Countdown
We've been
togerther for

ค้นหา
 
 

Display results as :
 


Rechercher Advanced Search


[Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง [Imply ผิงเสีย] (2) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*

+3
meanato
Feran.FS
sinnerdarker
7 posters

Go down

[Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง [Imply ผิงเสีย] (2) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์* Empty [Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง [Imply ผิงเสีย] (2) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*

ตั้งหัวข้อ by sinnerdarker Fri 31 Oct 2014, 15:49

*สปอยเล่มสิบ*




Title : บันทึกของเสี่ยวหลิง

Author : Sinnerdarker

Main Character : อู๋ซานหลิง(เสี่ยวหลิง)(ออริจินอลคาแรกเตอร์ ลูกอู๋เสีย)

Minor  Character  : อู๋เสีย , เซี่ยอวี้ฮัว , นายอ้วน



กรุณาอ่านสองฟิคนี้ก่อน

ตอนแรก : The Last Moment *R18* *สปอยเล่มสิบ* [ผิงเสีย]

ตอนสอง :  "ของยึดเหนี่ยวอันไม่จีรัง"  *สปอยเล่มสิบ* [เมนอู๋เสีย มีโมเมนต์ผิงเสีย]

ตอนสาม(หรือตอนแรกของซีรี่ย์สนี้) : บันทึกของเสี่ยวหลิง (1) *สปอยเล่มสิบ*


+++++++++++++++++++++




เตี่ยเคยถามผมว่า ทำไมผมถึงกลัวปู่รอง

ผมตอบเตี่ยไม่ถูก เพราะทุกครั้งที่เห็นหน้าปู่รองผมจะเกิดอาการเกร็งขนลุก ทำอะไรไม่ถูก ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากสบตา อยากหนีออกมาห่างๆ รู้สึกเหมือนมีอะไรมันฝังลึกๆ ในใจ เป็นสิ่งที่ผมหาสาเหตุไม่ได้

พอเตี่ยฟังผมตอบ เตี่ยก็หัวเราะ พร้อมกับอัดบุหรี่เข้าปอด เขาบอกว่าปู่รองดูน่ากลัวก็จริง แต่ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น ถึงจะเป็นคนเด็ดขาดเข้มงวด แต่กับลูกกับหลานก็ไม่ได้ร้ายกาจอะไร เรื่องนี้เตี่ยรับประกัน

แต่พอถามว่าระหว่างปู่รองกับปู่สามที่หายตัวไป ปกติเตี่ยชอบอยู่กับใคร เตี่ยก็ดันบอกว่าชอบอยู่กับปู่สามมากกว่า

‘ก็ถึงจะไม่ได้ใจร้าย แต่ก็ไม่ได้ใจดีด้วยนี่’

แล้วทำไมเตี่ยถึงอยากให้ผมหายกลัว ทั้งที่ตัวเองยังกลัวล่ะครับ…

แน่นอนผมไม่ได้ถามอะไรแบบนั้นออกไป เพราะผมยังไม่อยากถูกเตี่ยเบิ๊ดกะโหลก ถึงเตี่ยจะรักผมมาก แต่ช่วงนี้เตี่ยเริ่มไม่ค่อยหวงผมหรือทนุถนอมผมแล้ว เหมือนกับปล่อยวางอะไรได้ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ผมชอบที่เตี่ยเป็นแบบนี้ เพราะทำให้เราเหมือนคู่พ่อลูกตามปกติทั่วไป

แต่เมื่อได้คุยเรื่องนี้กับเตี่ย ผมก็เริ่มคิดขึ้นมาว่าทำไมถึงกลัวปู่รอง

ถึงจะดูอวดเก่งไปบ้าง แต่ผมไม่ใช่คนขี้กลัว ตามที่เตี่ยเคยบอก ผมค่อนข้างเงียบและความคิดโตเกินวัย ถึงเจอคนแปลกหน้าก็ไม่ค่อยหวาดกลัว ซึ่งก็เป็นความจริง ต่อให้คนคนนั้นหน้าตาน่ากลัวผมก็มักจะจ้องมองได้โดยไม่รู้สึกอะไร เหมือนลูกน้องของเตี่ยที่เดินทางมาจากเมืองอื่นที่เจอเมื่อหลายเดือนก่อน อาฮัวที่มากี่ครั้งก็ชอบจ้องตาผมเฉยๆ ไม่พูดอะไร และคุณลุงสวมแว่นดำที่มักจะจ้องผมจากมุมห้องบ่อยๆ

…แล้วทำไมผมถึงกลัวปู่รองถึงขนาดนั้นกัน?

ผมเริ่มคิดถึงตอนที่เจอปู่รองครั้งแรก ตอนนั้นผมสามขวบ เพิ่งเริ่มจำความได้ และเป็นช่วงที่เตี่ยพาผมไปที่บ้านใหญ่ครั้งแรก ตอนนั้นผมจำอะไรไม่ได้เท่าไหร่ นึกออกแค่ว่าทุกคนตกอกตกใจมากตอนเตี่ยพาผมไปหา พวกเขาถามถึงแม่ที่ผมไม่รู้จัก ถามว่าทำไมถึงพาลุกมาที่บ้านตอนโตเอาป่านนี้ จากนั้นทุกคนก็เริ่มขึ้นเสียงกัน คุณย่าอุ้มผมออกมาจากห้อง ปิดประตูเอาไว้แล้วเดินออกมา ภายในมีแค่ปู่ใหญ่ ปู่รอง และเตี่ย ทั้งสามคนพูดคุยกับเสียงดังมาก แต่ผมจับศัพท์ไม่ได้ว่าคุยเรื่องอะไร ใจผมรู้สึกว้าวุ่น ตอนนั้นผมเด็กมาก ถึงคุณย่าจะพูดเล่นด้วย คอยดึงความสนใจ ผมที่อยู่กับเตี่ยแทบตลอดเวลาก็ยังอยากกลับเข้าไปหาเตี่ย

สุดท้ายดูเหมือนผมจะอดรนทนไม่ไหว ดิ้นหลุดจากอ้อมแขนของคุณย่าใหญ่แล้ววิ่งเข้าไปในห้อง ร้องเรียกหาเตี่ย แต่เตี่ยยังไม่ทันพูดอะไร อารองก็หันมาตวาด

‘ใครอนุญาตให้แกเข้ามา!’

เสียงตวาดนั้นดังมาก ทรงอำนาจ มันไม่ได้มาพร้อมกับอารมณ์กราดเกรี้ยว แต่เป็นความกดดันที่ทำให้ร่างชา ปู่รองหันมามองผมด้วยสายตาที่ทำให้ไม่สบายใจ จากนั้น…ผมจำได้ว่าผมร้องไห้

เตี่ยรีบวิ่งมาอุ้มผม ลูบหลังเขย่าตัวให้ใจเย็น แต่ตอนนั้นผมจำได้ว่ากลัวมาก หัวใจดิ่งลงพื้น ไม่เคยกลัวขนาดนี้มาก่อน

…………ดูเหมือนนั่นจะเป็นเหตุผลฝังลึกทีแท้จริงที่ทำให้ผมกลัวปู่รอง



++++++++++++++++++++



ผมไม่ได้บอกเตี่ยเรื่องที่ผมนึกออกแล้วว่าทำไมจึงกลัวปู่รอง และเตี่ยเองไม่ได้ใส่ใจจะถาม ผมรู้สึกว่าสาเหตุค่อนข้างไร้สาระและน่าอาย ไม่ค่อยอยากพูดออกไปซักเท่าไหร่ แต่ตอนนั้นผมยังเด็กมากจริงๆ และผมกลัวมาก ถึงฝังใจมาได้นานขนาดนี้

อีกอย่างหลังจากเหตุการณ์นั้น ผมก็ไม่เคยกล้าเข้าใกล้ปู่รองอีก และปู่รองเองไม่ได้เข้าหาผม ไม่ว่ากี่ครั้งที่ไปบ้านใหญ่ ปู่รองจะเพียงมองผมอยู่ห่างๆ ด้วยสายตาดุดัน กอดอกจ้องผมจนรู้สึกขนลุก นั่นทำให้ผมไม่เคยมีความกล้าที่จะทักเขาอีก

ผมหวังแต่ว่าในอนาคต เมื่อผมโตมากกว่านี้ จะหายกลัวปู่รองเสียที

วันนี้เป็นวันหยุด ไม่มีเรียน ผมจึงมานั่งเล่นที่ร้านของเตี่ย ภายในร้านเงียบมาก ไม่ค่อยมีคน นานๆ จึงจะมีคนมาขอดูท่าเปิ่นหรือไม่ก็นำมาขาย เตี่ยไม่อยู่ที่ร้านอาหวังเหมิงจึงเป็นคนรับหน้า อาหวังเหมิงเป็นเสมือนมือขวาของเตี่ย ทำงานด้วยกันมานาน เตี่ยเคยเล่าให้ฟังว่าสมัยยังหนุ่มเกิดความรู้สึกอยากจะไล่เขาออกหลายครั้งมาก แต่มาคิดดูอีกที ก็โชคดีที่ไม่ทำแบบนั้น ไม่เช่นนั้นคงเสียมือขวาในอนาคตไป

อาหวังเหมิงเก่งมาก รู้เรื่องแผ่นลอกลายเกือบเท่าระดับที่เตี่ยรู้ ผมเคยถามเขาว่าไปเรียนเรื่องแบบนี้ที่ไหน อาก็ตอบผมว่านี่เป็นสิ่งที่เตี่ยสอน แต่กว่าจะสอนก็ใช้เวลานานเหลือเกิน ก่อนหน้านี้โขกสับเขาสารพัด จนเกือบจะเคยขอลาออกครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าอะไรดลใจเตี่ย จึงขึ้นค่าแรงให้ ด้วยความที่งานในร้านก็ไม่ได้ลำบากอะไร แถมยังได้ขึ้นเงินเดือน อาหวังเหมิงจึงหน้ามืดทำงานต่อ

หลังจากนั้นชีวิตอาหวังเหมืงก็ดูจะก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ แถมยังกลายเป็นคนสำคัญให้ยืดอกได้ เขารู้สึกขอบคุณตัวเองในตอนนั้นมากที่หน้ามืดยอมทำงานต่อ

พอบอกผมเสร็จ เตี่ยก็เดินเข้ามาจากด้านหลัง ตบกบาลอาหวังเหมิงแล้วด่าให้ไปทำงานต่อ

ภายในร้านเงียบมาก แทบไม่มีเสียงใดนอกจากเสียงกรนของอาหวังเหมิง ผมไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไรมาเมื่อคืน แต่วันนี้นอกจากเวลาที่มีลูกค้าแล้วเขาสัพผงกเก่งมาก เวลามีคนเข้าร้านผมต้องรีบเขย่าตัวเขา ไม่งั้นลูกค้าจะนึกว่าไม่มีคนอยู่ในร้านเสียก่อน

ผมชอบบรรยากาศในร้านของเตี่ยมาก เรียกว่าเป็นที่ที่ผมชอบรองลงมาจากบ้านของเรา มันเงียบสงบ และเต็มไปด้วยกลิ่นของเก่า ไม่รู้เหตุใดผมจึงรักและคุ้นเคยกับบรรยากาศเช่นนี้ อาจจะเพราะสมัยเด็กเตี่ยพาผมมาที่นี่บ่อยมาก ผมจึงแทบจะจดจำรายละเอียดทุกอย่างที่อยู่ในนี้ได้ ผมไม่เคยบอกเตี่ยเรื่องความชอบอันนี้ แต่คิดว่าถึงบอกไปเตี่ยคง..แค่ประหลาดใจ

ผมนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เก้าอี้หลังร้าน หูคอยเงี่ยฟังเสียงต่างๆ แทนอาหวังเหมิง ก่อนจะเงยหน้าเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น

เห็นแบบนั้น ผมจึงรีบวางหนังสือไว้ข้างตัว และลงจากเก้าอี้เพื่อเดินไปปลุกอาหวังเหมิง แต่แล้วผมก็ต้องชาไปทั้งตัว พร้อมเกร็งเบิกตากว้าง เมื่อเห็นร่างของคนที่เดินเข้ามาในร้าน

ปู่รองมา!!




++++++++++++++++++++++++++++++




ชื่อของปู่รองคืออู๋เออร์ไป๋ เป็นลูกคนที่สองของอู๋เหลาโก่ว คุณทวดของผม ปู่รองเปิดร้านน้ำชาอยู่ไม่ไกล ดังนั้นบางครั้งเตี่ยจึงไปมาหาสู่ด้วย บ้างก็เพื่อปรึกษาขอความช่วยเหลือเรื่องที่ร้าน บ้างก็เพียงไปเยี่ยมเยียนตามประสาญาติสนิท ปกติแล้วผมมักยืนกรานไม่ไปกับเตี่ย ผมกลัวปู่รองจนเกินจะไปนั่งด้วยจริงๆ

โดนทั่วไปแล้ว ปู่รองไม่เคยมาหาเตี่ยที่ร้าน เขามักจะโทรมาหาเตี่ย ไม่ก็ส่งลูกน้องมาเรียกให้ไปที่ร้านของตน

…แล้วทำไมวันนี้ ผมถึงตาฝาด เห็นปู่รองที่ร้านของเตี่ยกัน

ผมขยี้ตาตัวเอง มองไปที่ประตูร้านซึ่งมีร่างสูงสง่าของปู่รองยืนอยู่ ผมขยี้ตาตัวเองสองครั้ง ถึงเริ่มยอมรับว่านี่ไม่ใช่ความฝัน และไม่ได้ตาฝาดไป ปู่รองอยู่ในร้านของเตี่ยจริงๆ

ผมรู้สึกว่าหัวใจตนเองเต้นรัวขึ้น ร่างกายเย็นวาบและสั่นไปหมด มือไม้ชาจนขยับไม่ไหว ผมพยายามลากตัวเองกลับเข้าไปข้างหลังร้าน หลบหน้าปู่รองให้เร็วที่สุด ความคิดที่จะปลุกอาหวังเหมิงปลาสนาการหายไปในพริบตา

แต่ปู่รองก็หันมาเห็นผมเสียก่อน

ผมสะดุ้งเฮือก ก้มหน้าหลบสายตาดุดันคมปราดของปู่รองพลางเหล่ไปทางอาหวังเหมิง ผมอยากจะไปปลุกแต่ก็ไม่กล้า และเมื่อผมเงยหน้าขึ้นมา ปู่รองก็เปลี่ยนสายตาจากผมไปที่อาหวังเหมิงแล้ว

ปู่รองขมวดคิ้ว ไขว้มือไว้ด้านหลัง แต่ไม่ได้พูดอะไรเรื่องที่อาหวังเหมิงสัพหงกในร้าน ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

“เสี่ยวหลิง เตี่ยแกไปไหน”

ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินชื่อตัวเอง ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงตะกุกตะกัก “ปะ…ไป..ธุระกับอาฮัว..”

ปู่รองได้ยินแล้วขมวดคิ้ว “อาฮัว..เซี่ยอวี้ฮัว?”

ผมพยักหน้าเบาๆ

ปู่รองขมวดคิ้วหนักกว่าเก่า พ่นลมหายใจพรืด ก่อนจะถอดแว่นออกและใช้ปลายนิ้วยกขึ้นนวดหว่างคิ้วของตน “..เอาเถอะ”

ผมมองสีหน้าเคร่งเครียดของปู่รอง รู้สึกไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่ ดังนั้นผมจึงสูดลมหายใจลึก ใจกล้าเอ่ยถามสิ่งที่ตนสงสัย “ปะ..ปู่รอง มีธุระอะไรกับเตี่ยเหรอฮะ?”

“มีเรื่องจะคุยด้วย แต่ไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร” ปู่รองตอบราบเรียบ “แล้วนี่แกเฝ้าร้านคนเดียวหรือ?”

“ปะ..เปล่าครับ อา..หวังเหมิงเป็นคนเฝ้า” ผมเอ่ยตอบเสียงสั่น ฝ่ามือสั่นระริกทั้งสองขยำเสื้อไว้ด้วยความกลัว ใบหน้าก้มมองพื้นเพราะไม่อาจจ้องใบหน้าของปู่รองได้ ผมรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลแล้วด้วยซ้ำ

“นี่น่ะหรือเฝ้า” ปู่รองหัวเราะในคอ “บอกว่าแกเฝ้าร้านยังจะน่าเชื่อกว่า”

ผมผงกหัวรับคำ แต่ยังคงตัวสั่น ไม่กล้าเงยมองใบหน้าของปู่รอง ผมพยายามเงยหน้าขึ้น แต่เหมือนมีอะไรกดหัวตัวเองไว้จนเกร็งไปหมด แม้แต่เสียงเองก็เหมือนจะไม่ยอมเปล่งออกมา ผมพลันรู้สึกเหมือนมีก้อนสะอื้นอยู่ข้างใน

ความเงียบไหลผ่านระหว่างเรา ปู่รองนิ่งไปนานมาก ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไร พักใหญ่ ผมจึงได้ยินเสียงพรูลมหายใจของปู่รอง และน้ำเสียงที่กล่าวเชิงดุว่า “เสี่ยวหลิง แกจะกลัวฉันอะไรหนักหนา เป็นลูกผู้ชายซะเปล่า”

ผมสะดุ้งกับคำกล่าวนั้น เผลอเงยหน้าขึ้น แต่พอเจอใบหน้าดุดันและดวงตาคมของปู่รอง ผมก็พลันรู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมา เหมือนจะร้องไห้มะรอมมะร่อ

ผมหลีกเลี่ยงไม่เผชิญหน้ากับปู่รองมานานมาก เมื่อไหร่ที่เจอผมจะกอดเตี่ยไว้ หรือไม่ก็วิ่งไปหาคุณย่าใหญ่หรือคุณปู่ใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ผมเจอปู่รองโดยไร้เกราะกำบังเช่นนี้

ผมยืนตัวสั่น รู้สึกว่าน้ำตารื้นมาเอ่อที่ขอบตา ก้อนสะอื้นพลันเลื่อนจุกขึ้นมา แต่ผมยังกัดริมฝีปากไว้ ร่างกายสั่นระริก ไม่ร้องไห้หรือปล่อยโฮออกไป

ปู่รองไขว้แขนไว้ด้านหลัง ยืนจ้องผมนานมาก ก่อนจะถอนหายใจอีกรอบ แล้วก้าวเดินเข้ามาหาผม

ผมสะดุ้งเมื่อปู่รองขยับเข้ามาใกล้ กลัวจะถูกตวาดหรือถูกตี แต่กลับไม่ได้เป็นแบบนั้น

ปู่รองอุ้มผมขึ้นไป กดศีรษะให้ซบกับไหล่ของเขา พร้อมกับลูบแผ่นหลังของผม และว่าขึ้น “เป็นลูกผู้ชายอย่าร้องไห้ง่ายๆ นิ่งซะ”

ปู่รองเอ่ยเสียงเรียบ ค่อนข้างแข็งกระด้างและดุดัน แต่อาจจะเพราะมือปู่รองที่ลูบหลังผมอยู่อบอุ่นมาก ผมจึงรู้สึกว่าน้ำเสียงนั้นฟังดูอ่อนโยน

ผมสูดลมหายใจลึก พยายามกลั้นสะอื้น แต่สุดท้ายเหมือนจะยากมากเหลือเกิน ผมจึงซุกหน้ากับไหล่ปู่รอง ปล่อยให้น้ำตาไหลซึมบนไหล่ของเขา ร่างกายสั่นเทิ้ม

ปู่รองไม่ได้พูดอะไรเลย เขาเพียงลูบแผ่นหลังของผมไว้ เขย่าผมเล็กน้อย ส่งเสียงฮัมสูงต่ำในลำคอ เหมือนพยายามจะปลอบผม กลิ่นของปู่รองคล้ายปู่ใหญ่มาก เหมือนจะคล้ายกับเตี่ยด้วย เป็นกลิ่นที่ทำให้สบายใจ แต่ผมไม่เคยรู้มาก่อน เพราะไม่เคยกล้าเข้าใกล้ปู่รอง

สุดท้ายโดยไม่รู้ตัว ผมจึงหลับไป….ตื่นขึ้นมาอีกที เตี่ยก็กลับมาแล้ว

เตี่ยบอกว่าตกใจมากที่เห็นผมหลับในอ้อมแขนปู่รอง เพราะปกติผมจะกลัวเขามาก แทบเข้าใกล้ไม่ได้ ตอนแรกเกือบถลาไปอุ้มผมกลับมา แต่โดนปู่รองจ้องกดดัน จึงชะงักกึก แล้วหลังจากนั้นก็ถูกเทศนายกใหญ่ เนื่องจากทิ้งร้านให้อาหวังเหมิงซึ่งสัพผงกเก่งดูแล และทิ้งผมไว้คนเดียว

แน่นอนว่าหลังจากนั้นอาหวังเหมิงโดนเตี่ยด่าหลังอานเลยทีเดียว

ปู่รองบอกเตี่ยว่าพรุ่งนี้จะมาอีกครั้ง มีเรื่องอยากคุยเกี่ยวกับกิจการของปู่สามที่เตี่ยรับช่วงดูแล จากนั้นก็บอกลาผมกับเตี่ย

ผมมองใบหน้าปู่รองอย่างเต็มตา น่าแปลกที่ความกลัวคล้ายจะเลือนหายไปแล้ว หรือไม่เช่นนั้นก็เหลืออยู่เบาบางเหลือเกิน ดูเหมือนเตี่ยก็สังเกตได้ว่าผมไม่สั่นหรือหลบหน้าปู่รองเหมือนทุกครั้ง จึงเอ่ยถามผมว่าหายกลัวแล้วหรือ

ผมตอบไม่ถูก ผมรู้สึกว่ายังเกรงปู่รองอยู่ หากเจอก็ยังเหมือนจะสะดุ้งได้ แต่ไม่ถึงขั้นที่แค่เห็นหน้าแล้วเนื้อตัวสั่นเทาแล้ว

คราวหน้าที่เตี่ยไปหาปู่รอง ผมอาจจะไปด้วย ลองคุยกับปู่รองดู

เพราะผมคิดว่า บางทีปู่รองอาจจะใจดีกว่าที่ผมคิดก็ได้


+++++++++++++++++++++



วันต่อมาก่อนไปโรงเรียน ผมแวะไปหาอาหวังเหมิงที่ร้าน ขอโทษที่ตนไม่ได้ปลุกอาขึ้นมาก่อนปู่รองจะเห็น ผมรู้สึกผิดมาก เพราะทำให้อาหวังเหมิงถูกเตี่ยด่า แถมเตี่ยยังถูกปู่รองดุอีกต่อด้วย

อาหวังเหมิงมองผม เบิกตากว้าง ส่ายมือไปมาท่าทางลนลาน “คุณหนูซานหลิงจะขอโทษทำไมกัน ผมผิดเองที่หลับ คุณหนูไม่ผิดเสียหน่อย”

ถึงจะได้ยินแบบนั้น ผมก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี “แต่ถ้าผมปลุกอาหวังเหมิงทัน อาหวังเหมิงก็ไม่ถูกดุ..”

“ไม่ต้องกังวลไปหรอกคุณหนูซานหลิง อย่าขอโทษเลย คุณหนูมาขอโทษเรื่องแบบนี้ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ใช้ไม่ได้”อาหวังเหมิงยกสองมือขึ้นปรามผม ทำสีหน้าปะหลักปะเหลื่อ แล้วบอกว่าถ้ารู้สึกผิดขนาดนั้น คราวหน้าช่วยปลุกเขาให้ทันด้วยแล้วกัน

ผมฟังแล้วนิ่งไป คราวนี้ผมปลุกอาหวังเหมิงไม่ทันเพราะมัวแต่ลนลาน สติแตกกลัวปู่รอง แต่ตอนนี้ผมไม่ค่อยกลัวปู่รองแล้ว ถึงจะยังกริ่งเกรงอย่บ้าง แต่เหตุการณ์น่าอับอายแบบเมื่อวานคงไม่เกิดขึ้นอีก

คิดแบบนั้น ผมจึงผงกหัวรับคำเขา และอาหวังเหมิงก็พรูลมหายใจโล่งอก

เหลือเวลาอีกพักใหญ่กว่าจะเข้าเรียน เตี่ยเองก็ไม่ได้เร่งให้รีบไป ผมจึงหาเก้าอี้นั่งแล้วคุยกับอาหวังเหมิง ผมถามเขาไปว่าทำไมเมื่อวานถึงหลับลึกขนาดนั้น ทั้งที่ปกติอาหวังเหมิงไม่เคยหลับในร้าน หรือถึงเผลองีบบ้างก็จะตื่นเวลาได้ยินเสียงประตูร้านเปิดออก ไม่ต้องถึงขั้นให้ผมปลุกอย่างเมื่อวาน

อาหวังเหมิงยิ้มแห้งๆ ให้ผม บอกว่าเมื่อคืนวานจัดหนักไปหน่อย ทำให้นอนไม่พอ แถมตื่นขึ้นมาก็ปวดเมื่อยไปทั้งตัว  แถมแอร์ในร้านก็เย็นฉ่ำ บรรยากาศก็เงียบ สภาพรอบข้างเป็นใจขนาดนี้เขาจะไม่หลับก็กระไรอยู่

พอพูดจบอาหวังเหมิงก็หันขวับมองด้านหลัง แล้วมองซ้ายมองขวาพร้อมพรูลมหายใจ ผมเดาเอาว่าเขาคงกลัวเตี่ยจะโผล่มาตบกบาลเขาเหมือนทุกครั้ง แต่ดูเหมือนคราวนี้จะรอด ไม่ถูกทำอะไร

ผมเอียงคอมองอาหวังเหมิง ก่อนจะถามสิ่งที่ตนสงสัย “อะไรคือจัดหนักหรือ?”

อาหวังเหมิงกะพริบตามองผม ก่อนจะยิ้มเผล่ ยกนิ้วขึ้นจุ๊ปากแล้วลูบศีรษะของผม “เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กอย่างคุณหนูยังไม่ควรรู้หรอก”

ผมขมวดคิ้วสงสัยทันที เรื่องของผู้ใหญ่ที่ว่าคือเรื่องอะไรกัน? แล้วทำไมเด็กถึงไม่ควรรู้ล่ะ?

ผมถามต่อว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ขอร้องให้อาหวังเหมิงอธิบายความ แต่เขาเอาแต่จุ๊ปากไม่บอกท่าเดียว ผมตื๊อยังไงก็ไม่ยอมพูด ประจวบกับเตี่ยออกมาจากหลังร้าน เรียกชื่อผมแล้วบอกว่าจะไปส่งที่โรงเรียน ผมเลยต้องรีบวิ่งไปหาเตี่ย และได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ

หลังจากนั้นสองสามวัน ผมได้เจอลุงอ้วนที่แวบมาเยี่ยมเตี่ยที่บ้าน ด้วยความที่ลุงอ้วนใจดีมาก เวลาถามอะไรก็มักตอบตามตรง เลยลองถามเขาดูว่า ‘จัดหนัด’ คืออะไร และทำไมถึงเป็น ‘เรื่องของผู้ใหญ่ที่เด็กไม่ควรรู้’

ลุงอ้วนเบิกตาค้างมองผม รีบถามผมว่าเสี่ยวหลิงไปได้ยินศัพท์นี้มาจากไหน ผมเลยเล่าเรื่องอาหวังเหมิงให้ฟัง

พอฟังผมพูดเสร็จ ลุงอ้วนก็ยิ้มแฉ่งจุ๊ปาก บอกว่าหวังเหมิงนี่ความจริงก็ร้ายเหมือนกันนะ แต่แหม ทั้งคืนเลยหรือ คงจะจัดหนักจริงๆ นั่นล่ะ

ยิ่งฟังผมยิ่งไม่เข้าใจ รู้แต่ว่ามันน่าสงสัยขึ้นทุกที เลยยิ่งเร่งเร้าให้เขาตอบ “ลุงอ้วน ตกลงมันหมายถึงอะไรหรือ?”

“อืมมม ที่จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เด็กไม่ควรรู้ แต่เห็นแก่ที่เสี่ยวหลิงอุตส่าห์มาถามเสี่ยอ้วน เสี่ยอ้วนจะบอกให้ก็ได้ คืองี้นะ …มันหมายถึง- โอ๊ย! แม่ง!! มือหนักฉิบหาย! ตบมากะให้สมองเสี่ยอ้วนเละหรือไงวะเทียนเจิน!” ลุงอ้วนหันไปโวยวายกับเตี่ยที่โผล่มาเคาะกบาลจากไหนไม่ทราบ ผมเงยหน้ามองเตี่ยที่ขมวดคิ้วทำสีหน้าระอา ก่อนจะด่าใส่ลุงอ้วนไปหนึ่งชุด

“ไม่ตบนายแม่งจะบอกอะไรลูกฉัน! อย่าเอาของทุเรศยัดใส่หัวเด็กสิวะ! นายแม่ง มาเยี่ยมแต่ละทียัดแต่อะไรไม่รู้ใส่หัวเสี่ยวหลิง….” เตี่ยส่ายหัวไปมา ก่อนจะยกผมขึ้นมาอุ้ม “เสี่ยวหลิงสงสัยอะไรหรือ? วันหลังถามเตี่ยก็ได้ ไม่ต้องถามไอ้ลุงอ้วนมันหรอก”

ผมบอกเขาไปเรื่อง ‘จัดหนัก’ แล้วเตี่ยก็เกร็งไปทั้งตัว

เตี่ยหันขวับไปทางลุงอ้วน ทำท่าเหมือนจะฆ่าเขาทิ้ง ลุงอ้วนรับส่ายหัวพรืดบอกว่าจนไม่ได้สอนคำนี้ให้ผม เป็นผมต่างหากที่ได้ยินจากคนอื่นแล้วมาถามความหมาย

เตี่ยคลายสีหน้าเหมือนจะฆ่าคนลง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกแล้วหันมามองผม “มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่น่ะ..เสี่ยวหลิงยังไม่ควรรู้หรอกนะ”

“ทำไมล่ะเตี่ย” ผมเกลียดคำว่า ‘เรื่องของผู้ใหญ่’ เหลือเกิน ทำไมผู้ใหญ่ต้องมีความลับด้วยนะ แล้วทำไมเด็กถึงต้องไม่รู้เรื่องเสมอ

“เพราะเตี่ยอยากให้เสี่ยวหลิงค่อยๆ โต เรื่องอะไรที่ยังไม่จำเป็นต้องรู้ก็อย่าเพิ่งรู้ เมื่อไหร่ที่ถึงเวลา ถึงไม่มีใครสอน เสี่ยวหลิงก็รู้เอง …” เตี่ยเอ่ยบอกพร้อมฉีกรอยยิ้มให้ผม ก่อนที่เขาจะนิ่งไปเหมือนครุ่นคิด นัยน์ตาหลุบลงคล้ายเศร้า “….บางครั้งนะ เสี่ยวหลิง ความอยากรู้อยากเห็นก็ทำร้ายเราเหมือนกัน”

ผมไม่เข้าใจคำพูดของเตี่ยเท่าไหร่ แต่ไม่รู้ทำไมพอฟังแบบนั้น ความสงสัยของผมก็คลายลง และไม่เคยถามใครถึงความหมายของมันอีกเลย

.

.

.

หลังจากนั้นอีกนานแสนนาน เมื่อผมโตขึ้นเป็นหนุ่มและเข้าใจความหมายของมัน ผมก็นึกสงสัย..ตอนนั้นผมควรขอบคุณเตี่ยที่หยุดลุงอ้วนทัน หรือเสียใจที่ลุงอ้วนไม่ทันพูดก็โดนเตี่ยขัดดี ผมรู้แต่ว่าเมื่อรู้ความหมายของมันแล้ว มันช่างไร้สาระและน่าขันเหลือเกิน

อีกเรื่องที่ทำให้ผมนึกย้อนไปยังช่วงเวลาตอนนั้น คือคำพูดของเตี่ย

‘….บางครั้งนะ เสี่ยวหลิง ความอยากรู้อยากเห็นก็ทำร้ายเราเหมือนกัน’

ตอนนั้นยังเด็กจึงไม่คิดอะไร แต่ผมคิดว่าเตี่ยอาจจะนึกถึงตัวเอง

เตี่ยไม่ได้เล่าเรื่องของตัวเองให้ผมฟังเท่าไหร่ ชีวิตช่วงก่อนจะมีผม ผมทราบมาจากคนรอบข้างทั้งสิ้น และดูเหมือนชีวิตช่วงหนึ่งของเขา เคยสูญเสียหลายสิ่งไปเพราะ ‘ความอยากรู้อยากเห็น’

บางทีในระหว่างที่สอนผม เขาคงคิดถึงอดีตของตัวเอง และไม่อยากให้ผมเดินตามรอยของเขา เพราะแม้เตี่ยไม่เคยเสียใจ แต่ใช่ว่าจะอยากให้ใครเจริญรอยตามตน

แต่ ‘ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น’ ช่างเป็นคำที่เหมาะสมเหลือเกิน เพราะสุดท้าย ผมก็เข้าไปในวังวนนั้นอยู่ดี



แต่ว่านั่นเป็นเรื่องในอนาคตอันแสนไกล….ซึ่งผมจะยังไม่กล่าวถึง



+++++++++++++++++++++++

END OR TBC.
sinnerdarker
sinnerdarker
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ

จำนวนข้อความ : 343
Points : 4015
Join date : 27/10/2014
ที่อยู่ : บ้านสกุลหวัง

ขึ้นไปข้างบน Go down

[Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง [Imply ผิงเสีย] (2) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์* Empty Re: [Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง [Imply ผิงเสีย] (2) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*

ตั้งหัวข้อ by Feran.FS Sun 02 Nov 2014, 08:10

ทำไม ยังไม่ได้เมนท์ฟิคนี้//ทุบโต๊ะปัง กรี๊ซซซซซซ เสี่ยวหลิงของแม่!!!! //ด้วงดีดดิ้น

#อิแม่ หวังเหมิงจัดหนัก! //หมาสั่นส์
Feran.FS
Feran.FS
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ

จำนวนข้อความ : 457
Points : 3903
Join date : 27/10/2014
Age : 28
ที่อยู่ : ใต้เตียงนอนเซี่ยจื่อหยาง...

ขึ้นไปข้างบน Go down

[Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง [Imply ผิงเสีย] (2) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์* Empty Re: [Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง [Imply ผิงเสีย] (2) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*

ตั้งหัวข้อ by meanato Sun 02 Nov 2014, 14:08

หวังเหมิงนายโดนใครจัดหนักกันแน่
meanato
meanato
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ
ด้วงตำหนักทิพย์พิมานเมฆ

จำนวนข้อความ : 487
Points : 3922
Join date : 27/10/2014
Age : 25
ที่อยู่ : หลังประตูสัมฤทธิ์

ขึ้นไปข้างบน Go down

[Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง [Imply ผิงเสีย] (2) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์* Empty Re: [Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง [Imply ผิงเสีย] (2) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*

ตั้งหัวข้อ by alicebaby Fri 07 Nov 2014, 23:58

แง ตอนต่อไปตอนต่อไปเราอยากได้ตอนต่อไป

alicebaby
ด้วงฝึกหัด
ด้วงฝึกหัด

จำนวนข้อความ : 14
Points : 3445
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง [Imply ผิงเสีย] (2) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์* Empty Re: [Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง [Imply ผิงเสีย] (2) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*

ตั้งหัวข้อ by kame_kazuha Sun 16 Nov 2014, 22:48

ถึงปู่รองจะดูน่ากลัว แต่ปู่รองก็ใจดีน้าาา
kame_kazuha
kame_kazuha
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า

จำนวนข้อความ : 274
Points : 3706
Join date : 27/10/2014
ที่อยู่ : สุสานสักที่

ขึ้นไปข้างบน Go down

[Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง [Imply ผิงเสีย] (2) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์* Empty Re: [Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง [Imply ผิงเสีย] (2) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*

ตั้งหัวข้อ by MinMin Mon 17 Nov 2014, 14:41

เสี่ยวหลิงงงงงงงง นายน้อยสนใจรับสมัครคนเลี้ยงลูกมั้ยคะ ขอยื่นใบสมัครหน่อยค่ะ!!!

ปู่รองแค่เข้มงวดนะลูก อย่ากลัว! อ้อนเข้าไปเดี๋ยวปู่แกก็ใจอ่อน


ว่าแต่...หวังเหมิง นายจัดหนักขนาดไหนน่ะ?
MinMin
MinMin
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า
ด้วงต้นไม้เทพเจ้า

จำนวนข้อความ : 222
Points : 3804
Join date : 28/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

[Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง [Imply ผิงเสีย] (2) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์* Empty Re: [Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง [Imply ผิงเสีย] (2) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*

ตั้งหัวข้อ by nuu_baitoey Fri 17 Jul 2015, 17:50

เสี่ยวหลิงน่ารักมากค่ะ ขอบคุณที่แต่งให้อ่านนะคะ^^
nuu_baitoey
nuu_baitoey
ด้วง
ด้วง

จำนวนข้อความ : 31
Points : 3462
Join date : 27/10/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน

- Similar topics
» [Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง [Imply ผิงเสีย] (3.5) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*
» [Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง [Imply ผิงเสีย] (3) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์* [Update 14/01/57]
» [Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง [ผิงเสีย] (1) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*
» [Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง (10) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*
» [Fic] บันทึกของเสี่ยวหลิง (11) *สปอยเล่มสิบ* *ออริคาแรกเตอร์*

 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ