไม่ใช่เรอะ?”ประตูสำริดถามพลางขมวดคิ้ว
“นายกับลัญจกรหลักเป็นเหมือนกุญแจหลักกับกุญแจสำรองที่ถูกสร้างมาคู่กันตั้งแต่แรกแล้ว อันแรกเป็นลัญจกรของราชาว่านหนู
ส่วนนายเป็นลัญจกรสำหรับเป็นกุญแจของท่านวังฉางไห่ไง”
“พิลึกละ!” ลัญจกรอันเล็กอุทานเสียงดัง “ด้านหลังนายเป็นอาณาจักรใต้พิภพของคิงไม่ใช่เรอะ? ถึงจะต้องซ่อมวังยังไง
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะให้นายช่างต้องมีกุญแจสำรองสักหน่อย”
ประตูสำริดถอนหายใจพรืด
“นายติดเชื้อความจำเสื่อมจากเจ้าหนูจางฉี่หลิงรึไงเนี่ย? เอาเถอะ...เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟังอีกรอบก็ได้ หาที่นั่งเอาแถวนั้นแล้วกันนะ มันออกจะยาวนิดนึง”
“ย่อหน่อยได้ป่ะ? ฉันต้องรีบกลับไปก่อนอู๋เสียตี่น ไม่งั้นหมอนั่นตกใจแย่”
ลัญจกรพูดพลางทำตาแป๋ว จู่ๆของหมั้น...เอ๊ย!ของแทนใจ...เอ๊ย! ของดูต่างหน้าก็หายแว่บไปจากกระเป๋า ไม่ตกใจก็บ้าแล้ว
“เออๆ!” ประตูสำริดพูดเสียงขึ้นจมูกอย่างรำคาญนิดๆ หมั่นไส้หน่อยๆ “จะย่อให้เท่าที่ทำได้ละกัน”
“ว่าแต่นายเรืองแสงได้แบบนี้มีระบบฉายภาพแบบ3Dป่ะ?”
“นี่ประตูเว้ย ไม่ใช่จอHD! ตกลงจะฟังไหมเนี่ย!”
ประตูสำริดรู้สึกอยากจะขยับไปกระทืบลัญจกรเต็มแก่ เดชะบุญที่คนคิดสร้างประตูรอบคอบพอที่จะยึดบานประตูไว้แน่นหนา
ลัญจกรน้อยถึงรอดบาทาประตูไปได้หวุดหวิด เมื่อเห็นอีกฝ่ายชักเดือดลัญจกรที่ด้อยอาวุโสกว่าก็ย่นคอแล้วแลบลิ้นเล็กๆ
“คร้าบๆ อย่าโมโหง่ายแบบนี้สิเฮีย เดี๋ยวเส้นโลหิตในสมองแตกตายพอดี”
แม้อยากจะสวนกลับไปว่าประตูบ้านแกสิมีเส้นโลหิตในสมอง แต่ประตูสำริดก็คิดได้ว่าควรคุมสติตัวเองเอาไว้
ในฐานะผู้ที่มีอายุมายาวนานกว่าอีกฝ่ายมาก จะมาเสียอนาคตเพราะด่าเด็กก็ใช่ที่
“เดิมทีประตูสำริดอย่างฉันไม่ได้เปิดปิดด้วยระบบลัญจกรแบบนี้หรอก แต่จะเปิดปิดเมื่อคิงว่านหนูต้องการจะผ่านเข้าออกที่นี่
ซึ่งก็นานๆทีจะเกิดขึ้นสักครั้ง ส่วนใหญ่ก็พิธีราชาภิเษกคิงของตงเชี่ยนั่นล่ะ”
เพื่อเป็นการประหยัดเวลา ประตูสำริดจึงตัดสินใจจะใช้ศัพท์ยุคใหม่ ตัดราชาศัพท์อันยืดยาวออกเสียเรียบ
“อยู่มาวันนึง ไม่รู้ผีตนไนดลใจคิงให้นึกอยากรีโนเวทวังใต้พิภพนี่ ก็เลยเกิดยุทธการลักพาตัวนายช่างใหญ่ประจำยุคอย่างท่านวังฉางไห่ลงมาคุมไซต์ก่อสร้าง
ขั้นตอนการร่างแบบพิมพ์เขียวราบรื่นเรียบร้อย แต่พอการก่อสร้างเริ่มต้นปัญหาก็เกิด”
“ปัญหาอะไรอ่ะ?” ลัญจกรที่นั่งอ้าปากหวอฟังอยู่นานรีบถามเหมือนกลัวน้ำลายบูด “ระดับคิงไม่น่าต้องไปกู้ธอส.มาซ่อมบ้านหรอกมั้ง?”
“การจัดซื้อจัดหาวัสดุและอุปกรณ์การก่อสร้างไม่สะเทือนขนหน้าแข้งคิงแม้แต่นิด เรื่องกำลังคนก็มีกองทัพผีมากมายให้ใช้งานเยี่ยงทาสโดยไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าจ้าง
ปัญหามีอยู่เรื่องเดียวก็คือการแบกหามสารพัดสิ่งของเข้าๆออกๆประตูสำริดอย่างฉันนี่แหละ”
ประตูสำริดเล่าเสียงขรึม เอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับคำถามกวนโอ๊ยของผู้ฟังตรงหน้า
“ถึงฉันจะเปิดเข้าเปิดออกได้ตามความต้องการคิง แต่ก็ไม่ใช่ประตูอัตโนมัติเซเว่นอีเลฟเว่นที่ใครๆจะผ่านเข้าออกได้ตามใจ
ดังนั้นเวลาที่มีการขนของหรือท่านวังฉางไห่จะเข้าออกที่นี่ คิงก็จะต้องมาคอยยืนรับที่ประตูทุกครั้ง นานๆเข้าคิงก็เริ่มรู้สึกตัวว่าไอ้การทำแบบนี้มันหน้าที่ยามชัดๆ...”
“ขอหนึ่งคำถามนะเฮีย...” ลัญจกรยิ้มแหย “คือเฮียรักและเคารพคิงว่านหนูใช่ไหม...”
“แน่นอนสิ!” ประตูสำริดตอบหนักแน่น “ในบรรดาบริวารของคิง ไม่มีใครจะรักและเคารพคิงมากเท่าฉันแล้วล่ะ”
อื้อหือ...นี่รักยังขนาดนี้ ถ้าเกลียดจะขนาดไหน...ลัญจกรได้แต่คิดแล้วก็ส่ายหัวเบาๆ หูก็ยังฟังเรื่องเล่าของประตูสำริดต่อไป
“คิงก็เลยบัญชาให้แก้ระบบประตูใหม่ โดยให้การเปิดปิดประตูอ้างอิงกับลัญจกรผีที่สั่งให้ทำขึ้นสองอัน อันหนึ่งเรียกว่าลัญจกรหลัก
ก็คืออันที่คิงถือครองไว้ ส่วนลัญจกรรองก็คืออันที่มอบให้กับท่านวังฉางไห่ใช้เปิดปิดประตูเพื่อทำการบูรณะวังใต้พิภพนี่”
“อ่าฮะ...เข้าใจแล้ว” ลัญจกรพยักหน้าหงึกๆ “ว่าแต่ทำไมลัญจกรหลักถึงได้ไปอยู่กับจางฉี่หลิงได้ล่ะ? นั่นมันลัญจกรประจำตัวคิงไม่ใช่เหรอ?”
ถึงจะเป็นตระกูลจางก็คงไม่เทพขนาดงัดวังคิงเพื่อขโมยลัญจกรได้หรอกมั้ง วังใต้พิภพไม่ใช่มรดกโลกของยูเนสโก้สักหน่อย ใครๆจะได้แห่มาเช็คพอยต์กันตามใจ
“อันนี้ต้องกระซิบ...” ประตูสำริดลดเสียงลงในระดับกระซิบกระซาบจนลัญจกรต้องขยับตัวเข้าไปอีกนิด
“คือตอนที่ท่านวังฉางไห่หนีกลับบ้านแม่...เอาเป็นว่าไปจากที่นี่แล้วกัน ท่านแฮปเอาลัญจกรไปด้วยทั้งสองอัน คิงก็เลยติดแหง็กอยู่ในวังใต้พิภพของตัวเอง
ออกมาข้างนอกไม่ได้มาหลายร้อยปีแล้วล่ะ”
“ยังกะคู่ผัวเมียทะเลาะกัน แล้วเมียหนีกลับบ้านแม่เลยอ่ะ”
ลัญจกรชิ้นเล็กบ่นอุบ ในขณะที่ผู้อาวุโสกว่าอมยิ้ม
“อันนี้ก็แล้วแต่จะคิด ถ้าสรุปแบบนั้นพวกนายลัญจกรสองอันเก๊าะเป็นลัญจกรคู่สามีภรรยาล่ะนะ”
“ตลกล่ะ!” ลัญจกรผีร้องเสียงสูง แต่ไม่รู้ทำไมภายใต้เนื้อหยกสีเขียวอ่อนจนเกือบขาวถึงได้ดูคล้ายมีสีชมพูจางๆซ่านขึ้นมาจนเห็นได้ชัด
“ใครสามีใครภรรยากัน!”
“เอ๊า! ก็คิงกะท่านวังฉางไห่ ตระกูลจางกับตระกูลอู๋ ล่าสุดก็เจ้าหนูจางฉี่หลิงกับเจ้าหนูอู๋เสีย คนครองพวกนายมีแต่มาเป็นแพคคู่กันทุกทีเลย”
“ไม่เกี่ยว! ฉันกับเจ้านั่นเป็นกุญแจ ใครถือกุญแจก็ผ่านเข้าประตูได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นคู่กันสักหน่อย”
ลัญจกรเถียงหน้าดำหน้าแดง ไม่รู้ว่าตอนนี้โกรธหรือเขิน แต่ตอนนี้เนื้อหยกสีเขียวแทบจะเปลี่ยนเป็นหยกชมพูไปทั้งชิ้นเรียบร้อย
“งั้นถามนิด” น้ำเสียงของประตูสำริดเจือแววสนุกสนาน “ตอนนี้นายก็อยู่หน้าฉันใช่ป่ะ? ถ้านายเป็นแค่กุญแจจริงๆ
ตอนนี้ฉันก็ควรเปิดประตูให้เจ้าหนูจางฉี่หลิงกับบรรดาลูกน้องของคิงออกมายั๊วะเยี๊ยะกันเต็มพื้นแล้ว”
ลัญจกรชะงักกึก ก่อนจะตอบสวนไปอย่างหงุดหงิด
“ก็ตอนนี้อู๋เสียไม่ได้มาด้วยนี่ กุญแจบ้านเฮียสิเปิดประตูได้เองโดยไม่ต้องมีคนไข”
“นั่นสินะ แล้วทำไมต้องเป็นอู๋เสียล่ะ? เป็นคนอื่นไม่ได้เหรอ?”
น้ำเสียงกรุ้มกริ่มของประตูสำริดทำให้ลัญจกรอันเล็กฉุนขาด จากหยกชมพูแทบจะเปลี่ยนการเรียงตัวของโมเลกุลแล้วกลายร่างเป็นทับทิมให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
“ไม่รู้เว้ย! อยากรู้เฮียก็ไปถามตาคนซื่อบื้อที่นั่งทื่ออยู่หลังประตูเฮียดูสิ! ฉันไปล่ะ”
ว่าแล้วลัญจกรหยกชมพู(?)ก็กระฟัดกระเฟียดโดดกลับไปยังทางที่มา โดยมีเสียงตะโกนยั่วเย้าจากประตูสำริดดังไล่หลัง
“คราวหน้าอย่าลืมพาเจ้าหนูอู๋เสียมารับสุดที่รักหลังประตูด้วยล่ะ นายเองก็จะได้เจอกับคู่สร้างคู่สมของนายซะที”
“เป็นสนิมตายไปซะเถอะ เฮียประตูสำริด!”
เสียงตะโกนด่ายังดังแว่วมาจากทิศทางที่ลัญจกรหยกกระโดดกลับไปสลับกับเสียงเนื้อหยกกระทบพื้นหินดังแกร่กๆ
ประตูสำริดส่งเสียงหัวเราะดังไล่หลังไปอย่างไม่เกรงใจฟ้าดิน
.
.
.
.
......นาน.....
.......ช้า......
จวบจนคาดว่าอีกฝ่ายน่าจะกลับไปถึงกระเป๋าของชายหนุ่มอีกคนที่หลับไหลอยู่ในถ้ำภายนอกเรียบร้อย
ประตูสำริดก็เอ่ยขึ้นกับบางสิ่งที่อยู่อีกฟากของประตูด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ไปแล้วล่ะ...”
“...ขอบใจ...”
เสียงทุ้มต่ำดังมาจากลัญจกรหยกอีกชิ้นที่แม้นเหมือนชิ้นที่กระโดดลับหายไปเมื่อครู่ หากเมื่อเพ่งมองดีๆจะเห็นว่าเนื้อหยกซึ่งคงเคยงามเลิศมีรอยแตกร้าวอย่างน่าใจหาย
“ยังไหวหรือเปล่า...?”
เสียงถอนหายใจแผ่วล้าดังกลับมาแทนคำตอบ ประตูสำริดสะท้านน้อยๆเมื่อรู้ความนัยที่ส่งมากับเสียงถอนใจ
“ไม่บอกความจริงให้เจ้านั่นรู้จะดีเหรอ...”
“....รู้แล้วได้อะไร...ไม่รู้แล้วได้อะไร....” เสียงทุ้มรำพึงแผ่วราวกับจะเลือนหายไปได้ทุกเมื่อ
“อย่างน้อยก็น่าจะดีกว่าได้รู้ในวันสุดท้าย นายคิดบ้างไหมว่าเจ้านั่นจะรู้สึกยังไงเมื่อประตูเปิดออกมาแล้วเจอแค่เศษหยกที่เคยเป็นตัวนายแตกสลายอยู่บนพื้น...”
“หรือจะให้รู้เสียตั้งแต่วันนี้ แล้วต้องทรมานใจอยู่ด้านนอกไปอีกหนึ่งปีเพื่อที่จะได้เห็นภาพเดียวกันล่ะ...”
เสียงย้อนเรียบนิ่งทำให้ประตูสำริดถึงกับสะอึก เพราะรู้ในสิ่งเดียวกันว่าเวลาของอีกฝ่ายเหลืออยู่ไม่มาก
ลัญจกรผีในมือของจางฉี่หลิงทำหน้าที่เป็นกุญแจเปิดประตูสำริดมานานแสนนาน
พลังของราชาว่านหนูที่บรรจุอยู่ในก้อนหยกสลักเสลางามวิจิตรเริ่มเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วเมื่อถูกนำออกไปสู่โลกภายนอก
พลังของกุญแจที่สร้างไว้เพียงเพื่อคนเพียงคนเดียว...คนที่จากไปโดยไม่มีทีท่าจะหวนกลับมา
“พลังของฉันในฐานะกุญแจกำลังจะหมดลง... อีกไม่นานผนึกก็จะคลายออก แล้วหมอนั่นก็จะตื่นขึ้นมารับหน้าที่ต่อจากฉัน”
“จางฉี่หลิงรู้เรื่องนี้หรือเปล่า?”
“รู้สิ...รวมทั้งรู้ดีด้วยว่าถ้าฉันสลายไป ตัวเองจะไม่สามารถกลับไปสู่โลกที่อีกฟากของบานประตูได้อีก”
“บ้าน่ะ! รู้ทั้งอย่างนั้นทำไมถึงยังมอบตราลัญจกรอีกอันให้กับเจ้าหนูอู๋เสียนั่น ถ้ามีลัญจกรอยู่กับตัว
ถึงนายจะสลายไปแต่หมอนั่นก็จะยังสามารถใช้ลัญจกรอีกอันกลับออกไปภายนอกเมื่อไหร่ก็ได้”
“นี่เป็นการวางเดิมพันของจางฉี่หลิง...”ลัญจกรหยกที่แตกร้าวตอบด้วยเสียงแผ่ว
“เดิมพันว่าความเกี่ยวโยงเพียงหนึ่งเดียวที่เขามีกับโลกใบนี้จะรักษาสัญญาที่ให้ไว้ จะยังจดจำและมารับเขาตามคำสัญญาสิบปีหรือเปล่า”
“ถ้าเกิดหมอนั่นลืมหรือไม่ทำตามสัญญาล่ะ?”
“เขาก็จะหวนกลับไปเป็นเช่นเดียวกับจางฉี่หลิงทุกรุ่นที่ผ่านมา ไม่เหลือความเชื่อมโยงใดๆกับโลกใบนี้อีก
รับหน้าที่เฝ้ายามอยู่หลังประตูนี่ไปจนลมหายใจสุดท้าย”
“แล้วนายกับเจ้าหนูลัญจกรนั่นล่ะ?”
“ถ้าอู๋เสียไม่มาตามรอที่หน้าประตูพร้อมลัญจกรอีกอันตามสัญญาสิบปี ในเวลาที่ฉันสลายไปพลังของกุญแจก็จะไม่ถูกส่งต่อ
ลัญจกรในมือเขาก็จะกลายเป็นแค่ของเก่าราคามหาศาลที่ไม่เหลือพลังใดๆอีกต่อไป”
“โหดร้ายเกินไปแล้ว...”
ประตูสำริดพึมพำเสียงต่ำ ขอบตาร้อนผ่าว
“นี่คือชะตากรรมของพวกเราในฐานะลัญจกรผี” ลัญจกรหยกกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “นายไม่จำเป็นต้องรู้สึกเสียใจ”
“แต่พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เรอะ!” ประตูเถียงกลับ น้ำตาสำริดร้อนผ่าวไหลหยดลงมาตามลวดลายงดงามของบานประตู
“เสียใจที่เพื่อนกำลังจะจากไปมันผิดตรงไหน!”
ลัญจกรหยกที่แตกร้าวชะงักไปนิดหนึ่งก่อนคลี่ยิ้มจางๆ เสียดายที่รอยยิ้มนั้นประตูสำริดไม่มีวันได้เห็น...
“ขอบใจ เสียดายที่ไม่มีเวลาแล้ว....”
ลัญจกรหยกถอนหายใจยาวนาน...ก่อนที่ความเงียบจะกลับเข้ามาครอบคลุมบริเวณที่อยู่ใกล้นรกที่สุดนี้อีกครั้ง
หากคราวนี้...ชั่วนิรันดร์......
.
.
.
END
แวะเอาฟิคพิลึกมาแปะอีกแล้วค่ะ ฮืออออออออ
คือในหัวไม่รู้ทำไมถึงมีแต่ฟิคแบบนี้เด้งออกมาอ่ะค่า
เรื่องนี้จะมองว่าผิงเสียก็ได้ คิงกะท่านวังก็ดีค่ะ แต่พูดจริงๆคือไม่มีอะไรในกอไผ่ แหะๆ
เอาไว้อ่านเล่นเย็นๆใจนะค้า
//มุดรูด้วงหนีด้วยความเขิน
++++++++++++++++++++++
Lies and Truth
++++++++++++++++++++++
Lies and Truth
++++++++++++++++++++++
ก้นเหวลึกล้ำราวไร้ก้นบึ้ง มืดสนิทดุจจมอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดแห่งห้วงอนธการ ไร้สิ้นซึ่งสำเนียงใดที่จะบ่งบอกถึงสิ่งมีชีวิต
ความเงียบงันที่ดำเนินมานับร้อยนับพันปีครอบคลุมที่พำนักสุดท้ายแห่งกษัตริย์ตงเซี่ย และประตูสำริดบานยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่เชิงหน้าผา
ท่ามกลางความเงียบยิ่งเงียบ เสียงของวัตถุบางอย่างกระทบกับพื้นแข็งดังขึ้นเป็นระยะ จากไกลมาสู่ใกล้
เสียงนั้นใสกระจ่างดุจแท่งหยกกระทบกับจานหิน ไล่จากโพรงถ้ำแห่งหนึ่งดังสูงๆต่ำๆไล่มาจนถึงหน้าประตูสำริดยักษ์ที่ปิดสนิทแน่น
“อาเฮีย...เฮียประตูสำริด”
เสียงเล็กๆใสราวแก้วดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“ตื่นหน่อยเฮีย มีเรื่องจะคุยด้วย”
นาน...ช้า...แสงเรืองอมเขียวค่อยแผ่กระจายออกมาจากประตูสำริดบานใหญ่ รอยสลักงามวิจิตรปรากฎชัดต่อสายตา
“หือ? ใครกันมาเอะอะวุ่นวายแถวนี้”
เสียงต่ำงัวเงียนิดๆดังขึ้นจากประตูสำริด แสงเรืองที่เพิ่มความเข้มขึ้นส่องให้เห็นเจ้าของเสียงที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก
ประตูบานใหญ่ที่ยังเมาขี้ตาพยายามเพ่งมองก้อนสี่เหลี่ยมกระจิ๊ดริดที่ตั้งอยู่ใกล้เชิงประตูพักใหญ่ก่อนจะอ้าปากหาวยาวเหยียด
“ฮ้าววววววววว...นึกว่าแมวที่ไหน ที่แท้ก็นายนี่เอง มีธุระอะไรเหรอลัญจกรผี?”
ตราหยกทรงสี่เหลี่ยมสลักลายกิเลนเหยียบผี งามประณีตยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าประตูบานใหญ่
เนื้อหยกเนียนใสสะท้อนกับแสงเรืองจากบานประตูจนดูราวกับเปล่งแสงได้
“แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าไม่มีอะไรฉันจะยอมเปลืองเนื้อเปลืองตัวกระโดดกระเด้งมาตามทางขรุขระจากถ้ำน้ำพุร้อนมาจนถึงตรงนี้เรอะ?
ให้ตายสิ! ตอนซ่อมที่นี่ทำไมท่านวังฉางไห่ถึงไม่รู้จักปูพรมแดงบ้างนะ พื้นหยกฉันช้ำหมด”
บ่นงึมงำพลางพลิกมุมซ้ายมุมขวาตรวจดูรอยบุบบิ่นของตัวเองที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเดินทางวิบากมาจนถึงนี่
แน่นอนว่าเพราะเป็นลัญจกรผีที่มีหน้าที่ประดุจกุญแจ ทำให้บรรดาบ๊ะจ่างและอสุรกายผู้พิทักษ์ไม่มีใครคิดจะมาวอแวด้วย
แต่พื้นถ้ำหินเป็นสิ่งนอกประเด็น
ประตูสำริดทำตาปริบๆ ที่จริงก็รู้อ่ะนะว่าตราลัญจกรแต่ละอันมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันไป แต่แบบขี้บ่นเป็นแม่แก่แบบนี้ไม่เคยเจอมาก่อน...
“แล้วทำไมนายต้องมาเองล่ะ? เจ้าหนูอู๋เสียเดี้ยงไปแล้วเรอะ?”
ตั้งข้อสงสัยแบบงงแอนด์ก๊ง เพราะปกติแล้วตราลัญจกรมีหน้าที่เหมือนกุญแจไข เวลามาปรากฎอยู่หน้าประตูก็คือ
เวลาที่มีคนต้องการจะผ่านเข้าหรือออกมาจากด้านใน แต่กรณีลูกกุญแจถ่อสังขารมาเองนี่ยังไม่เคยปรากฎ
“ปากเสียน่าเฮีย ถึงอู๋เสียจะแบ๊วๆบื้อๆเอ๋อๆแต่ก็ไม่ตายง่ายอย่างนั้นหรอก”
ลัญจกรผีบ่นอุบอิบ ฟังเผินๆเหมือนจะแก้ต่างให้ผู้ถือครองที่ตอนนี้หลับกลิ้งอยู่ที่ถ้ำน้ำพุร้อนด้านนอก แต่ไม่รู้ทำไมเนื้อความมันออกจะทะแม่งชอบกล
“ว่าแต่ผู้ถือครองลัญจกรหลักล่ะเป็นไงบ้าง?”
ประตูสำริดเลิกคิ้วนิดหน่อย
“เจ้าหนูจางฉี่หลิงน่ะเหรอ? น่าจะโอเคอยู่มั้ง นี่ก็นั่งพิงหลังฉันอยู่เนี่ย”
ประตูตอบพลางทำท่าบุ้ยใบ้ไปยังอีกฟากของตัวเองทั้งๆที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางมองทะลุบานประตูที่ทั้งหนักและหนาทึบไปได้
อีกฟากนั้นชายหนุ่มร่างเพรียวในชุดเกราะสำริดผุพังกำลังนั่งพิงอยู่กับบานประตู ดวงตาทั้งคู่หลับสนิท
บนตักพาดดาบเล่มใหญ่ที่เจ้าตัวกุมไว้ในสภาพเตรียมพร้อม แท่นหินใกล้ตัววางลัญจกรอีกอันที่เรืองแสงอ่อนจางจนแทบจะมองไม่เห็น
“สายเลือดตระกูลจางแถมยังสืบทอดชื่อจางฉี่หลิง อึดถึกทนขนาดนี้ต่อให้ตีกับกษัตริย์ว่านหนูก็คงไม่สะเทือนหรอก”
ว่าแล้วก็เหล่มองลัญจกรอันเล็กที่อยู่เบื้องหน้า
“แล้วที่ว่ามีธุระคืออะไรล่ะ? อย่าบอกนะว่ามาถามสภาพความเป็นอยู่ของเจ้าหนุ่มหลังบานประตูแล้วจะเอาไปรายงานผู้ถือครองนาย”
“จะบ้าเรอะ!อู๋เสียได้ยินเสียงฉันซะที่ไหน” ลัญจกรหยกโวย
“ฉันแค่สงสัยว่าทำไมจู่ๆผนึกฉันถึงคลายออกจนมีคุณสมบัติเปิดประตูได้ต่างหากล่ะ”
เพราะประตูสำริดเป็นประตูเปิดไปสู่โลกใต้พิภพอันลึกลับของจอมกษัตริย์แห่งตงเซี่ย ความลับอันน่าประหวั่นพรั่นพึงแถวมากมายล้วนเก็บซ่อนไว้ที่นี่
หากปราศจากลัญจกรแล้วไม่มีใครหน้าไหนที่จะสามารถผ่านไปยังด้านหลังของบานประตูได้ เมื่อเป็นดังนั้นความลับก็จะยังคงเป็นความลับต่อไป
“ตั้งแต่ท่านวังฉางไห่พาฉันออกไปจากที่นี่ ฉันก็เหมือนจะโดนปิดผนึกไว้ตลอด มันนานเสียจนฉันจำอะไรไม่ค่อยได้ก็เลยอยากจะมาถามนายน่ะ”
“ที่จริงคุณสมบัติการเป็นกุญแจเปิดประตูมันก็ติดตัวนายมาตั้งแต่แรกสร้างแล้วไม่ใช่เรอะ?”ประตูสำริดถามพลางขมวดคิ้ว
“นายกับลัญจกรหลักเป็นเหมือนกุญแจหลักกับกุญแจสำรองที่ถูกสร้างมาคู่กันตั้งแต่แรกแล้ว อันแรกเป็นลัญจกรของราชาว่านหนู
ส่วนนายเป็นลัญจกรสำหรับเป็นกุญแจของท่านวังฉางไห่ไง”
“พิลึกละ!” ลัญจกรอันเล็กอุทานเสียงดัง “ด้านหลังนายเป็นอาณาจักรใต้พิภพของคิงไม่ใช่เรอะ? ถึงจะต้องซ่อมวังยังไง
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะให้นายช่างต้องมีกุญแจสำรองสักหน่อย”
ประตูสำริดถอนหายใจพรืด
“นายติดเชื้อความจำเสื่อมจากเจ้าหนูจางฉี่หลิงรึไงเนี่ย? เอาเถอะ...เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟังอีกรอบก็ได้ หาที่นั่งเอาแถวนั้นแล้วกันนะ มันออกจะยาวนิดนึง”
“ย่อหน่อยได้ป่ะ? ฉันต้องรีบกลับไปก่อนอู๋เสียตี่น ไม่งั้นหมอนั่นตกใจแย่”
ลัญจกรพูดพลางทำตาแป๋ว จู่ๆของหมั้น...เอ๊ย!ของแทนใจ...เอ๊ย! ของดูต่างหน้าก็หายแว่บไปจากกระเป๋า ไม่ตกใจก็บ้าแล้ว
“เออๆ!” ประตูสำริดพูดเสียงขึ้นจมูกอย่างรำคาญนิดๆ หมั่นไส้หน่อยๆ “จะย่อให้เท่าที่ทำได้ละกัน”
“ว่าแต่นายเรืองแสงได้แบบนี้มีระบบฉายภาพแบบ3Dป่ะ?”
“นี่ประตูเว้ย ไม่ใช่จอHD! ตกลงจะฟังไหมเนี่ย!”
ประตูสำริดรู้สึกอยากจะขยับไปกระทืบลัญจกรเต็มแก่ เดชะบุญที่คนคิดสร้างประตูรอบคอบพอที่จะยึดบานประตูไว้แน่นหนา
ลัญจกรน้อยถึงรอดบาทาประตูไปได้หวุดหวิด เมื่อเห็นอีกฝ่ายชักเดือดลัญจกรที่ด้อยอาวุโสกว่าก็ย่นคอแล้วแลบลิ้นเล็กๆ
“คร้าบๆ อย่าโมโหง่ายแบบนี้สิเฮีย เดี๋ยวเส้นโลหิตในสมองแตกตายพอดี”
แม้อยากจะสวนกลับไปว่าประตูบ้านแกสิมีเส้นโลหิตในสมอง แต่ประตูสำริดก็คิดได้ว่าควรคุมสติตัวเองเอาไว้
ในฐานะผู้ที่มีอายุมายาวนานกว่าอีกฝ่ายมาก จะมาเสียอนาคตเพราะด่าเด็กก็ใช่ที่
“เดิมทีประตูสำริดอย่างฉันไม่ได้เปิดปิดด้วยระบบลัญจกรแบบนี้หรอก แต่จะเปิดปิดเมื่อคิงว่านหนูต้องการจะผ่านเข้าออกที่นี่
ซึ่งก็นานๆทีจะเกิดขึ้นสักครั้ง ส่วนใหญ่ก็พิธีราชาภิเษกคิงของตงเชี่ยนั่นล่ะ”
เพื่อเป็นการประหยัดเวลา ประตูสำริดจึงตัดสินใจจะใช้ศัพท์ยุคใหม่ ตัดราชาศัพท์อันยืดยาวออกเสียเรียบ
“อยู่มาวันนึง ไม่รู้ผีตนไนดลใจคิงให้นึกอยากรีโนเวทวังใต้พิภพนี่ ก็เลยเกิดยุทธการลักพาตัวนายช่างใหญ่ประจำยุคอย่างท่านวังฉางไห่ลงมาคุมไซต์ก่อสร้าง
ขั้นตอนการร่างแบบพิมพ์เขียวราบรื่นเรียบร้อย แต่พอการก่อสร้างเริ่มต้นปัญหาก็เกิด”
“ปัญหาอะไรอ่ะ?” ลัญจกรที่นั่งอ้าปากหวอฟังอยู่นานรีบถามเหมือนกลัวน้ำลายบูด “ระดับคิงไม่น่าต้องไปกู้ธอส.มาซ่อมบ้านหรอกมั้ง?”
“การจัดซื้อจัดหาวัสดุและอุปกรณ์การก่อสร้างไม่สะเทือนขนหน้าแข้งคิงแม้แต่นิด เรื่องกำลังคนก็มีกองทัพผีมากมายให้ใช้งานเยี่ยงทาสโดยไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าจ้าง
ปัญหามีอยู่เรื่องเดียวก็คือการแบกหามสารพัดสิ่งของเข้าๆออกๆประตูสำริดอย่างฉันนี่แหละ”
ประตูสำริดเล่าเสียงขรึม เอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับคำถามกวนโอ๊ยของผู้ฟังตรงหน้า
“ถึงฉันจะเปิดเข้าเปิดออกได้ตามความต้องการคิง แต่ก็ไม่ใช่ประตูอัตโนมัติเซเว่นอีเลฟเว่นที่ใครๆจะผ่านเข้าออกได้ตามใจ
ดังนั้นเวลาที่มีการขนของหรือท่านวังฉางไห่จะเข้าออกที่นี่ คิงก็จะต้องมาคอยยืนรับที่ประตูทุกครั้ง นานๆเข้าคิงก็เริ่มรู้สึกตัวว่าไอ้การทำแบบนี้มันหน้าที่ยามชัดๆ...”
“ขอหนึ่งคำถามนะเฮีย...” ลัญจกรยิ้มแหย “คือเฮียรักและเคารพคิงว่านหนูใช่ไหม...”
“แน่นอนสิ!” ประตูสำริดตอบหนักแน่น “ในบรรดาบริวารของคิง ไม่มีใครจะรักและเคารพคิงมากเท่าฉันแล้วล่ะ”
อื้อหือ...นี่รักยังขนาดนี้ ถ้าเกลียดจะขนาดไหน...ลัญจกรได้แต่คิดแล้วก็ส่ายหัวเบาๆ หูก็ยังฟังเรื่องเล่าของประตูสำริดต่อไป
“คิงก็เลยบัญชาให้แก้ระบบประตูใหม่ โดยให้การเปิดปิดประตูอ้างอิงกับลัญจกรผีที่สั่งให้ทำขึ้นสองอัน อันหนึ่งเรียกว่าลัญจกรหลัก
ก็คืออันที่คิงถือครองไว้ ส่วนลัญจกรรองก็คืออันที่มอบให้กับท่านวังฉางไห่ใช้เปิดปิดประตูเพื่อทำการบูรณะวังใต้พิภพนี่”
“อ่าฮะ...เข้าใจแล้ว” ลัญจกรพยักหน้าหงึกๆ “ว่าแต่ทำไมลัญจกรหลักถึงได้ไปอยู่กับจางฉี่หลิงได้ล่ะ? นั่นมันลัญจกรประจำตัวคิงไม่ใช่เหรอ?”
ถึงจะเป็นตระกูลจางก็คงไม่เทพขนาดงัดวังคิงเพื่อขโมยลัญจกรได้หรอกมั้ง วังใต้พิภพไม่ใช่มรดกโลกของยูเนสโก้สักหน่อย ใครๆจะได้แห่มาเช็คพอยต์กันตามใจ
“อันนี้ต้องกระซิบ...” ประตูสำริดลดเสียงลงในระดับกระซิบกระซาบจนลัญจกรต้องขยับตัวเข้าไปอีกนิด
“คือตอนที่ท่านวังฉางไห่หนีกลับบ้านแม่...เอาเป็นว่าไปจากที่นี่แล้วกัน ท่านแฮปเอาลัญจกรไปด้วยทั้งสองอัน คิงก็เลยติดแหง็กอยู่ในวังใต้พิภพของตัวเอง
ออกมาข้างนอกไม่ได้มาหลายร้อยปีแล้วล่ะ”
“ยังกะคู่ผัวเมียทะเลาะกัน แล้วเมียหนีกลับบ้านแม่เลยอ่ะ”
ลัญจกรชิ้นเล็กบ่นอุบ ในขณะที่ผู้อาวุโสกว่าอมยิ้ม
“อันนี้ก็แล้วแต่จะคิด ถ้าสรุปแบบนั้นพวกนายลัญจกรสองอันเก๊าะเป็นลัญจกรคู่สามีภรรยาล่ะนะ”
“ตลกล่ะ!” ลัญจกรผีร้องเสียงสูง แต่ไม่รู้ทำไมภายใต้เนื้อหยกสีเขียวอ่อนจนเกือบขาวถึงได้ดูคล้ายมีสีชมพูจางๆซ่านขึ้นมาจนเห็นได้ชัด
“ใครสามีใครภรรยากัน!”
“เอ๊า! ก็คิงกะท่านวังฉางไห่ ตระกูลจางกับตระกูลอู๋ ล่าสุดก็เจ้าหนูจางฉี่หลิงกับเจ้าหนูอู๋เสีย คนครองพวกนายมีแต่มาเป็นแพคคู่กันทุกทีเลย”
“ไม่เกี่ยว! ฉันกับเจ้านั่นเป็นกุญแจ ใครถือกุญแจก็ผ่านเข้าประตูได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นคู่กันสักหน่อย”
ลัญจกรเถียงหน้าดำหน้าแดง ไม่รู้ว่าตอนนี้โกรธหรือเขิน แต่ตอนนี้เนื้อหยกสีเขียวแทบจะเปลี่ยนเป็นหยกชมพูไปทั้งชิ้นเรียบร้อย
“งั้นถามนิด” น้ำเสียงของประตูสำริดเจือแววสนุกสนาน “ตอนนี้นายก็อยู่หน้าฉันใช่ป่ะ? ถ้านายเป็นแค่กุญแจจริงๆ
ตอนนี้ฉันก็ควรเปิดประตูให้เจ้าหนูจางฉี่หลิงกับบรรดาลูกน้องของคิงออกมายั๊วะเยี๊ยะกันเต็มพื้นแล้ว”
ลัญจกรชะงักกึก ก่อนจะตอบสวนไปอย่างหงุดหงิด
“ก็ตอนนี้อู๋เสียไม่ได้มาด้วยนี่ กุญแจบ้านเฮียสิเปิดประตูได้เองโดยไม่ต้องมีคนไข”
“นั่นสินะ แล้วทำไมต้องเป็นอู๋เสียล่ะ? เป็นคนอื่นไม่ได้เหรอ?”
น้ำเสียงกรุ้มกริ่มของประตูสำริดทำให้ลัญจกรอันเล็กฉุนขาด จากหยกชมพูแทบจะเปลี่ยนการเรียงตัวของโมเลกุลแล้วกลายร่างเป็นทับทิมให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
“ไม่รู้เว้ย! อยากรู้เฮียก็ไปถามตาคนซื่อบื้อที่นั่งทื่ออยู่หลังประตูเฮียดูสิ! ฉันไปล่ะ”
ว่าแล้วลัญจกรหยกชมพู(?)ก็กระฟัดกระเฟียดโดดกลับไปยังทางที่มา โดยมีเสียงตะโกนยั่วเย้าจากประตูสำริดดังไล่หลัง
“คราวหน้าอย่าลืมพาเจ้าหนูอู๋เสียมารับสุดที่รักหลังประตูด้วยล่ะ นายเองก็จะได้เจอกับคู่สร้างคู่สมของนายซะที”
“เป็นสนิมตายไปซะเถอะ เฮียประตูสำริด!”
เสียงตะโกนด่ายังดังแว่วมาจากทิศทางที่ลัญจกรหยกกระโดดกลับไปสลับกับเสียงเนื้อหยกกระทบพื้นหินดังแกร่กๆ
ประตูสำริดส่งเสียงหัวเราะดังไล่หลังไปอย่างไม่เกรงใจฟ้าดิน
.
.
.
.
......นาน.....
.......ช้า......
จวบจนคาดว่าอีกฝ่ายน่าจะกลับไปถึงกระเป๋าของชายหนุ่มอีกคนที่หลับไหลอยู่ในถ้ำภายนอกเรียบร้อย
ประตูสำริดก็เอ่ยขึ้นกับบางสิ่งที่อยู่อีกฟากของประตูด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ไปแล้วล่ะ...”
“...ขอบใจ...”
เสียงทุ้มต่ำดังมาจากลัญจกรหยกอีกชิ้นที่แม้นเหมือนชิ้นที่กระโดดลับหายไปเมื่อครู่ หากเมื่อเพ่งมองดีๆจะเห็นว่าเนื้อหยกซึ่งคงเคยงามเลิศมีรอยแตกร้าวอย่างน่าใจหาย
“ยังไหวหรือเปล่า...?”
เสียงถอนหายใจแผ่วล้าดังกลับมาแทนคำตอบ ประตูสำริดสะท้านน้อยๆเมื่อรู้ความนัยที่ส่งมากับเสียงถอนใจ
“ไม่บอกความจริงให้เจ้านั่นรู้จะดีเหรอ...”
“....รู้แล้วได้อะไร...ไม่รู้แล้วได้อะไร....” เสียงทุ้มรำพึงแผ่วราวกับจะเลือนหายไปได้ทุกเมื่อ
“อย่างน้อยก็น่าจะดีกว่าได้รู้ในวันสุดท้าย นายคิดบ้างไหมว่าเจ้านั่นจะรู้สึกยังไงเมื่อประตูเปิดออกมาแล้วเจอแค่เศษหยกที่เคยเป็นตัวนายแตกสลายอยู่บนพื้น...”
“หรือจะให้รู้เสียตั้งแต่วันนี้ แล้วต้องทรมานใจอยู่ด้านนอกไปอีกหนึ่งปีเพื่อที่จะได้เห็นภาพเดียวกันล่ะ...”
เสียงย้อนเรียบนิ่งทำให้ประตูสำริดถึงกับสะอึก เพราะรู้ในสิ่งเดียวกันว่าเวลาของอีกฝ่ายเหลืออยู่ไม่มาก
ลัญจกรผีในมือของจางฉี่หลิงทำหน้าที่เป็นกุญแจเปิดประตูสำริดมานานแสนนาน
พลังของราชาว่านหนูที่บรรจุอยู่ในก้อนหยกสลักเสลางามวิจิตรเริ่มเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วเมื่อถูกนำออกไปสู่โลกภายนอก
พลังของกุญแจที่สร้างไว้เพียงเพื่อคนเพียงคนเดียว...คนที่จากไปโดยไม่มีทีท่าจะหวนกลับมา
“พลังของฉันในฐานะกุญแจกำลังจะหมดลง... อีกไม่นานผนึกก็จะคลายออก แล้วหมอนั่นก็จะตื่นขึ้นมารับหน้าที่ต่อจากฉัน”
“จางฉี่หลิงรู้เรื่องนี้หรือเปล่า?”
“รู้สิ...รวมทั้งรู้ดีด้วยว่าถ้าฉันสลายไป ตัวเองจะไม่สามารถกลับไปสู่โลกที่อีกฟากของบานประตูได้อีก”
“บ้าน่ะ! รู้ทั้งอย่างนั้นทำไมถึงยังมอบตราลัญจกรอีกอันให้กับเจ้าหนูอู๋เสียนั่น ถ้ามีลัญจกรอยู่กับตัว
ถึงนายจะสลายไปแต่หมอนั่นก็จะยังสามารถใช้ลัญจกรอีกอันกลับออกไปภายนอกเมื่อไหร่ก็ได้”
“นี่เป็นการวางเดิมพันของจางฉี่หลิง...”ลัญจกรหยกที่แตกร้าวตอบด้วยเสียงแผ่ว
“เดิมพันว่าความเกี่ยวโยงเพียงหนึ่งเดียวที่เขามีกับโลกใบนี้จะรักษาสัญญาที่ให้ไว้ จะยังจดจำและมารับเขาตามคำสัญญาสิบปีหรือเปล่า”
“ถ้าเกิดหมอนั่นลืมหรือไม่ทำตามสัญญาล่ะ?”
“เขาก็จะหวนกลับไปเป็นเช่นเดียวกับจางฉี่หลิงทุกรุ่นที่ผ่านมา ไม่เหลือความเชื่อมโยงใดๆกับโลกใบนี้อีก
รับหน้าที่เฝ้ายามอยู่หลังประตูนี่ไปจนลมหายใจสุดท้าย”
“แล้วนายกับเจ้าหนูลัญจกรนั่นล่ะ?”
“ถ้าอู๋เสียไม่มาตามรอที่หน้าประตูพร้อมลัญจกรอีกอันตามสัญญาสิบปี ในเวลาที่ฉันสลายไปพลังของกุญแจก็จะไม่ถูกส่งต่อ
ลัญจกรในมือเขาก็จะกลายเป็นแค่ของเก่าราคามหาศาลที่ไม่เหลือพลังใดๆอีกต่อไป”
“โหดร้ายเกินไปแล้ว...”
ประตูสำริดพึมพำเสียงต่ำ ขอบตาร้อนผ่าว
“นี่คือชะตากรรมของพวกเราในฐานะลัญจกรผี” ลัญจกรหยกกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “นายไม่จำเป็นต้องรู้สึกเสียใจ”
“แต่พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เรอะ!” ประตูเถียงกลับ น้ำตาสำริดร้อนผ่าวไหลหยดลงมาตามลวดลายงดงามของบานประตู
“เสียใจที่เพื่อนกำลังจะจากไปมันผิดตรงไหน!”
ลัญจกรหยกที่แตกร้าวชะงักไปนิดหนึ่งก่อนคลี่ยิ้มจางๆ เสียดายที่รอยยิ้มนั้นประตูสำริดไม่มีวันได้เห็น...
“ขอบใจ เสียดายที่ไม่มีเวลาแล้ว....”
ลัญจกรหยกถอนหายใจยาวนาน...ก่อนที่ความเงียบจะกลับเข้ามาครอบคลุมบริเวณที่อยู่ใกล้นรกที่สุดนี้อีกครั้ง
หากคราวนี้...ชั่วนิรันดร์......
.
.
.
END
แก้ไขล่าสุดโดย tanok เมื่อ Tue 08 Sep 2015, 07:39, ทั้งหมด 1 ครั้ง
tanok- ด้วงฝึกหัด
- จำนวนข้อความ : 6
Points : 3466
Join date : 02/11/2014
Re: [OS] Lies and Truth *No Pairing*
ง่า เปิดมาอย่างลั่น จบโคตรเศร้าเบย แงงงง
สรุปมันคืออวาตาร์ของจางฉี่หลิง อู๋เสีย และเสี่ยอ้วนสินะครับ คุฟุฟุฟุ
เฮียประตูคือเสี่ยแน่ๆ ฮึก ร้องไห้ด้วย ลัญจกรจางอย่าพึ่งไปเซ่ ยังไม่เจอเนื้อคู่ลัญจกรอู๋เลยน้า แง /ดิ้นๆ
สรุปมันคืออวาตาร์ของจางฉี่หลิง อู๋เสีย และเสี่ยอ้วนสินะครับ คุฟุฟุฟุ
เฮียประตูคือเสี่ยแน่ๆ ฮึก ร้องไห้ด้วย ลัญจกรจางอย่าพึ่งไปเซ่ ยังไม่เจอเนื้อคู่ลัญจกรอู๋เลยน้า แง /ดิ้นๆ
Rozenkreuz- ด้วงอาณาจักรเจ้าแม่ซีหวังหมู่
- จำนวนข้อความ : 625
Points : 3840
Join date : 01/07/2015
Age : 31
ที่อยู่ : กองทัพผีเก็บเห็ดแห่งประตูสำริด
Re: [OS] Lies and Truth *No Pairing*
คุณ Rozenkreuz
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่า
หวังว่าคงสนุกสนานกับน้องลัญจกรขาวีนนะคะ แหะๆ
ตอนแรกๆที่เขียนก็ไม่คิดว่าองค์นายน้อย เสี่ยวเกอ และเสี่ยอ้วนจะมาประทับทรงลัญจกรกับประตูสำริดแบบนี้หรอกค่ะ แต่เขียนไปเขียนมาไหงกลายเป็นแบบนี้ก็ไม่รู้ แง....
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่า
หวังว่าคงสนุกสนานกับน้องลัญจกรขาวีนนะคะ แหะๆ
ตอนแรกๆที่เขียนก็ไม่คิดว่าองค์นายน้อย เสี่ยวเกอ และเสี่ยอ้วนจะมาประทับทรงลัญจกรกับประตูสำริดแบบนี้หรอกค่ะ แต่เขียนไปเขียนมาไหงกลายเป็นแบบนี้ก็ไม่รู้ แง....
tanok- ด้วงฝึกหัด
- จำนวนข้อความ : 6
Points : 3466
Join date : 02/11/2014
Re: [OS] Lies and Truth *No Pairing*
น้ำตาจะไหลอ่าา ลัญจกรก็มีจิตใจด้วยแฮะ
yakusoku- ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
- จำนวนข้อความ : 369
Points : 3822
Join date : 05/11/2014
ที่อยู่ : โลงในสุสานโบราณ
Re: [OS] Lies and Truth *No Pairing*
โอ๊ยยยยยย อ่านแล้วเศร้า!!
เปิดมาอย่างฮา นั่งขำแทบแย่ แต่ตอนจบช่างหักหลังคนอ่าน ฮืออออออออออออ
เปิดมาอย่างฮา นั่งขำแทบแย่ แต่ตอนจบช่างหักหลังคนอ่าน ฮืออออออออออออ
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|
Fri 24 Jul 2020, 01:39 by gustoon
» [คู่มือด้วง] Keyword จีนสำหรับการขุด(แฟนดอม)สุสาน
Thu 21 Jun 2018, 00:29 by miskizfullmoon
» มังฮวาและภาคทิเบต
Thu 21 Jun 2018, 00:23 by miskizfullmoon
» [OS] Father is the best (ผิงเสีย)
Thu 03 Aug 2017, 16:12 by schneewittchen
» [Fic] สิ่งเล็กๆที่เชื่อมโลก5 [เมินโหยวผิง+อู่เสีย+เสี่ยอ้วน]+OC
Tue 01 Aug 2017, 12:30 by natsume
» [OS] #dmbjdaily (จูปาจุ๊บ) Bittersweet [ผิงเสีย AU]
Thu 06 Apr 2017, 15:58 by Zeth
» [OS] #dmbjdaily "โทรศัพท์มือถือ" - no Pairing [All]
Tue 04 Apr 2017, 22:27 by Zeth
» [OS] #DMBJDaily (แว่น): ระยะที่มองไม่เห็น [ฮัวเสีย]
Sat 01 Apr 2017, 16:55 by Zeth
» [OS] #DMBJdaily (5.20) ท่านยอดฝีมือ [หวังเหมิง (+เหมิงเสีย)(+ผิงเสีย)]
Thu 30 Mar 2017, 17:24 by Zeth