Countdown
We've been
togerther for

ค้นหา
 
 

Display results as :
 


Rechercher Advanced Search


[Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง (5) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*

+3
The_Dark_Lady
Yuwadee Wana
sinnerdarker
7 posters

Go down

[Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง (5) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์* Empty [Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง (5) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*

ตั้งหัวข้อ by sinnerdarker Mon 13 Jul 2015, 22:41

บันทึกของเสี่ยวหลิง

-------ที่มา-------

[OS] The Last Moment [ผิงเสีย] [R18] *สปอยเล่มสิบ*

[OS] ของยึดเหนี่ยวอันไม่จีรัง [ผิงเสีย] *สปอยเล่มสิบ*

-------------เรื่องหลัก-----------

[Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง (1) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*

[Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง  (2) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*

[OS] พี่ชายที่ไม่ยอมบอกชื่อ ~บันทึกของเสี่ยวหลิง Special~

[Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง  (3) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*

[Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง [Imply ผิงเสีย] (3.5) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*

[Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง (4) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*

[Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง (4.5) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*

[OS] #dmbjdaily (บุหรี่) เลิกได้ไหม? [อู๋เสีย+เสี่ยวหลิง]~บันทึกของเสี่ยวหลิง Special~


----------ตอนพิเศษ--------------



[OS] #dmbjdaily (ป่วย) ความลับเวลาไม่สบาย [อู๋เสีย+เสี่ยวหลิง]~บันทึกของเสี่ยวหลิง Special~

[OS] เรื่องของปู่ทวด [บันทึกของเสี่ยวหลิง]

[OS] #dmbjdaily (ประถม) แปดชั่วโมงที่ห่างกัน [อู๋เสีย+เสี่ยวหลิง]~บันทึกของเสี่ยวหลิง Special~

[OS] #dmbjdaily (พ่อ) บันทึกของเสี่ยวหลิง : รักอันไร้เงื่อนไข [เซี่ยอวี่ฮัว + ?? /Implied ฮัวเฮย or เฮยฮัว]

[OS] #dmbjdaily (เก้า) การรวมตัวที่ไม่รู้จุดประสงค์ [~~~บันทึกของเสี่ยวหลิง Special ~~~] [All Character]

[OS] #dmbjdaily (พี่ชาย) หน้าที่ของพี่ชาย [บันทึกของเสี่ยวหลิง : เสี่ยวฮวา + เสี่ยวหลิง]

[Drabble] #dmbjdaily (น้องชาย) สิทธิ์ของคนเป็นน้อง [บันทึกของเสี่ยวหลิง : เสี่ยวฮวา+เสี่ยวหลิง]

[Drabble] ~ว่าด้วยภาคซาไห่กับทรงผมใหม่ของอู๋เสีย~ [บันทึกของเสี่ยวหลิง]

[Drabble] ในวันที่อากาศหนาว [บันทึกของเสี่ยวหลิง]




-----ตอนพิเศษหลังเจอเสี่ยวเกอ---------


[Drabble]~ครอบครัวสุขสันต์หลังเราพบกันที่ฉางไป๋ซาน~[บันทึกของเสี่ยวหลิง/ผิงเสีย/เฮยฮัว]

[Drabble] #dmbjdaily (สำริด) ตลกหลายฉากของสองหนุ่มแห่งต้นสำริด [บันทึกของเสี่ยวหลิง+เหล่าหยาง]

[OS] #dmbjdaily (ทวินเทล) สาเหตุที่ยอมลงให้ [บันทึกของเสี่ยวหลิง/ผิงเสีย] *สปอยเล่มสิบ / 10 Years Laters* [อัพเดท : FA by Zerin]




+++++++++++++++++++++


*มีบางส่วนดัดแปลงจาก "แปดชั่วโมงที่ห่างกัน"*

(5)




เรื่องนี้ อาจจะเป็นการเล่าย้อนความ แต่นี่เป็นเรื่องราวสมัยที่ผมยังไม่ได้ไปโรงเรียน

เมื่อตอนนั้น ผมไม่รู้ว่าตนอยู่ในวัยที่ควรไปโรงเรียนแล้ว เตี่ยไม่เคยบอกผม และไม่มีใครเคยบอก ผมเคยชินกับการอ่านหนังสือรอเตี่ยทำงาน คุยกับอาหวังเหมิง นอนเล่นบนเก้าอี้ผ้าใบ หรือบางครั้ง ก็จะมีเพื่อนของเตี่ยมาที่ร้าน คุยเล่นกับผม นอกจากนี้ เพราะได้ปู่รองและปู่ใหญ่สอน ผมจึงอ่านหนังสือออก และเพราะชอบอ่านหนังสือ ผมจึงเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ผ่านโลกของตัวอักษร มีความสุขกับการท่องไปในตัวหนังสือ ไม่เคยเบื่อหน่าย

แต่แล้ววันหนึ่ง ระหว่างที่เดินกลับบ้านพร้อมกับเตี่ย ผมก็เห็นเด็กคนหนึ่งเดินผ่านตัวเองไป

เด็กคนนั้นสวมเสื้อสีขาวและกางเกงขาสั้น หอบกระเป๋าเป้ใบโตไว้ จูงมือไว้กับแม่ของตัวเอง เงยหน้าขึ้นพูดคุยร่าเริง

ตอนแรก ผมยังไม่สนใจ เพียงคิดอิจฉาเรื่องที่เขามีแม่ แต่วันต่อๆ มา ผมกลับเห็นเด็กที่ใส่ชุดแบบเดียวกัน เดินผ่านผมไปอีกหลายคน นานวันเข้าผมก็เริ่มรู้สึกสัง วันหนึ่ง จึงถามเตี่ยไป

“เตี่ย ทำไมพวกเขาถึงใส่ชุดแบบเดียวกัน”

เตี่ยชะงักไป เขาก้มมองผม สีหน้าลังเลคล้ายไม่อยากตอบ แต่ในที่สุดก็ลูบหัวผมเบาๆ และเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม “อืม.. คงเพราะพวกเขาซื้อชุดมาจากร้านเดียวกันล่ะมั้ง”

ผมมองหน้าเตี่ย พยักหน้ารับ เข้าใจเช่นนั้น

แต่นับวัน ผมยิ่งเห็นเด็กหลายคนใส่ชุดแบบเดียวกันมากขึ้นทุกที พวกเขาอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับผม เดินไปยังทิศทางเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน ยามที่เห็นเช่นนั้น ผมยิ่งรู้สึกสงสัย ..หากซื้อเสื้อผ้าจากชุดเดียวกัน ก็ไม่ควรต้องออกมาเดินเวลาเดียวกัน มุ่งไปยังที่เดียวกัน ไม่ใช่หรือ

เพราะสงสัย ผมจึงพยายามลองถามเตี่ย แต่เขาไม่ยอมตอบ ดูคล้ายกับมีเรื่องปิดบัง บางครั้งแม้ตอบก็จะตอบเลี่ยงไป ไม่ใช่คำตอบที่ชัดเจน  สิ่งนั้นทำให้ผมไม่สบายใจ และทำให้ไม่กล้าถามต่อ อย่างไรก็ตาม ความสงสัยของผมนับวันยิ่งเพิ่มพูน วันหนึ่งเมื่อทนความสงสัยไม่ไหว จึงถามอาหวังเหมิงไป

“อ๋อ เขาไปโรงเรียนกันน่ะครับ” อาหวังเหมิงตอบมาง่ายๆ มือยังสาละวนกับการคัดแยกท่าเปิ่น

“โรงเรียน?”

“สถานที่ที่เด็กจะไปเรียนหนังสือน่ะครับ ปกติพอโตได้ซักหน่อยก็ต้องไปโรงเรียน เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ หาเพื่อน หาประสบการณ์อะไรแบบนั้น อ๊ะ จะว่าไปคุณหนูซานหลิง..”

อาหวังเหมิงหยุดไปราวกับเพิ่งนึกอะไรได้ สีหน้าของเขาคล้ายกับเพิ่งพูดเรื่องร้ายแรงออกไป ดวงตาหลุกหลิก ก่อนจะก้มมองผมอีกครั้ง ท่าทางอิหลักอิเหลื่อ “ง่า..ก็ประมาณนั้นล่ะครับ คุณหนูซานหลิง”

ผมนิ่งฟังอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าเข้าใจ ไม่ได้ถามอะไรต่อ อาหวังเหมิงเองเหมือนจะโล่งใจ จากนั้นก็กลับไปทำงานตามเดิม

วันนั้น ผมไม่ได้เล่าเรื่องที่ตัวเองถามอาหวังเหมิงให้เตี่ยฟัง ไม่ได้ถามว่าโรงเรียนคืออะไร ผมคิดว่าเตี่ยอาจจะไม่ชอบ เพราะเตี่ยน่าจะรู้ แต่กลับเลี่ยงไม่ยอมตอบผมมาตลอด แสดงว่าจริงๆ แล้ว เตี่ยอาจจะไม่อยากให้ผมรู้เรื่องโรงเรียน

ผมควรหยุดอยู่แค่นี้ รู้แค่เพียงเท่านี้ แต่เมื่อรู้แล้ว ความอยากรู้จะแทงยอดต่อไปไม่สิ้นสุด..ดุจดั่งรากไม้ชำแรกลึกลงดิน

ดังนั้น วันถัดมา ผมจึงถามอาหวังเหมิงอีกครั้ง

“อาหวังเหมิง โรงเรียนเป็นแบบไหนหรือ?”

ผมถามเขาไป เงยหน้าจ้องอย่างคาดหวังใคร่รู้

อาหวังเหมิงทำสีหน้าไม่สบายใจเท่าไหร่นัก เหมือนไม่อยากเล่าให้ผมฟัง หรือหากเล่าไปอาจจะมีเรื่องร้าย ผมคิดว่าอาหวังเหมิงคงกลัวเตี่ยจะว่าอะไรที่บอกผม แต่เมื่อผมจ้องหนักมากเข้า อาหวังเหมิงก็คล้ายยอมแพ้สายตาของผม เขาถอนหายใจ มองซ้ายขวาว่าเตี่ยไม่อยู่ จากนั้น ก็เริ่มเล่าให้ผมฟังว่า ‘โรงเรียน’ เป็นอย่างไร

อาหวังเหมิงเล่าว่า โรงเรียนเป็นสถานที่สำหรับเรียนหนังสือ ที่เห็นว่าใส่ชุดคล้ายกันก็เป็นคล้ายเครื่องแบบ อาหวังเหมิงยกตัวอย่างเทียบกัเครื่องแบบทหารที่ต้องใส่ให้เหมือนกับ บางที่มี บางที่ไม่มี ที่โรงเรียนมีครูคอยสอนนักเรียนให้อ่านเขียน แต่ที่นั่นไม่ได้สอนเพียงให้อ่านหนังสือ ยังสอนความรู้อื่น เช่นเลขคณิต ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และอีกหลายวิชา นอกเหนือจากนี้ เพราะเป็นสถานที่ที่รวมเด็กหลายคนไว้ จึงเป็นอีกสังคมหนึ่ง เป็นที่ที่จะได้พบปะเพื่อนฝูง ได้พบเด็กในวัยเดียวกัน พูดคุยกัน ละเป็นเพื่อนกัน

ได้ยินคำว่าเพื่อนและเด็กวัยเดียวกัน ผมก็รู้สึกสนใจขึ้นมา ตลอดมาผมไม่มีเพื่อน ไม่เคยได้พบใครนอกจากลูกค้าและคนรู้จักของเตี่ย ผมอยู่กับโลกของตัวอักษร อยู่ในโลกใบเล็กๆ ที่มีแค่เตี่ย ผม ลุงอ้วน อาหวังเหมิง ปู่ใหญ่ ปู่รอง ย่าใหญ่ อาฮัวและอาเฮย ร้านของเตี่ย และบ้านของเรา

โลกของผมเล็กเพียงแค่นั้นจริงๆ

ถ้าได้ไปโรงเรียน ผมจะได้รู้จักผู้คนมากกว่านี้หรือเปล่า โลกใบนี้ของผม จะกว้างขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่า

หากไปโรงเรียนแล้วจะเป็นอย่างไร ผมจะได้เจอเพื่อนแบบไหน จะคุยกับทุกคนได้หรือเปล่า ..จะได้พบเจอกันอะไรบ้าง

พอคิดแล้ว ก็อดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้

“อาหวังเหมิง ผมอยากไปโรงเรียนจัง” ผมบอกพลางแกว่งเท้าไปมา ใบหน้าก้มมองพื้น รู้ว่าตนพูดอะไรที่เอาแต่ใจออกไป แต่ก็อดที่จะคิดไม่ได้จริงๆ

..ผมอยากลองไปโรงเรียน

ได้ยินผมพูดแบบนั้น อาหวังเหมิงก็เงียบไป เขาลังเลอยู่พักหนึ่ง ก็ยกมือขึ้นลูบหัวผม “..คุณหนูซานหลิง ลองไปขอร้องเจ้านายดูไหมครับ? ว่าอยากไปโรงเรียน”

ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา ถามเสียงเบา “..เตี่ยจะยอมให้ไปไหม?”

“ไม่ลองก็ไม่รู้นี่ครับ”    

อาหวังเหมิงว่าพลางยิ้มแห้งๆ ผมจึงพยักหน้ารับ คืนนั้น ก็เลยลองถามเตี่ยไป

“ได้ยินเรื่องโรงเรียนมาจากไหนหรือ เสี่ยวหลิง?” เตี่ยถามผมก่อนคำอื่น เขาดูแปลกใจที่ผมรู้จักเรื่องโรงเรียน

“จากลูกค้าของเตี่ย” ผมตัดสินใจโกหกไป ยังไม่อยากให้อาหวังเหมิงโดนตัดเงินเดือนสาหัสไปมากกว่านี้ “เตี่ย ผมไปได้ไหม?”

“…ยังไม่ถึงเวลาหรอก เสี่ยวหลิง” เตี่ยบอกผมแค่นั้น แล้วเขาก็เงียบไป ยกมือขึ้นลูบศีรษะผม “ถ้าถึงเวลาเมื่อไหร่..เตี่ยจะพาไป”

“แต่…” เสียงของผมที่กำลังจะค้านชะงักไป ผมจ้องมองใบหน้าของเตี่ย  ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้ารับ แล้วจากนั้น วคามเงียบก็โรยราลงมา

บทสนทนาของเราจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

+++++++++++++++++

หลังจากนั้น ผมยังคงอยู่ในโลกเล็กๆ ใบเดิมของตน ใช้ชีวิตไปกลับเพียงจากร้านของเตี่ยและที่บ้าน ไม่ได้คิดถึงเรื่องโรงเรียนอีก

ผมมีความสุขดีกับชีวิตตอนนี้ ยังคงชอบที่จะปล่อยเวลาให้ผ่านไปพร้อมกับหนังสือในมือ ย่ำเย็นก็กลับบ้านไปกับเตี่ย อาบน้ำทานข้าว และเข้านอนไปพร้อมๆ กัน

แต่บางครั้ง ยามที่เห็นเด็กรุ่นเดียวกันใส่ชุดที่คล้ายกับ ‘เครื่องแบบ’ ผมก็อดรู้สึกวูบโหวงในอกไม่ได้  

แม้จะเชื่อฟังเตี่ย รอให้เวลามาถึง ก็ยังอดอยากไปไม่ได้เช่นกัน  ผมรู้สึกว่าตัวเองควรถึงวัยที่จะไปโรงเรียนแล้ว ถ้าอย่างนั้น ทำไมเตี่ยถึงยังบอกว่ารอเวลา..ทำไมถึงบอกว่ายังไม่ให้ไป

ผมไม่เข้าใจ




แต่แล้ววันหนึ่ง ปู่ใหญ่ก็เรียกตัวเตี่ยไปหา

พอไปถึงบ้านใหญ่ ผมก็ถูกกันออกมาเหมือนทุกครั้ง ย่าใหญ่นั่งเล่นกับผม บอกให้รอเตี่ยด้วยกัน ผมไม่รู้ว่าปู่ใหญ่เรียกเตี่ยมาคุยเรื่องอะไร แต่จากคำบอกเล่า ดูเหมือนปู่ใหญ่และปู่รองจะเรียกเตี่ยมาคุยเรื่องที่เตี่ยไม่ให้ผมไปโรงเรียนเสียที

ทุกคนปล่อยวางเรื่องที่เตี่ยไม่ให้ผมเข้าเรียนมานานแล้ว แต่นับวันก็ยิ่งไม่สบายใจ ผมอายุหกขวบแล้ว ควรจะเข้าเรียนชั้นประถมสองได้เสียที ปู่ใหญ่ที่กังวลว่าผมจะเรียนไม่ทันจึงเรียกเตี่ยมาคุย

“ปู่ใหญ่เขาคุยด้วยหลายครั้งแล้ว แต่เตี่ยของเสี่ยวหลิงไม่ยอมเสียที” ย่าใหญ่บอกผม ลูบหัวแล้วจูบกระหม่อมเบาๆ “คราวนี้ปู่ใหญ่กังวลมากจริงๆ จึงเรียกมาคุยอีกครั้ง คราวนี้เตี่ยของเสี่ยวหลิงน่าจะใจอ่อนเสียที”

ผมพยักหน้าเข้าใจเพิ่งรู้ว่าปู่ใหญ่และปู่รองกับเตี่ยคุยกันเรื่องนี้หลายครั้ง แต่เตี่ยไม่เคยยอมให้ผมไปโรงเรียนจนบัดนี้ ท่านจึงเรียกเตี่ยมาคุยอีกครั้ง เพื่อนหว่านล้อมให้ผมได้ไปโรงเรียน

ได้ยินแบบนั้นแล้ว ใจหนึ่ง ผมก็รู้สึกดีใจที่จะได้ไปโรงเรียนเสียที แต่อีกใจหนึ่ง ก็รู้สึกกังวล

ผมไม่อยากให้เตี่ยไม่สบายใจ

คงเพราะผมทำสีหน้ากังวลมากเกินไป ย่าใหญ่ที่เห็นจึงลูบหัวผมนิดๆ แตะนิ้วที่ปากตนแล้วกระซิบบอกเบาๆ

“ไปแอบฟังกันไหม เสี่ยวหลิง”

ผมเงยหน้าจ้องคุณย่าใหญ่ ผงกหัวแรงๆ แทบจะในทันที



++++++++++++++++++++++++++



ที่หน้าประตูไม่มีใคร บางทีทุกคนคงทำงานบ้านกันอยู่ ย่าใหญ่จุ๊ปากแล้วหามุมหลบ จากนั้นก็แนบหูกับประตู กวักมือเรียกให้ผมทำตาม

ผมรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย หัวใจเต้นรัว ก่อนจะแนบหูกับประตูไม้บ้าง ที่ตรงนั้น ผมได้ยินเสียงเบาๆ ดังออกมาจากภายในห้อง

“เสี่ยวเสีย ..เสี่ยวหลิงหกขวบแล้ว ควรจะไปเรียนได้เสียที ตามจริงก็ควรจะเข้าเรียนตั้งแต่สามสี่ขวบแล้ว เตี่ยเห็นว่าเสี่ยวเสียไม่อยากให้หลานไป จึงไม่ได้พูดอะไร แต่ตอนนี้ เสี่ยวเสียควรให้เสี่ยวหลิงเข้าเรียนได้แล้ว” ผมได้ยินเสียงของปู่ใหญ่ดังออกมา ดูนุ่มนวลดังเช่นทุกครั้งที่ผมได้ยิน แต่ในความนุ่มนวลนั้น คล้ายกับมีความกังวลเจืออยู่

พอปู่ใหญ่พูดจบ ก็ไม่มีเสียงใดดังตอบคำพูดไป ครู่หนึ่ง เสียงของเตี่ยถึงดังขึ้น

“เตี่ย เสี่ยวหลิงไม่จำเป็นต้องไปโรงเรียนหรอก ตอนนี้เด็กคนนี้อ่านเขียนเก่งกว่าพวกที่ไปโรงเรียนอีก ผมคิดว่าโรงเรียนคงไม่ใช่สิ่งจำเป็นของเสี่ยวหลิง”

“เสี่ยวเสีย ฟังเตี่ยนะ” ปู่ใหญ่ว่าขึ้น น้ำเสียงยังคงสงบ “มันเป็นเรื่องปกติที่เด็กต้องไปเรียน เสี่ยวเสียเอง เตี่ยก็ส่งไปเรียนแต่เล็กแต่น้อยไม่ใช่หรือ?”

“การที่เด็กทุกคนไปเรียน ผมเคยไปเรียน ไม่ได้หมายความว่าเสี่ยวหลิงต้องไปเรียน” เตี่ยเอ่ยตอบกลับประโยคนั้นไป “ผมจะยังไม่ให้เสี่ยวหลิงไปเรียนตอนนี้”

“เสี่ยวเสีย..นี่ไม่ใช่แค่เรื่องความรู้ ไปโรงเรียนยังหมายถึงต้องเข้าสังคม อยู่แบบนี้ เมื่อไหร่เสี่ยวหลิงจึงจะมีเพื่อน”

“เตี่ย ผมรู้ดี แต่..”

บทสนทนาต่อล้อต่อเถียงยังดำเนินไปเรื่อยๆ ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ปู่ใหญ่พยายามหว่านล้อมเตี่ยให้ปล่อยผมไปโรงเรียนเสียที ส่วนเตี่ยกลับยืนกรานไม่ยอมท่าเดียว ย่าใหญ่ที่ฟังด้วยกันกับผมบอกว่า คล้ายกับตอนที่เตี่ยเพิ่งพาผมมาใหม่ๆ เตี่ยยืนกรานที่จะไม่บอกเรื่องของแม่ผม เหมือนกับที่เป็นอยู่ตอนนี้

“บางครั้งเสี่ยวเสียก็หัวแข็งจนน่าใจหายเหมือนกัน” ย่าใหญ่พูดไว้แบบนั้น

เวลาผ่านไปยาวนาน  เตี่ยกับปู่ใหญ่ก็ยังตกลงอะไรกันไม่ได้ ในน้ำเสียงเริ่มมีความเหนื่อยล้าและความหงุดหงิดผุดขึ้นมา ย่าใหญ่บอกว่าหากเป็นแบบนี้ อีกไม่นานคงมีคนยอมแพ้ไป

ใจหนึ่ง ผมอยากให้เตี่ยยอม แต่อีกใจหนึ่ง ผมก็ไม่อยากให้เตี่ยยอม ผมอยากไปโรงเรียน แต่ถ้าเตี่ยมีเตุผลที่ไม่อยากให้ผมไป..ก็แสดงว่าเป็นเหตุผลที่เชื่อถือได้

ผมคิดแบบนั้น

“เสี่ยวเสีย เตี่ยไม่เข้าใจ ทำไมถึงไม่อยากให้เสี่ยวหลิงไปโรงเรียนขนาดนั้น เงินทองเราก็ใช่ว่าไม่มี ส่งลูกเรียนไม่ใช่เรื่องยาก แล้วทำไมถึงยังไม่ปล่อยเสี่ยวหลิงไป”

“..ผมมีเหตุผลของตัวเอง และไม่ว่าอย่างไร ผมจะยังไม่ให้เสี่ยวหลิงไปโรงเรียน”

น้ำเสียงของเตี่ยนิ่งมาก เกือบจะสื่อออกมาว่าจะไม่มีวันยอมโอนอ่อนตาม สุดท้าย ผมจึงได้ยินเสียงปู่ใหญ่ถอนหาใจ ก่อนจะว่าต่อ “…เฮ่อ..ก็ถ้าเสี่ยวเสียว่าอย่างนั้—“

“แล้วมันเมื่อไหร่?”

ไม่ทันที่เสียงของปู่ใหญ่จะจบลง เสียงของปู่รองก็ดังผ่าขึ้นมา ราบเรียบ กดดัน ทรงอำนาจ

ผมสะดุ้งสุดตัว แม้ปู่รองพูดโดยไม่ใส่อารมณ์ ก็ยังฟังน่ากลัว ..หรือไม่บางที ก็เพราะผมยังคงฝังใจกับปู่รอง

ย่าใหญ่เห็นผมสะดุ้งเฮือกร่นออกมาก็ห่อปากพ่นลมชู่ ลูบหลังปลอบเบาๆ แง้มประตูให้เห็นสถานการณ์ด้านใน

“อารอง…” เตี่ยตอบกลับไปเสียงเบา ในขณะที่ปู่รองกดสายตามองต่ำ กอดอกไว้

“ยังของแกน่ะ หมายความว่าอนาคตจะให้ไป แล้วมันเมื่อไหร่”

“ผมยังไม่รู้”

“ตอนนี้เสี่ยวหลิงควรอยู่ป.2 แล้ว ถ้ายังรอเวลากว่านี้ ระดับที่เสี่ยวหลิงควรเข้าเรียนได้ก็จะยิ่งสูงขึ้นไป ถ้าเข้าช้ากว่านี้ก็ต้องเริ่มใหม่ เรียนช้ากว่าคนรุ่นเดียวกัน หรือหากเข้าไปในระดับเดียวกันได้ก็คงเรียนไม่รู้เรื่อง แกจะให้เด็กคนนี้เสียเวลาเรียนช้าหรือยังไง”

“อารอง ผม..”

“แกจะขังเขาไว้หรือไง!!” ปู่รองพูดขึ้นในที่สุด ตวาดเสียงกร้าวจนผมสะดุ้งเฮือก กอดย่าใหญ่ไว้แน่น “อู๋เสีย แกพูดว่าจะยังไม่ให้เข้าเรียนมากี่ครั้งแล้ว ฉันบอกให้แกพาหลานไปเข้าเรียนกี่ครั้งแล้ว ทุกครั้งแกบอกว่ารอเวลา..อู๋เสีย แกรออะไร หรือแค่ไม่อยากให้ลูกห่างออกไปจากข้างๆ ตัวเอง”

พอปู่รองพูดแบบนั้น เตี่ยก็เงียบไป ราวกับถูกแทงใจดำ

“ อู๋เสีย แกคิดจะขังซานหลิงไว้ไปถึงเมื่อไหร่ จะให้โลกของเขาแคบอยู่แค่ข้างๆ ตัวแก แค่ที่บ้านเราไปถึงเมื่อไหร่ แกจะรอให้เขาอายุซักเท่าไหร่ถึงจะเข้าไปเรียนได้  ซักวันเสี่ยวหลิงต้องโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ ดูแลตัวเอง แล้วแกก็จะแก่ลง แล้วซักวันก็จะตาย แกจะปล่อยเสี่ยวหลิงเมื่อไหร่ ตอนแกตายหรือไง ถึงตอนนั้น ซานหลิงจะใช้ชีวิตยังไง!”

เห็นปู่รองใส่อารมณ์ ตวาดเสียงดังถึงขนาดนั้น ปู่ใหญ่ก็เหมือนจะเริ่มกังวล จึงเดินไปบีบแขนปู่รองไว้เบาๆ “เสี่ยวเอ้อร์ พูดแรงเกินไปแล้ว หลานเพิ่งหกขวบ ถึงไม่ไปเรียนก็ไม่น่าเป็นอะไร..อีกอย่างเสี่ยวเสียก็บอกว่า--”

“ไม่น่าเป็นอะไร? พี่ใหญ่ พี่เพิ่งพูดไปว่าตัวเองส่งอู๋เสียเรียนตั้งแต่อนุบาล แล้วนี่หลานอายุหกขวบแล้ว ควรจะขึ้นประถมแล้ว หรือไม่ใช่” ปู่รองหันไปพูดกับปู่ใหญ่ “อีกอย่างถ้าไม่พูดแบบนี้ เมื่อไหร่ลูกของพี่จะยอมปล่อยหลาน รอให้อายุเท่าไหร่ถึงจะปล่อย ถึงจะยอมให้ไปโรงเรียน พบปะผู้คน ถ้ารอตามที่อู๋เสียบอก ถึงตอนนั้นถ้าเด็กมันมีปัญหาก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว”

ปู่รองหยุดสูดลมหายใจ หันไปหาเตี่ยอีกครั้ง “อู๋เสีย แกอย่าเอาแต่หวงลูกไว้ข้างตัว หัดทำตัวเป็นพ่อที่ดีบ้าง”

“…อารอง” เตี่ยเปล่งเสียงแหบแห้ง คล้ายกับว่าปฏิเสธคำพูดนั้นไม่ได้แม้แต่คำเดียว

“เป็นพ่อคน ไม่ได้หมายความว่าแกต้องโอบอุ้มเขาไว้ไม่ปล่อย ไม่ให้โดนพื้น ขังไว้ไม่ให้เจออันตราย แต่แกต้องสอนเขา คอยดันหลังให้เดินไป บางครั้งอาจจะประคอง และบางครั้ง แกต้องเฝ้าดูให้เขาลุกขึ้นเอง”

“ผมเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ถูกประคับประครอง ถ้าไม่ดิ้นรนออกไปเอง ก็อยู่แต่ในกรอบที่ทุกคนวางไว้ให้ ปิดตาไม่ให้รู้อะไรเลย!”

“เพราะนั่นไม่ใช่โลกที่แกควรเข้าไป และแกก็เข้าไป” ปู่รองพูดอย่างสงบ “แกมีอิสระเต็มที่ และทุกคนปกป้องอิสระของแก พยายามไม่ให้แกต้องก้าวลงมา แต่แกก็ดิ้นรนให้โดนเชือกพันรัด แล้วสุดท้ายก็เดินออกไปไม่ได้ เพราะอย่างนั้นถึงต้องมานั่งทรมานแบบนี้ไปอีกหลายปีไม่ใช่หรือ”

ได้ยินแบบนั้น เตี่ยก็ชะงักไป ดวงตาวูบไหว ฝ่ามือกำหมัดจนสั่นระริก ริมฝีปากขบเม้มแน่น

ไม่อาจปฏิเสธได้

ปู่ใหญ่ฟังทั้งสองคนพูดแล้วเริ่มงุนงง มองหน้าทั้งสองคนสลับกัน เอ่ยถามขึ้นท่ามกลางความตึงเครียด “เดี๋ยว เสี่ยวเอ้อร์ เสี่ยวเสีย คุยเรื่องอะไรกัน…”

“แกอย่าเอาตัวเองมาเทียบกับเสี่ยวหลิง อย่าเอาสิ่งที่ตนพบมาเป็นข้ออ้าง หากแกบอกว่าอยู่ในกรอบ กรอบของแกเมื่อตอนอายุเท่าหลานยังกว้างกว่าร้อยเท่าพันเท่า”

“อารอง…” เสียงของเตี่ยเบาลงทุกที สั่นเครือ

เตี่ยจะไม่ไหวแล้ว

เตี่ยสีหน้าแย่มาก และผมไม่ชอบสีหน้านั้น ดวงตาของเตี่ยมีประกายแปลกๆ ที่ผมไม่ชอบ  ถ้าหากว่าทำให้เตี่ยต้องไม่สบายใจ ถ้าอย่างนั้นผมจะไม่ไปโรงเรียนก็ได้ ถ้าเตี่ยไม่อยากให้ไปก็ไม่เป็นไร

ผมเชื่อใจเตี่ย ถ้าเตี่ยบอกว่าตอนนี้ยังไม่ให้ไป งั้นผมจะยังไม่ไปก็ได้

“แกเลิกขังซานหลิวงได้แล้ว อู๋เสีย ปล่อยมือจากลูกบ้าง”

“อึก..”

ปึง!

“ผะ..ผมไม่ไปโรงเรียนแล้วก็ได้ ไม่อยากไปแล้วก็ได้!”

ผมพูดเสียงดัง วิ่งเข้าไปหาเตี่ย ทำลายบรรยายกาศตึงเครียดลงโดยสิ้นเชิง

“เสี่ยวหลิง!” เตี่ยร้องตกใจ ย่อตัวรับผมที่วิ่งโผเข้าหาอ้อมแขน “ทำไมมาที่ห้องนี้”

“ผมไม่อยากไปโรงเรียนแล้วก็ได้ ถ้าทำให้เตี่ยไม่สบายใจ ไม่ไปก็ได้” ผมรีบบอกเตี่ย กอดคอเอาไว้แน่น ผไม่อยากให้เตี่ยไม่สบายใจ..ไม่เอาแล้วก็ได้

ไม่ไปแล้วก็ได้

“ซานหลิง นี่แกพูดอะไรออกม…!” ปู่รองหันมาตวาดใส่ผม ก่อนที่จะชะงักไป เขาสูดหายใจลึก และเดินหันหลังออกจากห้อง “ฉันไม่คุยด้วยแล้ว ถ้าแกจะดื้อก็จงดื้อไป นี่ลูกแกเอง จะพังหรือก้าวหน้าก็อยู่ที่มือแก แต่จงจำไว้ และคิดดูดีๆ แกทำให้ลูกชายตัวเองต้องยอมแกทุกอย่างแบบนี้มันดีแล้วหรือ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม เสี่ยวหลิงยอมให้แกตลอด หรือไม่ใช่”

ปู่รองหันมามองผม..และใช่จริงๆ เมื่อไหร่ที่ขัดใจเตี่ย ผมมักจะยอมเตี่ยเสมอ ต่อให้ทะเลาะกัน สุดท้ายคนที่ยอม ก็มักจะเป็นผม

เพราะผมไม่ชอบเวลาที่เตี่ยเสียใจ

ผมหลบดวงตาคู่นั้นที่จ้องมา กอดคอเตี่ยแน่น เหมือนจะได้ยินเสียงถอนหายใจดังมา

“เลิกทำตัวเป็นเด็กได้แล้ว อู๋เสีย ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะอยู่กับแกตลอดไป” ปู่รองพูดทิ้งท้ายไว้ ยื่นมือมาลูบหัวผม ดวงตาปรายมองเตี่ยที่ก้มหน้ามองพื้น พรูลมหายใจอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

เตี่ยนิ่งเงียบ หลุบตาลง กอดผมไว้แน่น พึมพำตอบไป “..ผมรู้ดีครับ อารอง”

ผมมองปู่รองเดินลับหายไป แล้วเงยหน้ามองเตี่ย เรียกเขาเบาๆ “เตี่ย….”

“โลกของเสี่ยวหลิงมีแค่เตี่ยไม่ได้ เตี่ยน่าจะรู้อยู่แล้ว” เตี่ยหัวเราะขื่น ลูบหัวผมเบาๆ ใบหน้ายังมีร่องรอยของความเศร้าที่ผมไม่ชอบ ดังนั้น จึงกระตุกเสื้อเตี่ย บอกไปเบาๆ

“เตี่ย…ผมไม่ไปโรงเรียนก็ได้นะ  อยู่กับเตี่ยก็ได้”

“ไม่ได้” เตี่ยส่ายหัวไปมา “เตี่ยแค่หนีความจริง เตี่ยรู้แต่แรกว่าเสี่ยวหลิงควรไปโรงเรียน เตี่ยแค่ระวิงเวลาไป… ระวิงมานานมากเกินไป” เตี่ยหยุดไปนิดหน่อย “พรุ่งนี้เตี่ยจะติดต่อกับอาเซี่ย ให้หาโรงเรียนให้เสี่ยวหลิงเข้า คงจัดการไม่ยากอะไร”

เตี่ยลูบหัวผม ในน้ำเสียงนั้น มีความเหงาแฝงอยู่เบาบาง จนผมอดไม่ได้ที่จะเรียกเขาอีกครั้ง

“เตี่ย….”

“..เสี่ยวหลิงทำตามใจตัวเองบ้างก็ได้นะ..ไม่ต้องตามใจเตี่ยตลอดหรอก..”

ผมอ้าปากจะปฏิเสธประโยคนั้น แต่สุดท้าย ก็ได้แต่พยักหน้า “….ครับ”

“..ถ้าอยากค้านจะลองพูดมาก็ได้” เตี่ยบอกผมกลั้วเสียงหัวเราะ ดวงตาหลุบลง “ไมม่ต้องยอมเตี่ยทุกเรื่อง ไม่ต้องฟังเตี่ยทุกเรื่อง ถ้ามีอะไรที่เรารู้สึกว่าไม่ชอบ ก็ให้เราได้คุยกัน ตกลงไหม?”

เตี่ยดึงผมออกมา สบตาแล้วแย้มรอยยิ้ม ผมจ้องเตี่ยอยู่พักใหญ่ ก็บอกออกไป  “..ถ้าผมยอมไม่ได้ ผมจะค้าน แต่ถ้ายอม จะยอม ได้ไหมเตี่ย”

เตี่ยยิ้มกลับมาให้ผม กอดผมเอาไว้แน่นจนแทบหายใจไม่ออก แต่ในอ้อมกอดอบอุ่นั้น ผมยังรู้สึกได้ถึงความเหงาจางๆ



+++++++++++++++++




หลังจากที่จัดการเรื่องราวต่างๆ เตี่ยก็บอกว่าผมสามารถไปโรงเรียนได้แล้ว เป็นโรงเรียนเดียวกับที่เตี่ยเคยเรียนสมัยเด็ก อยู่ใกล้กับบ้านของเรา เดินไม่นานก็ถึง

เตี่ยไม่ได้บอกรายละเอียดมากกว่านั้น เขาเพียงพาผมไปหาซื้อเสื้อนักเรียนและเครื่องใช้ที่จำเป็น เตี่ยว่าหนังืสอเรียนจะได้วันพรุ่งนี้ที่โรงเรียน ดังนัน้จึงไม่ตองจัดซื้อเอง

คืนนั้น เราเข้านอนกันเร็วมาก แต่เพราะตื่นเต้นมากๆ  ผมจึงนอนไม่หลับ เตี่ยกับผมคุยกันตลอดคืน คุยเรื่องที่ผมอาจจะเจอที่โรงเรียน เรื่องที่ต้องเรียน เพื่อนๆ ที่เหมือนคนแปลกหน้า

แต่ที่กลัวยิ่งกว่า..คือผมต้องห่างจากเตี่ยไป

จกนี้ไป โลกของผมจะไม่ได้มีแค่เตี่ยอีกแล้ว โลกของผมจะกว้างขึ้น ต้องเดินออกจากอ้อมอกของเตี่ย พอคิดแบบนั้น ก็เริ่มใจหายขึ้นมา

“ไม่เป็นไรหรอก เสี่ยวหลิง” เตี่ยบอกผม ลูบหัวเบาๆ “ลูกจะไม่เป็นไร”

เตี่ยว่าพร้อมกับยิ้มให้ผม ทำให้ผมเริ่มสบายใจขึ้นบ้าง

จากนั้น ผมก็หลับไป

รอคอยวันพรุ่งนี้ที่จะมาถึง



+++++++++++++





กริ๊งงงง

เสี่ยงกริ่งโรงเรียนดังขึ้น เหล่าเด็กน้อยที่นั่งเรียบร้อยบนเก้าอี้ต่างลุกขึ้นแล้วพากันออกไปจากห้อง คุณครูที่ยืนอยู่ข้างหน้าตะโกนสั่งว่าอย่าลืมการบ้าน แต่ก็ดูเหมือนไม่มีใครสนใจฟัง

ผมมองเพื่อนในห้องเรียนวิ่งกันออกไปจากห้อง ในขณะที่ตัวเองค่อยๆ เก็บของเข้ากระเปาอย่างไม่เร่งร้อน ตอนนั้นเอง ก็รู้สึกถึงฝ่ามือที่ตบลงบนบ่าตน

“ซานหลิงไปเล่นกันไหม พวกผู้ชายจะไปเล่นบอลที่ลานโล่งน่ะ” เพื่อนของผมกล่าว ชี้ไปทางกลุ่มเด็กผู้ชายที่มองมาทางผมอย่างตื่นเต้น

ผมส่ายหัวหน่อย เอ่ยตอบเสียงเรียบ“ฉันต้องรีบกลับบ้านน่ะ ขอโทษนะ”

“รีบกลับทำไมกัน? ไปเล่นเถอะน่า หรือนายยังเขินเพราะเพิ่งย้ายมา อย่าคิดมากน่า คบๆ คุยๆ เดี๋ยวก็สนิทเอง” เพื่อนคนนั้นว่าพลางตบไหล่ผม แต่ว่าผมส่ายหัวปฏิเสธไป

“ช่วงนี้ไม่ได้หรอก”

“..พ่อแม่นายห่วงเพราะเพิ่งย้ายมาสินะ งั้น! คราวหน้าต้องมาเล่นด้วยกันให้ได้ เข้าใจไหม” เขาบอกผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง ตบหล่ผมทั้งสองข้างและบีบไว้ ก่อนจะปล่อยออกและเดินกลับไปที่กลุ่มของตน ทว่าไม่ลืมโบกมือบอกลาผม

ผมยกมุมริมฝีปากนิดหน่อย ยกมือโบกลาเขา จากนั้นกลุ่มเด็กผู้ชายก็เดินออกไปจากห้อง เหลือผมทิ้งไว้คนเดียว

พอความเงียบกลับมา ผมก็พรูลมหายใจ ยกกระเป๋าขึ้นสะพายแล้วเดินออกมาจากห้องเรียนของตน


++++++++++++++++++++++++++++++++


นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาโรงเรียน

หลังจากที่คุยกับปู่ใหญ่และปู่รอง ในที่สุดเตี่ยก็ยอมปล่อยให้ผมมาเรียนได้ ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยไปโรงรียนก็จริง แต่ได้ปู่ใหญ่และปู่รองคอยสอนหนังสือเสมอ จึงสามารถสอบเทียบความรู้ชั้นประถมสองมาได้ แน่นอนว่าปกติแล้ว คงไม่มีใครสามารถเข้าเรียนกลางคันเช่นนี้ได้ ทว่าเตี่ยใช้เส้นสายของอาเซี่ย ฝากผมเข้ามาในโรงเรียนแห่งนี้ และแน่นอนว่าไม่มีใครทราบว่าผมไม่เคยเรียนชั้นอื่นๆ ก่อนหน้านี้มา พวกเขาทราบเพียงว่าผมย้ายมาจากโรงเรียนอื่นด้วยเหตุผลทางบ้านเท่านั้น

เนื้อหาที่เรียนตอนนี้ยังไม่มีอะไร จะว่าไปชั้นประถมก็ไม่ใช่ชั้นที่จะมีเนื้อหามากมายอยู่แล้ว ผมจึงไม่มีปัญหากับการเข้ากับโรงเรียน

น่าแปลก..ผมเพิ่งเคยห่างจากเตี่ยมากขนาดนี้ นานถึงเพียงนี้ แต่กลับไม่ได้ร้องไห้อยากกลับไปหา ไม่ได้รู้สึกว่าการเรียนหนังสือและการพบเจอเพื่อนๆ เป็นเรื่องทรมาน ไม่ได้เร่งเวลาให้กลับไปหาเตี่ยได้เร็วๆ เมื่อคืนนี้ ผมยังหวาดกลัวที่จะต้องอยู่ห่างจากเตี่ยทั้งวัน แต่วันนี้ กลับสนุกที่ได้มาเรียนที่โรงเรียน

..บางทีผมอาจจะอยากเป็นอิสระจากเตี่ยมาตั้งนานแล้วก็ได้

แต่พอคิดแบบนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจ เพราะเตี่ยอาจจะเสียใจ ถึงแม้จะได้รับอนุญาตแล้ว ผมก็ยังกังวล บางทีเตี่ยอาจจะไม่อยากให้ผมมาเรียนหนังสือ แต่สุดท้าย ก็ต้องกล้ำกลืนปล่อยให้มา แล้วผมเองกลับยังชอบที่จะมาโรงเรียนเสียอีก

เตี่ยรู้จะต้องเสียใจมากแน่ๆ

ผมตกอยู่ในความอึมครึมของความคิดตน ระหว่างที่ก้าวเดินไปตามระเบียงทางเดิน เลี้ยวลงบันไดที่ไร้ผู้คนไป แล้วพอเดินลงมาจากอาคารเรียน ก็เห็นเตี่ยยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงเครื่องเล่น ท่าทางหงุดหงิดงุ่นง่าน ที่พื้นรอบตัวเตี่ย มีกองบุหรี่ทิ้งเรี่ยราดอยู่รอบตัวเต็มไปหมด

ผมเห็นเตี่ยยืนอยู่ตรงนั้นก็นิ่งไป พลันรความรู้สึกบางอย่างก็เต็มตื้นขึ้นมา เลยรีบวิ่งไปหาเตี่ย ไม่ได้เรียกชื่อ แต่วิ่งไปดึงเสื้อทันที

เตี่ยสะดุ้ง ก้มมองผม ผมหอบเล็กน้อย กล่าวเสียงเบา

“กลับบ้านกันเถอะ เตี่ย”

ผมว่าพลางกอดเตี่ยแน่นมาก คิดถึงสัมผัสอบอุ่นและกลิ่นอายของเตี่ยที่มักรู้สึกถึงตลอดเวลา

เตี่ยมองผม ยิ้มบาง ก่อนจะดับบุหรี่แล้วอุ้มผมขึ้นไป หอมแก้มผมทั้งสองข้างจนแดงไปหมด แล้วเอ่ยเสียงร่าเริง

“กลับกัน เสี่ยวหลิง”

ผมผงกหัว กอดคอเตี่ยแล้วปล่อยให้เขาอุ้มไว้

ขอโทษครับ ผมโกหกจริงๆ ด้วย

ผมไม่ได้ร้องไห้ก็จริง แต่ว่าคิดถึงเตี่ยมาก คงเพราะแบบนั้นเลยปฏิเสธไม่ไปเที่ยวกับเพื่อนใหม่ เพราะว่าอยากจะรีบกลับไปหาเตี่ย เพราะว่าถึงเพื่อนที่โรงเรียนจะดีกับผมมาก ถึงแม้ว่าเรื่องที่เรียนจะสนุก พอเวลาเลิกเรียนเลิกลง ผมก็ยังอยากจะพบเตี่ยเร็วๆ อยู่ดี

จากวันนี้ไป คงไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลาเหมือนกับเมื่อก่อน เพราะผมต้องไปโรงเรียนทุกวัน ต้องห่างจากเตี่ยทุกวัน แต่ว่าไม่เป็นไร

เพราะความรู้สึกที่ได้เจอหน้าหลังจากไม่ได้พบกันแปดชั่วโมงก็เป็นความรู้สึกที่ดีเหมือนกัน



TBC.
sinnerdarker
sinnerdarker
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ

จำนวนข้อความ : 343
Points : 4015
Join date : 27/10/2014
ที่อยู่ : บ้านสกุลหวัง

ขึ้นไปข้างบน Go down

[Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง (5) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์* Empty Re: [Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง (5) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*

ตั้งหัวข้อ by Yuwadee Wana Mon 13 Jul 2015, 23:04

มันซึ้งมากกกก และอยากบอกเตี่ยเสี่ยวหลิงว่า สูบบุหรี่น้อย ๆ หน่อย เดี๋ยวเสี่ยวหลิงก็รับเอาควันบุหรี่ไปด้วยหรอก
ปาดน้ำตา
Yuwadee Wana
Yuwadee Wana
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ

จำนวนข้อความ : 352
Points : 3789
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง (5) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์* Empty Re: [Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง (5) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*

ตั้งหัวข้อ by The_Dark_Lady Mon 13 Jul 2015, 23:29

น่ารักเหลือเกิน...น้องเสี่ยวหลิงน่ารักมากๆเลย เด็กดีๆ
เด่นรองจากน้องก็อารองนี่ล่ะค่ะ แหม...ถ้าไม่ได้อารองก็คงไม่ได้ไปไหนกันซักที...
ตาอู๋เสียคนติดลูก หึหึ ต้องให้อารองดุก่อนถึงจะยอมปล่อยลูกมาโรงเรียน
แต่เพราะเริ่มให้ลูกเข้าโรงเรียนรึเปล่าเลยวางใจขนาดทิ้งลูกไปตะลุยธิเบต ไปตะลุยซาไห่ (ยิ้มอ่อน)
โยงมั่วซั่วไปเรื่อย หึหึ
ขอบคุณสำหรับฟิคฟีลกู้ดครอบครัวอบอุ่นค่ะ อ่านแล้วก็คิดถึงพ่อแม่และวันวานเบาๆ
The_Dark_Lady
The_Dark_Lady
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ

จำนวนข้อความ : 301
Points : 3595
Join date : 21/06/2015
Age : 28
ที่อยู่ : On the Land, Below the sky

ขึ้นไปข้างบน Go down

[Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง (5) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์* Empty Re: [Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง (5) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*

ตั้งหัวข้อ by Rozenkreuz Mon 13 Jul 2015, 23:52

อ่านแล้วก็นึกถึงตอนเสี่ยวหลิงไม่ให้เตี่ยเข้าบ้าน ถถถถถถถถถถถถถถ //ไปได้ไงไม่รู้ แต่นั่งนึกว่าความโมเอะตอนเด็กมันหายไปไหนเนี่ย ฟฟฟฟ
Rozenkreuz
Rozenkreuz
ด้วงอาณาจักรเจ้าแม่ซีหวังหมู่
ด้วงอาณาจักรเจ้าแม่ซีหวังหมู่

จำนวนข้อความ : 625
Points : 3809
Join date : 01/07/2015
Age : 31
ที่อยู่ : กองทัพผีเก็บเห็ดแห่งประตูสำริด

ขึ้นไปข้างบน Go down

[Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง (5) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์* Empty Re: [Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง (5) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*

ตั้งหัวข้อ by yakusoku Tue 14 Jul 2015, 01:44

ซึ้งมากคะ ความรักของพ่อลูกคู่นี้
yakusoku
yakusoku
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ

จำนวนข้อความ : 369
Points : 3791
Join date : 05/11/2014
ที่อยู่ : โลงในสุสานโบราณ

ขึ้นไปข้างบน Go down

[Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง (5) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์* Empty Re: [Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง (5) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*

ตั้งหัวข้อ by tamahome Wed 15 Jul 2015, 10:00

คุณย่าแอบซนนะคะ 555555 ตอนนี้ปู่รองแอบดุไปหน่อย ...บรื๋อออ แต่ความอบอุ่นของครอบครัวยังอยู่ ทุกคนเป็นห่วงเสี่ยวหลิงด้วยกันทั้งนั้นเลย แม้แต่อาหวังเหมิง >\\\\\<
ตามที่บอกว่าแปลงจาก 8 ชม. ทล.คือตอนนี้เสี่ยวฮวายังไม่มาสินะคะงั้น
tamahome
tamahome
ด้วง
ด้วง

จำนวนข้อความ : 32
Points : 3465
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง (5) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์* Empty Re: [Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง (5) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*

ตั้งหัวข้อ by Luckey.B Tue 21 Jul 2015, 03:10

งานน้ำตาต้องมาเลย ปาดแทบไม่ทัน
Luckey.B
Luckey.B
ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา
ด้วงสุสานใต้สมุทรทะเลซีซา

จำนวนข้อความ : 102
Points : 3267
Join date : 20/07/2015
ที่อยู่ : ใต้ถุนบ้านสกุลจาง ใต้ดินบ้านอาสาม

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน

- Similar topics

 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ